เปล่า Mark Everett ไม่ได้กำลังง่วนอยู่กับการจัดแต่งหนวดหรือสอนการสร้างรูปลักษณ์ให้ Joaquin Phoenix อยู่แต่อย่างใด (ถ้าคุณไม่เข้าใจมุขนี้ กรุณาไปสอบถามได้ที่ Jack Black)
ความจริง Mark Everett แค่แอบอู้จากการทำเพลงให้ Eels ไปสักพักแค่นั้น เขายังโผล่ใบหน้าเปื้อนหนวดให้แฟนๆเห็นเสมอมาใน side-project มากมายและไปจับปากกาเขียนหนังสืออัตชีวประวัติชื่อว่า Things the Grandchildren Should Know และทำ Parallel Worlds, Parallel Lives หนังสารคดีความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ควอนตัมชื่อดังช่วงที่ไม่มีอัลบั้มชุดใหม่ออกมา
ใน Q ฉบับเดือนก.พ.ของปีที่แล้ว เคยลงบทสัมภาษณ์ของ Mark Everett ซึ่งมันเปิดเผยมุมมองน่าสนใจหลายอย่างที่ฉันก็ไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับเขา
Hombre Lobo ได้ละทิ้งการแต่งเพลงโดยคร่ำครวญถึงการสูญเสียในชีวิต E แบบ Electro-Shock Blues หรือ Daisies of the Galaxy มาเป็นการแต่งนิทานให้ชีวิตปัจเจกของมนุษย์หมาป่าตัวหนึ่ง เรื่องราวของมันที่พร่ำถึงความรักที่ไม่ค่อยสมหวังบ้าง มุมมองหดหู่บ้าง ความปรารถนาและค้นหาชีวิตให้มากขึ้น อาการเหงาหงอยกับการสืบเสาะตามหาคู่ใจ แต่ยังมีมุมขบขันให้ใจชื้นสอดแทรกประปราย
Prizefighter เป็นแทร็กเปิดชวนโศกที่ไม่ได้โดดเด่นได้เท่าเมื่อการเดินทางของหูมาหยุดอยู่แทร็กที่สอง That Look You Give That Guy เพลงบัลลาดอารมณ์โรแมนติคโหยหาความรักที่กินใจ
Lilac Breeze ที่ตอกย้ำอารมณ์ปรารถนาของตัวละครในอัลบั้มได้เป็นอย่างดี ออกไปทางใคร่อยากมากๆด้วย ตรงข้ามกับ In My Dreams ที่แม้ยังเป็นเพลงเกี่ยวกับความรักที่อลังการในสไตล์คันทรีชวนโรแมนติค แต่กลับดูไร้เดียงสาน่ารักกว่า
The Longing รำพึงรำพันบัลลาดจ๋าอีกครั้ง และน่าจะเป็นแทร็กกลางอัลบั้มที่ชวนสะดุดไปในทางไม่ชอบใจได้มากที่สุด ก่อนจะมามาถึงเพลงที่เอาไว้กล่อมประสาทได้ดีแต่ไม่ได้ถึงขั้นหลอน อย่าง Flesh Blood เสียงซินธ์ผสมกับคีย์บอร์ดครางหึ่งๆและใช้เบสไลน์โทนต่ำที่สุด E ทำเสียงให้อารมณ์เหมือนดูหนัง Hitchcock แถมยังมีการเห่าหอนเพื่อให้สมเป็นมนุษย์หมาป่าในเนื้อหาเพลงที่ค่อนข้างเรียกความกำหนัด
What's A Fella Gotta Do จังหวะเร่งเร้าขึ้นมาด้วยกีต้าร์ริฟที่คึกคัก เอาไว้ลัลลาหน้าซัมเมอร์ก็ดูเหมาะ My Timing Is Off พ็อพมากๆ และฟังติดหูได้ง่ายสบาย ฟังไปฟังมาแล้วก็รู้สึกหวนรำลึกไปถึงชุด Shootenanny! ได้ด้วย All the Beautiful Things มีเครื่องสายส่งถ่ายรับกันได้นิ่มนวลให้เพลงดูอคูสติคสดใสร่าเริงอยู่ท่ามกลางเสียงร้องอันชวนหลอน Beginner's Luck เป็นเพลงที่แหวกมาให้อารมณ์ฟีลกู๊ดและดูจะไม่เข้ากับอัลบั้มมากที่สุด แต่ก็มันชักชวนให้เปิดวนไปมาได้ Ordinary Man ยังเป็นแทร็กปิดท้ายที่คงบรรยากาศดั้งเดิม สานต่อและสรุปรวบอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดด้วยเสียงกีต้าร์หวานชวนฝัน
รายชื่อเพลง 1. Prizefighter 2. That Look You Give That Guy 3. Lilac Breeze 4. In My Dreams 5. Tremendous Dynamite 6. The Longing 7. Fresh Blood 8. What's A Fella Gotta Do 9. My Timing Is Off 10. All The Beautiful Things 11. Beginner's Luck 12. Ordinary Man
เพลงแนะนำ Fresh Blood
ถ้าชอบ Eels เคยดูหนังพวกนี้หรือยัง?
Eels โด่งดังในเรื่องเพลงที่ถูกนำไปประกอบหนังหรือแต่งเพลงให้หนังอยู่แล้ว นอกเหนือจากที่รู้ๆกันดีอยู่แล้วหรือชอบเอามาจั่วหัวเวลาพูดถึง Eels อย่างพวก American Beauty, Shrek ต่างๆ, Holes, The Anniversary Party ฯลฯ มาดูกันว่าหนังเรื่องใดที่มีเพลงของ Eels ไปโผล่อยู่และน่าดูบ้าง
Yes Man (Peyton Reed, 2008)
เซย์เยสไปกับ Jim Carrey ในหนังอารมณ์ฟีลกู๊ดให้แง่คิดดี นอกจากหนังจะได้เห็นหน้าหวานๆและฟังเสียงของ Zooey Deschanel ช่วยขับกล่อมผู้ชมให้หลงใหลได้แล้ว ก็มีเพลงของ Eels นี่แหละที่จัดได้ว่าเอามาอัดไว้ในหนังเยอะมากทั้งในเรื่องและอัลบั้ม soundtrack โดย Eels ได้แต่งเพลงใหม่ให้หนังเป็นพิเศษคือ เพลง Man Up ส่วนเพลงอื่นๆ มี Bus Stop Boxer, To Lick Your Boots, The Good Old Days (ขึ้นมาในช่วงพอเหมาะดีมากด้วย), The Sound Of Fear, Wooden Nickels, Flyswatter, Blinking Lights (For Me) และ Somebody Loves You ที่น่าแปลกคือหนังเรื่องนี้มีเพลงประกอบเจ๋งๆหลายเพลงเลยทีเดียว แต่ตัวอัลบั้ม soundtrack กลับมีแต่ Eels ครองเมืองไปถึง 9 เพลงและที่เหลือก็เป็นของวงติ๊ต่างในเรื่อง Munchausen by Proxy
The Big White (Mark Mylod, 2005)
หนังที่อาจดูเงียบเชียบและโดนสับเละมา แต่ฉันกลับดูแล้วอิ่มเอมและประทับใจกับมุขตื้นๆที่บางมุมของหนังยังให้อารมณ์คล้าย Fargo ของพี่น้อง Coen หนังมีดาราใหญ่อย่าง Robin Williams และ Holly Hunter ในช่วงโรยราแต่ยังดูน่ารักกับบทภรรยาแสนดีแต่เป็นโรคกระตุกไปด่าไป(โรคนี้เท่มาก) รวมถึงยังมี AlisonLohman สาวสวยที่กำลังรุ่งกับหนังขวัญใจนักวิจารณ์ในขณะนี้อย่าง Drag Me To Hell เพลง Eels ที่นำมาใช้ประกอบมี Last Stop: This Town, Trouble With Dreams และโดยเฉพาะการเลือกเพลงที่เข้ากับธีมหนังที่สุดอย่าง I Want To Protect You
Levity (Ed Solomon, 2003)
หนังดูเอามันส์แนวอาชญากรรม เรื่องราวการชดใช้บาปของ Billy Bob Thornton หนังเป็นการกำกับครั้งแรกของ Ed solomon (และถึงตอนนี้ก็ยังเป็นครั้งเดียว ฮา) และสำหรับ E ก็คือการทำสกอร์ให้หนังครั้งแรก โดยที่ผลงานในอัลบั้ม soundtrack เป็นของเขาทั้งหมด ประกอบด้วยสกอร์ที่ฟังดู สวยงาม มืดหม่น และอบอุ่นระคนกันไป บวกกับเพลง Skywriting และ Taking A Bath In Rust ที่ยังคงสไตล์แบบ Eels และไพเราะจนเหลือเชื่อว่าจะเป็นแค่เพลงที่ไม่เคย release เท่านั้น
Knocked Up (Judd Apatow, 2007)
อีกหนึ่งหนังฮาเรตอาร์ในตระกูล Judd Apatow แจ้งเกิดทั้งสาวสวย Katherine Heigl และหนุ่ม Seth Rogen พ่วงด้วยนักแสดงฮาแหลกในแก๊ง Apatow ทั้งหลาย หนังมีเพลงมาแซมๆอยู่ทั่วทั้งเรื่องและมีหลากหลายแนว ถือว่านอกจากหนังจะดี ยังเป็นอีกเรื่องที่เลือกเพลงได้เยี่ยมเหมาะกับหลายๆฉากด้วย เพลง Eels มี Running the Bath และ Manual's Got a Train to Catch แต่น่าเสียดายเช่นกันที่ไม่ได้มีอยู่ในอัลบั้ม soundtrack
Hot Fuzz (Edgar Wright, 2007)
สุดยอดของสุดยอดหนังตำรวจแนวแอ็คชั่นคอมเมดี้จากอังกฤษที่พึ่งพาความฮา ความสามารถ การแสดงและบทของ Simon Pegg ผนึกกำลังกับความน่ารักของ Nick Frost หนังมีแค่เพลง Eels เพลงเดียวคือ Souljacker Part 1 ซึ่งถูกนำไปใช้ตั้งแต่ใน trailer ซึ่งก็ทำให้ Eels เป็นที่รู้จักจากเรื่องนี้เหมือนกัน ช่างเป็นเพลงที่ไปด้วยกันได้ดีและร่วมสร้างความมันส์ระห่ำให้หนังได้อย่างมโหฬาร
เนียะ มันเท่แค่ไหนกัน เห็นพี่คนนึงเค๊าชอบจังเลย
แต่ยังไม่เคยฟังหรอก
คราวนี้ต้องรีบแล้วล่ะ
คุณน้องลูซี่แนะนำหนำนี้ ฮ่าๆ ขนาดนี้
เนื้อหาเนียะ ยังเท่เหมือนเดิม
ก็ปึกเหมือนเคยอีกนั่นแหละ ..