The Killers Live from the Royal Albert Hall | The Bravery - Stir the Blood | Apparatjik
The Killers Live from the Royal Albert Hall
[***Spoiler Alert*** ]
เกาะอังกฤษและเหล่าบริติชชนเคยอ้าแขนรับ The Killers อย่างอบอุ่นเมื่อครั้งที่ Hot Fuss อัลบั้มแรกของพวกเขาออกมาสร้างซาวนด์อังกริ๊ด อังกฤษกระทืบหูคนฟังให้ฉงนว่าบิดามารดาวงนี้มันคืออังกฤษหรือไร แม้นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ The Killers จะได้ขยับสถานะตัวเองขึ้นมาเป็นหนึ่งในวงที่ประสบความสำเร็จระดับโลกและโด่งดังมากกว่าเดิม อ้อมกอดเดิมๆของชาวอังกฤษก็ยังคงอยู่ แถมยิ่งอ้าแขนกางกว้างๆยินดีต้อนรับพวกเขามากกว่าเดิมเสียอีก
เพียงแต่ว่าไม่ใช่แค่แฟนๆ ลอนดอนเนอร์เท่านั้นหรอกที่จะได้รับความอิ่มเอมจากการแสดงสดของวงดนตรีที่พวกเขาหลงใหลไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ณ Royal Albert Hall สุดยอดสถานที่แห่งความอลังการ อบอวลด้วยมนต์ขลังแห่งความเก่าแก่ และเสน่ห์ที่ยิ่งกว่าการเป็นฮอล์คอนเสิร์ตธรรมดา แฟนๆผู้ปวารณาตนเป็น “เหยื่อ” (victims) หรือสาวกของ The Killers เดินทางมาจากทั่วสารทิศ ทั้งสเปน ออสเตรีย มอนเตเนโกร เยอรมนี ฯลฯ บางคนกระทั่งโดดงาน ลางานมาเพื่อค่ำคืนแห่งความทรงจำนี้
น่าแปลกว่ากระทั่งคนบางคนแถวนี้ซึ่งไม่ได้เป็นหนึ่งในฝูงชนที่นั่นกลับทำตัวและมีความรู้สึกราวกับว่าได้ไป Royal Albert Hall มา หลังจากได้ทัศนาดีวีดี The Killers Live from the Royal Albert Hall จบลง
นั่นคือสิ่งดีซึ่งควรจะเป็นสำหรับครั้งแรกของดีวีดีไลฟ์ที่ The Killers ทำออกมาให้ผู้ชมผ่านหน้าจอรู้สึกได้ ด้วยการโปรดิวซ์โดย Jim Parsons การกำกับของ Dick Carruthers คนเดียวกับที่ทำดีวีดี The Who Live at the Royal Albert Hall เช่นเดียวกับฝากฝีมืองานดีวีดีไว้กับอีกหลายๆวง อาทิ Keane, Oasis, Kaiser Chiefs หรือ The White Stripes
มุมมองของ Royal Albert Hall ได้รับการนำเสนออย่างมีชั้นเชิงน่าดู เปิดเผยความงดงามของสถานที่และสร้างความรู้สึกตื่นเต้นได้ตั้งแต่เปิดตัว เสียงเพลง Enterlude ดังแว่วมา พร้อมกับการค่อยๆนำผู้ชมผ่านทางเดินยาวไปพบเจอกับเจ้าของเสียงร้อง ก่อนที่ความมันส์ของจริงจะปรากฏเมื่อภาพความพร้อมของวงซึ่งอยู่ข้างหลังเวทีและภาพการตั้งตาคอยของฝูงชนข้างนอกเวทีค่อยๆเริ่มกระหึ่มขึ้นมา
พื้นเวทีลายม้าลายกับต้นปาล์มคืออุปกรณ์ประกอบเวที ซึ่งจะเพื่อให้เข้ากับแจ็คเก็ตขนนกของ Brandon Flowers หรือไม่ก็ตาม แต่ Human ก็สร้างความเร้าใจและบรรยากาศดิสโก้ในเพลงแรกพร้อมเสียงแหกปากกรีดร้องและการเต้นกระหึ่มยิ่งกว่านักเต้นของผู้ชม ซึ่งน่าสงสัยเหลือเกินว่าตกลงมันเป็นมนุษย์หรือเป็นนักเต้นกันแน่? (ตรูก็ยังไม่รู้อยู่ดี!!)
แต่แน่นอนว่า This Is Your Life คือเพลงสำหรับบรรยากาศนอนเล่นโอบกอดต้นปาล์มเป็นที่สุด ด้วยซาวนด์อันน่ารักน่าชังและความคึกคักเปื้อนรอยยิ้มยังคงอยู่ในเพลงบรรยากาศสดใส ก่อนจะเปิดความมันส์ในเพลงฮิตเก่าๆ Somebody Told Me ทั้ง Brandon, Dave, Mark และ Ronnie ระเบิดความร้อนระอุให้เวทีเต็มที่ และคนดูต่างตอบรับกันอย่างเมามันส์ For Reasons Unknown ที่ Brandon เล่นเบสและ Mark ไปเล่นกีต้าร์ ก็ยิ่งเพิ่มความสนุกสนาน เมื่อ Brandon ถามไถ่คนดูว่าเคยรักใครบ้างไหม แล้วก็พูดคุยต่อไปเรื่องหวานเลี่ยนๆ แต่ก็เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากสาวๆได้ (“As easy as the way a beautiful English girl’s hair falls across her shoulder”) จากนั้นช่วงเวลาที่ประทับใจคือการเพิ่มท่อน “โอว้ โอววววว” ร่วมกันทั้งคนร้องและคนดู นับว่าเป็นอีกหนึ่งในเพลงที่คุ้มค่าการเล่นสด
ต่อมาคือสามเพลงจาก Day & Age The World We Live In, Joy Ride และ I Can’t Stay (เสียงแซกโซโฟนอันเย้ายวน) ต่อด้วย Bling (Confessions of a King) ที่ Brandon รีบทิ้งเวทีวิ่งหนีไปเข้าห้องน้ำ เอ๊ย! ไปที่ระเบียงเพื่อร้องและพบปะประชาชน ตามด้วยไปเอางานคัฟเวอร์ Joy Division สุดเลิศ Shadowplay มาร้องอีกครั้ง และ Smile Like You Mean It ก็ทำหน้าที่ของมันได้ไม่มีที่ติ
เพลงที่เหลือทั้งหมดคือเพลงฮิตแตกสมัยอัลบั้มเก่าก่อน เริ่มที่ Sam's Town ในเวอร์ชั่นใหม่ ต้องเรียกว่าคือเป็นแบบ Abbey Road Version ใน Sawdust ที่บวกกับเสียงแซกฯมาผสมโรง พ่วงด้วยไวโอลิน นี่คือเวอร์ชั่นอันบรรเจิดสุดของ Sam’s Town ในบรรดาทั้งหลายทั้งปวง และไม่ให้หายใจหายคอ Read My Mind, Mr. Brightside, All These Things That I've Done ขนขบวนกันมาต่อแถวกระชากอารมณ์ สามเพลงถูกใจจี๊ดติดกันเยี่ยงนี้ ลงไปนอนตายชักดิ้นชักงอตอนนั้นก็ยังได้
ก่อนร้อง Mr. Brightside Brandon ย้อนความหลังไปเมื่อเจอเพลงนี้ในคาสเซ็ตต์ที่ Dave ทำ ขณะเมื่อทั้งสี่ยังเป็นแค่ “lost souls” จากลาสเวกัส แต่นั่นก็ก่อนหน้าที่เพลงนี้จะมากระหึ่มเวทีในแบบนี้ได้ แบบที่ต่อกันมาทันที ในที่สุด ท่อน “I got soul, but I’m not a soldier” ก็ได้ร้องกันสนั่นลั่นฮอลล์ แล้ววงก็กลับไปและท้ายสุดกลับมาอังกอร์ด้วย Sweet Talk, The River Is Wild, Bones, Jenny Was A Friend Of Mine ท้ายสุดของโชว์ คือ When You Were Young กับผลุดอกไม้ไฟ
รายชื่อเพลงที่เล่นสดจากดีวีดี 1 Human 2 This Is Your Life 3 Somebody Told Me 4 For Reasons Unknown 5 The World We Live In 6 Joy Ride 7 I Can't Stay 8 Bling (Confession of a King) 9 Shadowplay 10 Smile Like You Mean It 11 Losing Touch 12 Spaceman 13 A Dustland Fairytale 14 Sam's Town 15 Read My Mind 16 Mr. Brightside 17 All These Things That I've Done 18 Sweet Talk 19 This River Is Wild 20 Bones 21 Jenny Was a Friend of Mine 22 When You Were Young บวก Interlude, Exitlude
Extras ของดีวีดีประกอบไปด้วย - Behind-the-Scene Documentary Including Interviews with Crew and Fans - Bonus Festival Performances ไลฟ์จากเทศกาลอื่นๆที่วงแสดง (จากลอนดอนทั้งนั้น) Tranquilize ที่ Oxegen Human ที่ Hyde Park Mr. Brightside ที่ Hyde Park Smile Like You Mean It ที่ V Festival When We Were Young ที่ V Festival - Fan’s Eye View
รายชื่อเพลงไลฟ์จากออดิโอซีดี Human This Is Your Life Somebody Told Me The World We Live In I Can't Stay Bling (Confessions Of A King) Shadowplay Smile Like You Mean It Losing Touch Spaceman A Dustland Fairytale Sam's Town (Acoustic) Read My Mind Mr. Brightside All These Things That I've Done Jenny Was A Friend Of Mine When You Were Young
*หมายเหตุ* ปีนี้ The Killers มีคริสต์มาสซิงเกิ้ลมาเหมือนเคย คือ Happy Birthday, Guadalupe ซึ่ง feat. Wild Light และ Mariachi El Bronx จะ release 1 ธ.ค. และเห็นว่าจะมี EP ที่มาพร้อมกับคัฟเวอร์ Hotel California (ซึ่งด้วยความเคารพว่าได้ยินแล้วค่อนข้างรับไม่ได้เท่าไหร่)
ตัวอย่างเพลง Happy Birthday, Guadalupe (ฟังแล้วต่อด้วย Hotel California ที่คัฟเวอร์นี่จะไปด้วยกันดีมาก)
ภาพรวมอัลบั้ม แม้จะยังลบภาพการเป็นวงวัดรอยเท้า Franz Ferdinand, The Killers, Editors หรือ Interpol ไม่ออก นั่นคือปัญหาที่วงยังเผชิญอยู่ กับการหยิบยืมโน่นนี้จากวงอื่นๆมา สไตล์การร้องแบบ The Cure หรือ New Order ของ Sam Endicott ถูกนำมาผสมด้วยซินธ์ที่มากขึ้นกว่าเดิมกับเพลงในบรรยากาศการาจ ซินธ์ร็อค ซาวนด์แบบ new wave ที่หลายแทร็กฟังยังไงก็ซ้ำซากแบบวงรุ่นเก๋าก่อนหน้าบวกกับวงเพื่อนร่วมรุ่นอื่นๆ แต่เพลงยังฟังได้บันเทิงอารมณ์ และพบมุมน่ารัก เก๋ๆได้บ้าง จังหวะเร่งเร้าแบบเต้นกระหึ่มฟลอร์แบบ I Have Seen the Future เพลงร้อนแรงอย่าง Hatefuck จังหวะจะโคนของกลองอันหนักแน่นของ The Spectator และ Jack-O-Lantern Man ที่มีซินธ์อันโดดเด่น แถมยังขยับแข้งขาโยกย้ายตามได้อีก การปรุงแต่งกลิ่นไซคีเดลลิคในเพลงอย่าง Sugar Pill และ She’s So Bendable ยังขาดความลงตัวและพยายามมากไป แต่ก็ไม่มีอะไรเลวร้ายหรือฟังแล้วโลกจะแตก
ฟังแล้วพวกเขาพัฒนาไปได้มากกว่าอะไรแบบ The Sun And The Moon แต่หากอยากสรรหาความแปลกใหม่วิเศษอลังการ เพราะหูเบื่อกับแนวดาดๆเทือกนี้แล้วล่ะก็ จงมองข้ามอัลบั้มนี้ไปได้เลย แต่อยากให้หูเบื่ออีกเพราะใจรักสดับจะฟังเพลงคึกคัก ติดหูง่ายก็คงไม่ผิดหวัง The Bravery พยายามหาเอกลักษณ์ของตัวเองมาถึงสามอัลบั้ม ดูเหมือนครั้งพวกเขาจะดิ้นรนจนหามันเจอในที่สุด Stir the Blood ไม่ใช่การสร้างความก้าวหน้าในวงการโพสต์พังค์ แต่ภายใต้ร่มเงาของตัวเอง The Bravery ยังมีที่ยืนให้พวกเขาเองอยู่พร้อมเพลงสนุกสนาน และการยืนยันความสามารถที่มีไม่ด้อยกว่าวงอื่นๆซึ่งดันโด่งดังโสภากว่าพวกเขาเองเท่านั้น
รายชื่อเพลง 1) Adored 2) Song For Jacob 3) Slow Poison 4) Hatefuck 5) I Am Your Skin 6) She’s So Bendable 7) The Spectator 8) T Have Seen The Future 9) Red Hands And White Knuckles 10) Jack-O’-Lantern Man 11) Sugarpill
เพลงแนะนำ: Slow Poison
Apparatjik
Apparatjik คือซูเปอร์กรุ๊ปที่รวบรวม Guy Berryman มือเบส Coldplay Magne Furuholmen มือคีย์บอร์ดและกีต้าร์ของ a-ha Jonas Bjerre แห่ง Mew กับ Martin Terefe ...ใครฟะ?!? เอ่อ เขาก็คือโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงชาวสวีดิชที่มาอยู่อังกฤษและเคยร่วมงานกับ KT Tunstall, Ron Sexsmith หรือ a-ha เองด้วย ก่อนหน้านี้ Apparatjik เคยทำเพลงธีมให้ซีรี่ส์ Amazon ของช่อง BBC2 มีเพลงอย่าง Ferreting ที่อยู่ในอัลบั้มการกุศล Songs for Survival มาแล้ว
ชื่อวงอ่านออกเสียงว่า ap•pa•ra•tchik เป็นภาษาสวีเดนของคำว่า apparatchik ซึ่งหมายถึงสมาชิกหรือสายลับขององค์กรคอมมิวนิสต์ ตอนนี้วงกำลังอยู่ในช่วงทำอัลบั้มแรกที่พวกเขาบันทึกเสียงที่สตูดิโอของ Magne ที่นอร์เวย์ ก่อนหน้านี้มีเพลงหลายเพลงปล่อยออกมาทางอินเตอร์เน็ต เช่น Snow Crystals, Frozen Fingers, Flum, Self Torturers หรือ 4Could Keep aSecret If3Of Them Were Dead รวมทั้ง Electric Eye ที่จะเป็นซิงเกิ้ลแรกในอัลบั้มใหม่ซึ่งสามารถโหลดฟรีที่ เว็บวง ได้ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. เป็นต้นไป
บางเพลงของวงคาดว่าเสียงร้องน่าจะมี Guy ด้วย เพราะฟังแล้วไม่ใช่เสียง Jonas หรือ Magne แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังยืนยันไม่ได้ว่าเพลงทั้งหลายนั่นเป็นเสียงของใคร รวมถึงsample ของ Electric Eye ที่ออกมานั่นด้วย จึงได้แต่คาดเดากันไปจนกว่าจะได้ฟังเต็มๆหรือได้รับการยืนยันจากวงเอง