Muse – The Resistance คือว่า...ยังไงล่ะ...
เชื่อว่าคนที่เป็น Muser หรืออาจไม่ได้เป็น แต่ชอบดนตรีแบบ Muse จะมีอาการหนึ่งเกิดขึ้นระหว่างฟังเพลงของพวกเขา ซึ่งฉันขออนุญาตเรียกมันว่า “การบรรลุ Muse”
และเพื่อไม่ให้ออกแนวเรตอาร์ ฉันจะไม่นำมันไปเทียบเคียงกับอาการถึงจุดสุดยอดทางเพศ เผื่อว่าลูกหลานเยาวชนไทยผู้อยู่ในยุคที่มีการจัดเรตภาพยนตร์ไปงั้นๆ (เพราะมันแค่เป็นการแนะนำ ไม่ใช่บังคับใช้) ด้วยกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ พ.ศ. 2552 แต่ก็ยังมีการหั่น ตัดหนังและยอมให้เด็กเข้าไปดู (แล้วจะมีไปทำไม) ในปัจจุบันเข้ามาอ่านบล็อกปัญญาอ่อนนี้
แต่การ “บรรลุ Muse” ที่ว่านี้ ดุจดั่งสวรรค์ชั้นโอลิมปัสโอบล้อมเราไว้ ขณะที่สรรพสำเนียงแห่งดนตรีทิพยจากเทพีแห่งศิลปะและวิทยาการ (Muses ตามตำนานเทพปกรณัมกรีก) ขับกล่อมร่ายรำอยู่รอบกาย Apollo ที่เผอิญไม่ได้หยิบพิณมาพรมนิ้วบรรเลงอย่างที่ควร แต่กลับคว้าแมนสันกีต้าร์ แปลงกายเป็น Matt Bellamy มากระชากอะดรีนาลีนเหล่าเทพและเทพีชั้นฟ้าให้เพลิดเพลินมันส์อารมณ์ไปกับเพลงอวกาศระทึกตับ กระตุ้นหัวใจไตม้ามให้สะดุ้งสะเทือนด้วยอารมณ์อยากกรีดร้อง โหยหวนอย่างคิงคอง กระชากเสื้อตนเองจนขาดวิ่น และเปล่งเสียงครวญครางคล้ายๆว่า “โอวววว ไม่ไหวแล้ววววววววว อิ Muse” หรือเมื่อขณะที่เขาจรดนิ้วมือลงบนเปียโน พริ้มพรายเมโลดี้งามเงาเร้าจิตใจให้ไหวหวั่น กระทบกระเทียบความรู้สึกอ่อนไหวให้เคลิบเคลิ้มได้มิเสื่อมคลาย
นั่นคือความรู้สึกที่ฉันเป็นอยู่เสมอเวลาฟัง Muse และอธิบายได้เป็นอย่างดีว่าทำไมจึงต้องรักพวกเขา
แต่ในบางเวลา ฉันก็ชิงชัง Muse ด้วย ในภาวะอารมณ์พลุ่งพล่าน ฉันอยากจะไปเอาธนูจาก Artemis น้องสาวฝาแฝด Apollo มายิง Matt, Chris และ Dom ให้ด่าวดิ้นสิ้นใจตายกันไปสำหรับผลแห่งการกระทำต่อประเทศไทยเมื่อเดือน พ.ย. ปี 2007 หรือจาก HAARP ซึ่งประสบการณ์การดู 123,357,897 รอบ และฉันว่าจะเลิกดูในเร็วๆนี้ เพราะพวกเขาสามคนทำให้ฉันอยากทำการฆาตกรรมหมู่นักดนตรี ก่อนจะเอามีดกรีดตัวเองปวารวณาตนดับชีพให้ได้ไปเป็นหนึ่งในฝูงชนที่เวมบลีย์
และกับอัลบั้มล่าสุด The Resistance ของ Muse ฉันก็รู้สึกเช่นนั้น
แต่การฟัง The Resistance ของฉันค่อนข้างยากที่จะถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรได้ หากทำได้ก็อาจจะออกมาในราวๆนี้
#$^%&^*&(*()(+_*(&)*&fl♫♪♣♂╨╫○▓☺fl ♂☼╪іỲбЮẄйЊЬЮвцΩ€₤₣•…▫˛źŴǼΘΚΜΟΟ^#@$ ^(*))_+)(&_½K๚£‚†๚£#$^%&^*&(*()(+_*(&*&fl♫♪♣♂╨╫○▓☺fl ♂☼╪іỲбЮẄйЊЬЮвцΩ€₤₣•…▫˛źŴǼΘΚΜΟΟ^#@$ ^(*))_+)(&_½ ΐžΌ&**^%%$%@#$@!##$@!#!$#%$%&_+@^%*__++()$%@#@!#@#$%$^I^#$^% &^*&(*()(+_*(&)*&fl♫♪♣♂╨╫○▓☺fl ♂☼╪іỲбЮẄйЊЬЮвцΩ€₤₣•…▫˛źŴǼΘΚΜΟΟ^#@$ ^(*))_+)(&_½UITT$#RE$%T#$^%&^*&(*()(+_*(&)*&fl♫♪♣♂╨╫○▓☺fl ♂☼╪іỲбЮẄйЊЬЮвцΩ€₤₣•…▫˛źŴǼΘΚΜΟΟ^#@$ ^(*))_+)(&_½RU((*_))(+*()QW#Q%$*&)_)(&)(&*( ^&*^%&^%&€₤₣•…▫˛źŴǼΘΚΜΟΟ^#@$ ^(*))_+)(&_½ ΐžΌ&**^%%$%@#$@!##$@!#!$#%$%&_+@^%*__++()$%@#@!#@#$%$^I^#$^% &^*&(*()(+_*(&)*&fl♫♪♣♂╨╫○▓☺fl ♂☼╪іỲбЮẄйЊЬЮвцΩ€₤₣•…▫˛źŴǼΘΚΜΟΟ^#@$ ^(*))_+)(&_½UITT$#RE$%T#$^%&^*&(*()(+_*(&)*&fl♫♪♣♂╨╫○▓☺fl♂☼╪іỲбЮẄйЊЬЮвцΩ€₤₣•…▫˛źŴǼΘΚΜΟΟ
ซี่งคงจะไม่มีใครเข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร
ฉันจึงต้องเสแสร้งขอออกตัวล่วงหน้าว่าที่จะเขียนนี้ไม่ไช่รีวิว แต่เป็นความรู้สึกอันข้นคลั่กที่มีต่ออัลบั้มนี้ ซึ่งการที่ร่ายยาวมั่วโอเวอร์แหลกอวยกันมาขนาดนี้ คงพอเดาได้ว่าฉันปลาบปลื้มกับ The Resistance มากมายแค่ไหน และมันก็ดีโคตรรรรจริงๆในสายตาและสายหูของฉัน
ความรู้สึกของฉันต่อ The Resistance
แรงบันดาลใจจาก 1984 นิยายคลาสสิกเกี่ยวกับการเมืองของ George Orwell ปรากฏชัดตั้งแต่ในเพลงเนื้อหาเข้มข้นเรื่องการเมืองเพื่อต่อสู้กับอำนาจการปกครองเบ็ดเสร็จใน Uprising เมโลดี้คึกคักกระฉับกระเฉงสลับด้วยจังหวะปรบมือและเสียงเฮ้ๆๆชักชวนกระทืบเท้าเพิ่มไปด้วย เป็นเพลงที่น้ำเสียง Matt ร้องในโทนลึกล้ำและต่ำกว่าเพลงทั่วๆไปทำให้หลงลืมเสียงหอนๆไปชั่วขณะ โครงสร้างเพลงง่ายเกินเหตุและหันเหจากความเป็น Muse ดั้งเดิมแท้จริง ซิน์ในสไตล์ที่วงเองบอกว่ารับ Goldfrappe มาเต็มๆ แต่พวกเขาเสริมความแข็งแกร่งของเพลงด้วยเบสไลน์และเพอร์คัสชั่นเข้มข้น ก่อนที่ท่อนฮุคจะเป็นการกลับมาของ Matt Bellamy อันแท้จริง
--- You are victorious, Muse! ----
Resistance อินโทรตอนแรกเหมาะกับหนังเขย่าขวัญบ้านผีสิง ขัดกับการเปิดตัวต่อมาด้วยเสียงอันละเมียดของเปียโนสอดรับกับจังหวะกลองแถ่ดๆๆ แล้วการเข้ามากรีดกรายของกีต้าร์ก็ทำให้เพลงสมบูรณ์กินใจยิ่งขึ้นเข้าไป และโดยเฉพาะท่อนคอรัสอันจัยจิตทรงพลัง
“Love is our resistance They keep us apart and they won’t stop breaking us down”
เพลงจบลงด้วยการกลับเข้าสู่บ้านผีสิงอีกครั้ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฉันบรรจุเพลงนี้เข้าสู่แทร็คโปรดในทันใดที่ฟังจบสมบูรณ์ครั้งแรก
Undisclosed Desires หลังจากทำใจไม่ให้เอาหัวไปจุ่มโอ่งฆ่าตัวตาย ฉันก็ค้นพบว่าอิทธิพล R&B ที่มาเยี่ยมเยียน Muse ครั้งนี้ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย แต่ก็เป็นเพลงอันดับสุดท้ายที่ฉันจะเลือกชอบในอัลบั้ม ลองคิดดูว่าหากเพลงนี้ไม่ใช่ของ Muse แต่เป็นเพลงที่โปรดิวซ์โดย Timbaland ร้องโดย Rihanna เพลงอาจขึ้นไปอยู่อันดับหนึ่งยูเอส บิลบอร์ดชาร์ต 17,604 สัปดาห์รวดก็ได้
United States of Eurasia (+Colateral Damage) ช่างเรื่อง Queen เอาไว้ก่อน พูดกันมามากแล้ว เพราะนี่คือการ tribute ให้ Queen ซึ่ง Matt บอกว่าคือวงหนึ่งในเจนเนเรชั่นของแม่เขา (และจริงๆ ต้องบอกว่าเพลง Muse มีอิทธิพลของ Queen มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว) จุดเด่นของเพลงที่ดึงเอาสไตล์ตะวันตกและตะวันออกมารวมกัน มันอาจดูเหมือน Lawrence of Arabia ที่ทำ soundtrack โดย Queen แม้อาจไม่ดูเข้ากันอย่างอลังการและน่าประหลาดใจเท่า Knights of Cydonia เคยทำ หรือความขบขันเล็กน้อยที่ Matt ร้อง “sia sia sia sia” ด้วยพลังปากที่องอาจกล้าหาญ แต่เพลงสมบูรณ์แบบด้วย Chopin ในส่วนของ Colateral Damage เสียงพริ้วของเปียโนทำให้เพลงจบลงตัวและมาเข้าที่เข้าทางหลังจากฟังพลังแห่ง Eurasia ในส่วนไฮไลท์ของแทร็กไปแล้ว มหากาพย์ย่อยๆของอัลบั้มก็จบลงอย่างตรึงใจ
ถึงจุดนี้อัลบั้มได้ถูกรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยได้ที่ แล้วเมนูเด็ดต่อมาก็ถูกนำมาเสิร์ฟ Guiding Light คือเมนูเดิมที่คุ้นเคยอย่าง Invincible นำมาปรุงใหม่ให้ไฉไลกว่าเดิมด้วยเสียงคำรามของ Matt เสียงเบสโครกคราก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงโซโลกีต้าร์ เพลงจึงฟังดูบัลลาดแต่ในขณะเดียวกันก็มีความฮึกเหิมอลังการแห่งพลังเสียงซินธ์ที่กระเพื่อมเข้ามาเป็นระลอก
Unnatural Selection เริ่มต้นด้วยเสียงออร์แกนในตอนต้น กีต้าร์และเบสครวญคร่ำ กรีดครางอย่างดุดัน ขับเคลื่อนเพลงไปตามทิศทางการระเบิดของโสตกลอง Muse ยังคงเป็นมิตรกับดนตรีคลาสสิก ขณะเดียวกันก็เพิ่มความเหี้ยมเกรียมของจังหวะจะโคนให้แทร็คนี้เป็นหนึ่งในแทร็คที่หนักที่สุดในอัลบั้ม มีการเปลี่ยนอารมณ์เพลงอยู่หลายช่วงจังหวะ และให้อารมณ์ประหนึ่ง Muse ในเวอร์ชั่นเมทัลแบบกรายๆ
MK Ultra ยังคงหนักหน่วงขึ้นมาเรื่อยๆ และก่อนที่จะรู้ตัวก็ถูกพาเข้าไปสูร่างแหของการกระแทกกระทั้นอย่างเข้มข้นของกีต้าร์ ชวนให้ใฝ่ฝันถึง Museแบบเดิมๆที่คิดถึง
I Belong To You (+Mon Cœur S'ouvre à ta Voix) แจ๊ซ+วอลซ์แฝงด้วยความป็อปปี้น่ารักน่าชัง จังหวะโจ๊ะน่าประหลาดของเปียโนถูกเสริมด้วยเสียงเครื่องเป่า การร้องภาษาฝรั่งเศสของ Matt ในตอนท้ายชวนน่าขัน แต่ก็ช่างปะไร เข้าใจอารมณ์คุณ Matt เขาหน่อยก็แล้วกัน
แล้วก็มาถึงซิมโฟนีอลังการงานสร้างสามส่วน Exogenesis: Symphony เปิดตัวที่ Part I Overture เหมือน Radiohead โดนจับใส่ยานเอาไปท่องนอกโลกกับวงซิมโฟนีจากดาวอังคารที่มี Matt Bellamy เป็นคอนดัคเตอร์ เครื่องสายงดงามตามแบบโทนคลาสสิก แต่ที่เข้ากันได้กลมกลืนคือเสียงกีต้าร์ครางเข้ากันได้เพราะพริ้ง Matt ได้โหยหวนแบบถึงใจเป็นครั้งแรกในครานี้แล้ว
Part II Cross Pollination สรรพเสียงเปียโนพริ้มเพรานุ่มนวลกินใจไปก่อนในช่วงต้น จังหวะถูกเร่งเร้าขึ้นตรงกลางกับเสียงร้องจริงจัง ปิดท้ายด้วยเปียโนงดงามอีกครั้ง
Part III Redemption ไม่มีแทร็คไหนจะปิดท้ายความเป็นมหากาพย์ได้ดีกว่านี้อีกแล้ว การบีบอารมณ์ที่อาจทำให้น้ำตาซึมหรือหลับตาพริ้มอย่างสบายใจในช่วงแรกๆด้วยเมโลดี้งดงามเหนืออื่นใด ร่างกายถูกนำพาให้มุ่งสู่บรรยากาศผ่อนคลายดุจดังสายลมเบาบางกำลังโอบไล้ผิวกาย ใจสะท้านด้วยเสียงร้องโหยหวนที่กล่อมเกลาความคมชัดให้ห้วงโน้ตทุกตัวดนตรี
ฉันไม่ได้ฝันไป Muse กลับมาแล้วจริงๆ และขอบคุณสำหรับ The Resistance เพลงแนะนำ: Resistance
Create Date : 15 กันยายน 2552
Last Update : 15 กันยายน 2552 2:10:48 น.
10 comments
Counter : 2860 Pageviews.
ชอบโคตรๆๆๆๆๆๆๆๆ สุดจะบรรยาย