อืม กระแสบริทในปีนี้ มันบึ้มบั้มกันจริงๆนะ ที่ออกกันมามีแต่วงบิ๊กๆทั้งนั้นด้วย เราได้เห็นวงอย่าง The Kooks และ The Fratellis กลับมาในอัลบั้มสอง กลางปีที่เราได้เห็น Coldplay ไปเหยียบชาร์ตอเมริกา ทั้งอัลบั้ม ทั้งเพลง Viva la vida ฉันคงได้ตายแบบตาหลับแล้วเมื่อมีเพลง Coldplay ขึ้นอันดับหนึ่งยูเคชาร์ตและบิลบอร์ดซะที พ่อเจ้าประคุณรุนช่อง ควีนอลิซาเบธ!!! ไม่มีกลุ่มของศิลปินจากเกาะอังกฤษหน้าไหนทำได้มานานบรม นับแต่ Wanna be ของป้าๆ Spice Girls ตั้งแต่ เอ่อ... ปีไหนนี่แหละ ไม่ให้หายใจหายคอ The Verve ยังอุตส่าห์กลับมารียูเนียน เสิร์ฟออเดิร์ฟผ่านคอนเสิร์ตในเฟสฯที่ต่างๆ โดยเฉพาะกลาสตันเบอร์รี่ให้เราสดับรับฟัง Love is noise หรือ Sit and wonder ก่อนที่ Forth จะโดนเข็นออกมา และแน่นอนว่ามันขึ้นอันดับหนึ่งยูเคชาร์ต Travis วงที่ใครๆเขาก็ยอมรับว่าเจ๋งจริงและมีความสำคัญในการให้กำเนิด Coldplay แต่กลับต้องอยู่ภายใต้ร่มเงาวงของนายคริส มาร์ตินมาตลอดซะงั้น อย่างไรก็ดี Ode to J.Smith ยังเป็นงานคุณภาพและพวกเขายังเป็นวงที่แฟนๆรักใคร่อยู่เสมอมา ปลายปีคือการขับเคี่ยวกันอย่างเมามัน เริ่มจากวงตัวพ่อสมัยบริทพ็อพเรืองอำนาจอย่าง Oasis กลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีกับ Dig out your soul ยืนหยัดเชิดหน้าชูตาบนอันดับหนึ่งชาร์ตอังกฤษ อาทิตย์ถัดมา Perfect symmetry ของ Keane ขอเบียดไปสูดอากาศข้างบนบ้าง ด้วยการกลับมาสไตล์ใหม่แบบ โจ๊ะ โป๊ะ ป๊ะเท่งป๊ะ และใช้ไม่ได้แล้วกับคำว่าวงที่ไม่มีกีต้าร์ ทั้งสองอัลบั้มของ Keane และ Oasis เปิดตัวอยู่ในเกณฑ์ดีที่ฝั่งอเมริกา Off with their heads จาก Kaiser Chiefs ยังเป็นอีกตัวสอดแทรกสำคัญ วงนี้เองที่ฉันคิดว่าพวกเขาเป็นหัวกะทิอีกวงในแกนนำที่ยังคงความเป็นบริทพ็อพดั้งเดิมไว้อยู่ พวกเขามีความคิดแบบเด็กหนุ่ม แนวดนตรีเจ๋ง(ติดหูง่ายดี)ที่มาพร้อมกับเนื้อหาวิพากษ์สังคมสมัยใหม่ของอังกฤษ Off with their heads เป็นอัลบั้มที่จับมือร่วมกันปรุงแต่งกับมาร์ค รอนสันที่ต้องการครองเมืองแข่งกับทิมบาแลนด์อีกคน เพลงแบบ Kaiser Chiefs ยังมีสิ่งนึงที่ทำได้มากกว่าวงอย่าง Keane หรือ Snow Patrol จะทำได้ ก็กระโดดดึ๋งๆอย่างเมามันส์หรือชูกำปั้นสุดเหวี่ยงไปกับเพลงยังไงล่ะ นับจากนี้ก็เป็นการรอคิวกันของ Snow Patrol - A hundred million suns ( ฉันสยบตั้งแต่เห็นชื่ออัลบั้มเลยทีเดียว ) Razorlight – Slipway fires กระทั่ง Stereophonics ก็ยังมีแก่ใจจะออกรวมฮิต เอาล่ะ พวกที่กล่าวมาทั้งหมด หลายคนอาจแย้งว่ามันนับเป็นบริทพ็อพไม่ได้เฟ้ย เฮ่ออออ ก็ถูกอ่ะ คำว่า “บริทพ็อพ” ตามความหมายอย่างเจาะจงจริงๆตายสนิทไปตั้งแต่ปลายยุค 90’s แล้วจริงๆ ... แต่ยังไงซะบริทพ็อพยังคงตกผลึกมาให้เราเห็นอยู่ แม้ภาพลักษณ์กับงานจะต่างไปบ้าง เพราะแน่นอนว่ามันย่อมเปลี่ยนไปตามยุคสมัย และวงต่างๆข้างต้น แม้อาจจะไม่ได้ถึงขนาดทำให้บริทพ็อพกลับมารุ่งโรจน์โชติช่วงได้ในแบบที่ Oasis, Blur และเพื่อนๆเคยทำมา อย่างน้อยนี่ก็เป็นสัญญาณสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงกระแสความนิยมในบริทและโดยเฉพาะกับพวกเราคนฟัง ภูมิใจตายเลยสินะ (ได้เห็นเพลงพวกนี้ขึ้นชาร์ตสูงๆหรือสื่อเปิดบ่อยๆแล้วก็แอบดีใจทุกครั้ง) ว่าแล้วก็อุทานด้วยสำเนียงบริติชปิดท้าย “ F o ’ G o d ’ s S a k e ! ! W h y k k a a a n ’ t y e j u s t l e t m e h t a k e e b r e a k ? ” ( ซับไตเติ้ล : โอย ตายหงส์เป็ดห่านทั่วทุกสรรพสัตว์หละที่นี้ พ่อคุณเอ๊ยยยย ได้โปรดเห็นแก่พระโพธิสัตวอวโลกิเตศวรด้วยเถอะ นี่จะไม่ให้อิชั้นได้พักหายใจหายคอเลยเหรอฟะ เสียตุ้งเสียตังค์บานเบอะแย้ววววว )
Snow Patrol - จากหมีขั้วโลกเป็นสายตรวจหิมะ
Snow Patrol เป็นวงที่ดังระเบิดระเบ้อเลยนะ หากเอาไมค์ฯไปจ่อปากสัมภาษณ์คนเดินถนนดู เราจะได้คำตอบราวๆนี้ “Chasing Cars!!!” “Chasing Cars ค่ะ” “Chasing Cars ครับ” “Chasing Cars เลยเพ่” “Chasing Cars, dude!!!” “ อิ๊ฟ ไอ๊ เหล้ เฮี้ย ...” ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แหม ใครบอกว่าพวกเขาเป็นพวก one hit wonder นี่ผิดถนัดเลยเชียว Snow Patrol ถือเป็นหนึ่งในระดับบิ๊กเนมของวงจากเกาะอังกฤษ ณ ปัจจุบัน และถ้าพูดให้ถูกไปอีก นับความสำเร็จของพวกเขาไปด้วย นี่เป็นวงที่ทำยอดขายได้เร็วสุด มากสุดวงหนึ่งในศตวรรษนี้เลยทีเดียว แต่เพราะได้รับความขอบคุณจาก Grey’s Anatomy นิดๆหน่อยๆ Chasing Cars เลยเปรี้ยงปร้าง และอำนวยอวยชัยช่วยยอดขายพุ่งกระฉูดในอเมริกา Chasing Cars นี่มันกระหึ่มเถิดเทิงขนาดยืนหยัดในท็อป 75 ของยูเคชาร์ตได้ถึง 68 อาทิตย์ และถ้าลองเปิดไปดูชาร์ตเพลง UK ณ เวลานี้ดู มันก็ยังสถิตเสนอหน้าประทับอยู่ในท็อปร้อย มายก็อดดดด!!! หนังเหนียวดีแท้ A Hundred Million Suns คือ สินค้าส่งออกสำคัญส่าสุดของสก็อตแลนด์ (จริงๆสมาชิกมีภูมิลำเนาที่ไอร์แลนด์ทั้งนั้น แต่ต่างมาเรียนและได้ฟอร์มวงกันที่สก็อตแลนด์) อัลบั้มนี้โปรดิวซ์โดยอีกหนึ่งโปรดิวเซอร์มือทองของวงการ แจ็คไนฟ์ ลี คนเดิมที่ทำ Final Straw กับ Eyes Open ผู้ผ่านการเจียระไนงาน U2 มาแล้ว และทำอัลบั้มล่าสุดของ Bloc Party และ R.E.M นี่เป็นอัลบั้มที่ห้าของวงซึ่งหลายคนก็คงงงล่ะ จีสัด ไข่!! นี่มันออกมาตั้งห้าอัลบั้มแล้วเหรอ เหมือนจะรู้จักมักจี่กันเมื่อวันซืนเอง ค่ะ... พอดีสมัยอัลบั้มแรกๆของวง ฉันก็ไปเข้าป่า ไถนาอยู่ ไม่รู้จักพวกมันเหมือนกัน เพราะ Snow Patrol ไปแอบทำเพลงตามซอกหลืบกับค่ายเล็กๆในกลาสโกว์ชื่อ Jeepster (ของ Belle and Sebastian ด้วยนี่เอง) ด้วยชื่อวงสมัยนั้นว่า Polarbears (ขอบคุณสวรรค์ที่เปลี่ยนชื่อในที่สุด) Songs For Palarbears คืออัลบั้มแรก ก่อนจะทำ When It's All Over We Still Have To Clear Up ตามมา แล้วมันก็ดังระเบิดเถิดเทิง พลุแตกโป๊ะๆ ซะเมื่อไหร่ล่ะ ถึงคำวิจารณ์จะพอกินได้ แต่ยอดขายน่าอนาถเป็นที่สุด ชาวบ้านชาวช่องก็ยังไม่ค่อยรู้จักกัน ถึงขนาดว่าแกรี่ ไลท์บอดี้ หัวหน้าวงยังบอกว่านี่พวกเขาทำเพลงในช่วงกว่าสิบปีนั้นเพียงเพื่อให้คนหกพันคนซื้อไปฟังเท่านั้นเชียวหรือ ว่าแล้วเขาก็ลำบากขนาดต้องเอาคอลเลกชั่นซีดีตัวเองมาขายประทังชีวิตและจ่ายค่าเช่าบ้าน ก่อนจะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดโดนต้นสังกัดลอยแพ กลับไปโอ๊ะโอ๋ Belle and Sebastian อย่างเดิมดีกว่า Run เพลงนี้ได้ทำให้พวกเขาโล่งใจ เป่าปาก ตดออกซะที ทำเพลงมาตั้งนาน ชาวโลกได้รู้จักกันก็คราวนี้ กับอัลบั้มลำดับสาม Final Straw ที่ไปอยู่กับ Polydor ค่ายใหม่ใหญ่กว่าเยอะ แน่นอนว่าอัลบั้มนี้คือของจริงและมีเพลงเยี่ยมๆมากมาย สำหรับฉัน เมื่อแรกฟังงานพวกเขาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า การยอมจำนนโดยดุษณี สโรราบกราบและมอบหัวใจ แฮะๆ ฉันรักดนตรีแบบนี้แหละ ว่าแล้วก็รวบรัดมันมาเป็นวงบังคับที่ต้องตามฟัง ก่อนที่ Eyes Open จะโด่งดังและยอดขายกระฉูด ขณะที่เดินไปที่ไหนๆ เราอาจจะได้ยิน Chasing Cars แต่ก็อย่าลืมว่าอัลบั้มนี้ยังมีเพลงเจ๋งๆอย่าง Shut Your Eyes, Make This Go On Forever , You're All I Have หรือ Open Your Eyes
ความรู้สึกอย่างย่อหลังฟัง A Hundred Million Suns
If there’s a rocket tie me to it - แทร็กเปิดตัวที่เลือกได้สุดยอด อูยๆ เนื้อหาเพลงก็หวานจ๋อยโฮก แรกๆมาก็ยังโอเค เฉยๆ แต่พอตรงท่อนคอรัสที่เปิดทางมาให้คุณพี่แกรี่โชว์เสียงอันแบบเป็นเอกลักษณ์กับจังหวะกีต้าร์มันส์ๆที่ขึ้นมาปุ๊บก็.... สาโนว์ แพทโธรวววว์ มันกลับมาแล้วววว ฟังไปก็จะมันส์ขึ้นไปเรื่อยๆในแต่ละช่วง น่าจะตัดเป็นซิงเกิ้ลนะ ขอเชียร์เพลงนี้ คงติดหูได้ง่ายอยู่แล้ว Crack the shutters - เพราะอีกแล้ววววววว โมโลดี้ของเพลงยังคงความเป็นเครื่องหมายการค้าแบบ Snow Patrol ไว้อยู่ จังหวะเพลงดูแปลกแต่น่าสนใจ และรู้สึกติดหูง่ายอีกแล้วอ่ะ ฟังสองเพลงแรกจบแล้วชอบตั้งแต่แรกฟังเลย นี่ก็น่าจะเป็นซิงเกิ้ลได้เหมือนกัน Take back the city - โว้ โว โว่ โหว่...ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้ม จริงๆตั้งแต่ได้ฟังครั้งแรกก็จะเฉยๆอยู่แล้ว เพราะมันยังคล้ายได้ฟังแนวเดิมๆ เหมือนเอา Hands open มาล้างน้ำ ปรุงรส เยาะโน่นนี่นิดนึง แล้วแปะป้ายตีตราว่าเป็นซิงเกิ้ลใหม่ แต่จะว่าไป ฟังไปหลายๆทีแล้วก็ติดหูดีนะ ท่อนฮุคเท่ๆร้องตามหนุกๆ คึกๆดี เพียงแต่คนอาจจะคาดหวังให้มาดีๆอย่าง Chasing cars หรือต้องดังเปรี้ยงอะไรแบบนั้น บ้างก็ว่าไอ้วงนี้ไม่มีทางทำอะไรได้แบบ Chasing cars อีกแล้ว แหม่ๆ ไม่เห็นจะต้องขนาดนั้นเลย แค่นี้ก็พอฟังแล้ว คือ ขอบอกว่ารู้สึกคนส่วนใหญ่(ฉันด้วย) ฟังเพลงนี้ครั้งแรกแล้วจะเฉยๆ แต่นั่นแหละ อย่างที่บอกว่า ลองฟังหลายๆครั้งแล้วจะติดนะ ฮ่าๆ เดี๋ยวจะเผลอกระทืบเท้า ปรบมือ ผงกหัวเอาได้ง่ายๆ Lifeboats - ตายตกหกกระโถนโดนกระเถร!! เพลงนี้ฟังดูเหมือนไม่ใช่วงนี้เลย ให้ตายสิ! ช่วงแรกๆอย่างกับแจ็ค จอห์นสันมาเอง แนวใหม่พวกเขาล่ะทีนี้ ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เป็นง่วงๆ แต่ โอเค อาจจะรู้สึกดาร์กไซด์อะไรแบบนั้นมานิดๆ มันอาจจะดีที่ลองอะไรใหม่ๆ เอ่อ แต่รู้สึกมันยังไม่ดีพอยังไงไม่รู้ The golden floor - ต่อด้วยเพลงนี้ก็เกือบหลับได้ที่เลย เสียงเคาะๆตอนแรกที่ขึ้นมาก็น่าสนดีอยู่หรอก แต่พยายามฟังเท่าไหร่ก็ยังไม่โดน เหมือนเริ่มต้นอัลบั้มได้สวยๆแล้วมาตายช่วงกลางอะไรอย่างนั้น Please just take these photos from my hands - ค่อยดีขึ้นหน่อย ฟังไปเรื่อยๆแล้วโอเคเลย ถึงความหมายจะเศร้า โหยหา อาลัยเรื่องอดีต แต่จังหวะยังมันส์ได้ด้วยเสียงอื้ออึงของกีต้าร์และกลอง Set down your glass – มาง่ายๆกับเสียงกีต้าร์ที่ดูเหมือนอคูสติกตอนแรก เฉยๆ พอฟัง The planets bend between us – เจ๋ง! เนิบๆชวนโคลงหัว ท่อนคอรัสไพเราะเพราะพริ้ง ก็เหมือน Snow Patrol น่ะแหละ พวกเขาทำเพลงง่ายๆ เน้นโมเลดี้งดงาม เนื้อหาเพลงชวนจินตนาการลอยล่อง ชอบบบบ เอ... ท่อนนี้น่าคิด “And from the edge of Ireland shout out loud. So they could hear it in America” Engines – ไม่ชอบเสียงในเพลงนี้ ทั้งฮู วู้ อะไรฟะ เซ็ง จุดอ่อนในอัลบั้มเลย Disaster button - ถ้าฟังเรื่อยๆ มันจะติดหูเอาได้ง่ายๆ แต่ก็จัดอยู่ขึ้นเพลงดาดๆทั่วไปไม่มีอะไรดีเป็นพิเศษ แต่ก็เป็นแทร็กที่ได้คึกและหูชาได้ที่สุดในอัลบั้มแล้ว The Lightning Strike - แทร็กสุดท้ายความยาวถึงสิบหกนาที แต่ก็เป็นทรีอินวันแบบที่ถ้าเป็นหนังก็ต้องเรียกว่ามหากาพย์ไตรภาคเลยทีเดียว แบ่งภาคมา อันแรก What if the storm ends – ใช้ได้ The sunlight through the flags – น่าเบื่อหน่อยๆ แต่พอช่วงกลางๆแล้วใช้ได้เลย Daybreak – กลับมาปิดอัลบั้มได้ดี ชอบส่วนนี้ที่สุดในไตรภาค ราวกับวงจะบอกว่าขอบคุณที่ฟังกันนะคร้าบ อิอิ สิบหกนาทีกับสามเพลง ถ้าลองพยายามฟังรวดเดียวหลายๆที แล้วจะรู้สึกได้ว่าแต่ละขั้นนั้นทวีขึ้นด้วยความอบอุ่นและความสว่างไสววาบเข้ามา จากเมฆหมอกอึมครึมสีทอง ฉาบไล้เข้าไปสู่รุ่งอรุณอันสดใส ซึมซาบทาบทับด้วยแสงอาทิตย์อุทัย (A hundred million suns?) บทเพลงถูกเชื่อมให้เข้ากันอย่างกลมกล่อมด้วยโวหารสำนวนเปรียบเทียบที่น่าเชยชม รวมถึงดนตรีสังเคราะห์ เสียงซินธ์ในแบบเจ๋งๆ
ความคืบหน้าชาร์ตเพลง(UK) ฯลฯ - Take back the city – ขึ้นไปสูงได้ที่ 6 ตอนนี้ตกมาอยู่ที่ 16 - อัลบั้ม Off with their heads ของ Kaiser Chiefs ขายอาทิตย์แรกเข้าป้ายที่สองแพ้ AC / DC (Perfect symmetry ตกไปที่ 6) - Wire to wire ซิงเกิ้ลใหม่จาก Slipway fires ของ Razorlight เพลงที่แปลกไปพอสมควรจากงานเก่าๆ หลังจากrelease มาสองสัปดาห์ตอนนี้ขึ้นมาอยู่อันดับห้า - My mistakes were made for you ซิงเกิ้ลที่สามของ The last shadow puppets เพิ่ง release ไปอาทิตย์นี้เหมือนกัน อยู่ที่ 81 - ดูเหมือนตอนนี้พีท โดเฮอร์ตี้จะกำลังเคร่งเครียดกับการทำอัลบั้มใหม่ในนามงานโซโลเดี่ยว - Decade in the sun: The best of Stereophonics (27 ต.ค. – UK) คืออัลบั้มรวมเพลงฮิตเรียกตังค์แฟนๆ ของ Stereophonics มีซิงเกิ้ลใหม่ You’re my star - ข่าวว่าสไปค์ จอนซ์(กรี๊ดดดดด) จะกลับมาร่วมงานกับ Weezer อีกครั้งในการกำกับเอ็มวีซิงเกิ้ลใหม่ The greatest man that ever lived และพ่อริเวอร์สก็กำลังเตรียมเข็นงานเดี่ยวชุดล่าสุดออกมาเร็วๆนี้
แล้วทำไม ทำไมถึงยิ่งเกลียดยิ่งตาม.... เค้นจนสมองขี้เลื่อยๆจะระเบิดก็ตอบไม่ถูก ทำไมตามขนาดนั้น.... ตามเพื่อจะหาเรื่องด่ามั้ง แต่ก็ไม่ใช่คำตอบที่สมเหตุสมผลอยู่ดี แล้วไปซื้อ อุดหนุนผลงานมันทำไม ดีวีดี Lord don't slow me down นั่งดูไปก็ด่าไป
อย่างต่อมา ตอนที่พวกเขาประกาศถึง Dig Out Your Soul อันเป็นอัลบั้มที่เจ็ดออกมา ก็ไม่แปลกหรอกที่ฉันจะติดหนึบความเคลื่อนไหว Oasis อีก(เพื่อคอยด่า-ฮา) เพราะฉันได้ด่าสมใจตั้งแต่ตอน Don't Believe The Truth ถ้าคราวนี้เป็นไปตามที่หมายก็คงเป็นที่สมใจฉันเป็นที่สุด คือ การดับไปอย่างสนิทของวงที่ฉันเฝ้าสาปแช่งมาอย่างยาวนาน
The Shock of the Lightning เป็นที่ถูกใจของแฟน Oasis ส่วนมาก ส่วนฉันคงไม่ใช่แนวที่จะชอบได้ แต่มีอีกเพลงที่(หลุด) ออกมาช่วงไล่เลี่ยกันแล้วทำให้ฉันชอบ คือ Falling Down กระนั้น DOYS ไม่ใช่สิ่งที่ฉันคาดหวังว่าจะเป็นอัลบั้มที่ประทับใจกระทั่งได้ฟังเต็มๆไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ความประทับใจบนความเกลียด ว่ากันอย่างนี้แหละ และเพลงแทรกที่ห้าของอัลบั้ม I’m Outta Time สามารถทำให้ฉันร้องไห้และป้ายน้ำตาที่หยดร่วงลงมาได้ มันเป็นเพลงที่สองในปีนี้(นับจากการrelease)ที่ฉันฟังแล้วร้องไห้
เพลงแรกที่ร้องไห้ของปีเป็น Viva La Vida คือครั้งแรกที่ได้ยิน Viva La Vida ฉันร้องไห้ออกมาเพราะความไพเราะของเพลง เอาล่ะ ไม่ได้โอเวอร์แต่อย่างใด เพราะฉันเฝ้ารอ VLVODAAHF มานาน และรอพิสูจน์กับสิ่งที่ Coldplay พูดมาตลอด Viva La Vida คือเพลงที่เพราะเหลือทนจนฉันรู้สึกว่าโลกนี้ต้องขาดอะไรไปแน่ๆถ้าไม่มีเพลงนี้ ฉันร้องไห้และยิ้มเมื่อฟังมัน และก็กระหน่ำฟังมันมากกว่าพันรอบจริงๆ คือ โอเค ว่าแล้วก็นอกเรื่องไปไกล มีช่วงนึงคอมฯเฮงซวยฉันเสียทำให้ทรัพย์สินโดยเฉพาะเพลงอันเฝ้าเก็บสะสมทั้งริปและโหลด(เลว) มาตลอดต้องอันตรธานหายไปอย่างไม่มีหวนกลับ ภาวะที่เครียดเช่นนั้นส่งผลให้ฉันตัดสินใจประชดชีวิตด้วยการฟัง Viva La Vida เพลงเดียว โดยตั้งปณิธานอันแน่วแน่ว่าต้องประชดความซวยสุดกู่ของตัวเองแบบนี้แหละ ฟังให้เพราะตายไปเลย ในเมื่อมันเพราะขนาดนี้ ก็ต้องกระหน่ำฟัง พันรอบคือเป้าหมาย แต่ฉันว่าฉันฟังเกินมากกว่านั้นอีก ช่วงนั้นฉันคิดไปไกลถึงขนาดว่าจะเกิดเหตุการณ์ดังต่อไปนี้ คือ กินเนสบุ๊คส์จะมาบันทึกสถิติฉันไว้ แล้วหนังสือพิมพ์ สำนักข่าวทั่วโลกมาทำข่าวเกี่ยวกับแฟน Coldplay โรคจิตคนนึงที่ไม่ทำอะไรนอกจากฟัง Viva La Vida นั่นก็จะทำให้ฉันมีชื่อเสียงขึ้นมาอันทำให้ข่าวไปเข้าหูวง วงก็จะมาเมืองไทย เชิญฉันไปพูดคุย ฉันจะได้พบ Coldplay ตัวเป็นๆ คริสก็จะบอกกับ NME ประมาณว่า นั่นไง เห็นไหมล่ะว่าเพลงของ Coldplay เข้าถึงจิตใจและมีอิทธิพลต่อคนมากขนาดไหน รวมถึงวงการแพทย์อาจจะเอากรณีนี้ไปพิจารณารักษาคนไข้ท้องผูก โอวววววววววววววว มันเป็นไปได้นะ แต่ฉันแค่จินตนาการไปและมันก็ดันไม่เกิดด้วยสิ นอกเรื่องไปไกลมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
กลับมาพูดถึง Dig Out Your Soul ต่อ เพลงที่ฉันชอบที่สุดในอัลบั้มก็คือเพลงนี้ I’m Outta Time ซึ่งอย่างที่บอก ฉันร้องไห้เมื่อฟังครั้งแรก เพราะเสียงเลียมทำให้ฉันนึกถึงจอห์น เพราะท่วงทำนองอันทำให้หวนคิดถึงเพลงบัลลาดหวานๆของจอห์น เพราะอินโทร la la la ขึ้นมาก็ทำให้ฉันขนลุกซู่ซ่า เพราะเขาเล่นเอาเสียงของจอห์นมาใส่ไว้ช่วงท้ายเพลง แบบนี้จะไม่ร้องไห้ได้ไง
I’m Outta Time (เขียนโดย เลียม กัลลาเกอร์ : Ode to J. Lennon 555+) ไม่แน่ใจความถูกต้อง เพราะบางท่อนไปค้นดูหลายๆที่รู้สึกจะเขียนต่างกัน
Here’s a song It reminds me of when we were young Looking back at all the things we've done You gotta keep on, keep on Out to sea, it's the only place I am asleep Can get myself some piece of mind You know it's gettin' hard to fly If I'm to fall Would you be there to applaud? Or would you hide behind them all? 'Cause if I have to go, In my heart you'll grow And that's where you belong... If I'm to fall Would you be there to applaud? Or would you hide behind them all? 'Cause if I have to go, In my heart you'll grow And that's where you belong... If I'm to fall Would you be there to applaud? Or would you hide behind them all? 'Cause if I have to go In my heart you'll grow And that's where you belong... Guess I'm outta time... I'm outta time... I'm outta time I'm outta time I'm outta time
I’m Outta Time (ถอดความอย่างมั่วและอาจจะเสียจริต โดย Lucy in the sky with diamonds)
Dig Out Your Soul วางขายที่อังกฤษไป 6 ต.ค. ที่ผ่านมา โดย Dave Sardy ทำหน้าที่โปรดิวเซอร์ ทิศทางใหม่อันน่าชวนประทับใจของทั้งแฟนและไม่ใช่แฟน(อย่างฉัน เป็นต้น) คงเป็นคำจำกัดความง่ายๆของการกลับมาในอัลบั้มที่ 7 ของ Oasis หลายเพลงในอัลบั้มให้ความรู้สึกถึงงานแบบ Beatles มาก ฉันรู้สึกราวกับโดนอารมณ์แห่ง Sgt. Pepper หรือ White Album ถูกสูบขึ้นมาอีกครั้ง
แทรกแรกขึ้นมาก็กระชากใจได้แล้วกับ Bag It Up เสียงร้องตามสไตล์เลียมกับจังหวะเหมาะกับการเปิดเร้าอารมณ์ กลองที่หนักแน่นและช่วงคอรัสเนี่ย ฟังไปฟังมาได้ร้องคลอตามแน่ๆ
The Turning อินโทรเพราะดี จากเสียงเปียโนก่อนจะนำเข้าสู่การสอดประสานกันของเสียงกีต้าร์ เพลงนี้เสียงร้องแบ็คอัพช่วยหนุน และชอบตรงท่อนคอรัสที่สนุกเร้าใจ
ต่อด้วย Waiting for the Rapture เว้นช่วงปล่อยอารมณ์มาฟังเสียงโนเอลกับโทนเพลงโทนเนิบๆแต่มันส์เพราะจังหวะกีตาร์ โดยรวมเสียงร้องเพลงนี้โอเค
The Shock Of The Lightning ซิงเกิ้ลแรกที่เห็นโนเอลบอกเพลงนี้รีบเขียน รีบอัด จบ! ฉันไม่ได้ถูกใจเพลงนี้มากมาย แต่ยอมรับว่าประเมินไวไปหน่อยที่รีบตัดสินภาพรวมแห่งการเปลี่ยนไปของ Oasis จากการได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรก เพลงนี้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการในความเป็น Oasis เป็นอย่างมาก
I'm Outta Time อย่างที่พูดๆไปข้างบน ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าอย่างเลียมจะสามารถแต่งเพลงหวานเศร้าแบบนี้มาได้ เพลงนี้ฟังแล้วใครไม่นึกถึงจอห์น เลนนอนคงต้องไปเช็คระบบประสาทฟังเพลงสักหน่อยแล้วล่ะ
(Get Off Your) High Horse Lady เพลงชื่อตลก เสียงโนเอลมาอีกที เด่นที่ริทึมกีต้าร์ให้โทนเพลงโยกๆกับจังหวะปรบมือ ฉันว่าบางช่วงมันดูหลอนไม่น้อยนะ คือ เสียงเป็นปรี๊ดๆ บีบๆ มั่นใจว่าไปได้ยินลอยๆแล้วบอกว่าเป็น Oasis ก็ไม่เชื่อเหมือนกัน นับว่าลองสไตล์ใหม่ได้เยี่ยม
กลับมาฟังเสียงเลียมต่อใน To Be Where There's Life ที่ฉันไม่ได้ฝันไปแน่ๆ เพราะได้ยินเสียงซีต้าร์ด้วย พวกเขาหยิบความเป็น Beatles มาให้หวนรำลึกถึงจอร์จ แฮร์ริสันในเพลงที่เสียงเบสหนักแน่นและจะต้องเป็นหนึ่งในแทรกโปรดฉันได้เลย
Ain't Got Nothing แทรกโปรดน้อยสุดในอัลบั้ม แต่คิดภาพไว้เพลงนี้แบบ live มีหวังมันส์เกินบรรยาย
The Nature Of Reality เอาอารมณ์ Beatles มารำลึกถึง คล้ายกับได้ฟัง Heltter Skelter อยู่ในที
โปรดิวเซอร์: Stuart Price(ผู้ซึ่งร่วมงานกับ Madonna บ่อยๆ เคยโปรดิวซ์ Mr. Brightside ,Leave the Bourbon on the Shelf และ Sweet Talk ในSawdust รวมถึงทำ System ให้ Seal)
คีย์แทรก :ซิงเกิ้ลแรกคือ Take Back The City จะrelease ที่UK วันที่ 13 ต.ค. เอ็มวีกำกับโดย Alex Courtes (Seven Nation Army ของ The White Stripes) เพลงทั้งหมดในอัลบั้ม If There's a Rocket Tie Me to It Crack the Shutters Open Take Back the City Lifeboats The Golden Floor Please Just Take These Photos From My Hands Set Down Your Glass The Planets Bend Between Us Engines Disaster Button The Lightning Strike What If This Storm Ends? (Bonus Track) Sunlight Through the Flags(Bonus Track) Daybreak(Bonus Track)
ข่าวคราว: อัลบั้มนี้บันทึกเสียงทั้งที่ Hansa Studios ในเยอรมันและ Grouse Lodge ในไอร์แลนด์ ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ทางวงบอกว่านี่จะเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของพวกเขาเท่าที่เคยทำมาและก็ต่างภูมิใจกับงานครั้งนี้มาก
สำหรับซิงเกิ้ลแรก Take Back the City เพิ่งจะเปิดไปเป็นครั้งแรกที่radio1 ล่าสุดมีหลุดมาในyoutubeเอามาแปะให้ฟังคร่าวๆกันก่อน แต่ภาพในนี้ไม่เกี่ยวกันโดยสิ้นเชิง ช่องทางอื่น จะเข้าไปฟังออนไลน์ที่เว็บไชต์ของวงหรือbbc-radio1ก็ได้นะ
กลับมาหลังจาก : ไม่นานก่อนหน้ามีEP J.Smith และเพิ่งจะปีที่แล้วนี้เองกับ The Boy With No Name ซึ่งขึ้นถึงอันดับ 4ใน UK Chart โปรดิวเซอร์ : Emery Dobyns
แนวทาง : ได้อารมณ์ดั่งตอนได้ฟังพวกเขาใน Good Feeling
คีย์แทรก : Something Anything เพลงนี้จะถือว่าเป็นซิงเกิ้ลแรกของ Travis ที่ไม่ได้แต่งโดย Fran แต่เป็นมือเบส Dougie Payne มาแสดงฝีมือแทน กำหนดการ release วันที่15 กันยายน เอ็มวีเพลงนี้ออกมาเรียบร้อยแล้ว เพลงในอัลบั้ม 01:Chinese Blues 02: J. Smith 03: Something Anything 04: Long Way Down 05: Broken Mirror 06: Last Words 07: Quite Free 08: Get Up 09: Friends 10: Song To Self 11: Before You Were Young
ข่าวคราว: พวกเขาทำการบันทึกเสียงอยู่ที่ RAK Studios ในกรุงลอนดอนช่วงเดือนกุมภาพันธ์กับมีนาคมที่ผ่านมา หลังจากนั้น Fran จึงเดินทางไปมิกซ์เสียงที่นิวยอร์กจนถึงเดือนเมษายน
เกร็ดอื่นๆ :อัลบั้มนี้เป็นครั้งแรกที่ Travis แยกจาก Independiente Records มาสู่ชายคาหลังใหม่ของ Red Telephone Box ของตัวพวกเขาเอง และยังเป็นที่ซึ่งพวกเขาเคยออก EP All I Want To Do Is Rock เมื่อปี 1996
คีย์แทรก: ซิ้งเกิ้ลแรกคือ Everyone's At It จะrelease ประมาณเดือนกันยานี้ ขณะที่ก็มีเพลงซึ่งเธอได้โพสต์ไว้ใน Myspace อย่าง I could say กับ I don't know และอีกเพลงที่เป็นที่ฮือฮาพอสมควรอย่าง GWB(F**k You Very Much) อันย่อมาจาก Get Wit the Brogram หรือ Guess Who Batman ตอนแรกเธอเขียนเพื่อเจาะจงหมายถึง พรรค BNP (British National Party)ที่เป็นพรรคการเมืองฝ่ายขวาในอังกฤษ แต่ก็เปลี่ยนใจภายหลัง ไม่เอาดีกว่า รู้สึกสื่อความหมายได้กว้างไป อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่าเจ๊อยากจะกัด George W Bush ด้วยเลยเล่นกับตัวอักษรแบบนี้ซะเลย
รายชื่อเพลง(ที่คาดว่าอาจจะรวมในอัลบั้ม) "Everyone's At It" "I Don't Know" "Not Fair" "Guess Who Batman?" / "Get Wit The Brogram" "He Wasn't There" "Oh No" "Fighting Chance" "The Law of Averages Said That I Was Going to Get My Heart "Broken" "I Could Say" "Steve from Accounts" "Pushing You Away While I Push Myself Inside" "Wherever We Go" (featuring Lindsay Lohan)
ข่าวคราว: นอกจากโปรดิวซ์เซอร์ นายMark Ronson ที่เข้าขากันดีกับเธอไม่น้อยแล้ว ส่วนใหญ่ Lily จะบันทึกเสียงร่วมกับ Greg Kurstin ซึ่งเคยทำงานให้ The Bird and the Bee เธอบอกว่า Greg เรียบเรียงทำนองกับคอร์ดมาแล้วเธอก็แค่คลอๆไปตามพร้อมกับคิดเนื้อขึ้นมา นั่นก็ทำให้เธอได้โครงร่างเพลงคร่าวๆมาแล้ว
กลับมาหลังจาก : หายไปสองปี หลังจาก Under the Iron Sea โคตรจะโด่งดังและมียอดจำหน่าย 2.5 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก โปรดิวเซอร์ : โปรดิวซ์เองร่วมกับ Andy Green, Jon Brion และ Stuart Price แนวทาง: แปลก เปลี่ยนไป และเข้มข้นกว่าเดิม สังเกตได้จาก Spiralling ที่ขนาดอินโทรขึ้นมาก็แทบตกเก้าอี้ ขณะที่เพลงอื่นๆซึ่งจะตามมายังคงจะได้เห็นแนวเดิมพวกเขาอยู่แน่นอน คีย์แทรก: เมื่อไม่นานนี้ก็ให้ดาวน์โหลด Spiralling แบบฟรีๆ ไปฟังกันยั่วน้ำลาย เรียกน้ำย่อยและลืมสไตล์เปียโนนุ่มละมุนไปพลางๆแล้ว The Lovers Are Losing จะเป็นซิงเกิ้ลแรก มีกำหนดrelease วันที่ 20ตุลาคม รายชื่อเพลง 'Spiralling' 'The Lovers Are Losing' 'Better Than This' 'You Haven't Told Me Anything' 'Perfect Symmetry' 'You Don't See Me' 'Again And Again' 'Playing Along' 'Pretend That You're Alone' 'Black Burning Heart' 'Love Is The End'
Off With Their Heads อัลบั้มที่สามของ Kaiser Chiefs
กำหนดวางขาย : 13 ตุลาคม
กลับมาหลังจาก : ปีที่แล้วสร้างความประทับใจไว้กับ Yours Truly, Angry Mob ที่ขึ้นอันดับหนึ่งของชาร์ต UK มาแล้ว
โปรดิวเซอร์ : Mark Ronson และ Eliot James
แนวทาง: Never Miss A Beat ซิงเกิ้ลแรกอาจดูแปลกไป แต่นี่คือ Kaiser Chiefs จริงๆ ไม่ผิดแน่ ถึงจะไม่ใช่ Stephen Street มาโปรดิวซ์ให้เหมือนเก่า แต่อะไรแปลกๆที่แฟนวงนี้ชอบยังคงอยู่ เนื้อหาเพลงยังคงความเป็นพวกเขา ประเภทใส่ด้านมืดหม่น ด่าสังคม และเพิ่มอารมณ์ใหม่กับแขกรับเชิญมากมายที่มาร่วมทำอัลบั้ม
คีย์แทรก: Never Miss A Beat เป็นซิงเกิ้ลแรกที่จะ release วันที่ 6 ตุลา เพลงนี้โปรดิวซ์โดย Mark Ronson รวมถึงมีเสียงร้องแบ็คอัพโดย Lily Allen และ New Young Pony Club ขณะที่อีกครั้งLily Allen จะมาโผล่ใน Always Happens Like That รายชื่อเพลง 1."Spanish Metal" 2."Never Miss A Beat" 3."Like It Too Much" 4."You Want History" 5."Can't Say What I Mean" 6."Good Days Bad Days" 7."Tomato In The Rain" 8."Half The Truth" 9."Always Happens Like That" 10."Addicted To Drugs" 11."Remember You're A Girl"
ข่าวคราว: มีหลายคนที่มาร่วมแจมในอัลบั้มนี้รวมถึง David Arnold ผู้ประพันธ์สกอร์หนังบอนด์ชื่อดัง จะมาช่วยเรื่องออร์เคสตร้าใน Always Happen Like That กับ Like It Too Much และแร็ปเปอร์ Sway กับเพลง Half The Truth
เกร็ดอื่นๆ : เพราะจะออกอัลบั้มใกล้กับ Dig Out Your Soul ของOasis ซึ่งกำหนดออกก่อนหน้าในวันที่ 6 เลยมีอะไรให้มาด่ามากัน ช่วงนี้ทั้งสองเลยทำสงครามประสาทผ่านสื่อกันอยู่เนืองๆ
<< The Verve กับ อัลบั้มForth กลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีหลังจากเพิ่งrelease ในUK เมื่อวันที่ 25 ส.ค. ณ เวลานี้ทะยานขึ้นอันดับหนึ่ง UK Album Chart ได้สำเร็จแล้ว อัลบั้มนี้โดยรวมปลื้มมาก ถึง Love is noise จะไม่โดนใจเท่าไหร่ แต่เพลงอื่นๆสุดยอด เช่น ตอนนี้กำลังอินกับ Sit and wonder ยิ่งไปดูแบบlive ยิ่งขนลุกไปใหญ่>>
<<ไม่ต้องรอกันให้นานอีก อยากฟังColdplay จะได้ฟังจุใจ คริส มาร์ตินเิ่พิ่งให้สัมภาษณ์ว่าเร็วๆนี้จะมี EP ชื่อ Prospekt's March ออกมาเป็นของขวัญคริสต์มาสปีนี้ มีกำหนดขายวันบ็อกซิ่งเดย์ ซึ่งจะรวมถึงการร่วมงานกันไคลี่ มิโนกในเพลง Luna เ่ท่านี้นยังไม่พอ คุณColdplay ยังจะขยันทำงานต่อ อัลบั้มใหม่ต่อจาก Viva la vida..จะตามมาในปีหน้าเดือนธันวา ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็เตรียมตัวรอฟังกันปีหน้าต่อเลย>>
Katy Perry - I Kissed A Girl; The Ting Tings - That's Not My Name.
:: BEST VIDEO - Hot Chip - Ready To The Floor; Coldplay - Violet Hill; The Ting Tings - That's Not My Name; Vampire Weekend - A-Punk; Goldfrapp - Happiness
:: BEST LIVE ACT - Kaiser Chiefs; Kings Of Leon; Nick Cave And The Bad Seeds; The Verve; Rage Against The Machine.
:: BEST ALBUM (sponsored by Nixon) - Coldplay - Viva La Vida Or Death And All His Friends; Fleet Foxes - Fleet Foxes; The Last Shadow Puppets - The Age Of The Understatement; Vampire Weekend - Vampire Weekend; Nick Cave And The Band Seeds - Dig!!! Lazarus, Dig!!!
:: BEST ACT IN THE WORLD TODAY (Sponsored by Russian Standard Vodka) – Coldplay; Oasis; Muse; Metallica; Kings Of Leon.
ปล. ขอระบายนิด อาจไม่สุภาพหน่อย โปรดหลีกเลี่ยง มันประกอบไปด้วยอคติและคห.ส่วนตัวล้วนๆ คือ ไม่ชอบThe Ting Tingsมากๆ อย่างแรง นี่มันวงที่เกิดมาสร้างสรรค์วิมานเหวอะไรฟะเนี่ย จริงๆ ตอนแรกก็ชอบด้วยซ้ำ เพราะ Great DJ ท่าจะดี แต่หลังๆฟังแล้ว โอ๊ย! เนื้อเพลงก็ปัญญาอ่อน ช่วงนี้เห็นได้เข้าชิงอะไรต่างๆมากมาย เห็นแล้วก็งง มันดีจริงดิ พยายามเปิดใจแล้วนะ ฟังทุกเพลงแล้ว แต่...ไม่ไหวๆ รับไม่ได้ Shut up and let me go เอ่อ แกน่ะฟังเพลงตัวเองดูซะ แล้วshut the f**k upไปเลย
ปล. อีกที Vampire Weekend เป็นวงที่ทำเอ็มวีน่ารักจริงๆนะ A Punk ดูแล้วก็อดขำไม่ได้ทู้กที นี่ดิ คุณภาพ หุหุ
Ode to J.Smithอัลบั้มใหม่อันดันดับที่หกของ Travis วงอินดี้ร็อคจากกลาสโกว์ จะออกวางแผงในวันที่จันทร์ที่ 29 กันยายนนี้ตามเวลาสหราชอาณาจักร ในรูปแบบซีดี แผ่นไวนิล และดิจิตอลฟอร์แมต สำหรับอัลบั้มนี้เป็นครั้งแรกที่ Travis แยกจาก Independiente Recordsมาสู่ชายคาหลังใหม่ของ Red Telephone Box ของตัวพวกเขาเอง และยังเป็นที่ซึ่งพวกเขาเคยออก EP All I Want To Do Is Rockเมื่อปี 1996 สมัยยังหน้าใสและพ่อ Fran ยังมีผมปรากฏให้เห็น ในช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้าRed Telephone Boxก็ได้ออก EP J.Smith มาขาย และนั่นก็ทำให้เพลง J.Smith ขึ้นอันดับหนึ่ง อินดี้ซิงเกิ้ลชาร์ตมาแล้ว
รายชื่อเพลงทั้งหมดใน Ode to J.Smith
01:Chinese Blues
02: J. Smith
03: Something Anything
04: Long Way Down
05: Broken Mirror
06: Last Words
07: Quite Free
08: Get Up
09: Friends
10: Song To Self
11: Before You Were Young
แบบเจแปนอิดิชั่นจะมีโบนัสแทรกเพลงSarah มาด้วย(เพลงนี้ก็อยู่ใน EP J.Smith)
อัลบั้มนี้ได้Emery Dobynsมารับหน้าที่โปรดิวซ์ให้ โดยทำการบันทึกเสียงอยู่ที่ RAK Studios ในกรุงลอนดอนช่วงเดือนกุมภาพันธ์กับมีนาคมที่ผ่านมา หลังจากนั้น Fran จึงเดินทางไปมิกซ์เสียงที่นิวยอร์กจนถึงเดือนเมษายน
ซิงเกิ้ลแรกมีชื่อว่าSomething Anything โดยเพลงนี้จะถือว่าเป็นซิงเกิ้ลแรกของ Travis ที่ไม่ได้แต่งโดย Fran แต่เป็นมือเบส Dougie Payne มาแสดงฝีมือแทน กำหนดการวางจำหน่าย คือวันที่ 15 กันยายน มีทั้งในรูปแบบซีดีและดิจิตอลดาว์นโหลดที่จะมีเพลงพิเศษสองเพลง คือ Tail Of The Tiger ฝีมือการเขียนโดย Dougie อีกเช่นกัน และเพลง Used To Belongขณะที่แบบแผ่นไวนิลมี Lola ซึ่ง Travis ไปคัฟเวอร์ของ The Kinks มา
ครั้งนี้วงก็กลับไปร่วมงานกับ Michael Baldwin ให้กำกับเอ็มวีอีกครั้ง หลังจากใน The Boy With No Name นั่นก็เป็นผลงานของเขาทุกเพลง ในเพลงนี้ เราจะได้เห็นพ่อ Andy ในเวอร์ชั่นใหญ่ยักษ์ 10 ฟุต ที่กลายมาเป็นศูนย์กลางของเอ็มวี มิใช่ Fran อย่างเคยๆ ทำอะไรตลกน่อมแน้มอย่างโซโลกีต้าร์ซะจนเพื่อนร่วมวงกลัว โดยเฉพาะFran ที่รู้สึกกลัวจนผมหายหมด
นอกจากตัวเพลงที่ทำให้หวนเพ้อไปถึง All I Want To Do Is Rock อย่างมากมายแล้ว แน่นอนว่าคาดการณ์ได้เลยว่าอัลบั้มนี้คงต้องได้ความรู้สึกเก่าๆจาก Good Feeling กลับมาได้บ้างไม่มากก็น้อย
setlist ไม่เรียงนะ เพราะเราก็ลืมๆ Chinese Blue ขอโทษค่ะ ขึ้นมาแล้วได้แต่อ้าปากงง แล้วเสียงก็เป็นแปลกๆ ดังน่าเกลียดด้วย เป็นเพราะเครื่องเสียงอ่ะป่ะ Pipe Dreams Writing to Reach you Selfish Jean อีกเพลงที่รอ ดิ้นเต็มที่ Eyes Wide Open Beautiful Occupation Side Love Will Come Through Closer น่าจะดังที่สุดเลย ตอนคนดูร้องหนิ โอ้โหย!!! Sing สุดๆ J.Smith เราชอบนะ Song to Self เห็นว่าฟรานบอกว่าซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้มใหม่ เพิ่งได้ฟังครั้งแรกเลย Driftwood All I want to do is Rock Turn Flowers In The Window Why Does It Always Rain On Me