Group Blog
 
All blogs
 

2008 : The Return of B r i t p o p ? ( Plus SNOW PATROL ’s A Hundred Million Suns )

คำแนะนำก่อนอ่าน : บล็อกนี้มั่ว(ดังเดิม)และเป็นคห.ส่วนตัวของฉัน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน



“ B l o o d y f o c k i n ’ h e l l ! ! ! H w o t d a h e l l h a p p e n e d t o t h i s y e a r ? ! ? ”



ถ้าฉันเป็นบริติชชนโดยกำเนิดอาจจะสำรอกส่งสำเนียงออกมาอย่างนั้น เมื่อได้เห็นความคึกคักของบริทซีนในปีนี้
แต่แท้จริงแล้วฉันเป็นคนไทย อาศัยอยู่ในดินแดนสยามนามกระเดื่องเรื่องรอยยิ้ม มีกทม. : เมืองน่าท่องเที่ยวอันดับหนึ่งขวัญใจชาวโลก( เหรอฟะ ) และอุดมไปด้วยนักการเมืองฉ้อฉล ฉะนั้นฉันจึงต้องอุทานแบบบ้านๆด้วยสำเนียงภาษาไทย ตระกูลไท-กะไดประมาณว่า
“ อาาาาาาาาาาาาาา สิทธัตถะเป็นพยาน ปีนี้มันนรกอะไรกันวะคะเนี่ย?!? ”




ก่อนหน้านี้ บางคนที่เติบโตมาในช่วงบริทพ็อพเฟื่องฟูคงจะเลิกหวังให้กระแสอัลเตอร์กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง ช่วงเวลามันได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดและเลยผ่านไปแล้วพร้อมๆกับการตายจากของหลายๆวง/ศิลปิน หลังยุค 90’s ก็คือการเข้ามาของกระแสหลากแห่งวัฒนธรรมฮิปฮอป การครองความนิยมอย่างกับชนักติดตูดของแร็ป ฮิปฮอป อาร์แอนด์บีบนชาร์ตเพลง ทิมบาแลนด์ครองเมืองและเจซีในเฮดไลน์กลาสตันเบอร์รี่(?)
ขอแสดงความยินดีกับคนโหยหาและอดอยากบริทไว้ ณ ที่นี้ พวกคุณได้สมใจกันเต็มๆในปีนี้แล้ว
หน้าที่สำคัญอย่างเดียวที่ต้องทำมีเพียงแค่ตามฟังพวกมันให้ทันและตามข่าวต่างๆให้ดี เพราะพวกมันคงจะนัดแนะจัดตารางกันมาเพื่อร่วมมือถล่มคนฟังให้หูพรุนในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันเป็นแน่แท้
สำหรับฉัน คงจะภูมิใจมากที่บริทยังคงไม่จางหายไปจากโลก ยิ่งคึกคัก คุกรุ่น ยั่วยวนชวนฟังเสนาะหู
และคงจะดี ถ้า.... มันหมายถึงการกลับมาอีกครั้งของกระแสบริทพ็อพที่โชติช่วง
ฉันอยากจะมีชีวิตอยู่ช่วงนี้
ความจริงแล้วฉันเป็นคนมีปมด้อยน่ะ ถ้ารู้แล้วก็เหยียบไว้นะ อย่าล้อเชียว
คือ เป็นความผิดของบิดามารดาที่ปั่มปั๊มฉันมาช้าไปหน่อย ทำให้ไม่ได้อยู่ร่วมสมัยอัลเตอร์รุ่งเรืองมากหรือถ้าจะมาฟังบริทพ็อพแบบรู้เรื่องมันก็กำลังโรยๆแล้ว

กระนั้น ก็ยังดีเสียจริงที่มีโพสต์ บริทพ็อพ ฉันเลยเติบโตมากับพวกนี้เต็มๆ(Travis, Coldplay, Keane) ไอ้ที่เลยผ่านไปแล้ว ฉันถึงไปตามดมกลิ่นเขาเอา โอวววววว ขนาดแค่ดมกลิ่นซากมันยังหวานหอมหวนรัญจวนใจราวกับแหวกทวารมาดมก็ไม่ปาน
ฉะนั้น รู้นะ หลายๆคนเกิดทันและร่วมสมัย รู้ตัวไหม พวกคุณโชคดีและน่าอิจฉามาก (เสมือนความรู้สึกอยากฆ่าพวกอยู่ช่วง 60’s ที่เห็นสี่เต่าทองครองโลก ตาร้อนว่ะ) แบบ วงอัลเตอร์ดีๆมาเล่นกันให้ได้เห็นเป็นเบือ เทียบกับตอนนี้ที่จะมากันทีก็ปล่อยให้อดอยากปากแห้งกันแทบไส้กิ่ว
กระแสวัยรุ่นชอบบริท(จริงๆ) ตอนนี้หาได้ยากพอๆกับหาความดีในตัวคุณทักษิณ อุ๊ปส์!
เพื่อนฉัน 50% ชอบดานซ์มันส์กระจาย สวยเซะซี่แบบจิ๋มตุ๊กตาแมว แหกปากไปกับสาวร็อค(พ็อพ?)อาฟวิล ลาวีน ฮิปฮอปโย่ๆกับคริส บราวน์ ขาร็อคก็ต้องวงพี่ๆลิงกินผัก
40% ไปเย้วๆ กรี๊ดกร๊าดกับหนุ่มสาวตาตีบหน้าตาสะสวยที่ยืนเรียงแถวเต้นทำหน้าตาคิกขุแล้วแบ่งกันร้องเพลงทีละท่อนด้วยภาษาที่ฉันแปลไม่ออก
10% ยังคงมีให้ได้ชื่นชมและน้ำตาไหลพรากทุกครั้งที่พูดถึงวงนั้น วงนี้ แล้วพวกเขาบอกรู้จัก



อืม กระแสบริทในปีนี้ มันบึ้มบั้มกันจริงๆนะ ที่ออกกันมามีแต่วงบิ๊กๆทั้งนั้นด้วย เราได้เห็นวงอย่าง The Kooks และ The Fratellis กลับมาในอัลบั้มสอง กลางปีที่เราได้เห็น Coldplay ไปเหยียบชาร์ตอเมริกา ทั้งอัลบั้ม ทั้งเพลง Viva la vida ฉันคงได้ตายแบบตาหลับแล้วเมื่อมีเพลง Coldplay ขึ้นอันดับหนึ่งยูเคชาร์ตและบิลบอร์ดซะที พ่อเจ้าประคุณรุนช่อง ควีนอลิซาเบธ!!! ไม่มีกลุ่มของศิลปินจากเกาะอังกฤษหน้าไหนทำได้มานานบรม นับแต่ Wanna be ของป้าๆ Spice Girls ตั้งแต่ เอ่อ... ปีไหนนี่แหละ
ไม่ให้หายใจหายคอ The Verve ยังอุตส่าห์กลับมารียูเนียน เสิร์ฟออเดิร์ฟผ่านคอนเสิร์ตในเฟสฯที่ต่างๆ โดยเฉพาะกลาสตันเบอร์รี่ให้เราสดับรับฟัง Love is noise หรือ Sit and wonder ก่อนที่ Forth จะโดนเข็นออกมา และแน่นอนว่ามันขึ้นอันดับหนึ่งยูเคชาร์ต
Travis วงที่ใครๆเขาก็ยอมรับว่าเจ๋งจริงและมีความสำคัญในการให้กำเนิด Coldplay แต่กลับต้องอยู่ภายใต้ร่มเงาวงของนายคริส มาร์ตินมาตลอดซะงั้น อย่างไรก็ดี Ode to J.Smith ยังเป็นงานคุณภาพและพวกเขายังเป็นวงที่แฟนๆรักใคร่อยู่เสมอมา
ปลายปีคือการขับเคี่ยวกันอย่างเมามัน เริ่มจากวงตัวพ่อสมัยบริทพ็อพเรืองอำนาจอย่าง Oasis กลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีกับ Dig out your soul ยืนหยัดเชิดหน้าชูตาบนอันดับหนึ่งชาร์ตอังกฤษ อาทิตย์ถัดมา Perfect symmetry ของ Keane ขอเบียดไปสูดอากาศข้างบนบ้าง ด้วยการกลับมาสไตล์ใหม่แบบ โจ๊ะ โป๊ะ ป๊ะเท่งป๊ะ และใช้ไม่ได้แล้วกับคำว่าวงที่ไม่มีกีต้าร์ ทั้งสองอัลบั้มของ Keane และ Oasis เปิดตัวอยู่ในเกณฑ์ดีที่ฝั่งอเมริกา
Off with their heads จาก Kaiser Chiefs ยังเป็นอีกตัวสอดแทรกสำคัญ วงนี้เองที่ฉันคิดว่าพวกเขาเป็นหัวกะทิอีกวงในแกนนำที่ยังคงความเป็นบริทพ็อพดั้งเดิมไว้อยู่ พวกเขามีความคิดแบบเด็กหนุ่ม แนวดนตรีเจ๋ง(ติดหูง่ายดี)ที่มาพร้อมกับเนื้อหาวิพากษ์สังคมสมัยใหม่ของอังกฤษ Off with their heads เป็นอัลบั้มที่จับมือร่วมกันปรุงแต่งกับมาร์ค รอนสันที่ต้องการครองเมืองแข่งกับทิมบาแลนด์อีกคน
เพลงแบบ Kaiser Chiefs ยังมีสิ่งนึงที่ทำได้มากกว่าวงอย่าง Keane หรือ Snow Patrol จะทำได้
ก็กระโดดดึ๋งๆอย่างเมามันส์หรือชูกำปั้นสุดเหวี่ยงไปกับเพลงยังไงล่ะ
นับจากนี้ก็เป็นการรอคิวกันของ Snow Patrol - A hundred million suns ( ฉันสยบตั้งแต่เห็นชื่ออัลบั้มเลยทีเดียว ) Razorlight – Slipway fires กระทั่ง Stereophonics ก็ยังมีแก่ใจจะออกรวมฮิต
เอาล่ะ พวกที่กล่าวมาทั้งหมด หลายคนอาจแย้งว่ามันนับเป็นบริทพ็อพไม่ได้เฟ้ย เฮ่ออออ ก็ถูกอ่ะ คำว่า “บริทพ็อพ” ตามความหมายอย่างเจาะจงจริงๆตายสนิทไปตั้งแต่ปลายยุค 90’s แล้วจริงๆ ... แต่ยังไงซะบริทพ็อพยังคงตกผลึกมาให้เราเห็นอยู่ แม้ภาพลักษณ์กับงานจะต่างไปบ้าง เพราะแน่นอนว่ามันย่อมเปลี่ยนไปตามยุคสมัย และวงต่างๆข้างต้น แม้อาจจะไม่ได้ถึงขนาดทำให้บริทพ็อพกลับมารุ่งโรจน์โชติช่วงได้ในแบบที่ Oasis, Blur และเพื่อนๆเคยทำมา อย่างน้อยนี่ก็เป็นสัญญาณสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงกระแสความนิยมในบริทและโดยเฉพาะกับพวกเราคนฟัง ภูมิใจตายเลยสินะ (ได้เห็นเพลงพวกนี้ขึ้นชาร์ตสูงๆหรือสื่อเปิดบ่อยๆแล้วก็แอบดีใจทุกครั้ง)
ว่าแล้วก็อุทานด้วยสำเนียงบริติชปิดท้าย

“ F o ’ G o d ’ s S a k e ! ! W h y k k a a a n ’ t y e j u s t l e t m e h t a k e e b r e a k ? ”
( ซับไตเติ้ล : โอย ตายหงส์เป็ดห่านทั่วทุกสรรพสัตว์หละที่นี้ พ่อคุณเอ๊ยยยย ได้โปรดเห็นแก่พระโพธิสัตวอวโลกิเตศวรด้วยเถอะ นี่จะไม่ให้อิชั้นได้พักหายใจหายคอเลยเหรอฟะ เสียตุ้งเสียตังค์บานเบอะแย้ววววว )


Snow Patrol - จากหมีขั้วโลกเป็นสายตรวจหิมะ




Snow Patrol เป็นวงที่ดังระเบิดระเบ้อเลยนะ หากเอาไมค์ฯไปจ่อปากสัมภาษณ์คนเดินถนนดู เราจะได้คำตอบราวๆนี้
“Chasing Cars!!!”
“Chasing Cars ค่ะ”
“Chasing Cars ครับ”
“Chasing Cars เลยเพ่”
“Chasing Cars, dude!!!”
“ อิ๊ฟ ไอ๊ เหล้ เฮี้ย ...”
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แหม ใครบอกว่าพวกเขาเป็นพวก one hit wonder นี่ผิดถนัดเลยเชียว Snow Patrol ถือเป็นหนึ่งในระดับบิ๊กเนมของวงจากเกาะอังกฤษ ณ ปัจจุบัน และถ้าพูดให้ถูกไปอีก นับความสำเร็จของพวกเขาไปด้วย นี่เป็นวงที่ทำยอดขายได้เร็วสุด มากสุดวงหนึ่งในศตวรรษนี้เลยทีเดียว
แต่เพราะได้รับความขอบคุณจาก Grey’s Anatomy นิดๆหน่อยๆ Chasing Cars เลยเปรี้ยงปร้าง และอำนวยอวยชัยช่วยยอดขายพุ่งกระฉูดในอเมริกา Chasing Cars นี่มันกระหึ่มเถิดเทิงขนาดยืนหยัดในท็อป 75 ของยูเคชาร์ตได้ถึง 68 อาทิตย์ และถ้าลองเปิดไปดูชาร์ตเพลง UK ณ เวลานี้ดู มันก็ยังสถิตเสนอหน้าประทับอยู่ในท็อปร้อย มายก็อดดดด!!! หนังเหนียวดีแท้
A Hundred Million Suns คือ สินค้าส่งออกสำคัญส่าสุดของสก็อตแลนด์ (จริงๆสมาชิกมีภูมิลำเนาที่ไอร์แลนด์ทั้งนั้น แต่ต่างมาเรียนและได้ฟอร์มวงกันที่สก็อตแลนด์) อัลบั้มนี้โปรดิวซ์โดยอีกหนึ่งโปรดิวเซอร์มือทองของวงการ แจ็คไนฟ์ ลี คนเดิมที่ทำ Final Straw กับ Eyes Open ผู้ผ่านการเจียระไนงาน U2 มาแล้ว และทำอัลบั้มล่าสุดของ Bloc Party และ R.E.M นี่เป็นอัลบั้มที่ห้าของวงซึ่งหลายคนก็คงงงล่ะ จีสัด ไข่!! นี่มันออกมาตั้งห้าอัลบั้มแล้วเหรอ เหมือนจะรู้จักมักจี่กันเมื่อวันซืนเอง ค่ะ... พอดีสมัยอัลบั้มแรกๆของวง ฉันก็ไปเข้าป่า ไถนาอยู่ ไม่รู้จักพวกมันเหมือนกัน เพราะ Snow Patrol ไปแอบทำเพลงตามซอกหลืบกับค่ายเล็กๆในกลาสโกว์ชื่อ Jeepster (ของ Belle and Sebastian ด้วยนี่เอง) ด้วยชื่อวงสมัยนั้นว่า Polarbears (ขอบคุณสวรรค์ที่เปลี่ยนชื่อในที่สุด) Songs For Palarbears คืออัลบั้มแรก ก่อนจะทำ When It's All Over We Still Have To Clear Up ตามมา แล้วมันก็ดังระเบิดเถิดเทิง พลุแตกโป๊ะๆ ซะเมื่อไหร่ล่ะ ถึงคำวิจารณ์จะพอกินได้ แต่ยอดขายน่าอนาถเป็นที่สุด ชาวบ้านชาวช่องก็ยังไม่ค่อยรู้จักกัน ถึงขนาดว่าแกรี่ ไลท์บอดี้ หัวหน้าวงยังบอกว่านี่พวกเขาทำเพลงในช่วงกว่าสิบปีนั้นเพียงเพื่อให้คนหกพันคนซื้อไปฟังเท่านั้นเชียวหรือ ว่าแล้วเขาก็ลำบากขนาดต้องเอาคอลเลกชั่นซีดีตัวเองมาขายประทังชีวิตและจ่ายค่าเช่าบ้าน ก่อนจะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดโดนต้นสังกัดลอยแพ กลับไปโอ๊ะโอ๋ Belle and Sebastian อย่างเดิมดีกว่า
Run เพลงนี้ได้ทำให้พวกเขาโล่งใจ เป่าปาก ตดออกซะที ทำเพลงมาตั้งนาน ชาวโลกได้รู้จักกันก็คราวนี้ กับอัลบั้มลำดับสาม Final Straw ที่ไปอยู่กับ Polydor ค่ายใหม่ใหญ่กว่าเยอะ แน่นอนว่าอัลบั้มนี้คือของจริงและมีเพลงเยี่ยมๆมากมาย สำหรับฉัน เมื่อแรกฟังงานพวกเขาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า การยอมจำนนโดยดุษณี สโรราบกราบและมอบหัวใจ แฮะๆ ฉันรักดนตรีแบบนี้แหละ ว่าแล้วก็รวบรัดมันมาเป็นวงบังคับที่ต้องตามฟัง ก่อนที่ Eyes Open จะโด่งดังและยอดขายกระฉูด ขณะที่เดินไปที่ไหนๆ เราอาจจะได้ยิน Chasing Cars แต่ก็อย่าลืมว่าอัลบั้มนี้ยังมีเพลงเจ๋งๆอย่าง Shut Your Eyes, Make This Go On Forever , You're All I Have หรือ Open Your Eyes


ความรู้สึกอย่างย่อหลังฟัง A Hundred Million Suns




If there’s a rocket tie me to it - แทร็กเปิดตัวที่เลือกได้สุดยอด อูยๆ เนื้อหาเพลงก็หวานจ๋อยโฮก แรกๆมาก็ยังโอเค เฉยๆ แต่พอตรงท่อนคอรัสที่เปิดทางมาให้คุณพี่แกรี่โชว์เสียงอันแบบเป็นเอกลักษณ์กับจังหวะกีต้าร์มันส์ๆที่ขึ้นมาปุ๊บก็.... สาโนว์ แพทโธรวววว์ มันกลับมาแล้วววว ฟังไปก็จะมันส์ขึ้นไปเรื่อยๆในแต่ละช่วง น่าจะตัดเป็นซิงเกิ้ลนะ ขอเชียร์เพลงนี้ คงติดหูได้ง่ายอยู่แล้ว
Crack the shutters - เพราะอีกแล้ววววววว โมโลดี้ของเพลงยังคงความเป็นเครื่องหมายการค้าแบบ Snow Patrol ไว้อยู่ จังหวะเพลงดูแปลกแต่น่าสนใจ และรู้สึกติดหูง่ายอีกแล้วอ่ะ ฟังสองเพลงแรกจบแล้วชอบตั้งแต่แรกฟังเลย นี่ก็น่าจะเป็นซิงเกิ้ลได้เหมือนกัน
Take back the city - โว้ โว โว่ โหว่...ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้ม จริงๆตั้งแต่ได้ฟังครั้งแรกก็จะเฉยๆอยู่แล้ว เพราะมันยังคล้ายได้ฟังแนวเดิมๆ เหมือนเอา Hands open มาล้างน้ำ ปรุงรส เยาะโน่นนี่นิดนึง แล้วแปะป้ายตีตราว่าเป็นซิงเกิ้ลใหม่ แต่จะว่าไป ฟังไปหลายๆทีแล้วก็ติดหูดีนะ ท่อนฮุคเท่ๆร้องตามหนุกๆ คึกๆดี เพียงแต่คนอาจจะคาดหวังให้มาดีๆอย่าง Chasing cars หรือต้องดังเปรี้ยงอะไรแบบนั้น บ้างก็ว่าไอ้วงนี้ไม่มีทางทำอะไรได้แบบ Chasing cars อีกแล้ว แหม่ๆ ไม่เห็นจะต้องขนาดนั้นเลย แค่นี้ก็พอฟังแล้ว
คือ ขอบอกว่ารู้สึกคนส่วนใหญ่(ฉันด้วย) ฟังเพลงนี้ครั้งแรกแล้วจะเฉยๆ แต่นั่นแหละ อย่างที่บอกว่า ลองฟังหลายๆครั้งแล้วจะติดนะ ฮ่าๆ เดี๋ยวจะเผลอกระทืบเท้า ปรบมือ ผงกหัวเอาได้ง่ายๆ
Lifeboats - ตายตกหกกระโถนโดนกระเถร!! เพลงนี้ฟังดูเหมือนไม่ใช่วงนี้เลย ให้ตายสิ! ช่วงแรกๆอย่างกับแจ็ค จอห์นสันมาเอง แนวใหม่พวกเขาล่ะทีนี้ ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เป็นง่วงๆ แต่ โอเค อาจจะรู้สึกดาร์กไซด์อะไรแบบนั้นมานิดๆ มันอาจจะดีที่ลองอะไรใหม่ๆ เอ่อ แต่รู้สึกมันยังไม่ดีพอยังไงไม่รู้
The golden floor - ต่อด้วยเพลงนี้ก็เกือบหลับได้ที่เลย เสียงเคาะๆตอนแรกที่ขึ้นมาก็น่าสนดีอยู่หรอก แต่พยายามฟังเท่าไหร่ก็ยังไม่โดน เหมือนเริ่มต้นอัลบั้มได้สวยๆแล้วมาตายช่วงกลางอะไรอย่างนั้น
Please just take these photos from my hands - ค่อยดีขึ้นหน่อย ฟังไปเรื่อยๆแล้วโอเคเลย ถึงความหมายจะเศร้า โหยหา อาลัยเรื่องอดีต แต่จังหวะยังมันส์ได้ด้วยเสียงอื้ออึงของกีต้าร์และกลอง
Set down your glass – มาง่ายๆกับเสียงกีต้าร์ที่ดูเหมือนอคูสติกตอนแรก เฉยๆ พอฟัง
The planets bend between us – เจ๋ง! เนิบๆชวนโคลงหัว ท่อนคอรัสไพเราะเพราะพริ้ง ก็เหมือน Snow Patrol น่ะแหละ พวกเขาทำเพลงง่ายๆ เน้นโมเลดี้งดงาม เนื้อหาเพลงชวนจินตนาการลอยล่อง ชอบบบบ เอ... ท่อนนี้น่าคิด “And from the edge of Ireland shout out loud. So they could hear it in America”
Engines – ไม่ชอบเสียงในเพลงนี้ ทั้งฮู วู้ อะไรฟะ เซ็ง จุดอ่อนในอัลบั้มเลย
Disaster button - ถ้าฟังเรื่อยๆ มันจะติดหูเอาได้ง่ายๆ แต่ก็จัดอยู่ขึ้นเพลงดาดๆทั่วไปไม่มีอะไรดีเป็นพิเศษ แต่ก็เป็นแทร็กที่ได้คึกและหูชาได้ที่สุดในอัลบั้มแล้ว
The Lightning Strike - แทร็กสุดท้ายความยาวถึงสิบหกนาที แต่ก็เป็นทรีอินวันแบบที่ถ้าเป็นหนังก็ต้องเรียกว่ามหากาพย์ไตรภาคเลยทีเดียว
แบ่งภาคมา อันแรก What if the storm ends – ใช้ได้
The sunlight through the flags – น่าเบื่อหน่อยๆ แต่พอช่วงกลางๆแล้วใช้ได้เลย
Daybreak – กลับมาปิดอัลบั้มได้ดี ชอบส่วนนี้ที่สุดในไตรภาค ราวกับวงจะบอกว่าขอบคุณที่ฟังกันนะคร้าบ อิอิ สิบหกนาทีกับสามเพลง ถ้าลองพยายามฟังรวดเดียวหลายๆที แล้วจะรู้สึกได้ว่าแต่ละขั้นนั้นทวีขึ้นด้วยความอบอุ่นและความสว่างไสววาบเข้ามา จากเมฆหมอกอึมครึมสีทอง ฉาบไล้เข้าไปสู่รุ่งอรุณอันสดใส ซึมซาบทาบทับด้วยแสงอาทิตย์อุทัย (A hundred million suns?) บทเพลงถูกเชื่อมให้เข้ากันอย่างกลมกล่อมด้วยโวหารสำนวนเปรียบเทียบที่น่าเชยชม รวมถึงดนตรีสังเคราะห์ เสียงซินธ์ในแบบเจ๋งๆ


โดยรวมประทับใจกับอัลบั้มนี้ครึ่งนึง คือ รู้สึกว่ามันมีส่วนที่แจ่มสุดยอด ส่วนธรรมดาๆพอฟัง และบางส่วนที่แทบรับไม่ได้ ยอมรับว่าฟังครั้งแรกจบ ผิดหวังและจิตตกไม่น้อย ยังไม่ถึงขั้นชอบ แต่พอได้ให้เวลากับหลายๆเพลง และฟังบ่อยๆเข้า จะรู้สึกได้ว่าบางเพลงมันเริ่มเกาะกุมจิตใจ วนเวียนหึ่งๆหวี่ๆในประสาทหูเรื่อยขึ้น เคยฟัง Snow Patrol ชุดแรกและชุดสองมาบ้าง A hundred million suns นี้จะแตกต่างพอสมควรจากงานที่ผ่านมาทั้งหมด (เพราะFinal straw และ Eyes open ก็ต่างจากสองงานแรกเช่นกัน) ถ้าเทียบกับ Eyes open ชุดนี้ก็จะช้าแช่มช้อยลงไปนิด กระนั้นก็ยังมีแทร็กอย่าง Disaster button ที่ทำให้คึกได้บ้าง ภาพรวมก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้น สดใสมาอีกหน่อย เพราะแต่ก่อนแกรี่ ไลท์บอดี้แกแต่งเพลงมาจากประสบการณ์ส่วนตัวตอนเพิ่งเลิกกับแฟน เลยถ่ายทอดอารมณ์ราวๆนั้นออกมา (ขนาด Chasing cars ที่ดูโรแมนติดดีออก แต่ฉันฟังแล้วเศร้าทุกที) สิ่งที่ชอบเป็นพิเศษคือเนื้อเพลง ดูแล้วช่างแจ่มบรรเจิดเลิศวิไล ภาษาจากปลายปากกานายแกรี่ ไลท์บอดี้สละสลวย เฉียบคม ไม่ว่าจะอารมณ์เศร้า เหงา รัก ดูมีความโรแมนติกแฝงอยู่ การเปรียบเทียบความรักในแบบต่างๆ หลายหลากดี... ที่ไม่ชอบคงเป็นบางเพลงที่ใส่เสียงเอฟเฟ็กต์อะไรไม่รู้มา ชอบเสียงแกรี่แบบธรรมดารื่นหูมากกว่า


เพลงแนะนำ : If there’s a rocket tie me to it




ฟันธง : พอรับได้!!! ถึงจะไม่ดีไปกว่า Final straw และ Eyes open แต่ชอบก็คือชอบ จะเดินไปซื้อให้เมื่อวางขาย (30 ต.ค. โดยยูนิเวอร์ซัล ไทยฯ)



โน้ตเล็กน้อย
- โอเค อัลบั้มนี้แสดงว่าพวกเขาเติบโตอีกขั้น รู้ทิศทางของตัวเอง ได้ทำงานแบบตัวเอง แน่นอนว่าความสำเร็จถ้าจะทำให้ได้แบบที่ผ่านมาคงยาก แต่อันที่จริงไม่เห็นต้องไปสนเรื่องนั้นเลยนิ อย่าลืมล่ะว่าพวกเขาเป็นแค่วงอินดี้ธรรมดาๆที่จู่ๆ ก็ถูกผลักดันเข้าสู่เมนสตรีมเท่านั้น!
- เบื้อ เบื่อ เวลาคนชอบเทียบวงนี้ กับ Coldplay
- เดือนต.ค. บันทึกไว้ว่าเป็นเดือนที่เสียตังค์ไปกับซีดีเพลงมากที่สุดในรอบปีนี้(แม่ด่าเลย)


ความคืบหน้าชาร์ตเพลง(UK) ฯลฯ
- Take back the city – ขึ้นไปสูงได้ที่ 6 ตอนนี้ตกมาอยู่ที่ 16
- อัลบั้ม Off with their heads ของ Kaiser Chiefs ขายอาทิตย์แรกเข้าป้ายที่สองแพ้ AC / DC (Perfect symmetry ตกไปที่ 6)
- Wire to wire ซิงเกิ้ลใหม่จาก Slipway fires ของ Razorlight เพลงที่แปลกไปพอสมควรจากงานเก่าๆ หลังจากrelease มาสองสัปดาห์ตอนนี้ขึ้นมาอยู่อันดับห้า
- My mistakes were made for you ซิงเกิ้ลที่สามของ The last shadow puppets เพิ่ง release ไปอาทิตย์นี้เหมือนกัน อยู่ที่ 81
- ดูเหมือนตอนนี้พีท โดเฮอร์ตี้จะกำลังเคร่งเครียดกับการทำอัลบั้มใหม่ในนามงานโซโลเดี่ยว
- Decade in the sun: The best of Stereophonics (27 ต.ค. – UK) คืออัลบั้มรวมเพลงฮิตเรียกตังค์แฟนๆ ของ Stereophonics มีซิงเกิ้ลใหม่ You’re my star
- ข่าวว่าสไปค์ จอนซ์(กรี๊ดดดดด) จะกลับมาร่วมงานกับ Weezer อีกครั้งในการกำกับเอ็มวีซิงเกิ้ลใหม่ The greatest man that ever lived และพ่อริเวอร์สก็กำลังเตรียมเข็นงานเดี่ยวชุดล่าสุดออกมาเร็วๆนี้






 

Create Date : 29 ตุลาคม 2551    
Last Update : 29 ตุลาคม 2551 22:34:16 น.
Counter : 997 Pageviews.  

I'm Outta Time - Oasis(Dig Out Your Soul) :: {**Oct 9th - John Lennon's Birthday**}



คำแนะนำก่อนอ่าน : ที่เขียนทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล



...9 ตุลาคม...

ถ้าสมมติวันนี้จอห์น เลนนอนยังมีชีวิตอยู่เขาจะมีอายุครบ 68 ปี
แล้วถ้าสมมติจอห์นไม่ได้ถูกมาร์ก เดวิด แชปแมนสังหารอย่างไร้สติเมื่อ 28 ปีที่แล้ว เขาอาจจะได้ฟังเพลง I’m Outta Time ที่เลียม กัลลาเกอร์แต่งและร้องขึ้นมาเพื่อบูชาตัวเขา



เป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับฉันเสมอที่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับความเหมือนของเลียมและจอห์น
ไม่ว่าจะเหมือนหรือต่าง
หรือความอยากเป็นเหมือน ... ความพยายามที่จะเป็นเหมือน....



จอห์น คือ เทพเจ้าของผู้ที่รัก The Beatles และคนอีกมากมายทั่วโลก
เขามีอิทธิพลไม่ใช่เพียงแต่ในโลกแห่งดนตรี แต่อย่างที่ทราบๆกันคือทั้งไลฟ์สไตล์ แนวคิดหรืออุดมการณ์ต่างๆยังเป็นที่พูดถึงกันมาจนถึงทุกวันนี้
ดังนั้น ไม่แปลกหรอกที่ใครต่อใครต่างจะชื่นชม เทิดทูนบูชาเขา
แล้วก็ไม่แปลกอีกเหมือนกันนั่นแหละ ที่มีคนอยากเป็นเหมือนเขาจนตัวสั่น
โดยเฉพาะกับนายเลียมแห่ง Oasis



เลียมอาจจะบอกว่าเขารักจอห์น อิทธิพลทุกรูปแบบที่เขาได้รับมาจากชายผู้นี้ที่เขาบูชา ขณะเดียวเขาก็ไม่ปฏิเสธว่าอยากจะไปยืนในตำแหน่งนั้นและพยายามอย่างเหลือหลายในการประพฤติตน แสดงออก สร้างรูปลักษณ์เยี่ยงนั้นให้จงได้



เพราะฉะนั้น อิทธิพลกับการลอกเลียนจึงมีเส้นบางๆกั้นกันไว้อยู่



ถามว่า เลียมผิดไหม???
คำตอบ คือ ไม่ผิด ใครจะไปสรรหาคำตอบมาด่าทอให้เขาผิดได้หรือ คนมันรัก มันชอบ จะไปผิดได้อย่างไร







อย่างต่อมา
Oasis คือวงดนตรีหรือสิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดในโลก
ฉันสามารถร่ายยาวสองพันห้าร้อยหน้ากระดาษเกี่ยวกับความเกลียดชังที่มีต่อวง Oasis หรือถ้าจะให้พูดก็คงใช้เวลาเล่าสักสองเดือน ผลัดคนมาฟังคงจะจับความได้หมด



เหตุผลมากมายนานาที่ทำให้ฉันประกาศตัวเป็นศัตรูเบอร์หนึ่งกับวงนี้ อาทิเช่น เหตุผลประการสำคัญที่สุดคือ ฉันเป็นแฟน The Beatles ฉันรักจอห์นและไม่สามารถทนเห็นใครหน้าด้านพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะเป็นเหมือนพวกเขาขนาดนั้นได้


มันเป็นเหตุผลที่ถึงแสดงออกถึงการใจแคบไป แต่มันก็วางติดหนึบอยู่ก้นบึ้งจิตใจฉันมายาวนาน ยากที่จะสลัดออก



ครั้งหนึ่งฉันแทบอยากไปโดดตึกตายเสียให้รู้กันไปเมื่อเลียมบอกว่าวิญญาณจอห์นมาเข้าสิงเขา



แม้เลียมและฉันจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ เราต่างรักจอห์น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันและเขายืนอยู่ในทางสายเดียวกันได้
นั่นยังไม่นับรวมเหตุผลอื่นๆอย่างความปากหมาของทั้งโนเอลและเลียม
ความปากหมาของทั้งคู่ ฉันก็คงไม่สามารถบรรยายได้หมดเช่นกัน บางอย่างที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านมาก็ตลกดี
เวลาพวกเขาออกมาด่าใคร ฉันก็ชินไปแล้วเสียทุกที ที่สนุกคือการรอคอยดูเหยื่อรายต่อไปเรื่อยๆว่าพวกเขาจะแสดงความคิดเห็นต่อคนนั้นว่าอย่างไรบ้าง
บังเอิญอีกนั่นแหละที่ฉันเป็นแฟนวงซึ่ง Oasis ชอบด่าทั้งนั้น Coldplay, Keane, Snow Patrol เป็นต้น
ฉันชอบไล่ดูว่าที่ผ่านมามันด่าใครไปแล้วบ้าง แล้วก็สงสัยมานานแล้วเหมือนกันว่าอยู่ดีๆมันก็พูดผ่านสื่อกันเอาเองตลอดหรือว่านักข่าวต่างไปซอกแซกถามความเห็นกันแน่
รายชื่อคนเหล่านั้นที่พวกเขาพูดถึงมีเป็นหางว่าว



ด่าตัวบุคคลยังไม่พอ แต่พาดพิงถึงแฟนเพลงด้วยนี่สิ ได้ยินแล้วปรอทพุ่งปรี๊ดแทบแตก เช่น เร็วๆนี้เลียมบอกว่าแฟน Coldplay, Radiohead นั้นน่าเบื่อ
ฉันยังเกลียด Oasis เพราะพวกเขาคือแฟนแมนฯซิตี้
ฉันภูมิใจมากที่ยูไนเต็ดไม่มีแฟนบอลอย่างพวกเขา
และฉันยังเกลียด Oasis เพราะฉันอยู่ข้าง Blur
รวมถึงเสียงเลียมเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาสำหรับฉันเท่าไหร่ ถ้าเพลงที่มันไม่เพราะ ฉันจะเกลียดเสียงเขามาก





อย่างต่อมา
ในเมื่อฉันสถาปนาตัวเองเป็นแฟนพันธ์เกลียด Oasis ขนาดนี้แล้ว การกระทำฉันนั้นมันตรงข้ามกันสิ้นเชิง
ฉันฟังทุกเพลงของพวกเขา มีซีดีถึงสามอัลบั้มบวกกับดีวีคอนเสิร์ตอีกสอง และแน่นอนว่าฉันอุดหนุนแผ่นแท้ ทุกข่าวที่ฉันได้ยินชื่อพวกเขา ทุกความเคลื่อนไหวที่ Oasis ทำ อยู่ในสายตาของฉัน และออกจะติดตามใกล้ชิด เอาล่ะ อาจจะไม่ถึงขนาดติดตามแบบแฟนคลับ แต่ฉันชอบจดจ้องการกระทำพวกเขา มันเหมือนกับว่ายิ่งเกลียดยิ่งตาม


แล้วทำไม ทำไมถึงยิ่งเกลียดยิ่งตาม....
เค้นจนสมองขี้เลื่อยๆจะระเบิดก็ตอบไม่ถูก ทำไมตามขนาดนั้น....
ตามเพื่อจะหาเรื่องด่ามั้ง แต่ก็ไม่ใช่คำตอบที่สมเหตุสมผลอยู่ดี
แล้วไปซื้อ อุดหนุนผลงานมันทำไม
ดีวีดี Lord don't slow me down นั่งดูไปก็ด่าไป


มีสิ่งหนึ่งที่ฉันยอมรับคือ งานพวกเขาเจ๋ง ถึงจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่งานของ Oasis คือสิ่งที่โลกแห่งดนตรีขาดไปไม่ได้
ผลงานของพวกเขาจึงทรงคุณค่า มันเหมือน...ยังไงล่ะ ถ้าให้ฉันเปรียบเทียบง่ายๆคือ การมี Oasis และพี่น้องกัลลาเกอร์อยู่ในวงการเพลงก็เหมือนกับมีอดีตนายกฯสมัครในวงการการเมือง หรือโชเซ่ มูริญโญ่ในวงการฟุตบอล รึไม่จริง?

และมันไม่เหมือนบางอย่างที่ฉันเกลียด เช่น บางแนวเพลงที่ฉันไม่ชอบ ฉันก็จะไม่สนหรือตามติด
แต่ Oasis ฉันเกลียดแต่ตามและฟัง
เพราะ.... ฉันฟังเพลงไง
ฉันกล้ายอมรับแบบเขินๆด้วยว่าถ้าจะให้จัดอันดับอัลบั้มที่ชื่นชอบ หนึ่งในนั้นต้องมี Definitely Maybe อยู่ด้วย




อย่างต่อมา
ตอนที่พวกเขาประกาศถึง Dig Out Your Soul อันเป็นอัลบั้มที่เจ็ดออกมา ก็ไม่แปลกหรอกที่ฉันจะติดหนึบความเคลื่อนไหว Oasis อีก(เพื่อคอยด่า-ฮา) เพราะฉันได้ด่าสมใจตั้งแต่ตอน Don't Believe The Truth ถ้าคราวนี้เป็นไปตามที่หมายก็คงเป็นที่สมใจฉันเป็นที่สุด คือ การดับไปอย่างสนิทของวงที่ฉันเฝ้าสาปแช่งมาอย่างยาวนาน


The Shock of the Lightning เป็นที่ถูกใจของแฟน Oasis ส่วนมาก ส่วนฉันคงไม่ใช่แนวที่จะชอบได้
แต่มีอีกเพลงที่(หลุด) ออกมาช่วงไล่เลี่ยกันแล้วทำให้ฉันชอบ คือ Falling Down
กระนั้น DOYS ไม่ใช่สิ่งที่ฉันคาดหวังว่าจะเป็นอัลบั้มที่ประทับใจกระทั่งได้ฟังเต็มๆไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อน
ความประทับใจบนความเกลียด ว่ากันอย่างนี้แหละ
และเพลงแทรกที่ห้าของอัลบั้ม I’m Outta Time สามารถทำให้ฉันร้องไห้และป้ายน้ำตาที่หยดร่วงลงมาได้
มันเป็นเพลงที่สองในปีนี้(นับจากการrelease)ที่ฉันฟังแล้วร้องไห้


เพลงแรกที่ร้องไห้ของปีเป็น Viva La Vida
คือครั้งแรกที่ได้ยิน Viva La Vida ฉันร้องไห้ออกมาเพราะความไพเราะของเพลง
เอาล่ะ ไม่ได้โอเวอร์แต่อย่างใด เพราะฉันเฝ้ารอ VLVODAAHF มานาน และรอพิสูจน์กับสิ่งที่ Coldplay พูดมาตลอด Viva La Vida คือเพลงที่เพราะเหลือทนจนฉันรู้สึกว่าโลกนี้ต้องขาดอะไรไปแน่ๆถ้าไม่มีเพลงนี้ ฉันร้องไห้และยิ้มเมื่อฟังมัน และก็กระหน่ำฟังมันมากกว่าพันรอบจริงๆ
คือ โอเค ว่าแล้วก็นอกเรื่องไปไกล มีช่วงนึงคอมฯเฮงซวยฉันเสียทำให้ทรัพย์สินโดยเฉพาะเพลงอันเฝ้าเก็บสะสมทั้งริปและโหลด(เลว) มาตลอดต้องอันตรธานหายไปอย่างไม่มีหวนกลับ ภาวะที่เครียดเช่นนั้นส่งผลให้ฉันตัดสินใจประชดชีวิตด้วยการฟัง Viva La Vida เพลงเดียว โดยตั้งปณิธานอันแน่วแน่ว่าต้องประชดความซวยสุดกู่ของตัวเองแบบนี้แหละ ฟังให้เพราะตายไปเลย ในเมื่อมันเพราะขนาดนี้ ก็ต้องกระหน่ำฟัง พันรอบคือเป้าหมาย แต่ฉันว่าฉันฟังเกินมากกว่านั้นอีก
ช่วงนั้นฉันคิดไปไกลถึงขนาดว่าจะเกิดเหตุการณ์ดังต่อไปนี้ คือ กินเนสบุ๊คส์จะมาบันทึกสถิติฉันไว้ แล้วหนังสือพิมพ์ สำนักข่าวทั่วโลกมาทำข่าวเกี่ยวกับแฟน Coldplay โรคจิตคนนึงที่ไม่ทำอะไรนอกจากฟัง Viva La Vida นั่นก็จะทำให้ฉันมีชื่อเสียงขึ้นมาอันทำให้ข่าวไปเข้าหูวง วงก็จะมาเมืองไทย เชิญฉันไปพูดคุย ฉันจะได้พบ Coldplay ตัวเป็นๆ คริสก็จะบอกกับ NME ประมาณว่า นั่นไง เห็นไหมล่ะว่าเพลงของ Coldplay เข้าถึงจิตใจและมีอิทธิพลต่อคนมากขนาดไหน รวมถึงวงการแพทย์อาจจะเอากรณีนี้ไปพิจารณารักษาคนไข้ท้องผูก
โอวววววววววววววว มันเป็นไปได้นะ แต่ฉันแค่จินตนาการไปและมันก็ดันไม่เกิดด้วยสิ
นอกเรื่องไปไกลมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก


กลับมาพูดถึง Dig Out Your Soul ต่อ เพลงที่ฉันชอบที่สุดในอัลบั้มก็คือเพลงนี้ I’m Outta Time ซึ่งอย่างที่บอก ฉันร้องไห้เมื่อฟังครั้งแรก
เพราะเสียงเลียมทำให้ฉันนึกถึงจอห์น
เพราะท่วงทำนองอันทำให้หวนคิดถึงเพลงบัลลาดหวานๆของจอห์น
เพราะอินโทร la la la ขึ้นมาก็ทำให้ฉันขนลุกซู่ซ่า
เพราะเขาเล่นเอาเสียงของจอห์นมาใส่ไว้ช่วงท้ายเพลง แบบนี้จะไม่ร้องไห้ได้ไง





I’m Outta Time (เขียนโดย เลียม กัลลาเกอร์ : Ode to J. Lennon 555+)
ไม่แน่ใจความถูกต้อง เพราะบางท่อนไปค้นดูหลายๆที่รู้สึกจะเขียนต่างกัน

Here’s a song
It reminds me of when we were young
Looking back at all the things we've done
You gotta keep on, keep on
Out to sea, it's the only place I am asleep
Can get myself some piece of mind
You know it's gettin' hard to fly
If I'm to fall
Would you be there to applaud?
Or would you hide behind them all?
'Cause if I have to go,
In my heart you'll grow
And that's where you belong...
If I'm to fall
Would you be there to applaud?
Or would you hide behind them all?
'Cause if I have to go,
In my heart you'll grow
And that's where you belong...
If I'm to fall
Would you be there to applaud?
Or would you hide behind them all?
'Cause if I have to go
In my heart you'll grow
And that's where you belong...
Guess I'm outta time...
I'm outta time...
I'm outta time
I'm outta time
I'm outta time




I’m Outta Time (ถอดความอย่างมั่วและอาจจะเสียจริต โดย Lucy in the sky with diamonds)

คือบทเพลง บรรเลงย้ำ ความตอนเด็ก
ครั้งเราเล็ก เหลียวแล สิ่งพบผ่าน
เราเคยทำ สิ่งใด กันวันวาน
เธอจงสาน สืบต่อ อย่าท้อใจ
ท้องทะเล ลึกล้ำ ดูดำเงียบ
คือแหล่งลับ ให้ฉันเลียบ มาหลับใหล
คิดประหวั่น ฝันโบยบิน ภายในใจ
โอ้เธอรู้ ใช่ไหม มันยากเกิน
หากฉันร่วง ลงลับ ดับความฝัน
เธอจะพลัน เคียงข้างไหม คอยสรรเสริญ
หรือจะหลบ หลีกจาก พรากหมางเมิน
ฉันพร้อมเดิน จากไป ใจมีเธอ
ณ ดวงใจ แห่งฉัน เธอสถิต
ทว่าฉัน ไม่มีสิทธิ ที่จะเผลอ
หมดเวลา ที่ฉันมี เพื่อพบเจอ
หมดเวลา ... แล้วเธอ... หมดเวลา






เพลงนี้เลียมแต่งได้เยี่ยมพอๆกับเสียงร้องอันละเมียดประณีตของเขา ฟังดูก็แปลกดีสำหรับ Oasis กับการทำแนวทดลองมาผสมปรุงแต่งกับอารมณ์ร่วมของไซคีเดลลิค ชอบความลงตัวของเพลงที่ให้อารมณ์แบบคลาสสิกอยู่ในตัว การแอเร้นจ์เพลงยังอยู่ในเกณฑ์น่าชื่นชมกับเครื่องสายเคล้าคลอไปกับเสียงเนียนๆของเปียโน
ฉันยอมรับว่าไม่มีวงไหนอีกแล้วที่จะย้ำเตือนความรู้สึกถึง The Beatles หรือว่าจอห์น เลนนอนได้ขนาดนี้
มันก็คือคือวงนี้แหละ Oasis… วงที่ฉันเกลียดที่สุดโลก







:: Review :: Dig Out Your Soul ::




Dig Out Your Soul วางขายที่อังกฤษไป 6 ต.ค. ที่ผ่านมา โดย Dave Sardy ทำหน้าที่โปรดิวเซอร์ ทิศทางใหม่อันน่าชวนประทับใจของทั้งแฟนและไม่ใช่แฟน(อย่างฉัน เป็นต้น) คงเป็นคำจำกัดความง่ายๆของการกลับมาในอัลบั้มที่ 7 ของ Oasis หลายเพลงในอัลบั้มให้ความรู้สึกถึงงานแบบ Beatles มาก ฉันรู้สึกราวกับโดนอารมณ์แห่ง Sgt. Pepper หรือ White Album ถูกสูบขึ้นมาอีกครั้ง


แทรกแรกขึ้นมาก็กระชากใจได้แล้วกับ Bag It Up เสียงร้องตามสไตล์เลียมกับจังหวะเหมาะกับการเปิดเร้าอารมณ์ กลองที่หนักแน่นและช่วงคอรัสเนี่ย ฟังไปฟังมาได้ร้องคลอตามแน่ๆ


The Turning อินโทรเพราะดี จากเสียงเปียโนก่อนจะนำเข้าสู่การสอดประสานกันของเสียงกีต้าร์ เพลงนี้เสียงร้องแบ็คอัพช่วยหนุน และชอบตรงท่อนคอรัสที่สนุกเร้าใจ


ต่อด้วย Waiting for the Rapture เว้นช่วงปล่อยอารมณ์มาฟังเสียงโนเอลกับโทนเพลงโทนเนิบๆแต่มันส์เพราะจังหวะกีตาร์ โดยรวมเสียงร้องเพลงนี้โอเค


The Shock Of The Lightning ซิงเกิ้ลแรกที่เห็นโนเอลบอกเพลงนี้รีบเขียน รีบอัด จบ! ฉันไม่ได้ถูกใจเพลงนี้มากมาย แต่ยอมรับว่าประเมินไวไปหน่อยที่รีบตัดสินภาพรวมแห่งการเปลี่ยนไปของ Oasis จากการได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรก เพลงนี้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการในความเป็น Oasis เป็นอย่างมาก


I'm Outta Time อย่างที่พูดๆไปข้างบน ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าอย่างเลียมจะสามารถแต่งเพลงหวานเศร้าแบบนี้มาได้ เพลงนี้ฟังแล้วใครไม่นึกถึงจอห์น เลนนอนคงต้องไปเช็คระบบประสาทฟังเพลงสักหน่อยแล้วล่ะ


(Get Off Your) High Horse Lady เพลงชื่อตลก เสียงโนเอลมาอีกที เด่นที่ริทึมกีต้าร์ให้โทนเพลงโยกๆกับจังหวะปรบมือ ฉันว่าบางช่วงมันดูหลอนไม่น้อยนะ คือ เสียงเป็นปรี๊ดๆ บีบๆ มั่นใจว่าไปได้ยินลอยๆแล้วบอกว่าเป็น Oasis ก็ไม่เชื่อเหมือนกัน นับว่าลองสไตล์ใหม่ได้เยี่ยม


Falling Down นี่สิ เจ๋งๆในอัลบั้มอีกเพลง โนเอลแต่งและร้องเอง ท่วงทำนอง จังหวะจะโคนอันชวนหลอนยังไม่รวมเนื้อหาที่ล่องลอย และให้อารมณ์ไซคีเดลิคสุดขีด ที่สำคัญเสียงกลองในเพลงก็คือฝีมือของแซ็ค สตาร์กี้ ลูกชายริงโก้นั่นเอง


กลับมาฟังเสียงเลียมต่อใน To Be Where There's Life ที่ฉันไม่ได้ฝันไปแน่ๆ เพราะได้ยินเสียงซีต้าร์ด้วย พวกเขาหยิบความเป็น Beatles มาให้หวนรำลึกถึงจอร์จ
แฮร์ริสันในเพลงที่เสียงเบสหนักแน่นและจะต้องเป็นหนึ่งในแทรกโปรดฉันได้เลย


Ain't Got Nothing แทรกโปรดน้อยสุดในอัลบั้ม แต่คิดภาพไว้เพลงนี้แบบ live มีหวังมันส์เกินบรรยาย


The Nature Of Reality เอาอารมณ์ Beatles มารำลึกถึง คล้ายกับได้ฟัง Heltter Skelter อยู่ในที


Soldier On คือแทรกปิดท้ายที่ขอบอกว่าแนวได้ใจ และแน่นอนว่ากลิ่น Beatles ยังเจือๆอยู่ไม่จางหาย ไม่รู้สิ ฟังเพลงนี้แล้วจบแล้ว ฉันรู้สึกเหมือนดูหนังจนจบแล้วอารมณ์ถูกเติมเต็มจนอิ่มล้น แต่สิ่งที่ค้างคาอยู่คืออารมณ์ร่วม ประมาณหนังจบอารมณ์ไม่จบจนอยากเดินไปตีตั๋วเพื่อดูอีกรอบ ว่าแล้ว DOYS ก็ทำให้ฉันเปิดฟังซ้ำทันทีหลังจากฟังเสร็จครั้งแรก


Oasis กลับมาขุดค้นจิตวิญญาณของพวกเขาเองเจอแล้วจริงๆ แถมยังเหมือนได้ตบหน้าแฟนพันธุ์เกลียดอย่างฉันเสียฉาดใหญ่ เอาล่ะ ฉันยอมรับแล้ว ฉันจะเดินไปซื้อ DOYS ทันทีที่วางขายในไทยเพื่อสัมผัสงานดนตรีชิ้นเยี่ยมที่พิสูจน์การกลับมาสู่ฟอร์มแบบเก่าของวงนี้ และไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะต้องเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ฉันชื่นชอบมากที่สุดแห่งปี

ปล. แต่ฉันขอยืนยันคำเดิม “ฉันเกลียด Oasis” 555+






 

Create Date : 08 ตุลาคม 2551    
Last Update : 20 ตุลาคม 2551 11:19:11 น.
Counter : 4452 Pageviews.  

The Killers ! Snow Patrol ! Travis ! Keane ! Kaiser Chiefs ! Lily Allen ! [+The Verve! Coldplay!]

เป็นอาทิ
สำหรับปีนี้ที่จะได้เห็นวงหรือศิลปินซึ่งต่างกำลังเตรียมตัวขนงานเพลงออกมาให้แฟนๆได้เตรียมเสียตังค์
สำหรับเรากำลังรอคอยอัลบั้มใหม่ของพวกเขาเหล่านี้อยู่
แล้วขอสบโอกาสมาแจ้งข่าวคราวให้ทราบกันด้วย

ว่าแล้วก็กรี๊ดและนอนรอต่อไป Smiley


...........................................................................................



เริ่มที่ The Killers กับอัลบั้มลำดับสาม Day and Age





อาทิตย์ที่แล้วขณะเล่นที่ Leeds Festival Brandon Flowers เพิ่งเปิดเผยถึงชื่ออัลบั้มนี้ให้ได้ทราบเป็นครั้งแรก


กำหนดวางขาย : ประมาณเดือนพฤศจิกายน

กลับมาหลังจาก: ปีที่แล้วลองทำอะไรเจ๋งๆใหม่ๆอย่างการออกB-sides Sawdust ขึ้นถึงอันดับ
12 บิลบอร์ดชาร์ต ขายได้มากกว่า 200,000 ก็อปปี้ ขณะที่อัลบั้ม Sam's town
ประสบความสำเร็จอย่างมากกับยอดขายมากกว่า 4 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก

โปรดิวเซอร์: Stuart Price(ผู้ซึ่งร่วมงานกับ Madonna บ่อยๆ เคยโปรดิวซ์ Mr.
Brightside ,Leave the Bourbon on the Shelf และ Sweet Talk ในSawdust
รวมถึงทำ System ให้ Seal)

แนวทาง : ทดลองทางใหม่มากขึ้น ไม่มืดหม่น แต่แน่นอนว่าจะคงสไตล์พวกเขาอยู่ คอนเซ็ปป์โดยรวมของอัลบั้มทางวงยังไม่บอก

คีย์แทรก: Spaceman
วงได้ร้องเพลงนี้ครั้งแรกเมื่อช่วงเดือนก.ค.ที่ผับเล็กๆในนิวยอร์ก
และล่าสุดงานเทศกาลดนตรีที่เรดดิ้งและลีดส์
เพลงค่อนข้างจะเป็นป็อปโทนเร็วหน่อย
ผสมกับฟังก์,พังค์และใส่ซินท์เอฟเฟ็กด้วย ขณะที่ Neon Tiger
เพลงจังหวะกลางๆ เน้นหนักที่เสียงร้องแบรนดอน
เพลงอื่นที่ทางวงเปิดเผยออกมา เช่น Goodnight Travel Well, Joyride, I Can't Stay, Losing Touch(เพลงนี้แบรนดอนบอกเป็นเพลงโปรด)
และอื่นๆที่อาจจะ
อาทิ Dreamland, Burning Up, Metropolis, Tidal Wave
(เพลงที่จะได้กลิ่นอายแบบ Drive In Saturday ของ David Bowie และ I Drove
All Night ของ Roy Orbison ), Emerald City, Vibration

ข่าวคราว : เป็นเวลากว่าสี่ปีที่ The Killers
มานะกับการทำงานเพลงและออกทัวร์ไม่มีหยุด(แต่ทำไมไม่มาไทยบ้างล่ะพี่)
สามเดือนมานี้ แบรนดอนเขียนเพลงไปมากกว่า 30 เพลงแล้ว
และตอนนี้วงกำลังดำเนินการปรับปรุงเนื้อเพลงไปเรื่อยๆ ปรับโน่นแก้นี่อยู่
ตัวเพลงเสร็จไปประมาณ 97% เหลือแต่เนื้อร้องที่ยังอยู่ประมาณ 30%
พวกเขาบอกว่าแน่นอนว่าคงจะทำให้ทุกคนพอใจไม่ได้
แต่ยังไงก็ยังคงเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวพวกเขาทำ

เกร็ดอื่นๆ :สำหรับสาวน้อยสาวใหญ่หรือไม่สาว ครั้งนี้เราจะได้เห็นพ่อแบรนดอน
ดอกไม้(หลายดอก)กลับมาหน้าใสเหมือนเมื่อครั้ง Hot Fuss
เพราะพ่อคุณเขาโกนหนวดเรียบร้อยตั้งกะแต่เมื่อต้นปีนี้
เห็นแล้วก็แทบละลายโฮกกันเลยทีเดียวเชียว
ว่าแล้ววิญญาณนางมารร้ายก็เข้าสิง ใครอยากร่วมลงขันจ้างฆ่าทาน่า
ภรรยาแบรนดอนติดต่อมาได้ค่ะ ร่วมด้วยช่วยกัน (กรรม Smiley)



ลองฟังเพลง Spaceman ดูได้



อีกเพลง Neon Tiger



..........................................................................


Snow Patrol อัลบั้มที่ห้า - A Hundred Million Suns ชื่อเจ๋งมาก ขอบอก!!!






กำหนดวางขาย : 28 ตุลาคม(อเมริกา)/27 ที่สหราชอาณาจักร

กลับมาหลังจาก: เมื่อปี 2006 Eyes Open ขายได้ 2.1
ล้านก็อปปี้ในอังกฤษซึ่งเป็นอันดับหนึ่งยอดขายรวมของปีนั้น
และยังเป็นครั้งแรกกับความสำเร็จในฝั่งอเมริกาที่มียอดจำหน่ายกว่าหนึ่งล้านแผ่น

โปรดิวเซอร์ : ยังคงใช้งาน Jacknife Lee อีกครั้ง (R.E.M., U2 ล่าสุดทำ Weezer -The Red Album กับ Bloc Party - Intimacy)

แนวทาง: Snow Patrol
เคยมีเพลงเพราะๆให้พวกเราฟังยังไงก็จะยังได้ได้กลิ่นอายแบบนั้นเช่นเดิม
เมโลดี้งามๆยังคงอยู่ แต่ในทางหลากหลายมากขึ้น

คีย์แทรก :ซิงเกิ้ลแรกคือ Take Back The City จะrelease ที่UK วันที่ 13 ต.ค.
เอ็มวีกำกับโดย Alex Courtes (Seven Nation Army ของ The White Stripes)
เพลงทั้งหมดในอัลบั้ม
If There's a Rocket Tie Me to It
Crack the Shutters Open
Take Back the City
Lifeboats
The Golden Floor
Please Just Take These Photos From My Hands
Set Down Your Glass
The Planets Bend Between Us
Engines
Disaster Button
The Lightning Strike
What If This Storm Ends? (Bonus Track)
Sunlight Through the Flags(Bonus Track)
Daybreak(Bonus Track)

ข่าวคราว: อัลบั้มนี้บันทึกเสียงทั้งที่ Hansa Studios ในเยอรมันและ Grouse Lodge
ในไอร์แลนด์ ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา
ทางวงบอกว่านี่จะเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของพวกเขาเท่าที่เคยทำมาและก็ต่างภูมิใจกับงานครั้งนี้มาก


เกร็ดอื่นๆ : Gary Lightbody ยังมีโครงการแยกไปทำงานโซโล ด้วย
คือ Listen... Tanks! แต่ ณ ปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดรายละเอียดออกมาอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด


สำหรับซิงเกิ้ลแรก Take Back the City เพิ่งจะเปิดไปเป็นครั้งแรกที่radio1 ล่าสุดมีหลุดมาในyoutubeเอามาแปะให้ฟังคร่าวๆกันก่อน แต่ภาพในนี้ไม่เกี่ยวกันโดยสิ้นเชิง ช่องทางอื่น จะเข้าไปฟังออนไลน์ที่เว็บไชต์ของวงหรือbbc-radio1ก็ได้นะ


............................................................


Travis - Ode to J.Smith





กำหนดวางขาย : 29 กันยายนตามเวลาสหราชอาณาจักร

กลับมาหลังจาก : ไม่นานก่อนหน้ามีEP J.Smith และเพิ่งจะปีที่แล้วนี้เองกับ The Boy With No Name ซึ่งขึ้นถึงอันดับ 4ใน UK Chart

โปรดิวเซอร์
: Emery Dobyns

แนวทาง : ได้อารมณ์ดั่งตอนได้ฟังพวกเขาใน Good Feeling

คีย์แทรก : Something Anything เพลงนี้จะถือว่าเป็นซิงเกิ้ลแรกของ Travis ที่ไม่ได้แต่งโดย Fran แต่เป็นมือเบส Dougie Payne มาแสดงฝีมือแทน กำหนดการ release วันที่15 กันยายน เอ็มวีเพลงนี้ออกมาเรียบร้อยแล้ว
เพลงในอัลบั้ม
01:Chinese Blues
02: J. Smith
03: Something Anything
04: Long Way Down
05: Broken Mirror
06: Last Words
07: Quite Free
08: Get Up
09: Friends
10: Song To Self
11: Before You Were Young

ข่าวคราว: พวกเขาทำการบันทึกเสียงอยู่ที่ RAK Studios
ในกรุงลอนดอนช่วงเดือนกุมภาพันธ์กับมีนาคมที่ผ่านมา หลังจากนั้น Fran
จึงเดินทางไปมิกซ์เสียงที่นิวยอร์กจนถึงเดือนเมษายน

เกร็ดอื่นๆ :อัลบั้มนี้เป็นครั้งแรกที่ Travis แยกจาก Independiente Records
มาสู่ชายคาหลังใหม่ของ Red Telephone Box ของตัวพวกเขาเอง
และยังเป็นที่ซึ่งพวกเขาเคยออก EP All I Want To Do Is Rock เมื่อปี 1996


อยากดูรายละเอียดมากกว่านี้ ไปจิ้มที่กรุ๊ปย่อยด้านซ้ายมือเลยค่ะ


...................................................................................................................................



Lily Allen กับอัลบั้มที่สองชื่อเปรี้ยวจี๊ด Stuck on the Naughty Step





กำหนดวางขาย : ธันวาคม

กลับมาหลังจาก : Alright, Still ขายได้1.8 ล้านก็อปปี้ในUK

โปรดิวเซอร์ : Mark Ronson ร่วมด้วย Greg Kurstin

แนวทาง : Lily บอกว่าแนวดนตรีจะเปลี่ยนไปจากเดิม คือไม่เอาสกาอีกแล้ว แต่จะเป็นอิเล็กโทรพ็อพมากขึ้น

คีย์แทรก: ซิ้งเกิ้ลแรกคือ Everyone's At It จะrelease ประมาณเดือนกันยานี้
ขณะที่ก็มีเพลงซึ่งเธอได้โพสต์ไว้ใน Myspace อย่าง I could say กับ I
don't know และอีกเพลงที่เป็นที่ฮือฮาพอสมควรอย่าง GWB(F**k You Very
Much) อันย่อมาจาก Get Wit the Brogram หรือ Guess Who Batman
ตอนแรกเธอเขียนเพื่อเจาะจงหมายถึง พรรค BNP (British National
Party)ที่เป็นพรรคการเมืองฝ่ายขวาในอังกฤษ แต่ก็เปลี่ยนใจภายหลัง
ไม่เอาดีกว่า รู้สึกสื่อความหมายได้กว้างไป อย่างไรก็ตาม
ว่ากันว่าเจ๊อยากจะกัด George W Bush ด้วยเลยเล่นกับตัวอักษรแบบนี้ซะเลย

รายชื่อเพลง(ที่คาดว่าอาจจะรวมในอัลบั้ม)
"Everyone's At It"
"I Don't Know"
"Not Fair"
"Guess Who Batman?" / "Get Wit The Brogram"
"He Wasn't There"
"Oh No"
"Fighting Chance"
"The Law of Averages Said That I Was Going to Get My Heart "Broken"
"I Could Say"
"Steve from Accounts"
"Pushing You Away While I Push Myself Inside"
"Wherever We Go" (featuring Lindsay Lohan)

ข่าวคราว: นอกจากโปรดิวซ์เซอร์ นายMark Ronson ที่เข้าขากันดีกับเธอไม่น้อยแล้ว
ส่วนใหญ่ Lily จะบันทึกเสียงร่วมกับ Greg Kurstin ซึ่งเคยทำงานให้ The
Bird and the Bee เธอบอกว่า Greg
เรียบเรียงทำนองกับคอร์ดมาแล้วเธอก็แค่คลอๆไปตามพร้อมกับคิดเนื้อขึ้นมา
นั่นก็ทำให้เธอได้โครงร่างเพลงคร่าวๆมาแล้ว

เกร็ดอื่นๆ : เพิ่งจะออกมาต่อว่า EMI ที่กำหนดวันวางขายอัลบั้มที่แน่นอนของเธอช้า


.............................................................................................................................


Keane - Perfect Symmetry





กำหนดวางขาย : 13 ตุลาคม

กลับมาหลังจาก : หายไปสองปี หลังจาก Under the Iron Sea โคตรจะโด่งดังและมียอดจำหน่าย 2.5 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก
โปรดิวเซอร์ : โปรดิวซ์เองร่วมกับ Andy Green, Jon Brion และ Stuart Price
แนวทาง: แปลก เปลี่ยนไป และเข้มข้นกว่าเดิม สังเกตได้จาก Spiralling
ที่ขนาดอินโทรขึ้นมาก็แทบตกเก้าอี้
ขณะที่เพลงอื่นๆซึ่งจะตามมายังคงจะได้เห็นแนวเดิมพวกเขาอยู่แน่นอน
คีย์แทรก: เมื่อไม่นานนี้ก็ให้ดาวน์โหลด Spiralling แบบฟรีๆ ไปฟังกันยั่วน้ำลาย
เรียกน้ำย่อยและลืมสไตล์เปียโนนุ่มละมุนไปพลางๆแล้ว The Lovers Are Losing
จะเป็นซิงเกิ้ลแรก มีกำหนดrelease วันที่ 20ตุลาคม
รายชื่อเพลง
'Spiralling'
'The Lovers Are Losing'
'Better Than This'
'You Haven't Told Me Anything'
'Perfect Symmetry'
'You Don't See Me'
'Again And Again'
'Playing Along'
'Pretend That You're Alone'
'Black Burning Heart'
'Love Is The End'

ข่าวคราว: Spirallingมียอดดาวน์โหลดกว่าห้าแสนครั้งในหนึ่งอาทิตย์ที่พวกเขาปล่อยให้โหลดกันฟรีๆ
เพลงนี้เขียนและโปรดิวซ์โดย Keane เองทั้งหมดและบันทึกเสียงอยู่ Teldex
Studio กรุงเบอร์ลินเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
และนับจากเฉพาะยอดดาวน์โหลดอย่างเดียวเพลงนี้ก็ไต่ UK Singles Chart
ไปอยู่ที่อันดับ 26
เกร็ดอื่นๆ : Jesse Quinn เข้ามาช่วย Keane เล่นเบสและกีต้าร์ รวมถึงได้เครดิตร่วมในการแต่งเพลง Spiralling


..................................................................................................................


Off With Their Heads อัลบั้มที่สามของ Kaiser Chiefs





กำหนดวางขาย : 13 ตุลาคม

กลับมาหลังจาก : ปีที่แล้วสร้างความประทับใจไว้กับ Yours Truly, Angry Mob ที่ขึ้นอันดับหนึ่งของชาร์ต UK มาแล้ว

โปรดิวเซอร์ : Mark Ronson และ Eliot James

แนวทาง: Never Miss A Beat ซิงเกิ้ลแรกอาจดูแปลกไป แต่นี่คือ Kaiser Chiefs
จริงๆ ไม่ผิดแน่ ถึงจะไม่ใช่ Stephen Street มาโปรดิวซ์ให้เหมือนเก่า
แต่อะไรแปลกๆที่แฟนวงนี้ชอบยังคงอยู่ เนื้อหาเพลงยังคงความเป็นพวกเขา
ประเภทใส่ด้านมืดหม่น ด่าสังคม
และเพิ่มอารมณ์ใหม่กับแขกรับเชิญมากมายที่มาร่วมทำอัลบั้ม

คีย์แทรก: Never Miss A Beat เป็นซิงเกิ้ลแรกที่จะ release วันที่ 6 ตุลา
เพลงนี้โปรดิวซ์โดย Mark Ronson รวมถึงมีเสียงร้องแบ็คอัพโดย Lily Allen
และ New Young Pony Club ขณะที่อีกครั้งLily Allen จะมาโผล่ใน Always
Happens Like That
รายชื่อเพลง
1."Spanish Metal"
2."Never Miss A Beat"
3."Like It Too Much"
4."You Want History"
5."Can't Say What I Mean"
6."Good Days Bad Days"
7."Tomato In The Rain"
8."Half The Truth"
9."Always Happens Like That"
10."Addicted To Drugs"
11."Remember You're A Girl"

ข่าวคราว: มีหลายคนที่มาร่วมแจมในอัลบั้มนี้รวมถึง David Arnold
ผู้ประพันธ์สกอร์หนังบอนด์ชื่อดัง จะมาช่วยเรื่องออร์เคสตร้าใน Always
Happen Like That กับ Like It Too Much และแร็ปเปอร์ Sway กับเพลง Half
The Truth

เกร็ดอื่นๆ : เพราะจะออกอัลบั้มใกล้กับ Dig Out Your
Soul ของOasis ซึ่งกำหนดออกก่อนหน้าในวันที่ 6 เลยมีอะไรให้มาด่ามากัน
ช่วงนี้ทั้งสองเลยทำสงครามประสาทผ่านสื่อกันอยู่เนืองๆ


...............................................................................


ข่าวอื่น


<< The Verve กับ อัลบั้มForth กลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีหลังจากเพิ่งrelease ในUK เมื่อวันที่ 25 ส.ค. ณ เวลานี้ทะยานขึ้นอันดับหนึ่ง UK Album Chart ได้สำเร็จแล้ว อัลบั้มนี้โดยรวมปลื้มมาก ถึง Love is noise จะไม่โดนใจเท่าไหร่ แต่เพลงอื่นๆสุดยอด เช่น ตอนนี้กำลังอินกับ Sit and wonder ยิ่งไปดูแบบlive ยิ่งขนลุกไปใหญ่>>




<<ไม่ต้องรอกันให้นานอีก อยากฟังColdplay จะได้ฟังจุใจ คริส มาร์ตินเิ่พิ่งให้สัมภาษณ์ว่าเร็วๆนี้จะมี EP
ชื่อ Prospekt's March ออกมาเป็นของขวัญคริสต์มาสปีนี้ มีกำหนดขายวันบ็อกซิ่งเดย์ ซึ่งจะรวมถึงการร่วมงานกันไคลี่ มิโนกในเพลง Luna เ่ท่านี้นยังไม่พอ คุณColdplay ยังจะขยันทำงานต่อ อัลบั้มใหม่ต่อจาก Viva la vida..จะตามมาในปีหน้าเดือนธันวา ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็เตรียมตัวรอฟังกันปีหน้าต่อเลย>>



ปิดท้ายที่อันนี้แหละกัน รายชื่อผู้เข้าชิง Q AWards ปีนี้


Coldplay นำมา อิอิ


:: BREAKTHROUGH ARTIST – Duffy; Adele; Santogold; Bon Iver; Gabriella Cilmi.


:: BEST NEW ACT - Fleet Foxes; Glasvegas; The Ting Tings; The Last Shadow Puppets; Vampire Weekend.


:: BEST TRACK - Keane – Spiralling; Duffy – Mercy; Coldplay - Violet Hill;

Katy Perry - I Kissed A Girl; The Ting Tings - That's Not My Name.


:: BEST VIDEO - Hot Chip - Ready To The Floor;
Coldplay - Violet Hill; The Ting Tings - That's Not My Name; Vampire
Weekend - A-Punk; Goldfrapp - Happiness


:: BEST LIVE ACT - Kaiser Chiefs; Kings Of Leon; Nick Cave And The Bad Seeds; The Verve; Rage Against The Machine.


:: BEST ALBUM (sponsored by Nixon) - Coldplay -
Viva La Vida Or Death And All His Friends
; Fleet Foxes - Fleet Foxes;
The Last Shadow Puppets - The Age Of The Understatement; Vampire
Weekend - Vampire Weekend; Nick Cave And The Band Seeds - Dig!!!
Lazarus, Dig!!!


:: BEST ACT IN THE WORLD TODAY (Sponsored by Russian Standard Vodka)Coldplay; Oasis; Muse; Metallica; Kings Of Leon.





---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ปล. ขอระบายนิด อาจไม่สุภาพหน่อย โปรดหลีกเลี่ยง มันประกอบไปด้วยอคติและคห.ส่วนตัวล้วนๆ คือ ไม่ชอบThe Ting Tingsมากๆ อย่างแรง นี่มันวงที่เกิดมาสร้างสรรค์วิมานเหวอะไรฟะเนี่ย จริงๆ ตอนแรกก็ชอบด้วยซ้ำ เพราะ Great DJ ท่าจะดี แต่หลังๆฟังแล้ว โอ๊ย! เนื้อเพลงก็ปัญญาอ่อน ช่วงนี้เห็นได้เข้าชิงอะไรต่างๆมากมาย เห็นแล้วก็งง มันดีจริงดิ พยายามเปิดใจแล้วนะ ฟังทุกเพลงแล้ว แต่...ไม่ไหวๆ รับไม่ได้ Smiley Shut up and let me go เอ่อ แกน่ะฟังเพลงตัวเองดูซะ แล้วshut the f**k upไปเลย


ปล. อีกที Vampire Weekend เป็นวงที่ทำเอ็มวีน่ารักจริงๆนะ A Punk ดูแล้วก็อดขำไม่ได้ทู้กที นี่ดิ คุณภาพ หุหุ







 

Create Date : 02 กันยายน 2551    
Last Update : 3 กันยายน 2551 0:14:21 น.
Counter : 1948 Pageviews.  

TRAVIS’S NEW ALBUM - ODE TO J. SMITH



Ode to J.Smith อัลบั้มใหม่อันดันดับที่หกของ Travis วงอินดี้ร็อคจากกลาสโกว์
จะออกวางแผงในวันที่จันทร์
ที่ 29 กันยายนนี้ตามเวลาสหราชอาณาจักร ในรูปแบบซีดี แผ่นไวนิล และดิจิตอลฟอร์แมต
สำหรับอัลบั้มนี้เป็นครั้งแรกที่
Travis แยกจาก Independiente
Records มาสู่
ชายคาหลังใหม่ของ Red Telephone Box ของตัวพวกเขาเอง และยังเป็นที่ซึ่งพวกเขาเคยออก EP All I Want To Do Is Rock เมื่อปี 1996 สมัยยังหน้าใสและพ่อ Fran ยังมีผมปรากฏให้เห็น ในช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้า Red Telephone Box ก็ได้ออก EP J.Smith มาขาย และนั่นก็ทำให้เพลง J.Smith ขึ้นอันดับหนึ่ง อินดี้ซิงเกิ้ลชาร์ตมาแล้ว



รายชื่อเพลงทั้งหมดใน Ode to J.Smith


01:Chinese Blues

02: J. Smith

03: Something Anything

04: Long Way Down

05: Broken Mirror

06: Last Words

07: Quite Free

08: Get Up

09: Friends

10: Song To Self

11: Before You Were Young



แบบเจแปนอิดิชั่นจะมีโบนัสแทรกเพลงSarah มาด้วย(เพลงนี้ก็อยู่ใน EP J.Smith)



อัลบั้มนี้ได้Emery Dobyns มารับหน้าที่โปรดิวซ์ให้ โดยทำการบันทึกเสียงอยู่ที่ RAK Studios
ในกรุงลอนดอนช่วงเดือนกุมภาพันธ์กับมีนาคมที่ผ่านมา หลังจากนั้น
Fran จึงเดินทางไปมิกซ์เสียงที่นิวยอร์กจนถึงเดือนเมษายน



ซิงเกิ้ลแรกมีชื่อว่าSomething Anything โดยเพลงนี้จะถือว่าเป็นซิงเกิ้ลแรกของ Travis ที่ไม่ได้แต่งโดย
Fran แต่เป็นมือเบส Dougie Payne มาแสดงฝีมือแทน กำหนดการ
วางจำหน่าย คือวันที่ 15 กันยายน มีทั้งในรูปแบบซีดีและดิจิตอลดาว์นโหลดที่จะมีเพลงพิเศษสองเพลง คือ Tail
Of The Tiger ฝีมือการเขียนโดย Dougie
อีกเช่นกัน และเพลง
Used To Belong
ขณะที่แบบแผ่นไวนิลมี Lola ซึ่ง Travis ไปคัฟเวอร์ของ The Kinks มา






อาร์ตเวิร์กของซิงเกิ้ลนี้ออกแบบโดย
Fran เอง ขอให้พยายามมองให้เป็นรูปหัวใจ อย่าได้มองเป็นอย่างอื่น และแฟนๆ Travis
ที่เอะใจว่า
โลโก้ทราวิสแสนสวยอันป็นเอกลักษณ์หายไปไหน
อันนี้
Fran บอกเองว่า(ตอบในเว็บบอร์ดทราวิสออนไลน์) ถึงคราวต้องเปลี่ยนใหม่เพราะเห็นฟอนท์นี้ถูกนำไปใช้เยอะเหลือเกิน
ฉะนั้นเพื่อเป็นการเปลี่ยนแปลง สังกัดใหม่ ทิศทางใหม่
ชุดใหม่แล้วก็ต้องฟ้อนท์ใหม่ด้วย

ล่าสุดเมื่อวันที่
13 ที่ผ่านมา มิวสิกวิดีโอเพลง Something Anything ก็ถูกเผยแพร่ให้ได้ดูกัน
<<<ตามนี้แหละดูได้เลย >>>







***ยังไม่ได้ดูข้ามไปนะจ๊ะ มีสปอย์ล ฮ่าๆ!!!***




ครั้งนี้วงก็กลับไปร่วมงานกับ Michael Baldwin ให้กำกับเอ็มวีอีกครั้ง หลังจากใน The Boy With No Name นั่นก็เป็นผลงานของเขาทุกเพลง ในเพลงนี้ เราจะได้เห็นพ่อ Andy ในเวอร์ชั่นใหญ่ยักษ์ 10 ฟุต
ที่กลายมาเป็นศูนย์กลางของเอ็มวี มิใช่
Fran อย่างเคยๆ
ทำอะไรตลกน่อมแน้มอย่างโซโลกีต้าร์ซะจนเพื่อนร่วมวงกลัว โดยเฉพาะ
Fran ที่รู้สึกกลัวจนผมหายหมด



ฮ่าๆๆๆ


อ้าว
ไปว่าพี่ฟรานทำไมเนี่ย


แต่จริงๆนะ ยิ่งเวลาผ่านไป ออกอัลบั้มใหม่ทีไร
ผมฟรานจะหายไปเรื่อยๆทุกที



อีกอย่างเสื้อผ้าที่วงใส่ก็คุ้นๆเหลือเกิน
โดยเฉพาะเสื้อที่ฟรานใส่ จำได้แม่น
(ระ) ยำเลยว่าเป็นตัวที่ใส่มาไทย ลือเกิน
โดยเฉพาะเ



แถมใส่ตั้งสองรอบคือวันที่แถลงข่าวกับตอนวันหลังแสดงคอนเสิร์ตเสร็จ



เขาเอารูปมายืนยันเลย
เสื้อเนี่ยใส่หลายครั้งจริง ซักยังล่ะคะเนี่ย



***ตอนแถลงข่าวคอนเสิร์ตในไทยวันที่ 28 ก.ค. ***




***หลังเล่นคอนเสิร์ตที่โรงแรมดุสิตธานีซึ่งจขบ. อุตส่าห์ไปดักมา
ขอยืมรูปจากหมาที่มีความเฮี้ยนสูง แต่ตัดรูปแกออกนะยะ ฮ่าๆ
***







นอกจากตัวเพลงที่ทำให้หวนเพ้อไปถึง
All I Want To Do Is Rock อย่างมากมายแล้ว แน่นอนว่าคาดการณ์ได้เลยว่าอัลบั้มนี้คงต้องได้ความรู้สึกเก่าๆจาก
Good Feeling กลับมาได้บ้างไม่มากก็น้อย



แฟนๆทราวิสโปรดรออัลบั้มนี้ด้วยความระทึกใจพลัน!!!


**หมายเหตุ ข้อมูลประกอบมาจากวิกิฯ และทราวิสออนไลน์***

<<< เพิ่มเติมอื่นๆ >>>

Song to self live in BKK


J.Smith


คลิปตลกๆเมื่อฟรานไปออกรายการ Da Ali G Show งานนี้โดนซาช่า บารอน โคเฮนอำซะเละ


บล็อกของฟราน

สั่งซื้ออัลบั้มได้ที่นี่






 

Create Date : 17 สิงหาคม 2551    
Last Update : 17 สิงหาคม 2551 1:46:05 น.
Counter : 846 Pageviews.  

TRAVIS LIVE IN BKK-Thank you for awesome night and please come back again



ทราวิสๆๆๆๆๆ
ทราวิสมาไทย
ต้องไปดูทราวิส
รักทราวิส
ถึงจะไม่ได้ติดตามวงนี้แต่ต้น ตั้งแต่อัลบั้มแรก แต่ทราวิสก็กลายมาเป็นหนึ่งในวงที่รักอย่างรวดเร็ว
เพราะทราวิสน่ารัก
ทราวิสทำให้คนรัก


วันที่ 29 ก.ค. 2551 จะไม่ลืมวันนี้เด็ดขาด
จะจำไว้




เราซื้อบัตรยืนสองพันห้า ไปรอโอเวอร์ตั้งแต่บ่ายโมงกว่า กะว่าต้องได้เกาะขอบรั้วอยู่หน้า
ก็ได้อยู่สมใจ
ก่อนงานเราก็เดินสำรวจทั่วๆไป อันนี้เกิดอาการน้อยใจอย่างเห็นได้ชัดเลยว่าทำไมผู้จัดเขาสนใจทราวิสน้อยจัง บูธมีแต่อะไรเกี่ยวกับsimple plan
โปสเตอร์travis จะให้ไปถ่ายรูปคู่ก็ไม่มี
และอีกอย่างเราไปถามพี่ที่ขายตรงบูธเสื้อว่ามีเสื้อtravisมั้ย เขาดันบอกว่าไม่เคยทำซะงั้น
โหย อันนี้โคตรน้อยใจเลย
ยิ่งเวลาผ่านไป เห็นคนเริ่มเยอะขึ้น แต่งตัวท่าทางมาดูsimple planทั้งนั้น เด็กๆอ่ะค่ะ
ไอ้เราก็คิดว่าคงเป็นกลุ่มแฟนtravisในจำนวนน้อยที่ไปรอมั้ง

ค่ะ นั่นก็เป็นส่วนความรู้สึกก่อนเข้าไปดู
จนประตูเปิดแล้วเข้าไปนั่นแหละ
กว่าจะได้ดูตั้งนานเนอะ
ยิ่งแรกๆตรงส่วนบัตรยืนมันดูเหมือนว่าจะไม่เต็ม ที่อื่นๆก็โหวงเหวง แอบใจเสียเลย เพราะอยากให้ทราวิสประทับใจ เขาจะได้มาไทยอีก มาแบบคอนเสิร์ตเต็มๆ
แต่จริงๆเวลาผ่านไป คนก็เยอะมาก เกือยเต็มเลย ดีใจๆ

ด้านsimple planอันนี้ก็มันส์ดีค่ะ โดดไม่ยั้ง ใส่เต็มที่
แต่ช่วงรอทราวิสมากันนี่ยิ่งตื้นเต้น
ข้าพเจ้าไม่สนอะไรทั้งนั้น แหกปากร้องเรียกอย่างเดียว ฮ่าๆ

และแล้ว เวลารอคอยก็มาถึง
ใส่มันเต็มที่ ทุกเพลง ตะโกนเสียงแหบเสียงแห้ง
โคตรรรรรรรดีใจ ดูจบก็แอบร้องไห้ซึ้งๆ

ตามสไตล์ที่ว่าแอบหายไปก่อน บ๊ายบาย ขอบคุณแล้วกลับมาใหม่
แฟนๆก็ตะโกนทราวิสๆๆๆๆ
อี้ ไปไม่ได้ เราเลยตะโกนให้กลับมาร้องFWITD


กรี๊ดดด แล้วก็กลับมาร้อง คงจะจำได้เพราะเป็นตอนที่น่าประทับใจมากเลย
เห็นทั้งวงมายิ้มแป้นหน้าบานเรียงแถวร้องกัน ขณะที่คนดูก็ร้องตาม เราเป็นแค่คนดูยังประทับเลยอ่ะเนอะ
คนที่ยิ้มตลอดนี่ Dougie แกน่ารักดีอ่ะ ท่าทางนิสัยดีไม่น้อย
โอ ซึ้งจัด

และเพลงสุดท้ายจ๊ะ WDIAROM โอยๆ ไม่อยากให้จบเลยอ่ะ
ในที่สุดก็ไปนะ ประทับใจมากๆค่ะ และตื้นตันเพราะจากตอนแรกนึกว่าแฟนSP จะเยอะ เอาไปเอามา ตอนช่วงทราวิสทุกคนร้องเพลงดังซะขนาดนี้ เราล่ะเป็นปลื้ม
หวังเหลือเกินว่าพวกเขาจะประทับใจกับแฟนๆและกลับมาอีก
ได้โปรด......

setlist ไม่เรียงนะ เพราะเราก็ลืมๆ
Chinese Blue ขอโทษค่ะ ขึ้นมาแล้วได้แต่อ้าปากงง แล้วเสียงก็เป็นแปลกๆ ดังน่าเกลียดด้วย เป็นเพราะเครื่องเสียงอ่ะป่ะ
Pipe Dreams
Writing to Reach you
Selfish Jean อีกเพลงที่รอ ดิ้นเต็มที่
Eyes Wide Open
Beautiful Occupation
Side
Love Will Come Through
Closer น่าจะดังที่สุดเลย ตอนคนดูร้องหนิ โอ้โหย!!!
Sing สุดๆ
J.Smith เราชอบนะ
Song to Self เห็นว่าฟรานบอกว่าซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้มใหม่ เพิ่งได้ฟังครั้งแรกเลย
Driftwood
All I want to do is Rock
Turn
Flowers In The Window
Why Does It Always Rain On Me


กรี๊ดดดดดดดดดด

จากนั้น วิ่งแจ้นไปดักวงที่โรงแรมที่เขาพัก ได้ลายเซ็นนิดหน่อย แต่ช่วงนั้นสติกระเจิง จำอะไรไม่ค่อยได้อ่ะ
แต่ทั้งวงก็เป็นมิตรมากค่ะ นิสัยดี
ได้ถ่ายรูปกับฟราน จับมือสองที คุยนิดหน่อย
ก่อนจากบอกเขาว่ากลับมาเมืองไทยอีกนะ แล้วพี่ฟรานก็ขยิบตาให้พร้อมเดินจากไป
ว้ากกกกกกกก
ตัวสั่นมากช่วงนั้น ฮือๆ ปลื้มก็ปลิ้ม
หวังว่าวงคงจะจำคำพูดเรา และความรู้สึกของแฟนๆหลายคนพร้อมกับกลับมาอีก

ได้โปรดค่ะ
We love you!!!

รักทราวิสเฟ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย




จะรออัลบั้มใหม่นะ อันนี้ก็บอกวงตอนได้เจอด้วย

ร้องไห้หลังดูจบ ร้องไห้อีกกลับมา
บรรยายความรู้สึกไม่ถูก
พูดยาก
ทุกอย่างยังตราตรึงในหัวใจ จะเก็บเป็นความทรงจำที่สวยงามไม่มีวันลืมเลือน
นึกถึงเสียงเพลงที่ยังดังก้องในโสตประสาท
นึกถึงมือที่ได้จับฟราน
นึกถึงตอนที่ฟรานขยิบตาให้แล้วเดินจากไป
นึกถึงช่วงที่ทั้งฮอล์ร้องเพลงด้วยกัน


โอววววววววววววววววววววว
ขออีกที
รักทราวิสเฟ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2551 18:06:48 น.
Counter : 747 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

Lucy in the sky with diamonds
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]







New Comments
Friends' blogs
[Add Lucy in the sky with diamonds's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.