นั่นคือเหตุผลว่า ทำไม Amy Winehouse ถึงมียอดขายอัลบั้มดีและกวาดรางวัลแกรมมี่ได้มากมาย หรือยังคงมีคนบูชา Kurt Cobain อยู่มากจนถึงทุกวันนี้
Pete Doherty คือคนที่มีความสามารถและพรสวรรค์คนนึง แต่เขาก็เหมือนหลายๆคนที่ชอบย่ำเหยียบสิ่งที่ตัวเองมี จะว่าไป ความประพฤติแบบนี้ดูจะยิ่งเข้าทางซะอีก กลายเป็นว่านิสัยเลวๆ ติสต์แตกนั่นแหละ ทำให้มีคนชอบมันมากเอาการ ฉันก็ชอบนายคนนี้ และอีกนัยหนึ่งก็เกลียดมันโทษฐานที่บรรจงใช้เท้าบดขยี้ความสำเร็จและความรุ่งโรจน์ที่กำลังพวยพุ่งเข้ามาใส่วงดีๆอย่าง The Libertines ผลงานของสมาชิกทุกคน ในช่วง post-Libertines ยังไม่เคยตรึงใจฉันได้เท่าผลงานเก่าๆของของตัวพวกเขาเอง
ขอโทษนะ เอาเพลง Dirty Pretty Things กับ Babyshambles มารวมกันออกเป็นรวมฮิตออกมายังสู้ของ The Libertines เดิมไม่ได้ด้วยซ้ำ อย่างที่เห็นว่าพอไม่มีกันและกัน ทั้งคู่กลับเหลวเป๋ว แม้ทั้ง Pete และ Carl ต่างมีความสามารถในตัว แต่มันจะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้นหากร่วมพลังกันสองคน ช่วงที่ความประพฤตินาย Pete เริ่มออกลายสุดขีดนั้น ใครเล่าจะคิดว่าจะมีวันที่เขามายืนรับรางวัลหรือออกอัลบั้มเดี่ยวได้อย่างทุกวันนี้
หรือกระทั่งการมายืนเชิดหน้าชูรางวัล Best Male Solo Artist จากเวที NME Awards ครั้งล่าสุด ทั้งๆที่ไม่เห็นมันจะมีอัลบั้มเดี่ยวจริงจังออกมาเลยตอนนั้น ก็เป็นการประกาศิตได้อย่างดีว่า นายคนนี้ยังมีอนาคตในวงการดนตรีอยู่เสมอและผู้คนก็ยังนิยมชมชอบผลงานเขาอยู่
ในวันที่ 16 มีนาคมนี้แล้ว ที่อัลบั้มเดี่ยวชุดแรก Grace/Wastelands ภายใต้ชื่อว่าอย่างเป็นทางการว่า Peter Doherty จะออกวางจำหน่ายในสหราชอาณาจักร โอเค เพื่อสนองตอบความต้องการของนาย Pete เอ๊ย! Peter ต่อไปนี้ฉันจะเขียนถึงเขาด้วยคำเรียกว่า Peter
การเสริมขุมกำลังกีต้าร์ด้วย Graham Coxon Dot Allison หรือเพื่อนๆจาก Babyshambles การมีโปรดิวเซอร์อย่าง Stephen Street (หลังจากร่วมงานกันแล้วใน Shotter's Nation) เป็นส่วนเติมเต็มสำคัญให้อัลบั้มนี้สมบูรณ์
Grace/Wastelands เป็นอีกอัลบั้มที่มีเสน่ห์เย้ายวน เสน่ห์ของนาย Peter Doherty ที่จะเรียกจากผู้ฟังได้ แต่อย่าได้คาดหวังอันใดที่จะได้ยินซาวนด์คุ้นหูแบบใน Libs หรือ Babyshambles ไม่มีอินดี้ร็อค พังค์ร็อคกระโชกโยกมันส์ มีแต่อารมณ์เพ้อฝันราวกับมีศิลปินยุคโรแมนติกมาอ่านบทกวีให้คุณฟังต่อหน้า มีแม้กระทั่งการบอกรักประเทศตัวเอง หรืออารมณ์ความรักในแบบที่ยังโหยหาคู่รักคนเก่าคนนั้นอยู่ของ Peter (กระมัง)
ถ้า Grace/Wastelands เป็นภาพยนตร์สักเรื่อง มันคงจะกำกับการแสดงโดย Joe Wright ดัดแปลงจากบทประพันธ์ของ Oscar Wild มีฉากหลังอยู่ในยุควิคตอเรียน แสดงนำโดย Robert Downey, jr เวอร์ชั่นกลับใจ พ่วงด้วยดาราสมทบที่คอยสนับสนุนพระเอกตลอดเวลาอย่าง Paul Giamatti
ถ้าเป็นพวกชื่นชอบหรือติดตามนาย Peter คงคุ้นเคยกับ Arcady เพลงในแทร็กแรกที่เมื่อก่อนเขาตระเวนร้องไปทั่วทุกงานอยู่แล้ว ล่าสุดก็งาน NME Awards ที่เขาแสดงกับ Graham Coxon เสียงกีต้าร์เปาะแปะบวกจังหวะกลองให้กลิ่นอายโฟล์คลอยมาหน่อยๆ และฟังดูสดใสเหมาะกับการเปิดตัว แต่หากจะมีอะไรแปลกๆ ไม่เคยเห็นในแบบ Peter มาก่อน เพลงซิงเกิ้ลแรก Last Of The English Roses (เอ็มวีออกนานแล้วซึ่งช่วงท้ายๆนั่นมั่นช่าง....) ก็คือคำตอบ ฟังครั้งแรกแม้อาจได้หง่าวๆกับอาการมาแบบเรื่อยและเอื่อยเฉื่อย แต่หากใครใคร่จะดื่มด่ำไปกับเสียงดิบหวานในอารมณ์โซซัดโซเซแต่แฝงความนุ่มโรแมนติกแบบเสียง Peter ในเพลงนี้แล้วล่ะก็ ฟังไปฟังมาคงได้ละเมอเกลือกกลิ้งฝันหวานกับจังหวะเนิบๆขึ้นๆลงๆในเพลงรักไร้เดียงสานี้ได้ดี
1939 Returning ขึ้นต้นมาทำให้คิดถึงดนตรีประกอบในหนังขาวดำเก่าๆ ก่อนที่จะเข้าใจว่าเนื้อหาเพลงมันไปสงครามโลกครั้งที่สองกันเลยทีเดียว เคยอ่านเจอว่าเพลงนี้ตอนแรกเขาตั้งใจแต่งไว้ร้องกับ Amy Winehouse แต่ยังไงไม่ทราบได้ เพลงเลยมาอยู่นี่ A Little Death Around the Eyes (ในวิกิฯ บอกว่า Carl Barat ร่วมเขียนด้วย) เพลงหรูหราในแบบออร์เคสตร้าที่เคยคุ้นเคยมาแล้วในแบบ The Last Shadow Puppets แทร็กต่อมาเข้าสู่โหมดมืดหม่นกับ Salome เพลงระดับเสียงต่ำมาหน่อยและเป็นอีกหนึ่งในเพลงไพเราะงดงามด้วยการพรรณนา (ในอารมณ์จิกกัด?)
ด้วยสไตล์การร้องแบบ Peter ที่ทอดเสียงร้องเบาๆในลำคอ พึมพำงึมงำและมีเสียงหายใจเล็ดรอดในบางทีอาจไม่เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน แต่ฉันอยากให้ลองจับความสวยงามในบทเพลงซึ่งเปี่ยมด้วยภาพพจน์ โวหารของแต่ละบทเพลงที่เขาเปล่งเสียงร้องออกมา แน่นอนว่าสำหรับการเขียนเพลง หมอนี่ก็อัจฉริยะด้านอารมณ์คมกวี เขียนได้ทุกเรื่องกระทั่งยันเรื่องข้างถนน เฉกเช่น ในเพลงที่ดูง่ายๆ ไม่มีอะไรอย่าง I Am The Rain ที่ใช้การเปรียบเทียบแจ่มๆในเพลงแต่ละท่อน เริ่มต้นด้วยเสียง Peter และกีต้าร์อคูสติกตัวเดียวก่อนจะเข้าสู่ท่อนคอรัสที่เข้ารับกันได้กลมกลืนดูมีชีวิตชีวา (ซึ่งจะได้ยินเสียงแทมบูรีนด้วย) ก่อนจะกลับมาสู่กีต้าร์อีกครั้ง Sweet By And By ดูออกแนวแจ๊สเลยนะนั่น เสียงเปียโนเคล้าเคลียแทร็มเป็ตเข้ากันกับเสียงปั๊ป ปะ ดา ดาๆๆ ให้อารมณ์ไฮโซมาก Palace Of Bone ฟังเผินๆ ก็นึกว่า The Coral มาเอง เนื้อหาช่างคล้ายกับการคร่ำครวญกับชีวิตตัวเองอย่างไรชอบกล หรือจนแล้วคนรอด Kate Moss ก็ยังคงตามหลอกหลอนคุณอยู่? Sheepskin Tearaway มีเสียง Dot Allison มาเป็นแขกรับเชิญและแต่งเพลงร่วม เพลงรักที่น่าจะชวนเคลิบเคลิ้มไปในทางหลับซะมากกว่า แต่ยังดีที่เสียงเปียโนกับ Dot Allison มันดูกลมกล่อม ฟังได้เพลินๆ เป็นอีกหนึ่งแทร็กที่ให้อารมณ์อคูสติกอ่อนนุ่มและยังไม่รู้สึกระคายเคืองหู ในเพลงเศร้าสร้อยอย่าง Broken Love Song ที่อย่างกับมาบอกเล่าชีวประวัติตัวเองอีกครั้ง แน่นอนว่าที่ Peter ครวญถึงก็คือการที่เขาเคยอยู่ในคุก (ท่อน “Through my cell window”) เพลงนี้ ft. Peter Wolfe (For The Lovers ไงล่ะ จำได้มั้ย?) เฮ้! และมันมีท่อนนี้ด้วยแหละ Every morning I'll be singing Like a caged bird who might say Jump on George and Ringo Help me pass the hours away
New Love Grows On Trees เพลงนี้ไม่ใช่เพลงใหม่ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมฉันคลับคล้ายคลับคลามันเมื่อได้ยินครั้งแรก เวอร์ชั่นในอัลบั้มนี้เพราะกว่าเดโมเวอร์ชั่นเยอะ โดยเฉพาะในส่วนกีต้าร์และการจัดการเครื่องดนตรีที่ทำได้ดีจนกลบข้อเสียเรื่องเสียงร้องอย่างคนเมาแอ๋ของ Peter ไปได้
Lady, Don’t Fall Backwards โรแมนติกโฮกกกก ท่อน “C’mon fall into my arms” นั่น ไม่อยากบอกเลยว่า ให้ตายเถอะ ฉันอยากเป็นผู้หญิงคนนั้นเสียจริง
อัลบั้มนี้ไม่ได้ดีเลิศ แต่มันก็ไม่ใช่การสักแต่สุ่มเอาเพลงเหลือเดนที่เคยลองๆทำไว้ แต่ไม่เคย release มายัดรวมกัน มันอาจไม่กระชากขี้หูให้เริงระบำและยอดเยี่ยมเท่าจุดที่เขาเคยสร้างชื่อไว้กับ Libertines ไม่น่าตื่นตะลึงซี๊ดปากเท่าเห็นฉาก Kate Winslet ในอ่าง เอ๊ย! ในศาลใน The Reader ไม่หวานจ๋อยโรแมนติกชวนดื่มด่ำเท่าหนัง Richard Curtis ไม่ให้อารมณ์สุดยอดเท่าเห็น Mickey Rourke กลับมาพีคใน The Wrestler
แต่ฉันว่าฉันพอใจกับงานเดี่ยวของคนไม่ดีที่กำลังพยายามทำตัวดีอยู่ตอนนี้ และพิจารณาได้ว่ามันเป็นงานที่ดีที่สุดของเขานับตั้งแต่การสิ้นสุดลงของ The Libertines
และคงทราบดีกว่าในปีนี้ เมื่อแฟนๆ Blur ได้ปรีดากับการมาจูจุ๊บปากกันอีกครั้งของ Damon กับ Graham ไปแล้ว ฉันก็หวังเหลือเกินว่าจะมีความน่ายินดีของ Carlos และ Peter ตามมาในไม่ช้านี้...
ปล. Happy Birthday ย้อนหลังเมื่อวานด้วย Peter Doherty!! ปล. 2 เขาเอาลงไว้ที่นี่ให้ได้ฟังกันด้วย //www.myspace.com/gracewastelands ฟังดูได้ แล้วอัลบั้มมันก็ leak แล้ว แบบ high quality ไม่ใช่rip จาก myspace (ไม่ได้ชี้ทางนะ แต่มันเป็นนิสัยเลวอย่างหาที่สุดไม่ได้ของฉัน มี leak ที่อยากฟังที่ไหน เมื่อไหร่ มันต้องโหลดโดยพลัน) ส่วนแผ่นลิขสิทธิ์ไทย ฉันเข้าใจว่าอยู่กับวอร์เนอร์ฯ (อัลบั้มนี้เป็นสัญญากับ Parlophone เหมือน Babyshambles ซึ่งแผ่นที่ว่า EMI เดิมก็ทำไว้อยู่) หวังว่ามันคงจะทำเร็วๆนี้ ปล. 3 เนื่องจากทิ้งบล็อกไว้นานโคตร ตอนแรกคิดอยู่ว่าน่าจะเขียนสรุป รวมๆเหมือนบล็อกที่แล้วด้วย แต่เนื่องจากสาเหตุ 1. ขี้เกียจมากกกกกกๆ 2. เดือนที่แล้วไม่มีอัลบั้มไหนที่ประทับใจ โดนๆเป็นพิเศษ และผิดหวังอย่างสูงกับ U2 (แต่บ็อกซ์เซ็ต No Line On The Horizon สุดยอดมากกและใน booklet ตรงเขียนขอบคุณผู้คน มีชื่อ Chris Martin ด้วย) และเหตุผลประการสำคัญคือ คงไม่มีใครมานั่งทนอ่านแกพร่ำบ่นอะไรยาวๆหรอกนะ 555+ สรุปบล็อกนี้เกี่ยวกับ Peter Doherty ทั้งหมด ได้ยาวๆไปล่ะนะ ปล. 4 ตอนนี้ชอบ Dinosaur Pile-Up มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก จับตาดูไว้ให้ดีๆนะ (จะรุ่งไม่รุ่งไม่รู้ ขอพูดเอาไว้ก่อน ฮ่าๆ) ปล. 5 โอเคฉันต้องเอ่ยถึง Coldplay ก่อนจบบล็อก (เฮ่อออ – เสียงถอนหายใจพลางส่ายหน้าของผู้อ่าน) อันเนื่องมาจากปลายเดือนนี้พวกมันจะมาโฉบเฉี่ยวแถวบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างสิงคโปร์และฮ่องกง โดยไม่คำนึงถึงไทยแลนด์โดยแม้แต่น้อย ฉันจะไม่ยอมเด็ดขาดถ้า Viva La Vida Tour ไม่บรรจุประเทศไทยไว้ในตาราง แม้ต้องอาศัยปาฏิหาริย์ระดับ Michael Clarke Duncan ใน The Green Mile ยังลำบากใจ กระนั้นฉันได้บนบานศาลกล่าวต่อเจ้าพ่อหลายที่แล้ว ตั้งแต่เจ้าพ่อ Sir Matt Busby ยันเจ้าพ่อ Don Vito
Tori Amos เคยคัฟเวอร์เพลง Happiness is a warm gun ของบีทเทิ่ล ด้วยนะ เฮี้ยนมาก เราไม่เคยฟังต้นฉบับ แต่ฟังของเจ๊แกแล้ว ท่าทางตีความไปไกลหลายกระบวนท่าเลย...