Group Blog
 
All blogs
 

[รวบรัด!] เนื่องใน(ฉวย)โอกาสที่เขี่ยบล็อกมาหนึ่งปี - "My 12 fav albums and all my faves of 2008 "


เมื่อต้นปี 2008 ที่ผ่านมา ฉันเคยคิดไว้ว่ามันคงเป็นปีที่วิเศษและน่าตื่นเต้นมากที่สุดอีกปีสำหรับวงการดนตรี ศิลปินและวงดนตรีที่ฉันชอบมากมายกำลังจะทยอยขนงานเพลงกลับมาให้ฉันหายคิดถึง
น่ารักอะไรอย่างนี้ ปี 2008!
และแล้วปีเก่าก็ผ่านพ้นไปพร้อมกับความอิ่มเอิบใจของคนฟังเพลงหรือจะระคนเสียงก่นด่า
ทิ้งไว้เพียงความทรงจำให้เราได้ประทับใจและหวนคิดกลับไปถึงช่วงเวลานั้น บางสิ่งเราก็จดจำไว้
บางสิ่งรอคอยจะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการดนตรี บางสิ่งเราก็ไม่อยากจะสนใจ มันต่างหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามวัฏจักร ปีเก่าไป ปีใหม่มา เพลงเก่าไป เพลงใหม่ก็มา


แน่นอนว่า มันก็เป็นอีกปีที่ปะปนไปด้วยความสมหวังและความผิดหวังสำหรับทุกคน
แต่สำหรับฉันต้องบอกว่ามีความสุขกับปีนี้มากจริงๆ แต่ฉันยอมรับโดยดุษณีเลยว่า นี่เป็นอีกปีที่ตามยังไงก็ยังฟังไม่ทัน พอจบปีมานั่งคำนวณดูพบว่าตัวเองพลาดอะไรๆไปเยอะเอาการ
กระนั้นฉันก็ยังอิ่มเอมใจกับเพลงจากเหล่าศิลปินที่ชื่นชอบซี่งได้ฟังในปีที่แล้ว
ถ้าอีกด้านนึงมันคือสวรรค์สำหรับคนฟังเพลง อีกด้านที่กำลังเล่นซ่อนแอบกันอยู่ก็คือนรกทางด้านการเงิน หรือ การเฝ้าติดตามฟังให้ทัน(ขอบคุณสวรรค์ที่ U2 ไม่ได้ออกอัลบั้มมาปีที่แล้วตามกำหนดการเดิม)


แต่จะว่าไป นั่นก็คือความสุขของเราไม่ใช่เหรอ
และสำหรับฉัน มันคือความสุข ไม่มีการสาธยายขยายความให้ยืด ความสุขก็คือความสุข


และเนื่องในโอกาสที่ จู่ๆดี ฉันก็สะเหล่อมามีบล็อกที่นี่เอาไว้เขี่ยเล่นครบหนึ่งปีพอดี ฉันเลยรวบรวมความประทับใจที่ชอบหรือไม่ชอบเอาไว้ที่นี่
อันที่จริง ตอนแรกกะจะเขียนแค่อัลบั้มที่ชอบประจำปี เอาไปเอามาเพลินจัด ยัดมันมามั่วไปหมด คิดสาขาอะไรได้ก็ใส่เข้ามา เอาล่ะ สรุปก็รวบรวมไว้เล่นๆล่ะกัน


ขอบคุณเพื่อนบล็อกที่ผ่านไปผ่านมา บางทีคุณอาจเห็นฉันโผล่มาเขียนบล็อกบ้าง ดองบล็อกบ้าง แสดงพลังความบ้า ปัญญาอ่อนไม่รู้จักจบสิ้นบ้าง ไร้สาระบ้าง(อันนี้ถนัด)


โปรดอย่าลืมคอนเซปต์บล็อกนี้ เพราะมีลูซี่-คนบ้า ไร้สาระ เป็นผู้เขียน มันจึงต้องเป็นบล็อกซึ่งประกอบไปด้วยความบ้า ไร้สาระ เข้าใจมั้ยคะ?
สั้นๆง่ายๆนะ


การได้เขี่ยบล็อกที่นี่ก็แปลกดี เพราะส่วนใหญ่เวลาอยากเขียนอะไร การกระแทกแป้นพิมพ์จะไม่เป็นผลดีสำหรับฉันมากนัก สู้จับปากกาปรื๊ดๆละเลงบนกระดาษดีกว่า แต่ยังไงก็มีมันแล้ว bloggang เนี่ย ถึงจะเพิ่งมาขีดเขี่ยจริงจังครบขวบปีเดียว ทั้งๆที่พันทิปก็เล่นมานานพอดู
ก็มีไว้เขี่ย มีไว้แสดงพลังความบ้าห้าแสนโวลต์
คนอย่างฉันบ้าอย่างเดียวไม่พอ มันต้องบ้าให้สุดกู่ ในระดับที่พูดกะคนไม่รู้เรื่อง ต้องไปพูดกับสุนัข แล้วสุนัขก็จะทำหน้างงกลับมา สรุปคือ ฉันมันพูดกับใครไม่ได้เลย เตือนไว้ อย่าเข้าใกล้ อันตราย! 555555+


แล้วปีนี้ จริงๆก็ตั้งใจไว้ว่าฉันจะยังคงขีดเขี่ยมันต่อไปถ้าไม่มีอะไรมาลักพาตัว
ด้วยจิตใจมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวในคอนเซปต์เดิม คือ ขอพลังความมั่วจงอยู่กับฉัน เย่!


สำหรับการจัดอันดับที่จะว่านี้ ใช้มาตรฐานตัวเองเป็นเกณฑ์ ช่างหัวคนอื่น หูฉันฟังแล้วชอบ ฟังแล้วไม่ชอบก็ว่ากันไป
ฉันก็เป็นคนธรรมดาๆคนนึง สิ่งที่ว่าก็คือสิ่งที่ฉันชอบ อัลบั้มที่ฉันชอบ ไม่ใช่อัลบั้มอัลบั้มที่ยอดเยี่ยม
เพลงที่ฉันชอบ ไม่ใช่สาขาเพลงยอดเยี่ยม บลาๆๆๆ


อนึ่ง เป็นเรื่องสำคัญมากที่การคัดเลือกบางสาขา ฉันจำเป็นต้องตัด Coldplay ออกจากสาระบบ
เพื่อให้เกิดความยุติธรรมให้มากที่สุด(ถ้ามันจะยังมีอยู่สำหรับคนอย่างฉัน) ดังนั้น จะไม่มีการรวมวงนี้เอาไว้
VLVODAAHF คือสิ่งที่ฉันบรรยายไม่ได้อีกต่อไปแล้ว


โปรดดูรูปประกอบ






My 12 Fav Albums of the Year


*กฎเกณฑ์การคัดเลือก*
- เป็นอัลบั้มที่ release ในปี 2008
- เป็นอัลบั้มที่ทุกเพลง ฉันชอบหมด ดีทัดเทียมกันมากๆ ถ้าให้เลือกมาสักเพลงก็อาจต้องขอไวท์บอร์ด
- ไม่รวมพวก EP,compilation,b-sides,soudtrack ต่างๆ
- ไม่นับ Viva La Vida Or Death And All His Friends




อันดับ 12 The Long Blondes - Couples


นับแต่ Century เพลงแนวอิเล็กโทรสุดล้ำที่เปิดตัวความจื๊ดจ๊าดรูปแบบใหม่ของวง Couples นำทางผู้ฟังจากความนุ่มนวลไปสู่ความข้มเข้นหนักแน่นขั้น การเปลี่ยนถ่ายอารมณ์เป็นไปอย่างไหลลื่นทั้งอัลบั้มอย่างน่ามหัศจรรย์ Guilt, I Liked The Boys, I'm Going To Hell(เพลงที่นับได้ว่าหนักที่สุดของวง),Here Comes The Serious Bit(เพลงที่จะเค้นพลังงานในร่างกายคุณได้เต็มที่)คืองานแบบที่สามารถระลึกถึงชุดแรกของพวกเขาได้
ขณะที่ Round The Hairpin และToo Clever By Half ก็คือด้านที่มืดหม่น อัลบั้มนี้ต้องฟังทั้งชุด ทุกเพลง เพราะมันเปรียบเหมือนโครงสร้างเครื่องจักรที่ถูกประกอบเข้ากันอย่างสมบูรณ์ ขาดอันใดอันนึงแล้วคุณจะรู้สึกโหยหา แนะนำว่าฟังแค่เพลงสองเพลงไม่ได้อารมณ์แน่


*********************************
อันดับ 11 The Hold Steady - Stay Positive


นอกจากการเล่าเรื่องราวมากมาย(ปาร์ตี้,แดนซ์,การดิ่ม,ยาเสพติด,ความศรัทธา,การสูญเสีย,ประวัติศาสตร์อเมริกัน ฯลฯ)ในเนื้อหาเพลงซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของThe Hold Steadyที่ฉันถูกนำพาเข้าไปสู่โลกของพวกเขา
และให้ต้องมาขบคิดเสมอๆแล้ว ชุดนี้ยังคงเปี่ยมไปด้วยร็อคคลาสสิกผสานกับอารมณ์หนักดิบๆ เพลงมันส์ๆที่ท่อนฮุคยังคงเร้าใจและก้องกังวานอยู่เสมอที่ได้ฟัง เสียงคีย์บอร์ดอันอ่อนหวานและเกี้ยวกราดระคนกันไป กระทั่งเสียงร้องที่รู้สึกว่าทรงพลังมากกว่าทุกชุดที่ผ่านมาของเขา นี่แหละร็อคแบบที่ฉันอบอุ่นใจที่สุด


********************************
อันดับ 10 Shearwater - Rook

อัลบั้มที่แล้วเคยมัดใจฉันกับวงนี้ให้อยู่หมัด พวกเขาสานต่อหน้าที่มัดใจฉันด้วย Rook ให้โชติช่วงขึ้นไปอีกขึ้น เพลงที่โดนเด่นที่สุดอย่าง The Snow Leopard ซึ่ง Jonathon Meisburg ครวญคร่ำด้วยเสียงครางโหยหวยที่นุ่มนิ่ม ก่อนที่จังหวะดนตรีจะเร้าและเคลียคลอเล้าโลมอารมณ์ต่อไปตามลำดับ ขณะที่เพลงชวนเคลิ้มอย่าง Leviathan Bound หากใครฟังแล้วไม่รู้สึกยะเยือกก็ให้มันรู้ไป สมควรไปหาหมอหูให้ดูอาการหูตัวเองเป็นอย่างยิ่ง อัลบั้มนี้ชิล งดงามหมดจดเป็นที่สุด


*******************************
อันดับ 9 Kings Of Leon - Only By the Night
ปีทองของวงนี้ของแท้ ไม่ว่าจะด้านยอดขาย ความสำเร็จหรือชื่อเสียง และแน่นอนว่าความยอดเยี่ยมพวกเขาก็ยังสร้างสรรค์ผ่าน Only By The Night ที่เต็มไปด้วยเพลงซึ่งมีวงเดียวเท่านั้นที่จะนึกถึงเมื่อได้ฟังชุดนี้ คือ U2
ชุดนี้ร็อคลงน้อยกว่าที่ผ่านมาก็จริง แต่ยังสัมผัสได้ถึงความลึกลับน่าค้นหาของซาวน์ด Sex On Fire และ Use Somebody คือเพลงที่ทั้งฮิตและทั้งดีอันนำพวกเขาก้าวไปสู่อีกขั้นที่สูงขึ้น
Cold Desert เพลงเอื่อยๆซึ่งเชื้อเชิญให้เศร้าฟูมฟายได้ง่ายๆ ผลผลิตจากวงที่ประกอบไปด้วยพี่น้องกันจึงมีเคมีที่ลงตัวและน่าจับตามองยิ่งขึ้นนับจากนี้


***************************
อันดับ 8 Islands - Arm's Way
เปิดตัวด้วย The Arm ในเสียงโหยหวนพร้อมท่วงทำนองเชื่องช้าสวยงาม ก่อนจะไม่ทำให้แตกตื่นด้วยการนำเข้าสู่ Islands ที่คุ้นเคยด้วยจังหวะที่เร่งเร้าขึ้นในสไตล์อินดี้พ็อพละมุนหู
เพลงอื่นๆในช่วงกลางของอัลบั้มได้กลิ่นอายพ็อพยุค 80's(ดิสโก้ไปกับCreeper) Life in Jail คือเพลงบัลลาดหม่นๆที่สวยใส แม้ภาพรวมที่ดูจะหนุกหนาน สว่างไสว แต่ความหม่นหมองที่เพิ่มขึ้นใน Arm's Way ก็หาได้เหมือนกัน ลองปล่อยความรู้สึกที่เชื่องช้าและมืดมัวไปกับ I Feel Evil Creeping In แล้วจะสัมผัสถึงมันได้


*************************
อันดับ 7 The Last Shadow Puppets - The Age of the Understatement
แค่การเอาออร์เคสตร้าเอาผสมผสานกันให้มโหฬาร ปรุงแต่งกับไอเดียทางดนตรีที่เก๋ไก๋ของสองหน่อ เราก็ได้สูตรสำเร็จเป็นซาวด์แทร็กหนังเจมส์ บอนด์และหนังคาวบอยที่ถ้าชอบก็ฟังแล้วอินกันไป ไม่ชอบก็หลับเท่านั้นแหละ ตั้งแต่เพลงกระหึ่มอลังการชื่อเดียวกับอัลบั้ม หรือ Standing Next To Me ที่เราได้เห็น Lennonและ McCartney เอ๊ย! Alex Turner และ Miles Kane หลงไปอยู่ในยุค 60's แย่แล้วไง กลายเป็นว่างานนี้มันเวิร์กเกินกว่าจะเป็นได้แค่side project ธรรมดาๆซะแล้วสินะ


******************************
อันดับ 6 TV On the Radio - Dear Science
อะไรที่ได้ฟังมันคือร็อคก็จริง แต่เราก็ยังได้เห็นการลองงานกับโซล ฟังก์หรืออิเล็กโทรที่ถูกจับมารวบรวมกันไว้ ไม่ใช่แบบปะติดปะต่อแบบยุ่งเหยิง ฟังแล้วเห่ยทั้งอัลบั้ม แต่Dear Science ทำให้มันลงตัวอย่างยอดเยี่ยมน่าฟังที่สุดทั้ง 11 แทร็ค ทุกเพลงมีความพิเศษในตัวของมัน ตั้งแต่ Halfway Home ที่เปิดตัวความเป็นชูเกสเซอร์ หรือจะลองเอา Dancing Choose กับ Golden Age ไว้พิจารณาเปิดแดนซ์ กระดิกขามันส์ๆเล่น พิสูจน์ความสมดุลของเครื่องสายและเปียโนใน Family Tree อย่าแปลกใจที่สำนักไหนๆก็มีอัลบั้มนี้อยู่ใน Best albums of the year และพวกเขาทำอัลบั้มที่ฉันชอบมากที่สุดของวงนี้ออกมาได้ในที่สุดแล้ว


********************************
อันดับ 5 Travis - Ode To J. Smith
แม้Travis อาจจะเป็นหนึ่งวงที่ยกไว้ในฐานเข้าใจและเกือบจะไม่สามารถนำมาอยู่ในการจัดอันดับได้ เพราะมันอาจไม่ยุติธรรม แต่วงนี้ก็ยังเป็นวงที่น่ารักน่าหยิก และปฏิเสธไม่ได้กับความมีดีของงาน
ชุดล่าสุดที่แม้จะอินดี้แตกไปทำงานกับค่ายตัวเองไม่ง้อค่ายยักษ์ใหญ่ แต่ซาวด์นแบบTravis ที่ฉันอุ่นใจทุกครั้งที่ได้ยิน ได้ฟังเสียงของFran ยังคงอยู่ไม่ไปไหน ภาพรวมที่อัพบีทขึ้น ร็อคสะใจขึ้นทำให้เราสามารถสลัดภาพอะไรติ๋มๆจากThe Boy With No Name ไปจากหัวได้แทบจะในทันที J.Smith ยอดเยี่ยมด้วยเสียงกีต้าร์ฮึกเหิม อื้ออึง กระนั้น
ร็อคแบบTravis ก็คือTravis พวกเขาไม่ใช่ Metallica แทร็กท้ายๆที่หวานนุ่มอย่าง Song To Self เอาไว้ฟังตามลำพังยามเหงาใจ และปิดท้ายอย่างสมบูรณ์ด้วย Before You Were Young บุคคลที่ถูกอ้างถึงในอัลบั้มอย่างนาย J.Smith ถูกเรียงร้อยเรื่องราวอย่างน่าสนใจไว้ภายในบทเพลงทุกเพลง(แต่ฉันไม่สามารถตีความได้) นี่คือวงที่ทำอะไรมา ฉันก็ยอมฟังหมดจริงๆ


*************************
อันดับ 4 Glasvegas - Glasvegas
กลาสโกว์ไม่สิ้นวงดี คำนี้ยังใช้ได้ วงใหม่อีกวงประจำปีที่ได้ใจฉันไปเต็มๆ เพราะความดีของ Daddy's Gone ในปีที่แล้ว สานต่อด้วยหลายซิงเกิ้ลที่พวกเขาทำออกมาก็โดนใจ
กระทั่งกว่าจะออกอัลบั้มแรกของตัวเองจริงๆก็ให้รอตั้งปลายปี รวมถึงมีอัลบั้มที่สองตามมาอีกสามเดือนถัดจากนั้น
การมีมือกลองที่แนวที่สุดในโลก ป้า(แต่ด้วยความสัตย์จริง ฉันไม่รู้อายุเธอ แค่ประเมินจากภายนอก)แกก็หวดตึงๆฟังดูกังวาน เป็นส่วนสำคัญในบทเพลงที่ฟุ้งๆก้องๆให้วง
เสียงนักร้องนำเหน่อผู้ใช้มันสมองเขียนเพลงที่ดูแล้วงดงามสละสลวย และฉันกำลังรอให้คุณทำแผ่นอยู่สักทีนะคะ โซนี่ มิวสิคฯ


**********************************
อันดับ 3 Elbow - The Seldom Seen Kid
เพราะความสะเหล่อจัดจริงๆที่่ไม่ได้สนใจอัลบั้มนี้ตั้งแต่แรก ฟังไปฟังมาแค่บางเพลง กว่าจะมารู้ตัวว่าของเขาดีก็ตอนได้ Mercury Prize(ชนะ In Rainbows อีกน่ะ)ลนลานหามาฟังแทบไม่ทัน แหม่ ใครจะไปคิดว่าวงที่อายุอานามขนาดนี้แล้ว จู่ๆจะมาสร้างความมหัศจรรย์เอาเมื่อนี้ แม้อันที่จริงวงนี้จะมีผลงานดีๆอยู่บ้าง แต่ความขายไม่ค่อยได้ทำให้ฉันเฉยๆไปเสียทุกที อย่ากระนั้นเลย นี่ก็เป็นอัลบั้มของElbow ที่ฉันชอบที่สุด และใช่ค่ะ ฉันว่าถ้าคนฟังแล้วอาจนึกถึง Radiohead แต่The Seldom Seen Kid ทำให้ฉันติดได้ง่ายกว่า มันอบอุ่น ละมุนละไม ชวนฝันและพาคนดื่มด่ำในทุกรายละเอียดที่สวยงามลึกซึ้งได้มากกว่า หลายเพลงติดใจตั้งแต่แรกฟัง
Grounds for Divorce เพลงนี้ฉันชอบมากๆ หนึ่งในเพลงที่รักสุดประจำปี(และยิ่งกรี๊ดแทบตายเมื่อ Burn After Reading-หนึ่งในหนังที่ชอบมากที่สุดแห่งปีด้วย เอาเพลงนี้ไปใส่ในเทรลเลอร์)
ที่ตลกอะไรอย่างนี้เพราะชุดนี้วงทำแบบไม่มีสัญญาอะไรกับใครที่ไหน ไม่มีความคาดหวังอะไรอีกต่างหาก ให้อีกสาขาก็ได้ว่าอัลบั้มที่ดีมากเกินคาดแห่งปี


**************************
อันดับ 2 Vampire Weekend - Vampire Weekend
แค่อัลบั้มนี้อัลบั้มแรก อัลบั้มเดียว ฉันก็ตกหลุมรักวงนี้เข้าเต็มเปาพวกเขาได้ตีตราตัวเองไว้แล้วด้วยว่าคือวงที่ทำเพลงอินดี้ร็อคแหวกแนวด้วยซาวนด์กรุ๊งกริ๊งซึ่งใช้จังหวะกลองรัวๆ
แบบสไตล์อัฟริกัน ความคิดส่วนตัวจริงๆ เห็นว่าวงที่ทำแนวๆนี้มันก็ไม่ค่อยมี แล้วพอดี Vampire Weekend ก็โผล่มาในห้วงวินาทีที่ฉันได้ฟังแล้ว เฮ้ยๆ! วงบ้าอะไร ทำไมน่ารักอย่างนี้
และสารภาพว่านึกว่าวงอังกฤษด้วยซ้ำ เพราะสำเนียงการร้อง (ประเด็นที่ยังไม่เข้าใจจนถึงทุกวันนี้ จะเฟกสำเนียงไปทำไมอ่ะ?) ถึงจะมาตั้งแต่ต้นปี แต่อัลบั้มนี้ฉันยังไม่ลืมและฟังบ่อยมากจนกระทั่งบัดนี้ อัลบั้มคือสิ่งที่เสริมความดี๊ด๊าปรีดิ์เปรม กระชุ่มกระชวยหัวใจ เหมาะกับการฟังในช่วงต้องการสดใส ทุกเพลงมีเสียงกีต้าร์จังหวะง่ายๆ ดึงดูดใจ ร่าเริงด้วยเสียงกรุ๊งกริ๊งแปลกๆ เพลงจังหวะน่ารักๆอย่าง Cape Cod Kwassa Kwassa หรือ M79 ก็ชวนให้อมยิ้ม One (Blake's Got a New Face)ที่ร้องโต้กัน
สลับไปมาในท่อนคอรัส
และฉันคงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงความยอดเยี่ยมของ A-Punk หรือ Oxford Comma หรอกนะ



***************************
And the winner is...




British Sea Power - Do You Like Rock Music?


เยสสสสสสสสสสส ไอ ฟักคฺลลิ้ง เลิฟฟ อิททฺ
พวกเขาเคยเปิดตัวอย่างสุดยอดในอัลบั้มแรกแล้วทำให้ฉันผิดหวังในชุดถัดมา ครั้งนี้ British Sea Power กลับมาครองใจฉันตามนัดหมาย ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน Waving Flags
เพลงที่จัดว่าเยี่ยม คลาสสิกที่สุดนับแต่พวกเขาทำ Carrion เอาไว้
ะตั้งชื่ออัลบั้มแบบที่ต้องการคำตอบไหมไม่ทราบ แต่อยากบอกว่าไม่ชอบก็ไม่มาฟังหรอกค่ะ
แล้วงานร็อคใน Do You Like Rock Music? คือ ความโอ่อ่า ยิ่งใหญ่ เลิศล้ำ และปะทุอยู่ในทุกอณูแห่งเมโลดี้ที่ก้องกังวาน นี่คืออัลบั้มร็อคที่มีเสียงคอรัสที่ไพเราะและทรงพลังที่สุดอีกหนึ่งชุด ดูเหมือนพวกเขาจะสื่อออกมาในชุดนี้ว่าพวกเขาก็คือแรงงานศิลปินที่รักเพลงร็อคถึงจิตถึงใจแล้วก็ทำร็อคแบบรื่นหูมาให้คนฟังหลงใหล All In It เพลงที่ดูลึกลับและเศร้าสร้อย โดดเด่นด้วยเสียงร้องประสานเสียงกันในเพลงที่จังหวะสม่ำเสมอกัน No Lucifer(นึกว่า Arcade Fire) เพลงที่ฟังง่ายๆสบายๆอย่าง Open The Door ก็กินใจฉันได้มากที่สุด No Need to Cry ก็โอบกอดอัลบั้มนี้ให้อบอุ่นอีกครั้ง


ยังไงล่ะนี่ แทบถอนตัวกับอัลบั้มนี้ไม่ขึ้น
ถ้าไม่นับ Coldplay สาบานได้ว่าชุดนี้ฉันฟังบ่อยมากที่สุดในรอบปี แบบทุกแทร็กตั้งแต่ต้นจนจบเลยนะ


เซย์ เยสสสสสสสกับอัลบั้มนี้ค่ะ




*ถามเองตอบเอง*
- ทำไมต้อง12 อัลบั้ม ทำไมไม่10 หรือ5 หรือ20 ให้เลขลงตัวเหมือนที่อื่นเขาทำกัน?
ตอบ : ถ้าเอาสิบมันก็ดูบ้านๆไม่เท่ดิ เอาสิบสองนี่ดูแนวโคตรเลย
ไม่ใช่หรอก ความจริงคือมันเป็นการยากลำบากมหาศาลที่จะตัดทอนให้เหลือ 10 รักพี่เสียดายน้อง ถ้าเอามากกว่านี้อาจจะเฝอ ขอ12นี่แหละนะ
- เกิดอะไรขึ้นกับพวกนี้ที่แกก็ชอบและควรจะอยู่ในอันดับด้วย Oasis - Dig Out Your Soul,The Verve - Forth,The Killers - Day&Age, MGMT - Oracular Spectacular
ตอบ : สี่อัลบั้มดังกล่าวฉันก็ชื่นชอบสำหรับปี2008 พอๆกัน อันแรกเคยบอกว่าจะติดอัลบั้มในดวงใจประจำปี อันที่สองและสามก็อยู่ในเกณฑ์ประทับใจเอาการ แต่จากกฎที่ว่าฉันต้องชอบทุกเพลง สามอันนี้เลยหมดสิทธิ(ทำเป็นพยายามเหมือนให้การจัดอันดับดูดีมีมาตรฐานมาก -*-) ส่วนอันสุดท้าย เมื่อต้นปีก็ชอบถึงขนาดคลั่ง แต่หลังๆ โดยเฉพาะท้ายปี ฉันหมั่นไส้มากที่หลายๆสถาบันเชิดชูมันมากขนาดนั้น มันดีจริงและฉันก็ชอบ แต่ดีขนาดว่า..มากกว่าอันอื่นๆเลยเหรอ อวยมั้ย โอเวอร์มั้ย(ถ้าคุณอ่านNME คุณจะรู้) ฉันมีความรู้สึกหมั่นไส้ไง(ช่างดูดีมีมาตรฐานและเหตุผลน่าเชื่อถือรองรับดี 555)



Albums I Bought/Listened to in 2008 - My Rates


ขออนุญาตให้คะแนน อัลบั้มที่ผ่านๆมาของปี 2008 บ้าง จะได้เป็นภาพรวมของการประทับใจหรือไม่ประทับใจ


*กฎเกณฑ์*
- เป็นอัลบั้มที่ release ในปี 2008
- ไม่รวมพวก EP,compilation,b-sides,soudtrack ต่างๆ
- ไม่นับ Viva La Vida Or Death And All His Friends
- นับเฉพาะอันที่ได้ฟังจนสามารถประเมินได้จริงๆเท่านั้น(แหงล่ะ)
- ไม่เรียง ไม่ว่าจะตามลำดับ ตามการออก ตามตัวอักษร อะไรทั้งนั้น เอาตามอำเภอใจ


*หมายเหตุ ในวงเล็บ
P= purchased album อาจด้วยความพิศวาทหรืออะไรก็แล้วแต่ จึงมีในครอบครอง
N= non-purchased album ไม่ได้ซื้อ อาจโหลดหรือยืมเขามา(ถนัดล่ะ) ด้วยความที่ไม่พิศวาทหรือเพราะแผ่นมันไม่มีขาย หรือ ถ้าซื้อก็กินแกลบล่ะฉัน ฯลฯ


- The Killers - Day&Age (P) 8.5
- Oasis - Dig Out Your Soul (P) 9
- The Verve - Forth (P) 8
- James - Hey Ma (P) 7.5
- Fleet Foxes - Fleet Foxes(N) 8
- Glasvegas - A Snowflake Fell (And It Felt Like A Kiss) (N) 8
- Cat Power - Jukebox (N) 7
- The Futureheads - This Is Not The World (N) 6
- MGMT - Oracular Spectacular (N) 8.5
- The Walkmen - You&Me (N) 8
- Friendly Fires - Friendly Fires(P) 7
- Primal Scream - Beautiful Future(N) 6.5
- The Zutons - You Can Do Anything (N) 6
- The Kooks - Konks (P) 6.5
- Snow Patrol - A Hundred Million Suns (P) 6.5
- Bloc Party - Intimacy (N) 7
- Keane - Perfect Symmetry (P) 7
- Razorlight - Slipway Fires (N) 6
- Duffy - Rockferry (N) 7
- No Age - Nouns (N) 7.5
- Adele - 19 (P) 8
- Bon Iver - For Emma Forever Ago (N) 8.5
- Kaiser Chiefs - Off With Their Heads (P) 7
- Death Cab For Cutie - Narrow Stairs (N) 6.5
- Foals - Antidotes (P) 8
- Beck - Modern Guilt (P) 8
- Black Mountain - In The Future (P) 6
- Of Montreal - Skeletal Lamping (N) 7
- Hercules & Love Affair - Hercules & Love Affair (N) 7.5
- The Raconteurs - Consolers Of The Lonely (P) 8.5
- Counting Crows - Saturday Nights & Sunday Mornings (P) 7
- The Kills - Midnight Boom (P) 8
- Foxboro Hot Tubs - Stop Drop and Roll (N) 6
- Weezer - Weezer (Red Album) (P) 4
กรี๊ดดดดดดดด กล้าให้ค่ะ ถึงจะรักวงนี้ แต่อนาถขึ้นไปทุกอัลบั้ม นอกจากPork and Beans แล้ว เพลงอื่นๆฟังไปกี่ทีแล้วยังรับไม่ได้จริงๆ
- The Pretenders - Break Up the Concrete (N) 6
- Johnny Foreigner - Waited Up 'Til It Was Light (N) 7.5
- The Breeders - Mountain Battles (N) 8
- Los Campesinos! -We Are Beautiful, We Are Doomed (N) 8
- Clinic - Do It! (N) 8.5
- Deerhoof - Offend Maggie (N) 7
- Frightened Rabbit - The Midnight Organ Fight (N) 9
- Sons and Daughters – This Gift (N) 6
- Noah and the Whale - Peaceful, The World Lays Me Down (N) - 8
อีกหนึ่งวงใหม่ในดวงใจ
- The Pigeon Detectives - Emergency (P) - 8
- Ra Ra Riot - The Rhumb Line (N) - 8.5
- Beach House – Devotion (N) 7
- Stereolab - Chemical Chords (N) 6.5
- The Racals - Rascalize (N) 4
- R.E.M. - Accelerate(P) 9
ชอบมากเช่นกัน ชุดนี้ จริงๆฉันก็เป็นแฟนวงนี้นะ ครั้งนี้กลับมาแบบน่าชื่นใจมาก
- Jason Mraz - We Sing, We Dance, We Steal Things (N) 7
ตอนแรกๆชอบมากเลยนะ ฟังบ่อยตลอด หลังๆเบื่อหน่อยๆ ยอมแพ้ตัวเอง
- Jack Johnson - Sleep Through the Static (P) 8
- Matt Costa - Unfamiliar Faces (N) 7
- Mason Jennings - In the Ever (N) 6.5
- James Taylor - Covers (P) - 7
- The Feeling - Join with Us (P) 7
- We Are Scientists - Brain Thrust Mastery (N) 6
- The Music - Strength in Numbers (N) 6.5
- The Vines - Melodia (N) 3
- Lightspeed Champion - Falling Off the Lavender Bridge (P) 8
- Supergrass - Diamond Hoo Ha (N) 6.5
- One Night Only - Started A Fire (P) 7
- Scouting For Girls - Scouting For Girls (P) 2.5
เอาตังค์กรูคืนมาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา T_T
- The Ting Tings - We Stared Nothing (N) 2
เกลียดจริงๆ และสาบานจริงๆว่าฟังหลายรอบมากๆแบบเปิดใจที่สุดแล้ว
- Dirty Pretty Things - Romance at Short Notice (P) 5
- The Courteeners - St.Jude (P) 7
- The Fratellis - Here We Stand (P) 8
- Brett Anderson - Wilderness (N) 5
- Wild Beasts - Limbo, Panto (N) 8
- Chairlift - Does You Inspire You (N) 6.5
- Late of the Pier - Fantasy Black Channel (N) 7
- Little Joy - Little Joy (N) 7.5
- Black Kids - Partie Traumatic (N) 6
- White Denim - Exposion (N) 7.5
- Cold War Kids - Loyalty to Loyalty (N) 7
- Eugene McGuinness – Eugene McGuinness (P) 6.5
- Hot Chip - Made in the Dark (N) 7
- The Dodos – Visitor (N) 7.5
- The Black Keys - Attack & Release (N) 8


หวังว่าคงไม่หลงลืมอะไรไป



My Most-listened Album of 2008(excluding Coldplay) : British Sea Power - Do You Like Rock Music?


My Fav Breakthrough Band(kinda my fav album too) : Vampire Weekend - Vampire Weekend


Best Comeback Album : Oasis - Dig Out Your Soul


Album That Was a Lot Better Than Expected : Elbow - The Seldom Seen Kid


Most Disappointing Album : Death Cab For Cutie - Narrow Stairs


My Brightest Hope : White Lies
ได้ฟัง Death กับ Unfinished Business แล้วชอบมาก พวกเขาจะมีอัลบั้มของตัวเองปีนี้ จะคอยดู


My Fav Soundtrack : Juno


Album That I Need More Time With : Nick Cave & The Bad Seeds - Dig Lazarus Dig


Album That Just Isn’t My Thing : Portishead - Third


My Fav Compilation : The Coral - The Singles Collection


My Fav EP (excluding Coldplay's) : Animal Collective - Water Curses



เฮือก! หนี้ติดค้าง ปีทีแล้ว อัลบั้มที่ว่าจะ ว่าจะ และว่าจะไปหามาฟังทุกที แต่ยังไม่ได้ฟังกระทั่ง ณ บัดนี้
ลิสต์ไว้นี่แหละ เตือนใจมันไว้ ไปหามาสักที


Okkervile River – The Stand Ins
Belle & Sebastian - The BBC Sessions
Vessels - White Fields and Open Devices
Cut Copy - In Ghost Colours
The Stills - Oceans will Rise
The Streets - Everything is Borrowed
She & Him - Volume 1
Santogold - Santogold
Mercury Rev - Snowflake Midnight
Nine Inch Nails - The Slip
Mogwai - The Hawk Is Howling
Albert Hammond Jr. - Como Te Llama?
Blood Red Shoes - Box of Secrets
Paul Weller - 22 Dreams
Deerhunter - Microcastle
Department of Eagles - In Ear Park
School of Seven Bells - Alpinisms
Spiritualized - Songs in A+E
Sigur Ros ชุดใหม่และside project ล้านแปดของ Damon Albarn




My 10 Fav Tracks of 2008(excluding Coldplay's)


10. Kings Of Leon - Use Somebody
9. MGMT – Time To Pretend
8. R.E.M. - Supernatural Superserious
7. TV On The Radio - Family Tree
6. Vampire Weekend -Oxford Comma
5. Elbow – Grounds For Divorce
4. British Sea Power - Open The Door
3. Glasvegas - Geraldine
2. The Killers - Human
1. Oasis - I'm Outta Time



All of My Fav Songs of 2008 (1 song/1 artist)
พวกนี้ส่วนใหญ่จะติดอยู่ใน playlist ตลอด
จะตัดเป็นซิงเกิ้ลหรือไม่ก็ช่าง แต่ว่า เอ่อ บางอันไม่แน่ใจ หยวนๆว่าได้ยินมาปี 2008 แล้วกัน


- Islands - I Feel Evil Creeping In
- Shearwater - The Snow Leopard
- The Hold Steady - Constructive Summer
- Chairlift – Bruises
- The Verve - Appalachian Springs
- Snow Patrol - If There's A Rocket Tie Me To It
- Kaiser Chiefs - Remember You're a Girl
- Keane - Spiralling
- Razorlight - Burberry Blue Eyes
- The Kooks - Always Where I Need To Be
- Bloc Party - Ares
- Weezer - Pork And Beans
- Jason Mraz - I'm Yours
- The Last Shadow Puppets - Standing Next To Me
- Duffy - Warwick Avenue
- Adele - Chasing Pavements
- Counting Crows - You Can't Count On Me
- Franz Ferdinand - Lucid Dreams
- Wild Beasts – The Devil’s Crayon
- Travis - Song To Self
- Mosissey - That's How People Grow Up
- James - Oh My Heart
- The Ravonettes - You Want The Candy
- Empire Of The Sun - Walking on a Dream
- Late Of The Pier – Heartbeat
- No Age – Teen Creeps
- Foals – Cassius
- Friendly Fires – Paris
- Bon Iver – Wolves
- Johnny Foreigner – Salt, Peppa & Spinderella
- Black Lips – Bad Kids
- The Walkmen - In the New Year
- Fleet Foxes - Blue Ridge Mountains
- Hercules and Love Affair - Blind
- The Futureheads - Begging Of The Twist
- Lightspeed Champion - Midnight Surprise
- We Are Scientists - After Hours
- Yeti - Don't Go Back To The One You Love
- Little Joy - With Strangers
- Black Kids - I'm Not Gonna Teach Your Boyfriend How To Dance With You
- White Denim - All You Really Have To Do
- Cold War Kids - Something Is Not Right with Me
- Eugene McGuinness – Wendy Wonders
- Hot Chip - Shake a Fist
- The Dodos - Fools
- Primal Scream - Necro Hex Blues
- Frightened Rabbit - I Feel Better
- Glasvegas - Fuck You, It's Over
- Ida Maria - I Like You So Much Better When You're Naked
- The Zutons - Always Right Behind You
- Guns n’ Roses - Better
- Beck – Gamma Ray
- The Raconteurs – Salute Your Solution
- Death Cab For Cutie – I Will Possess Your Heart
- Ra Ra Riot - St. Peter's Day Festival
- The Magnetic Fields - Distortion
- Jack Johnson - If I Had Eyes
- Brad Paisley - I'm Still A Guy
- Gavin DeGraw - In Love With A Girl
- Vivian Girls - Where Do You Run To
- M83 - Kim & Jessie
- Eels - Love Of The Loveless
- The Pigeon Detectives - Making Up The Numbers
- Bruce Springsteen - Girls In Their Summer Clothes
- The Vines - Highly Evolved
- Cat Power - The Dark End Of The Street
- The Maccabees - Toothpaste Kisses
- Matt Costa - Cigarette Eyes
- Supergrass - Diamond Hoo Ha Man
- Sons and Daughters - This Gift
- The Courteeners - Not Nineteen Forever
- The Subways - Girls & Boys
- The Feeling – I Thought It Was Over
- The Black Keys - Strange Times
- One Night Only- Just For Tonight
- The Long Blondes - Century
- Spoon - Don't You Evah
- Glen Hansard,Marketa Irglova - Falling Slowly
- The Moldy Peaches - Anyone Else But You
- Joe Lean & The Jing Jang Jong - Lonely Buoy
- One Republic - Stop And Stare
- The Kills - Hook And Line
- The View - 5Rebbeccas
- Black Mountain - Night Walks
- Of Montreal - Wicked Wisdom
- Foxboro Hot Tubs - Broadway
- The Pretenders - Almost Perfect
- The Breeders - We're Gonna Rise
- Los Campesinos! - Ways to Make It Through the Wall
- Clinic - Free Not Free
- Deerhoof - My Purple Past
- Noah and the Whale - 5 Years Time
- Beach House – Gila
- Stereolab - Daisy Click Clack
- The Rascals - Out of Dreams
- Mason Jennings - Something About Your Love
- The Music - Strength in Numbers
- Dirty Pretty Things - Tired of England
- The Fratellis - Mistress Mabel
- Stereophonics - You're My Star
- The Enemy - This Song
- Radiohead - Nude
- The Coral - Being Somebody Else
- The Script - The Man Who Can't Move
- The Wombats - Kill The Director
- Kanye West ft. Chris Martin - Homecoming ไม่มีอะไรมากไปกว่าชอบเพราะมีเสียงเปียโนและ Chris 555+
- M.I.A. - Paper Planes ขำมากที่อยู่ดีๆก็ชอบเพลงนี้ได้ อันที่จริงฉันได้ยินมาก็นานแล้วเฉยๆ แต่มีเพื่อนคนนึงชอบเจ๊และเพลงนี้มากๆ พอดี Pineapple Express หนังที่ฉันชอบและอยากดู เอาเพลงนี้ไปใส่ในเทรลเลอร์ ฉันเลยกลายเป็นกรี๊ดกับเพลง แล้วที่สำคัญผลพวงจากเทรลเลอร์นี้ทำให้เพลงมันไต่บิลบอร์ดพรวดๆจนฉันก็ขำ release มาตั้งนาน พอ Pineapple Express เข้าอเมริกา(ประมาณสิงหา)โอโหย พุ่งเชียว ขอบคุณหนังเขานะ ฮ่าๆ กระทั่งเพื่อน(คนเดิม)ระงับอาการดีใจระคนตื่นตระหนกไว้ไม่อยู่("จะดีเหรอ ลงมาๆ กรูไม่อยากให้มันดัง"-ฮา) แต่เพลงมันก็เท่จริงๆอ่ะ หนังเนี่ยสิยังไม่ได้ดูเลย -*- อืม ได้ข่าวว่า Slumdog Millionaire ก็มีเพลงนี้ด้วย



My Own Private Lists


Best Music Videos


5. Bjork - Wanderlust
4. MGMT - Time To Pretend
3. Radiohead - Reckoner
2. Vampire Weekend - A-Punk
1. Weezer- Pork and beans


Best Music DVD/Live DVD : Muse - HAARP


Best CD/DVD Artwork Design : The Killers - Day&Age



โอว มันสวยจริงๆนะ งานออกแบบโดย Paul Normansell เขาวาดเองโดยจุดๆนั่นคือปลายหยดพู่กัน และไม่ใช่แค่ปก แต่ใน booklet ก็มีภาพ portrait สมาชิกในวง มองแล้วเคลิ้มมากกกกกก


Best Moment : ครั้งแรกที่ได้ยิน Viva La Vida


Worst Moment : คอมฯพัง เพลงสูญหายมหาศาล แต่มันก็เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันฟัง Viva La Vida หกสิบเก้าพันล้านรอบที่กินเนสบุคส์เวิร์ลเร็คคอร์ดควรมาจดไว้


Quote of the Year : "I felt like a dagger went right through my heart.(LOL) It hurt so much. The second I heard it, I knew it was If I Could Fly." - Joe Satriani


Most Excited Moment : ตอนที่รอจะฟัง Violet Hill และนั่งรีเฟชเพจ coldplay.com สองล้านสามแสนรอบเพื่อจะดาวน์โหลด Violet Hill


Never Thought It Would Happen : Travis live in BKK และการที่ฉัน(กับผู้ร่วมกระทำการอีกหนึ่ง)ได้เผชิญหน้า พูด ถ่ายรูป และจับมือกับวงดนตรีที่ชื่อ Travis!!


Shock of the Year : 100 Rock Fest. ยกเลิกด้วยเหตุผลที่คุณก็รู้ว่าเพราะอะไร


Funniest Thing : Ringo Starr หยุดแจกลายเซนต์


Weirdest Thing : อัฐิ Kurt Cobain ถูกขโมย


WTF?!? : Stereophonics มาไทย! เปิดคอนเสิร์ตบนเรือล่องแม่น้ำโคตรหรู แทนที่จะจัดขายบัตรดีๆ ไม่ขาย! เท่านั้นไม่พอ จำกัดอายุคนดูอีก T_T สรุปตรูผิดเอง(ไปเกิดใหม่)


Just Discovered : The Coral - Magic And Medicine



Albums in 2009 I'm Looking Forward To :


U2 (No Line on the Horizon)
Green Day
Pete Doherty (งานเดี่ยว)
Franz Ferdinand (Tonight)
Lily Allen (It’s Not Me, It’s You)
The Fray (The Fray)
The View (Which Bitch?)
Animal Collective (Merriweather Post Pavilion)


พวกที่แว่วๆว่าจะออกปีนี้
The National
Metric
The Shins
Patrick Wolf
Massive Attack
Arctic Monkeys
Yeah Yeah Yeahs
Sufjan Stevens
Beirut
Klaxons
Muse
The Maccabees
Sonic Youth
Morrissey
Baddies
และ ...Coldplay???



5 Questions for This Year :


1. เฮดไลน์ของ Glastonbury ปีนี้จะเอาใครมาอีกหนอ? หลังจากปีที่แล้วเป็น Jay-Z ปีนี้ใครล่ะ จะเป็น Pussy Cat Dolls หรือว่า Backstreet Boys ดี?(มีเสียงด้านข้างบอกมาว่า "เอาJonas Brothers ดีกว่า คนจะได้กรี๊ดให้สนั่น" - เหรอ?,ฮ่า!)
2. Blur รียูเนียนจริงๆแล้ว จะทำอัลบั้มมั้ย? หรือ Damon จะยังติดหนึบกับโปรเจ็คต์ลิงๆของตัวเองอยู่ ?
3. Michel Gondry จะมากำกับเอ็มวีให้ได้ยลมไหมปีนี้? ปีที่แล้วไม่มีเอ็มวีจากเขาสักตัว คิดถึงมาก
4. หลังจากพักร้อนกันไป พวกเขาจะกลับมาทวงอำนาจตามคำบอกของ Chris Martin แล้วทีนี้พระเจ้า Bono และสาวกผู้ติดตามจะทำ No Line on the Horizon ออกมาเป็นยังไง?
5. ศิลปินหรือวงไหนอีกที่จะลุกขึ้นมาบอกว่า Viva La Vida ไปเหมือนเพลงตัวเอง?




ลิสต์เกี่ยวกับหนังไว้นิดนึง
เอาในกรุ๊ปดนตรีนี่แหละ มั่วเหมือนเดิมว่ะ


หนังที่ชอบในปี 2008(นั่นหมายถึงฉันได้ดูมันในปี 2008)
1. Burn After Reading
2. The Dark Knight
3. Control
4. Vicky Cristina Barcelona
5. No Country For Old Men
6. In Bruges
7. Into the Wild
8. The Counterfeiters
9. Once
10.Be Kind Rewind



หนังที่เกลียดในปี 2008 (ไม่ได้ดู เกลียดๆๆๆ)
1. Twilight
2. Twilight
3. Twilight
4. Twilight
5. Twilight
6. Twilight
7. Twilight
8. Twilight
9. Twilight
10.Twilight


หนังที่ดูในโรงหลายรอบที่สุด
- The Dark Knight 5 รอบ (คนอื่นเขาดูเป็นสิบๆ)
- Across the Universe 4 รอบ
- Once 4 รอบ
- The Fall 4 รอบ
- Burn After Reading 4 รอบ
- Tropic Thunder 3 รอบ
- Iron Man 3 รอบ
- The Mist 3 รอบ


ดีวีดีที่ดูหลายรอบที่สุด
- 9 Songs (555+ เพลงมันเพราะไง เพราะมั่กๆเรื่องนี้ เลยดูบ่อยเพราะเพลง จริง จริ๊ง -*- )


หนังที่รอคอยปีนี้
- Angels And Demons
- Slumdog Millionaire
- Revolutionary Road
- The Reader
- Milk
- The Curious Case of Benjamin Button
- The Wrestler
- The Class
- The Informant
- The Spirit


เฮือก! ครบทุกอย่างแล้วนะ(มั้ง?) มันก็ผ่านไปแล้วอีกหนึ่งปี


สวัสดีปี 2009 กันทุกคนและขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงที่กำลังรอคุณอยู่มากมายจ้า




 

Create Date : 02 มกราคม 2552    
Last Update : 3 มกราคม 2552 2:16:20 น.
Counter : 1279 Pageviews.  

Arctic Monkeys at the Apollo / Kaiser Chiefs "Off With Their Heads"

Arctic Monkeys at the Apollo


***Spoiler Alert!!!***


Arctic Monkeys …
ไม่ต้องบรรยายสรรพคุณวงนี้ให้มากความแล้วมั้ง
พูดไปก็เปลืองน้ำลาย พิมพ์ก็เปลืองพลังงานนิ้วกระแทกแป้นเปล่าๆ
เอาเป็นว่า ก็เออ.. นั่นแหละ
บัดนี้สมควรแก่เวลาที่วงซึ่งออกมาสองอัลบั้มอันเป็นปรากฏการณ์ถล่มทะลายของอังกฤษควรจะออกดีวีดีไลฟ์มาให้แฟนเพลงชื่นชมสักที 
Live at the Apollo คือสิ่งนี้ที่โลกรอคอย


 Trailer



สำหรับแฟนในเมืองไทยคงรอแผ่นลิขสิทธิ์ Live at the Apollo กันนานพอดู
จริงๆทั่วโลกเขาออกมาตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. และแพลทตินัมก็ออกกำหนดการว่าวันที่ 3 ธ.ค. จะออกในไทยแน่ๆ ปรากฏพอถึงวันก็ยังไม่ออก เช็คตามเว็บฯเห็นว่าเลื่อนไปวันที่ 9 เวรกรรม! ไปตามหลังจากนั้นก็ยังไม่มาอีก
ฉันไปตามถามร้านสามสี่รอบ รอจนเหนื่อย เขาบอกวันที่นั้น วันที่นี้มาดูนะ แต่...ก็ยังไม่มาอีก เลื่อนตลอด
เฮือก! ในที่สุดก็มา
(เอ่อ ดีวีดี Perfect Symmetry ของ Keane ก็เจอโรคเลื่อนเช่นกัน นานมากแล้ว ป่านนี้ยังไม่เห็นวี่แวว)






แพ็คเกจดีวีดีเป็นฮาร์ดบุคขนาดพอดีๆ แผ่นข้างในบรรจุใส่ซองกระดาษ แถมสติกเกอร์มาอีกสองแผ่น booklet มีภาพวงพอหอมปากหอมคอ





ณ ดิอพอลโล เมืองแมนเชสเตอร์ สถานที่สุดท้ายซึ่งพวกเขาทัวร์คอนเสิร์ตเมื่อปีที่แล้ว เป็นการปิดฉากเวิร์ลทัวร์ของอัลบั้ม Favourite Worst Nightmare อย่างงดงาม และพวกเขาก็ไม่พลาดที่จะเอาความประทับใจมาบรรจุไว้ในรูปแบบดีวีดี
Arctic Monkeys at the Apollo ได้เอาไปฉายในโรงภาพยนตร์เหมือนกันเมื่อสองเดือนก่อน ซึ่งได้ผู้กำกับภาพมือดีคือ Danny Cohen (จากThis is England) มารับผิดชอบ ในส่วนดีวีดีเป็นการกำกับของ Richard Ayoade คนนี้เคยทำเอ็มวี  Florescent Adolescent ให้วงมาก่อนแล้ว



ไตเติ้ลเป็นเครดิตเปิดตัวบ่งบอกให้ทราบแต่แรกว่านี่ไม่ใช่ดีวีดีไลฟ์ธรรมดา เพราะมันถูกถ่ายทอดมาในแบบภาพยนตร์ ต่อด้วยการเปิดตัวของวงที่กำลังเดินขึ้นไปบนเวทีที่มืดๆทึมๆ ก่อนจะเริ่มค่ำคืนแห่งความมันส์ ณ ดิอพอลโลด้วย Brianstorm แล้ววงก็ต่อด้วยสองแทร็กจากงานในชุดที่สองเช่นกัน


เวที ฉาก แสงสีธรรมดา อาจจะจงใจให้คลาสสิกหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่ค่อนข้างจืดชืด อย่าหวังอะไรกับงานด้านโปรดักชั่นมาก ตอนแรกๆนี่นึกว่ามาเล่นโชว์งานวัด คนดูก็แทบไม่เห็น การแพนกล้องไม่มี พอเล่นจบสองสามเพลงจึงได้ทราบว่าคนดูก็มี อ้าว! ได้ยินแต่เสียง นึกว่ามาเล่นให้ผีป่าช้าชมซะอีก แต่สี่หนุ่มก็ตั้งหน้าตั้งตาเล่นต่อไป พูดน้อยตามสไตล์ สังเกตได้ว่ากล้องจะจับภาพ Matt Helders เป็นพิเศษ และเห็นกันจะๆว่าเขาหวดกล้องแบบเน้นๆ แม่นยำมากแค่ไหน มีการนับจังหวะโชว์ด้วย
จากนั้นก็เปิดกรุเพลงเก่าจากชุดแรกมามันส์กัน เริ่มด้วย I Bet You Look Good On The Dancefloor
กระทั่ง When the Sun Goes Down มาถึง ที่เราสามารถได้ยินเสียงผู้ชมร้องตามได้ชัดเจน และอารมณ์รวมถึงบรรยากาศเริ่มได้ที่แล้วตอนนี้


Alex Turner บอก กล้องเต็มไปหมด เพราะพวกเขากำลังถ่ายทอดสดไปที่เบอร์ลินด้วย อันนี้จริงไหมไม่รู้ หรือพี่แกพูดเล่นๆเพราะตั้งใจจะบันทึกเป็นไลฟ์มาขายอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้ชมก็รับมุกตะโกนกันลั่นสะนั่นฮอลล์ “อิงแลนด์ อิงแลนด์ๆๆๆ”
Fluorescent Adolescent ซึ่งฉันรอคอยเป็นพิเศษ มาในเวอร์ชั่นเทปยาน ช้ากว่าของจริงเล็กน้อย
Plastic Tramp เพลงนี้เปิดตัวซี้ Alex อย่างMiles Kane มาเป็นแขกรับเชิญพิเศษร่วมเล่นกีต้าร์ ตามด้วย 505 อีกเพลง ซึ่งตอนนี้ Alex ทิ้งกีต้าร์มานั่งเล่นคีย์บอร์ดชั่วคราว


เพลงช่วงท้ายๆมีการตัดสลับกับภาพ อิริยาบถต่างๆของวงมาใส่นิดๆ
A Certain Romance ควรจะเป็นเพลงปิดท้ายที่ดีกว่า แต่ก็ไม่ใช่ เพราะพวกเขาเลือก If You Were There, Beware มาแทน แล้วก็...จบ.. เสร็จ! วงเดินหนี ขอบคุณแฟนๆ Alex โยนกีต้าร์ทิ้ง


รายชื่อเพลงที่เล่น




- เสียดายที่ไม่มีเพลงที่อยากฟังอย่าง Mardy Bum หรือ Who the Fuck Are Arctic Monkeys?


Extras:
ขอบอกว่า เบื้องหลังฉาก หลังเวทีก่อนโชว์จะเริ่ม วงพูดคุยกันหรือมาแลบลิ้นปลิ้นตาเล่นกล้อง โชว์อะไรตลกๆให้ดู กะจะเห็นพี่ Alex เปลี่ยนเสื้อ อะไรโหลๆตามแบบดีวีดีคอนเสิร์ตทั่วไปนั้นไม่มี อย่าหวังจะได้เห็น
- Quad Split(First Half) : แยกมุมแต่ละคนต่างหากมาให้ดู โดยเป็น 9 เพลงแรกที่เล่น
- Multi-camera Matt : ดูมุมต่างๆของ Matt Helders กระหน่ำกลองให้สะใจ
- Balaclava : เพลงนี้ที่ถูกตัดออก
- Bad Woman : อันนี้เข้าใจว่าช่วงencore หรือป่าว(สังเกตว่าเป็นช่วง Alex ถอดเสื้อกันหนาว) มี Richard Hawley มาร่วมแจมแบบได้ร้องคนเดียว คนอื่นเขาแค่ช่วยแบ็กอัพ


การตัดต่อภาพยังดูไม่ดีนัก ทำให้งานยังหยาบๆ ไม่อยากพูดเลยว่าเข้าขั้นห่วยแบบแปลกๆ หรือพูดง่ายๆว่ามันไม่ค่อยจะตัดต่ออะไรเท่าไหร่ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะข้อเสียที่น่ารำคาญมากและทำให้มันดูตะหงิดๆไม่สมบูรณ์แบบสำหรับการเป็นดีวีดีไลฟ์(หรือจะในรูปแบบหนัง) คือ เราจะสามารถเห็นพวกคนคุมเครื่องเสียง เวที ฉากซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างมาโผล่ในมุมกล้องเสมอ เข้าใจว่าตั้งใจหรือยังไงก็ไม่ทราบ หรือมุมกล้องมันไม่สามารถตัดได้ แต่มาเจอคนพวกนี้ที่โผล่เข้ากล้องมาที มันก็ดันเรียกความสนใจจากวงที่กำลังเล่นๆกันอยู่ไปไม่น้อยซะงั้น
ส่วนมุมกล้องที่ประชิดติดวงอย่างสุดฤทธิ์เพื่อเค้นภาพมาก็ดูดีนะ  สัมผัสได้ถึงความใกล้ชิดติดหนึบกับวงของแท้ เพราะเขาติดดินกันมาก Arctic Monkeys ที่เคยรู้จักสมัยมันยังไม่ดังขนาดนี้เป็นยังไง มันก็เป็นอย่างนั้นเหมือนเดิม สไตล์บ้านๆใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ Alex ก็ชอบขยี้หัวตัวเองเหมือนเดิม


ใครว่าวงนี้เล่นน่าเบื่อ???
ผิดแล้วย่ะ!!


จริงๆแล้ว มันน่าเบื่อมากกกกกกต่างหาก
อาจจะเพราะการมีนักร้องนำพูดน้อย ขี้อาย ก้มหน้าเล่นงุดๆ เอนเตอร์เทนคนไม่เป็น
คือ Alex Turner นี่ ฉันว่าแค่เห็นหน้าเด๋อๆก็น่าเบื่อแล้วนะ (โอเค ยกเว้นตอนพ่อคุณยิ้ม ซึ่ง...ตายๆ ตรู ใจละลายหยดเยิ้ม แว้กกกก)
ช่วงที่เขาพยายามมันส์อย่างโยกหัวสะบัดที่เรียกว่านี่สุดๆแล้วเหรอ? หรือขูดกีต้าร์ เต้นโยก ดูแล้วก็ยังไม่มันส์อ่ะ เทียบกับ Jamie Cook ที่บิดตัว ขูดกีต้าร์ไป แก้มแดงไป หน้าตาเคลิบเคลิ้มไป หูยยย ดูแล้วได้อารมณ์กว่าเยอะ อย่าลืมว่าอย่างที่บอก กล้องมันไม่ค่อยแพนคนดู ไม่เห็นอะไรสักกะแอะ อารมณ์ร่วมจึงน้อย ความมันส์หายไปครึ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น วงมันคุณภาพซะอย่าง จะไปว่าอะไรมันล่ะ? นี่เป็นวงที่คุ้มค่ากับการได้ดูมันเล่นสดแน่นอน แม้จะเป็นเพียงจากจอภาพสี่เหลี่ยมก็เถอะ






Kaiser Chiefs - Off With Their Heads (2CD Deluxe Edition)




อันนี้มันเป็นเวอร์ชั่นพิเศษที่ยูนิเวอร์ซัลฯทำมาใหม่ แพ็คเกจหรูหราอลังการมากถึงมากที่สุด แผ่นนึงเป็นเพลงจากในอัลบั้มนั่นแหละ อีกแผ่นคือ 4 เพลงแบบไลฟ์ที่พวกเขาเล่นที่เอลแลนด์ โรด (สนามเหย้าลีดส์ ยูไนเต็ดที่ตั้งแต่มันตกชั้นไป ไม่ค่อยได้เห็นหน้าค่าหน้าสนามนี้เล้ย อ้อ และแน่นอน วงนี้มันมาจากลีดส์ พวกมันเป็นแฟนตัวยงทีมนี้กันทั้งนั้น และเผื่อว่าไม่รู้ ชื่อวง Kaiser Chiefs พวกเขาได้มาจากทีม Kaizer Chiefs ที่ลูคัส ราเดเบ้เคยเล่นให้)



จริงๆ วงเขาออกเป็นดีวีดีไลฟ์แบบเต็มๆที่นั่นมาต่างหากแล้ว แต่ยูนิเวอร์ซัลฯดันไม่ทำ  ดันทำแค่ซีดีออดิโอแบบไลฟ์มา


แค่เนี้ย? เพื่ออะไร?
ขอบอกว่าฉันไม่ใช่แฟนวงนี้ถึงขนาดต้องซื้อเก็บ แต่อยู่ๆอะไรดลใจให้ซื้อมาก็ไม่ทราบ ทั้งๆที่ตัวเองแทบจะกินแกลบอยู่แล้ว (อัลบั้มนี้ฉันซื้อไปแล้วด้วย แต่เป็นแบบThailand edition)



อยากร้องไห้ ไม่ได้ดูคอนเสิร์ตแบบภาพ มีแค่เสียง แถมราคายังเท่ากับกับ Live at the Apollo เด๊ะๆ
จริงๆแรงกระตุ้น อาจเพราะขณะนั้นร้านมันเปิดอันนี้อยู่พอดี ได้ยินเสียงพี่ Ricky แหกปากโหวกเหวกกับลูบๆคลำๆมันแล้วหลงใหลแพ็คเกจจนทนไม่ไหว สรุปคือ ไปกินแกลบกัน!!


เฮือก! แต่พอดีไปหากระบวนการสืบเสาะดูมาแล้ว Live at Elland Road น่ะ ฉันรู้สึกวงนี้เล่นมันส์ เอนเตอร์เทนดีแต่ไหนแต่ไร เจ๋งดีเหมือนกัน



แพ็คเกจอลังจริงๆพี่น้อง เป็นฮาร์ดบุคเหมือนกัน แต่หนาปึ้ก  booklet มีเนื้อเพลงมาให้ครบครัน ภาพเยอะมากกกก  กระดาษอาร์ตมัน รูปถ่ายวงขาวดำคลาสสิก ซีดีสองแผ่นบรรจุในกล่องแป้นพลาสติก





CD1 Tracks:
01 Spanish Metal
02 Never Miss A Beat
03 Like It Too Much
04 You Want History
05 Can't Say What I Mean
06 Good Days Bad Days
07 Tomato In The Rain
08 Half The Truth
09 Always Happens Like That
10 Addicted To Drugs
11 Remember You're A Girl


CD2 Tracks:
01 Can't Say What I Mean [Live-Elland Road]
02 Never Miss A Beat [Live-Elland Road]
03 You Want History [Live-Elland Road]
04 Half The Truth [Live-Elland Road]


น่าสะสม คุ้มค่าสำหรับแฟนๆจ้ะ!!!





มันจะ Christmas กันแล้วนี่นะ
Songs for Christmas Volume 8: Astral Inter Planet Space Captain Christmas Infinity Voyage  เป็นอัลบั้ม Christmas ปีนี้ ของ Sufjan Stevens


จริงๆศิลปินคนนี้ ฉันไม่เคยมีอัลบั้มเต็มๆไว้ในครอบครองสักที ได้แต่ฟังเป็นเพลงๆไปแล้วก็ชอบมาก
พอเทศกาลแบบนี้เขาจะชอบทำเพลงมาประจำ โดยเฉพาะที่สำคัญอย่าง  Songs For Christmas เป็นบ็อกซ์เซตอลังการ(ซีดี 5 แผ่น) น่าสะสมที่เขาทำไว้เมื่อสองปีก่อน แล้วก็เป็นธรรมเนียมของเขามาตลอด


รายชื่อเพลง
1 Angels We Have Heard on High
2 Do You See What I See?
3 It Came Upon a Midnight Clear
4 Christmas in the Room
5 Good King Wenceslas
6 Joy to the World
7 The Child With the Star on His Head




สิบเพลงเกี่ยวกับ Christmas ที่ฉันชอบ (คงไม่ใช่ตลอดกาล นับแค่ปีนี้ดีกว่า)



10. A Great Big Sled – The Killers เพลงน่ารักๆซึ่งได้ฟังจากวงสมัยที่นักร้องนำมีหนวดบนใบหน้า เหมือนเป็นเด็กอีกครั้งเลยเพลงนี้


9. Wonderful Christmas time - Paul McCartney มันเป็นเพลงของ Paul McCartney ยังไงล่ะ


8. Christmas (Baby, Please Come Home) – U2’s Version
มันเพราะอยู่แล้ว และจริงๆ เวอร์ชั่นอื่นก็เพราะเหมือนกันอย่าง Death Cab for Cutie หรือ Bruce Springsteen แต่เสียงBono มันจับจิตฉันได้ล้วนๆ


7. December Will Be Magic Again - Kate Bush
เสียงเธอตามจังหวะเพลงซึ่งขึ้นๆลงๆช่างงดงามอะไรอย่างนั้น  ฟังแล้วหยุดไม่ได้ ต้องฟังอีก เป็นเพลงของเธอที่ฉันชอบมากที่สุดด้วย


6. Please Come Home for Christmas - The Eagles
ตอนรู้จักเพลงนี้ครั้งแรกไม่ยักกะรู้ว่าเวอร์ชั่นนี้ไม่ใช่ออริจินัล แต่ก็ชอบมาก มาตลอด (จริงๆ แบบ Fiona Apple ก็ชอบไปอีกแบบ แต่ให้ลุงๆเขาดีกว่า ฮะๆ)


5. Father Christmas – The Kinks
เพลงสะท้อนสังคมเจ๋งๆ และสิ่งซึ่งฉันกำลังเป็นที่ต้องการเหมือนกัน
“Father Christmas, give us some money!!!”


4. Last Christmas – Travis’s Version 
เพลงนี้มันเพราะคลาสสิกอยู่แล้ว ยิ่งเป็นTravis  มาร้องนี่ยิ่งโฮกเลย ไม่รู้เขาเคยทำแบบสตูดิโอเวอร์ชั่นไหม แต่ฉันได้ยินครั้งแรกในดีวีดีคอนเสิร์ต Travis at the Palace สุดยอดมาก


3. Happy Xmas (War Is Over) - John Lennon ตายตั้งแต่ต้นเพลงที่ John พูดว่า “Happy Christmas, Julian”
โธ่! สงครามมันยุติได้นะเฟ้ยยย ก็หยุดกันซะสิ!


2. Fairytale of New York - The Pogues
เพลงโปรดตลอดกาลสำหรับเทศกาลนี้ก็ว่าได้ และไม่จำเป็นต้องChristmas เท่านั้นนี่นะ เพลงนี้ยอดเยี่ยมได้ทุกช่วงเวลา


1. Don’t Shoot me Santa – The Killers
ฮาเนื้อเพลงไม่พอ ฮากว่ากับเอ็มวี อะไรมันจะตลกและน่ารักขนาดนั้น




ส่วนเพลงใหม่ๆของปีนี้  เยอะอีกแล้ว ฟังไม่ทัน แต่ที่ชอบๆก็มี
- Joseph, Better You Than Me - The Killers, Elton John, Neil Tennant  ครั้งนี้ The Killers มาแบบซิเรียส จริงจังแล้ว ฮ่า! แต่เป็นเพลงที่โปรดน้อยกว่าคริสต์มาสซิงเกิ้ลที่ผ่านมาอยู่เอาการ
- Is This Christmas? - The Wombats
- A Snowflake Fell (And It Felt Like A Kiss) – Glasvegas
 



Merry Christmas!!!
Have Yourself A Merry Little Christmas คัฟเวอร์เวอร์ชั่นโดย Coldplay







ประชาสัมพันธ์อีกครั้ง!!!
Viva la Vida Prospekt’s March Edition วอร์เนอร์ มิวสิกฯทำออกมาแล้ว
หาซื้อได้ตามร้านขายซีดีทั่วไป และโปรดอุดหนุนแผ่นลิขสิทธิ์













 

Create Date : 23 ธันวาคม 2551    
Last Update : 23 ธันวาคม 2551 11:04:13 น.
Counter : 1116 Pageviews.  

รีวิวดีวีดีเพลงที่ดองไว้ / Coldplay : วงเกย์! ลอกเพลงชาวบ้าน! อุบาทว์ แหวะ! ฯลฯ

รีวิวดีวีดีเพลงที่ดองไว้
***Spoiler Alert!!!***
***มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนจนถึงทุกส่วนสัดอย่างบานตะไท***



TCT: Concerts for Teenage Cancer Trust at the Royal Albert Concert Hall


นี่เป็นดีวีดีที่ฉันดองไว้จนเค็มได้ที่ จู่ๆ เหลือบไปเห็นแล้วตกตะลึงนึกว่ามีสายฟ้าฟาดเปรี้ยงแสกหน้า จำไม่ได้ว่าเคยซื้อไว้ กระทั่งซื้อที่ไหน เมื่อไหร่ยังลืม (คาดว่าประมาณกลางปี?) ครั้นพอได้หยิบมาจากหิ้งเพื่อจะเอามาเชยชมในวันที่ตัดสินตัวเองให้ว่างๆไปงั้น ก็รู้แล้วว่าสมควรกับการดองไว้จริงๆ ได้ดูแล้วก็คงผ่านเลย คาดว่าโอกาสที่จะได้พบปะกันอีกเป็นครั้งที่สองคงมีราวๆ 0.097% หรือในวันที่โลกนี้งดผลิตดีวีดี ซีดีเพลงออกมาแล้วนั่นแหละ
ชื่อเต็มๆของมันคือ TCT: Concerts for Teenage Cancer Trust at the Royal Albert Concert Hall สำหรับองค์กร Teenage Cancer Trust นี้ก็ตามชื่อเลย และ Royal Albert Hall คงอาจได้ยินมาพอสมควรกับชื่อเสียงด้านความโอ่อ่าหรูหราของสถานที่ และศิลปินมากมายก็จัดคอนเสิร์ตที่นี่เป็นประจำให้ได้ยินบ่อยๆ
คอนเสิร์ต TCT ก็เช่นกัน โดยมีตัวต้นคิดจัดงานนี้อย่าง Roger Daltrey ของ The Who เขาไปชักชวนศิลปินหรือวงของอังกฤษดังๆสม่ำเสมอทุกปี ขอแรงงานและให้เวลาสักนิดกันคอนเสิร์ตแบบนี้ ทำแล้วก็ได้บุญกันไป เอาเงินไปสมทบทุนให้กับองค์กรนี้ในทุกๆปี
จากที่ไปหาข้อมูลดู ดีวีดีออกปีนี้ก็จริง แต่โชว์จากศิลปินในดีวีดีนี้เป็นการแสดงของตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วทั้งหมด ขณะที่ TCT at the Royal Albert Hall เมื่อเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา มีพวก Paul Weller, Duffy, The Fratellis, David Gray, Newton Faulkner, Amy Macdonald และโดยเฉพาะ Muse


แทร็กสิสต์ + พูดถึงแต่ละเพลงคร่าวๆ


The Who - The Seeker เอ๋! คือ แปลกๆเหมือนกันที่ร้องเพลงนี้
Noel Gallagher - Don’t Look Back In Anger บางทีมันก็ดี บางทีก็ห่วยเหลือเชื่อล่ะคนนี้
Noel Gallagher and Paul Weller - The Butterfly Collector เอ่อ พอNoel แนะนำ Paul Weller หนึ่งในตำนานผู้ให้กำเนิดยุคพังก์และเลื่อมใสThe Who เช่นกันมา ก็กรี๊ดให้นิด แต่ไหงเวอร์ชั่นอคูสติกของ Butterfly Collector มันน่าผิดหวังเยี่ยงนี้ จืดชืด น่าเบื่อที่สุด
Kaiser Chiefs - Take My Temperature ไม่รู้จะเอามันส์ไปไหน พี่อ้วนทดสอบเรตติ้งเดินแหวกไปหาฝูงชนซะกินเวลาร่วมห้าปี สิบสี่เดือน
The Coral - Dreaming Of You แน่นอนว่าที่ตระการตากับการดูวงนี้เล่นสดคือ ดนตรีอันหลากหลายชนิด ซึ่งเสียงไพเราะทั้งนั้น
The Cure - The Kiss ไม่ใช่แฟนวงนี้เท่าไหร่ กีต้าร์หนักสุดกู่แหลกลาญบริหารโสตประสาทหู
Razorlight and Roger Daltrey - Summertime Blues พอดีชอบเพลงนี้ ให้ผ่าน
The View - Face For The Radio เพลงนี้พอเล่นสดแล้วดูดีแฮะ
Bloc Party - Like Eating Glass นี่อาจจะเจ๋งที่สุดแล้วล่ะ ค่อยดูมีชีวิตชีวาหน่อย
The Bees - Got To Let Go เฉยๆ
Gruff Rhys - Gwn Miwn มาแปลกสุดแล้ว ชวนงงตั้งแต่แรกเริ่ม Gruff Rhys(ของ Super Furry Animals) เปิดตัวด้วยการนั่งบนโต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งของจุกจิกบ้าบอคอแตกที่จะทำให้เกิดเสียงได้ ก่อนจะจัดแจงทำเสียงโน่นนี่ออกมาพร้อมร้องด้วยภาษา..เอ่อ ไม่ใช่อังกฤษ ฉันฟังไม่รู้เรื่อง(เวลช์รึป่าว เพราะเขาเป็นคนเวลส์) แน่นอนว่าประหลาดแปลกปลอมแบบนี้ย่อมกระตุ้นความสนใจคนดู แต่!! ขอโทษนะ มันเหมือนเพลงสวดศพ และอนึ่ง ฉันยังอยู่ในโลกนี้ ยังอยากฟังเพลงที่ไม่ได้ล้ำเกินกว่าโลกปัจจุบันไปโลกหน้าเกินตัวเฉกเช่น เพลง...อะไรฟะ (หูไม่เทพค่ะ)
Judas Priest - Hell Bent For Leather ไม่ใช่แฟนวงนี้เช่นกัน แอบเผลอกดfast forward ซะ -*-
Kasabian - L.S.F. ถูกใจมากกกกก นักร้องเขาเอนเตอร์เทนดี(ท่าออกเกย์หน่อยๆ แต่คงไม่ใช่)
The Who - Baba O’Riley
The Who - Tea and Theatre


ในที่สุดก็มาปิดท้ายด้วยพวกเขาเอง ซึ่งก็ใช่ว่าวงเดิมดังที่รุ่งเรือง นี่เหลือมาร่อแร่ไม่กี่คน ถึงฉันจะเกิดไม่ทันยุคเขาและไม่ได้เป็นแฟนตัวยง แต่บอกได้เลยว่าเพลงที่ร้องมามันไม่ใช่ The Who แบบที่เคยเป็น ใน Baba O'Riley เสียงลุงRoger แหบพร่าไปอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เสียงกีต้าร์ก็ดูแผ่วเบาลง ส่วน Tea and Theatre อันนี้ได้ยินมาในแบบ The Who ยุคหลัง ซึ่งก็โอเค
โดยรวมดูเหมือนมันประกอบไปด้วยพวกศิลปินที่เคารพรัก The Who มาร่วมแจมให้ กับอีกพวกที่ไม่ได้ดูเข้าในสไตล์เดียวกัน สำหรับ The Who คือสิ่งที่ยกไว้ในฐานที่เข้าใจกัน วงอย่าง Kaiser Chiefs, Kasabian, The Bees, The Coral นี่ก็เป็นรอยต่อที่รับและปรับปรุงจากยุคอดีตของ The Who มาบวกกับอิทธิพลของบริทพ็อพในยุค 90’s


ที่ยังพอมีอะไรให้ประทับใจ :


ถึงNoel จะร้อง Don’t Look Back In Anger อย่างไม่ได้ความเท่าไหร่ อารมณ์ร่วมคนดูต่อเพลงนี้ยังมหัศจรรย์เสมอ


โชว์ของ Razorlight นี่ Johnny Borrell (ซึ่งแน่นอนว่าใส่ชุดขาว)ยังไม่ถึงกับติสต์แตกและทำตัวน่าหมั่นไส้มาก คงเพราะอยู่กับลุง Roger เลยขอสงบเสงี่ยม ส่วนSummertime Blues ก็ถ่ายทอดมาได้ดี


ฉันรัก The Coral Smiley


Features : เป็นบทสัมภาษณ์ Pete Townshend มือกีต้าร์ The Who ความยาวประมาณ 40 นาที
ยังไม่ได้ดู (กรรม -*-)


สรุป : อย่างน้อยเป็นดีวีดีเพื่อการกุศลล่ะน่า ไม่ใช่พวกต้องซื้อ ต้องมีในครอบครองแน่ๆ แต่แฟนThe Who คงต้องไม่พลาดด้วยประการทั้งปวง





NME Awards 2009 เริ่มแล้วกับการให้โหวตเสนอชื่อผู้จะได้เข้าชิงไป ปีนี้ก็ไปโหวตมาแล้ว ทำหน้าที่ผู้สนับสนุนที่ดีของวงต่างๆ รวมถึงเป็นความชอบและเกลียดส่วนตัวล้วนๆ ฮ่า! shortlists จะประกาศม.ค.ปีหน้าอีกที


ไปโหวตที่NME.COM

My Votes
1. Best British Band – Coldplay
2. Best International Band – The Killers (รู้สึกว่าปีนี้ Kings of Leon มีโอกาสดีในการเข้าวินมาก)
3. Best Solo Artist - Adele
4. Best New Band – Vampire Weekend
5. Best Live Band - Coldplay
6. Best Album – Coldplay - Viva La Vida or Death and All His Friends
7. Best Track – - Coldplay - Viva La Vida
8. Best Video –Coldplay - Violet Hill
9. Best Live Event – Reading and Leeds Festival (มั่ว อย่างกับได้ไปน่ะ)
10. Best TV Show - Match of the day (จะกี่ปีก็ชอบและตามหาดูรายการนี้)
11. Best Film – Burn After Reading (ในที่สุดก็มีหนังในปีนี้ที่ชอบมากกว่าThe Dark Knight แต่ว่าก็ยังไม่ยุติธรรม มีตั้งหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู/เข้าในไทยน่ะ)
12. Best Live Session - The Killers - Royal Albert Hal
13. Best Website – youtube.com
14. Best Band Blog - thechurchofchrismartin.com (เป็นอะไรที่ฮาแทบขาดใจตาย)
15. Best Dancefloor Filler – The Killers - Human
16. Best Venue - Wembley Stadium
17. Hero Of The Year – Heath Ledger (Why so serious?)
18. Villain Of The Year – People's Alliance for Democracy (PAD) (เขาจะรู้เรื่องด้วยไหมเนี่ย)
19. Best Dressed – Brandon Flowers
20. Worst Dressed – Johnny Borrell
21. Worst Album – The Ting Tings – We Started Noting (มีลางสังหรณ์น่ากลัวจังว่า shortlist ปีนี้อาจมี Perfect Symmetry)
22. Worst Band – Jonas Brothers – (คิดอยู่ว่ากับThe Ting Tings จะเอาอะไรดี แต่อันนี้ของเขาแรงจริงๆ ล่าสุดชิงแกรมมี่ฯ ซะด้วย เชื่อเขาเลย พูดไม่ออกอีกแล้ว


สาขาอื่นที่เห็นมันแยกมาอีก
Sexiest Male – Brandon Flowers
Sexiest Female – Kate Nash
Best Album Artwork – The Killers – Day&Age




Grammy Awards 2009 เจ็ดสาขาเต็มๆที่ได้เข้าชิงของ Coldplay มีดังนี้


Record Of The Year
Chasing Pavements Adele
Viva La Vida Coldplay
Bleeding Love Leona Lewis
Paper Planes M.I.A
Please Read The Letter Robert Plant & Alison Krauss


Album Of The Year
Viva La Vida Coldplay
Tha Carter III Lil Wayne
Year Of The Gentleman Ne-Yo
Raising Sand - Robert Plant & Alison Krauss
In Rainbows - Radiohead


Song Of The Year
American Boy - William Adams, Keith Harris, Josh Lopez, Caleb Speir, John Stephens, Estelle Swaray & Kanye West, songwriters
Chasing Pavements - Adele Adkins, songwriter
I'm Yours - Jason Mraz, songwriter
Love Song - Sara Bareilles, songwriter
Viva La Vida - Guy Berryman, Jonny Buckland, Will Champion & Chris Martin, songwriters


Best Rock Performance By A Duo Or Group With Vocals
Rock And Roll Train - AC/DC
Violet Hill - Coldplay
Long Road Out Of Eden - The Eagles
Sex On Fire - Kings of Leon
House of Cards - Radiohead


Best Rock Album
Viva La Vida - Coldplay
Rock n Roll Jesus - Kid Rock
Only By The Night - Kings of Leon
Death Magnetic - Metallica
Consolers of the Lonely - The Raconteurs


Best Pop Performance By A Duo Or Group With Vocals
Viva La Vida- Coldplay
Waiting In The Weeds- Eagles
Going On- Gnarls Barkley
Won't Go Home Without You- Maroon 5
Apologize -OneRepublic


Best Rock Song
Girls In Their Summer Clothes- Bruce Springsteen, songwriter (Bruce Springsteen)
House Of Cards- Colin Greenwood, Jonny Greenwood, Ed O'Brien, Philip Selway & Thom Yorke, songwriters (Radiohead)
I Will Possess Your Heart- Benjamin Gibbard, Nicholas Harmer, Jason McGerr & Christopher Walla, songwriters (Death Cab For Cutie)
Sex On Fire- Caleb Followill, Jared Followill, Matthew Followill & Nathan Followill, songwriters (Kings Of Leon)
Violet Hill- Guy Berryman, Jonny Buckland, Will Champion & Chris Martin, songwriters (Coldplay)


ไม่ต้องห่วง กรณีฟ้องร้อง VLV มีผลต่อแกรมมี่ฯแน่นอน เพราะแกรมมี่ฯไม่ชอบเรื่องอื้อฉาวขัดแย้งอยู่แล้ว เดี๋ยวได้เถียงกันอีก ขอบคุณ Satriani ในการเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม


อืม สาขา Best Alternative Music – อุตส่าห์เชียร์ Dear Science ของ TV on the Radio ให้เข้า แต่เห็นแบบนี้ชี้ไปได้ที่ In Rainbows อย่างเดียว ยังไงซะมันขึ้นอยู่กับคุณแกรมมี่ล่ะ และบริทปีนี้ก็เกรียงไกรประกาศศักดาดีโคตรๆอีกแล้ว ยินดีๆ


พูดถึง Coldplay ก็กะว่าจะไม่พูดให้มากความแล้วเชียว ฮ่าๆ เอาล่ะ อาทิตย์ที่ผ่านมามีประเด็นถกเรื่อง Coldplay เยอะจริงๆ งั้นปิดท้ายด้วยการบ่น อดไม่ได้แฮะฉัน


ตั้งแต่ กระทู้ ผมชอบColdplay ผมเป็นเกย์ไหมครับ ในเฉลิมกรุง

ซึ่ง..โอเค เรื่องนี้ฉันก็เฉยๆแล้วนะ แต่พอเห็นบางคห.แล้วมาคิดว่าเออก็แปลกที่คนบางส่วนก็ยังถือเอาเรื่องกันอยู่
ส่วนการได้เข้าชิงแกรมมี่ฯเจ็ดสาขา นี่ข่าวดี แต่ไม่ทันข้ามคืน ได้ว่ากันอีกการกับถูกฟ้องร้องว่าไป “ลอก” เพลงเขา
นี่ฉันเป็นบ้าถึงกับเถียงคนอื่นเรื่องนี้ไปทั่ว ทำตัวเหมือนgroupie หน้าโง่(โดนว่ามาแล้ว แรงดี รับได้ๆ) ที่โอเวอร์แตกคือเครียด ปวดหัว ไมเกรนขึ้น


ขออนุญาตระบาย และยืนยันว่าเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล เอียงข้าง อคติรุนแรงสุดกู่
ถ้าคุณทนไม่ได้
1.เลื่อนเม้าส์ไปมุมขวาบน คลิกเครื่องหมายกากบาท
2.เลื่อนเม้าส์ไปที่เขียนคห.ข้างล่างแล้วพ่นคำผรุสวาทใส่จขบ.ได้เต็มที่
3. ไม่เอา กรูไม่กล้า แอบอ่านมันงี้แหละ แล้วแอบก่นด่าพ่อแม่จขบ.ในใจ


งั้นขอเริ่มการบ่น


เริ่มที่คำแก้ตัวแทนกันก่อน ลอกมาจากกระทู้ที่ได้พิมพ์ไว้ในเฉลิมกรุงมาทั้งดุ้นเลยแล้วกัน (อุ๊ย! แล้วอย่างนี้ต้องฟ้องตัวเองด้วยรึป่าวเนี่ย?!?)


- เมื่อเร็วๆนี้Chris ให้สัมภาษณ์ว่ามีคนเป็นสิบพยายามบอกว่า VLV ไปคล้ายกับเพลงตัวเอง


- Satch(ฉายาลุงคนนี้)เคยติดต่อมาที่วงประมาณเดือนก่อน ประมาณว่าให้กรอกข้อมูลเอกสารสักอย่าง หรือเจรจา แต่วงปฏิเสธไป


- If I Could Fly มันเหมือน และคล้ายก็จริง แต่มันสามารถหาเมโลดี้ที่คล้ายเพลงนี้ หรือ VLVเป็นร้อยๆเพลง แล้วเพียงแค่สองเพลงที่ว่ามันมาใกล้เคียงกันเกือบเป๊ะๆ แปลงคีย์ให้ต่างไปหน่อย
เอาสิๆ เพียงแค่เพราะเพลงนี้มันดัง ย้ำ มันดัง คนรู้จักเยอะ โดยเฉพาะเป็นเพลงของวงอย่าง Coldplay ฟ้องทีก็ดีเลย


- แน่นอนว่า Joe Satriani เป็นหนึ่งในมือกีต้าร์ที่สุดยอดของโลก โอเค เราอาจไม่ได้ติดตามงานเขา แค่ได้ยินผ่านๆหู ไม่ว่าเขาจะฟ้องเพื่อความยุติธรรม ชื่อเสียงขึ้นมาหน่อย หรือเงิน เพลงนี้ออกมาเป็นเวลานานเกือบครึ่งปีแล้ว และถือว่ามันดังสมพอควรใช่มั้ย เขาต้องได้ยินมันแน่ๆไม่ว่าตามสื่อใดๆก็แล้วแต่ ยิ่งแอปเปิ้ลใช้เพลงนี้ในโฆษณาด้วยแล้ว นี่เพิ่งจะมาเป็นเรื่องฟ้องจริงจังกันช่วงนี้ แถมไล่เลี่ยกับที่มีการประกาศผลผู้เข้าชิงแกรมมี่ฯ ย้ำ! แกรมมี่ฯเพิ่งกระหึ่มไป VLV ชิง song, record of the year วันต่อมาหมอนี่ไปยื่นเรื่องฟ้องทันที เยี่ยมดีนิ
ทำไมๆ ทำไมๆ ไม่ทำมาตั้งนานแล้ว กระแสลอกเพลงนี้มันลือและมีคนเอาไปโพสต์ในเน็ต - youtube นานแล้วเช่นกัน และมันก็พูดๆกันอยู่แค่ในนั้นแหละ ตั้งแต่ที่วงCreaky Boards ออกมาว่าด้วย
ถ้ามันไม่ใช่เพลงของวงนี้ เขาจะฟ้องไหม เราจะไม่ใช้คำว่า "อิจฉา"เพราะมันเป็นเหตุผลที่ปัญญาอ่อนซึ่งแฟนเพลงชอบใช้และพอเอามาอ้างก็ชอบมีคนมาถล่ม


หรือเขาไม่ได้ต้องการเงิน ชื่อเสียง แค่ต้องการสั่งสอน Coldplay ?!? ไม่รู้ๆ


ทำไมไม่ฟ้องThe Song I Didn't Write ด้วยอ่ะ
โอว มีแต่คนมาว่า Coldplay ลอก วงโน้นวงนี้ว่า เยี่ยมยอดว่ะ VLV นี่มันเพลงแห่งปีของแท้


- โลกนี้มีเป็นร้อยเป็นพันเพลงที่เราได้ยินแล้วทำนองมันคล้ายกัน เพราะโน้ตมันมีเท่าไหร่กันล่ะ แล้วนี่เพลงป็อปนะ เราไม่ใช่นักดนตรี แต่อันแบบนี้เขาเรียกว่าบังเอิญคล้ายกัน และ เกิด"chord progression" เกิดขึ้นบ่อยๆ
เรื่องแบบนี้มันเกิดเสมอและบ่อยๆในโลกแห่งวงการเพลงไม่ใช่เหรอ หลีกเลี่ยงไม่ได้ แรงบันดาลใจไง(อุ๊ย! คำโหล) แต่จริงๆนะ เขาคิดว่าตัวเองเป็นนักดนตรีคนเดียวในโลกที่คิดโน้ตแนวประมาณนี้ได้เหรอ วงอินดี้ตามตรอกซอกซอยเป็นห้าหมื่นแสนล้านที่ฟังแล้วอาจได้ยินเมโลดี้คล้ายกันมาเป็นตับ


โลกแห่งดนตรียังมีความเป็นออริจินัลอยู่เหรอ ความจริงคือศิลปินสร้างสรรค์งานจากแรงบันดาลใจของคนอื่น
นี่ถึงกับต้องมาฟ้องกันขนาดนี้เลยเหรอ ว้าว! พูดตรงๆนะ ถ้ากรณีนี้มาฟ้องกันได้ U2 ก็ฟ้องColdplay ได้เหมือนกัน แล้วคงทำมานานแล้วด้วย หรือพูดอย่างคนรู้เรื่องเพลงแร็ปแบบงูๆปลาๆ เราฟังพวกนี้ทีไร รู้สึกมันเหมือนกันเยอะแยะไม่หมด งี้ก็ลอกกันหมดสิ หรือ Beatles ยิ่งคงต้องมาฟ้องศิลปินเป็นล้านทั่วโลกไปใหญ่ ขำ!



- เรามั่นใจว่าวงคงไม่นั่งฟังเพลงของลุงคนนี้ แลวก็ปิ๊งไอเดียได้ เฮ้ เอาทำนองนี้มาแต่งเพลงในอัลบั้มใหม่กันเถอะ ฮิตชัวร์นะ แล้วภายใต้การควบคุมของมือโปรดิวเซอร์อย่าง Brian Eno เนี่ยนะ??
Coldplay มีความจำเป็นต้องขโมยงานคนอื่นเหรอ จำได้ไหม Talk น่ะ วงก็ไปริปมาจาก Kaftwork เพลง Computerworld เขาขอกันจริงๆเป็นเรื่องเป็นราว
ถ้าวง "ตั้งใจ" จะลอกกันซึ่งๆหน้าแล้ว ฟังดูไม่ขึ้นสิ้นดี เพราะถ้าเขามั่นใจว่าเคยได้ยินเพลงนี้มาจากที่ไหนหรือรู้แน่ว่าเป็นของนายนี่ ไปขอก็ได้นี่เหมือนกรณี Talk
วงอย่าง Coldplay ไม่โง่พอที่จะกระทำการอุกอาจถึงเพียงนี้


- ประเด็นสำคัญ คือว่า คนที่ทำวิดีโอที่ว่ามันจงใจมิกซ์เสียงให้เข้ากันด้วย VLV นั่นมันคีย์ต่ำกว่านี้ ทั้งจังหวะเขาก็ไปปรับคีย์ให้มันเท่าๆกัน เวอร์ชั่นจริงไม่ใช่แบบนี้แน่ เฮ่ย ฟังเสียงChris ก็ดูออกแล้ว โอ มาทำงี้ก็ยิ่งดูเหมือนไปใหญ่เลยดิ ไม่แปลกหรอกที่คนฟังครั้งแรกแล้วจะตกใจว่าทำไมมันเหมือนขนาดนี้ ยิ่งเวอร์ชั่น mashup ฟังแล้วตะลึง ทำไปได้ไง จงใจเกินไปแล้ว
แล้วมันก็แค่นี้ แค่นี้!!!
เหมือนตอน Wonderwall/Boulevard of Broken Dreams บลาๆ เรายังคิดเลยว่ามันแค่คล้ายอ่ะ


- ฟังแล้วไม่ใช่ว่าริปมาทั้งหมดใช่ไหม เพราะมันคล้ายแค่บางส่วน แล้ว
ไอ้ใช้คำว่า"ลอก" และขโมย ใช้คำนี้แล้วมันรู้สึก.. รับไม่ได้


ตั้งแต่ X&Y แล้วที่Chris เคยให้สัมภาษณ์ติดตลกประมาณว่าความคิดกับแรงบันดาลใจในการทำเพลงเขาบางทีก็เหมือนไปลอกมา เขาพูดด้วยซ้ำว่าสงสัยตัวเองเป็นจอมขโมยงานมือวางอันดับหนึ่งของโลก!! แล้ววงก็พูดเรื่องนี้บ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นกรณี Speed of Sound, Talk
เขายังเคยบอกเลยว่าถ้าไปลอก/ริปมา เขาจะเป็นคนแรกที่มาบอกคุณเอง ส่วนอิทธิพลด้านดนตรีที่มีต่อ Coldplay เขาก็พูดมาตลอดอยู่แล้วว่ามีใคร อะไรมั่ง


- เราอาจไม่ได้รู้เรื่องกระบวนการพิจารณาความ แต่เท่าที่ทราบสิ่งที่ต้องเป็นหลักฐานได้คือต้องรู้ได้ให้แน่ว่าColdplay -สมาชิก(เพลงนี้เครดิตเป็นของชื่อสมาชิกทั้งสี่) เคยได้ยินเพลงนี้มาแน่ๆ
ซึ่งมันไม่ค่อยได้เปิดตามวิทยุ ตามสื่อ


- ศาลจะรับเรื่องหรือไม่(ซึ่งไม่คิดว่าจะเอาหรอก น้ำหนักอ่อนไปหน่อยม้าง) จะชนะหรือไม่ชนะคดี เขาก็มีโอกาสอันดีแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่ทำมันทำให้เขาได้รับความโด่งดังแล้วนี่ ใครๆก็พูดถึงกันทั้งนั้น ยอดดาวน์โหลดเพลงอาจพุ่งกระฉูด(ฮือฮากันตั้งนานแล้ว)


- เขากำลังจะได้ทำให้คนทั่วโลกกลับมาตราหน้า Chris Martin อีกครั้งว่าเป็นจอมขโมยงานคนอื่น ดีจัง


- เคยมีอีกกรณีนึง //www.manutdtalk.com/forums/music/14462-alizee-sue-coldplay-55-million.html

เพลงแห่งปีจริงๆ ใครๆก็สนใจ


- เห็นเรื่องนี้แล้วสะท้อนใจ นึกถึงกรณี My Sweet Lord ของ George Harrisonซึ่งเขาแพ้คดีนั้น มันเป็นเหมือนวิกฤตหนึ่งของคนที่เป็นศิลปิน แต่เราส่วนตัวก็ยังจดจำเขากับเพลงนี้ และColdplay กับVLV นะ(My Sweet Lord ถูกตัดสินว่าเป็นการลอกโดยไม่ตั้งใจ *เหมือนศัพท์ฮิตนักการเมือง - บกพร่องโดยสุจริต?)


ประเด็นอื่นๆฉันทำตัวสะเออะเถียงแทนวง อย่างออกหน้าออกตา ทำตัวแบบคนไร้เหตุผล วุฒิภาวะทางอารมณ์ จิตใจ ไร้สมองไปเยอะแล้วเช่นกัน พูดจนขี้เกียจพูด พิมพ์จนขี้เกียจพิมพ์ บางทีก็เบื่อไปแล้ว เจอหน้าอย่าถามกันอีก


ถ้าคดีนี้ตัดสินโดยใช้ประชานิยม Coldplay แพ้คดีไปล่วงหน้า เพราะจากคลิปที่ทุกคนได้ฟังกันคืออันที่ผู้ตัดต่อมิกซ์เสียงให้เข้ากันอย่างสวยงามและไหลลื่น ฟังแล้วเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว สมควรเอามาจับเวิร์ลทัวร์ร่วมกันยิ่งนัก
คลิปชื่อ Did Coldplay copy Joe Satriani?” ในyoutube มียอดผู้ชมเป็นล้าน ยอดคอมเม้นต์เป็นหมื่น อ่านกันไม่หวาดไม่ไหว ซึ่งส่วนใหญ่คือการบอกว่า ให้ตายเถอะ ทำไมเหมือนอย่างนี้ ลอกชัวร์ พ่วงด้วยคำด่าวงนี้พอหอมปากหอมคอ อย่างที่ทราบๆว่าวงนี้คนเกลียดเยอะอยู่แล้วด้วยเหตุผลสิบเก้าล้านประการ
ฉันคร่ำเคร่งกับการฟังเพลงเหล่านี้มาแล้วหลายครั้ง ฉันโง่ ฉันไม่ได้มีความรู้เรื่องดนตรีที่อยู่ในระดับเทพเหมือนลุงโจ ฉันไม่ใช่นักดนตรีด้วย แต่หลังเกิดเรื่องนี้ฉันยิ่งไปหางานเขามาฟังใหญ่และพนันได้ว่าคนที่ไม่ค่อยรู้จักเขาคงจะทำแบบนี้กันเยอะ
แน่นอนฉันเห็นและยอมรับเหมือนหลายๆคน ทุกคนเลยว่าเพลงมันคล้ายกัน ซึ่งมาดูบทเรียนภาษาไทยสักนิด “คล้ายคลึง” ไม่ได้แปลว่า” อันเดียวกัน” นอกเสียจากว่ากรณีนี้เราไปดูว่าColdplay ลอกเพลงเขามาทั้งดุ้น
เพลงเมโลดี้ทำนองนี้มีอีกเยอะด้วย ในกระทู้นี้

Frances Limon ของ Enanitos Verdes ศิลปินกลุ่มจากอาร์เจนตินา เพลงนี้เหมือน If I Could Fly มากๆ และออกมาก่อนหน้าเพลงนี้ 2 ปี เทียบกับความเหมือนของ Viva La Vida และ If I Could Fly ที่แชร์คอร์ดกันในช่วงเวลาไม่กี่วินาที
เอ ทำไมพูดถึงเพลงนี้กันน้อยนะ ยอดดูในyoutube ก็ไม่พุ่งถึงล้านเลย
อ้าว ยังมีอีกเพลงสินะ J’en ai marre ของ Alizee ศิลปินพ็อพชาวฝรั่งเศส เธอเคยจะฟ้อง VLV เหมือนกัน และแน่นอนว่าต้องไม่ลืม The Songs I Didn't Write ของ Creaky Boards


เอาแค่พวกนี้ไม่ต้องรวมอันอื่นที่มันคล้ายกันอีก ก็จะสรุปได้ว่าสิ่งที่ควรเกิดขึ้นคือ
Ennanitos ควรฟ้อง Satriani
Satriani ฟ้อง Coldplay
Alizee ฟ้อง Coldplay
Creaky Boards ฟ้อง Coldplay
Satriani ฟ้อง Creaky Boards
Alizee ฟ้อง Satriani ฯลฯ



Coldplay Vs Joe Satriani Ft. Alizee




ยังมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นในโลกนี้อีกเยอะ เพราะฉันจำได้ว่า Coldplay เปลี่ยนชื่ออัลบั้มชุดนี้มาเป็น VLVODAAHF เพราะกลัวว่าใช้ VLV เฉยๆแล้ว Ricky Martin จะฟ้องเอาได้ หรือเมื่อเร็วๆนี้ฉันเห็นข่าว Lady Gaga กับ Christina Aguilera มีข้อพิพาทกันเรื่องขโมยภาพลักษณ์???


ขณะที่ฉันกำลังรอข่าวจากฝ่าย Coldplay ซึ่งไม่คิดเท่าไหร่ว่าวงจะมาพูดอะไรในที่สาธารณะ ก็มีคำตอบจากพวกเขามาในที่สุดหลังจากเรื่องฮือฮามาสี่ห้าวัน ในเว็บไชต์ของวงบอกไว้ดังนี้



"With the greatest possible respect to Joe Satriani, we have now unfortunately found it necessary to respond publicly to his allegations. If there are any similarities between our two pieces of music, they are entirely coincidental, and just as surprising to us as to him. Joe Satriani is a great musician, but he did not write the song "Viva La Vida." We respectfully ask him to accept our assurances of this and wish him well with all future endeavours. Coldplay."


ก็ดูฟังโต้ตอบอย่างนุ่มนวลสุภาพดี
แต่ฉันไม่รู้ บางทีมันก็อาจบอกเป็นนัยๆประมาณว่า “Look! Joe, you're cool, but… could you please f*** off now?” ก็ได้ 555+


ข้อกล่าวหาของวงนี้เยอะจริงๆ เดี๋ยวก็ว่าวงเกย์ เดี๋ยวก็ว่าลอกชาวบ้าน ดังเพราะGwyneth ตั้งชื่อลูกปัญญาอ่อน วันนาบียูทูของแท้ เมนสตรีมไปแล้วสุดกู่ Chris Martin ทำตัวน่าหมั่นไส้ บลาๆๆ โอววว นับจากวันที่วงนี้กำเนิดมา ตั้งแต่EP ก่อนหน้า Parachutes คนเขาก็ชื่นชมดีจัง วงนี้เจ๋งน่าจับตามอง เวลาผ่านไปพวกเขาดันกลายเป็นเหยื่อพวกที่เคยชอบเคยชื่นชม
(Ex. วงอย่างArctic Monkeys ที่ได้รับเสียงชื่นชมขนาดนี้ ฉันอยากรู้เหมือนกันว่าจะมีวันไหนมั้ยที่พวกเขาจะโดนด่าว่าวิจารณ์อย่างหนัก หรือจะอยู่ในจุดสูงๆอย่างนี้ตลอดไปในช่วงชีวิตอาชีพ)
มันจริงหรือปล่าวว่าวงนี้ทำเพลงง่ายๆที่คนเขาเข้าถึงกันได้และไพเราะซึ่งพอมันเมนสตรีม คนเลยรังเกียจชิงชัง พาลไปถึงขั้นดูถูกการฟังดนตรีของคนอื่น
ประเด็นเกย์ ฮึย! ไม่พูดแล้วดีกว่า ไร้สาระมาก และอยากให้คนที่คิดแบบนี้เปลี่ยนความคิดใหม่เถอะ(ยังมีอยู่นะ) ฟังเพลงก็ฟัง เพศไม่เกี่ยว Coldplay เป็นวงสำหรับทุกคน ทุกเพศ


คำดูถูกสำหรับวงนี้ - shit, suck, crap, gayish, wannabe-U2, fake-ass of U2 and Radiohead, Mr. Martin is fake-ass Bono… blah blah


บทสรุปทั้งหลายทั้งปวงของการบ่น ฉันไม่ได้เกลียด Satriani ที่มาฟ้องเลย เขาเป็นนักดนตรีฝีมือฉกาจมีความสามารถใครๆก็ยอมรับนับถือ แต่ที่ฉันเกลียดคือโลกใบนี้ต่างหาก บางทีมันก็มีอะไรแปลกที่ชวนไม่เข้าใจ แต่ฉันจะไม่สนกับข้อกล่าวหาต่างๆ ช่างหัวพวก anti-Coldplay ช่างหัวทัศนคติคน ช่างหัวอุตสาหกรรมดนตรี เพราะไม่ว่าอย่างไร ฉันเทิดทูนวงนี้สุดลิ่มอย่างถอนตัวไม่ขึ้นไปแล้ว
จบ!


อนึ่ง นี่ก็เป็นคห.ส่วนตัวของไอ้บ้าคนนึง Smiley







 

Create Date : 10 ธันวาคม 2551    
Last Update : 11 ธันวาคม 2551 16:54:39 น.
Counter : 3305 Pageviews.  

"Are we human, or are we dancer?" errr, I dunno [ Day and Age – The Killers ]

      ฉันคงจะเป็นหนึ่งในจำนวน 184 คนบนโลกนี้ที่ชอบ Sam's Town 


      แน่นอนว่า Hot Fuss เป็นอัลบั้มที่ทำให้เราได้ยึกยักแข้งขา มันเข้าข่ายอัลบั้มร็อคที่ยอดเยี่ยมได้อย่างสบายๆ มีเพลงแล้วเพลงเล่าที่ฮิตเปรี้ยงปร้างคลาสสิก และเป็นเหมือนระเบิดตูมใหญ่ที่ทำให้คนฟังเพลงได้ตกตะลึงกับการปรากฏตัวของวงร็อคอเมริกันซาวนด์อังกฤษอย่าง The Killers
      และเมื่อมาถึงบางสิ่งที่แตกต่างออกไป ขณะที่ฉันกำลังหลงใหลได้ปลื้มกับ Hot Fuss การมาของSam's Town ไม่ได้ทำให้ฉันประทับแต่แรกฟัง ฉันเคยถวิลถึงเพลงที่พอจะทำให้เรียกได้ว่าคลาสสิกอย่าง All These Things That I’ve Done และตั้งคำถามกับวงนี้ว่าเขาจะสามารถทำอะไรที่ยอดเยี่ยมอย่าง Mr. Brightside ได้หรือไม่


     คำตอบของฉันใช้เวลาถึงหนึ่งอาทิตย์ หลังจากที่ยิ่งได้ฟัง Sam's Town ในแต่ละครั้ง ความรู้สึกชอบชุดนี้ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น มันเป็นความแตกต่าง การเติบโตขึ้นของ The Killers เอง ทำไมฉันต้องปฏิเสธงานชุดนี้เพียงเพราะว่ามันไม่เหมือนหรือดีเทียบเท่างานแรก ฉันสามารถเก็บ Hot Fuss เข้ากรุอัลบั้มคลาสสิกได้ หยิบมาดื่มด่ำเมื่อไหร่ที่ต้องการหวนคิดถึง แล้วเปิดใจกับ Sam's Town อีกหนึ่งตัวตนของพวกเขาเอง 
 


     Day and Age เป็นหนึ่งในสิ่งที่ฉันตั้งตารอรวมถึงตั้งความหวังไว้สูง ข่าวคราวและทิศทางงานชุดนี้สร้างความตื่นเต้นกระตุกต่อมบ้าของใครบางคนนี้ให้คลั่งได้อีกไม่หยุดหย่อน
     แม้ไม่ว่าอะไรจะเกิดกับ Day and Age ฉันก็ยังจะสนับสนุนและติดตามพวกเขา กระนั้นมันก็มีมีเสียงกระซิบเบาๆภายในจิตใจของมาหลอกหลอนฉันบ่อยๆ... ถ้าหากมันไม่เป็นไปอย่างที่ฉันคิดไว้ล่ะ?!?
     ฉันไม่ได้หมายถึงคำว่า "ห่วย" จากที่ฉันตามๆดูมา การพรีวิว รีวิวของนักวิจารณ์หรือพวกที่ได้ฟังมา และบทความต่างๆดูจะไหลไปในทิศทางเดียวกัน คือ อัลบั้มนี้ "ดี"
     มีถึงขึ้นเลยเถิดไปว่าเป็นอัลบั้มร็อคที่ยอดเยี่ยม ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี (25 ปี ที่ไหนนะว่า - เวอร์มาก)เป็นหนึ่งในอัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปีและงานมาสเตอร์พีซที่ดีที่สุดของ The Killers
     คิดดูเถอะว่าเขียนยอยศเสียโอเวอร์ขนาดนั้นจะไม่ตั้งความหวังขนาดสูงลิบได้อย่างไรกัน


     หลังจากที่ได้ฟังทั้งหมดทั้งจากleakบ้าง และไปคว้าแผ่นมานอนกอดเรียบร้อย (และช้าไปหน่อย เพราะเข้าใจวันวางแผงผิดพลาด ก็อด! เว็บยูนิเวอร์ซัลเกือบทำเสียเรื่อง)
      ฉันได้ให้เวลากับอัลบั้มนี้ในจุดที่ฉันคิดว่าสมควรแก่เวลาจะตัดสินตัวเองเสียทีแล้ว
      เขาว่ากันว่าจิตใจคนห้ามกันไม่ได้  แต่ฉันจะบังคับจิตใจตนเองดูในครั้งนี้ ฉันจะไม่ "ผิดหวัง" กับ Day and Age


คำว่า"ผิดหวัง"ของฉันถูกกำจัดได้ด้วย
1. ฉันต้องทำใจยอมรับว่าไม่มีอะไร(หมายถึงซาวนด์,ความเลิศล้ำ,ความชวนตะลึง ฯลฯ)แบบ Hot Fuss เกิดขึ้นอีกแล้ว
2. ฉันต้องยอมรับว่านี่ก็เป็นตัวตนอีกด้านของวงนี้ เหมือนกับที่ Sam's Town เคยทำ
3. ฉันต้องเปิดใจให้กว้างกับแนวทางที่กว้างขึ้นของวง Day and Age ทำในสิ่งที่เรียกว่า"พ็อพ"ไว้ไม่น้อย ซึ่งมันทำให้ฉันเกลียดและกลัวที่สุดว่าความเบื่อจะเข้ามาครอบงำในไม่ช้า  Day and Age ยังไม่มีเพลงที่จะการันตี
ความ"คลาสสิกร็อค" เพลงร็อคแท้ๆชั้นเยี่ยมแบบนั้น ฉันยังหาไม่เจอ แต่...กระนั้นฉันจะพยายามกรอกหูตัวเองให้มากขึ้น ดูสิว่ามันจะเอียนหรือ The Killers จะยั่วยวนฉันได้ตลอดไปหรือไม่


     รู้แล้วล่ะ สาเหตุอยู่ที่การพูดกันของพวกข้างบน ถ้าฉันไม่ได้อ่านมัน ฉันจะซาบซึ้งเข้าถึง Day and Age มากกว่านี้


     แต่...โธ่เอ๊ย! นี่มัน The Killers นะ วงที่ฉันสะเออะเรียกตัวเองว่าเป็นgroupieได้เลยด้วยซ้ำ ยังไงทุกชุดจะไม่มีคำว่าห่วย มีแต่ดี ดีมาก ดีน้อย ดีเลิศเท่านั้นล่ะ


     ยืนยันตามข้างบนที่เขาบอก นี่เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งปี แต่ไม่ยืนยันว่าดีที่สุดของวง เพราะจริตฉันยังไงก็ชอบ Hot Fussที่สุด สำหรับคนที่ผิดหวังหรือไม่ชอบกับ Sam's Town นี่จะทำให้กลับมารักพวกเขาได้ไม่ยาก เพราะ Day and Ageเป็นการปฏิวัติตนเองจาก Sam's Town ขนานแท้


 



Day and Age สำหรับฉัน



     ต้องขอบคุณ Stuart Price โปรดิวเซอร์มือทองกับการทำให้ Day and Age ประกอบไปด้วยเพลงหรูหรามากมายที่พร้อมจะกระหึ่มแดนซ์ฟลอร์ และเข้าถึงเป็นที่ถูกใจมหาชนได้สบายๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาร่วมงานกับThe Killers ใน B-side Sawdust ตาคนนี้ได้ทำ Mr. Brightside แบบรีมิกซ์ Leave the Bourbon on the Shelf และ Sweet Talk มาแล้ว


Losing Touch
The Killers
เคยสัญญาว่าอัลบั้มนี้จะมีเสียงแซกโซโฟน พวกเขาก็ทำตามนั้นด้วยการประเดิมในแทร็กแรก เสียงหวูดๆของแซกฯประโคมรับกับคีย์บอร์ดอย่างเข้าแก่น ครึ่งแรกเป็นการประกาศถึงการกลับมาของวงได้อย่างวิเศษ ขณะที่ฟังจบก็ได้ความรู้สึกเหมือนกลับมาอยู่ในอ้อมกอดเพื่อนเก่าหลังจากไม่ได้พบหน้าเสียนาน ยินดีต้อนรับ คุณได้ใจฉันไปทั้งใจอีกแล้ว


"...But you made your way back home
You sold your soul, like a Roman vagabond yeah..."


Human
โศกาอาดูรตั้งคำถามแบบที่ไม่สนใจความถูกต้องของไวยากรณ์  เพลงนี้ทุกอย่างมหัศจรรย์ เสียงทุกเสียงจากดนตรีทุกชิ้นเป็นดั่งพระเจ้าประทานมาให้เพื่อสอดประสานกันอย่างพอเหมาะพอเจาะ ตั้งแต่เสียงกีต้าร์กิ๊กๆ นิ่มนวลช่วงต้น จังหวะจะโคนทีชวนให้ผงกหัว เต้นแบบโยกไปนิดๆตามแบบพ่อดอกไม้ในมิวสิกวีดีโอช่วงกลาง จวบจนการปิดตัวอย่างงดงามในช่วงท้าย ฉันชอบเสียงพ่อดอกฯในเพลงนี้มาก เทียบกับเพลงอื่นที่ได้ยินมาแล้ว Human นี่แหละที่บอกได้ว่าเสียงเขาก็เลอเลิศและเปล่งประกายความประณีตได้...ไม่มีที่ติเลยเหรอเพลงนี้..สำหรับฉันน่ะ สามารถตายได้ และยิ่งก็ชอบเรื่อยๆ ไม่สนด้วยถ้าใครจะชอบบอกว่านี่มันมาอิเล็กโทรแดนซ์เกินควรหรือ Pet Shop Boys สุดกู่ มันง่ายซะที่ไหนล่ะที่จะไม่หลงรักเพลงนี้


"Are we human, or are we dancer?"
(I’ve no great answer for that, Brandon)


Spaceman
เพลงนี้จะเป็นซิงเกิ้ลที่สองที่คุ้มค่าแน่นอน มันดึงดูดได้ตั้งแต่ฟังแบบไลฟ์มาแล้วล่ะ (โดยเฉพาะจาก Saturday Night Live Ver. สุดยอดมาก) กระตุ้นอารมณ์คึกคักหนุกหนานให้เพิ่มมาอีกระดับ  เบสไลน์มาอย่างมันส์ พี่รอนนี่ก็หวดกลองถึงใจแม่ซะ เสียงร้องยังเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของเพลง  รวมทั้งความน่าสนใจของเนื้อหาเพลง..แต่แบบสตูดิโอเวอร์ชั่นจริงๆฟังแล้วความรู้สึกต่างจากไลฟ์ไปเลย อารมณ์มันต่างกัน แต่ความไพเราะอยู่ในเกณฑ์กินใจได้พอกัน งั้นก็ไม่ว่าอะไรล่ะ


"...You're caught between the devil and the deep blue sea,
You better look it over,
Before you make that leap..."


Joy Ride
ดูเผินๆเพลงนี้โมโลดี้จะเกาะเกี่ยวจิตใจได้ในช่วงต้นๆที่ได้ยิน เสียงกีต้าร์ห้ำหั่นกันในช่วงคอรัส The Killers กำลังเค้นพลังออกมามากขึ้นเรื่อยๆพร้อมๆกับที่เพลงบรรเลงไป ยิ่งฟังยิ่งมันส์ ประหลาด สนุก เพลงดึงพลังทั้งหมดในตัวฉันให้ล่องลอย และนี่ก็ดูดีกว่าแบบไลฟ์ที่ได้ยินมาเยอะ เพราะนั่นมันจับความไม่ค่อยได้เอาซะเลย


A Dustland Fairytale
นี่คือเพลงที่ฉันเกือบชอบมากๆไปแล้ว แต่ฟังจบแล้วขัดใจที่สุด อาจจะผิดหวังเล็กๆ เพราะเริ่มมาได้สวยหมดจด เสียงคีย์บอร์ดไพเราะเพราะพริ้งช่วงต้นนำทางให้ฉันกรี๊ดไปก่อนสามช่วงตัว เสียงคุณดอกฯก็เพ้อรำพันมานุ่มนวลชวนฝัน แต่พอเพลงไหลไปเรื่อยเฉื่อยอย่างนั้น ฉันกลับหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์ที่อยู่ดีๆก็มาบัลลาดจ๋าเยี่ยงนี้(แถมไม่มีอะไรแปลก ซ้ำซากออก) อย่าเข้าใจผิด ฉันก็ปลื้มกับเพลงช้าๆของพวกเขาได้เหมือนกัน อย่าง Sam's Town (เพลง) แอบบี้โรดเวอร์ชั่นนั่นชอบมาก เพราะเวอร์ๆเลยเชียว  เพลงนี้ฉันแค่อาจจะยังอินไม่พอ แต่ก็ชอบความหมายมันอยู่เหมือนกัน และก็ไม่ใช่ว่าเพลงไม่ดี มันเป็นที่ดีเพลงหนึ่ง แต่จริตฉันมันจะจัดเข้าข่ายแทร็กโปรดน้อยสุดในอัลบั้มได้


This Is Your Life
มาสไตล์อัฟริกัน กีต้าร์ริฟดูสะอาดสะอ้าน เบสก็สวยงาม เป็นเพลงน่ารักน่าหยิกดีเหมือนกัน


I Can't Stay
เพลงนี้ผิดธรรมชาติ The Killers อย่างโจ่งแจ้ง แต่ทำได้ดีในส่วนที่ใส่ความแปลกใหม่มา ขับเคลื่อนไปด้วยแซกโซโฟน เสียงดีดๆของอคูสติกกีต้าร์ ไล่เรียงผ่านตัวโน้ตที่ดูประหลาด ผสานกับเพอร์คัสชั่น พร้อมกับเสียงคอรัสที่สมดุลกัน มันก็ดูถูไถแบบพอเหมาะไปได้ไม่น่าเชื่อ เพลงอาจเศร้าแต่ฉันแอบเผลออมยิ้มตอนฟังไม่ได้ทุกที


Neon Tiger
เพลงจังหวะๆกลางที่อาจจะได้ยินเสียงเครื่องดนตรีมาน้อยชิ้น ชอบตอนต้นเพลงที่ดูลึกลับน่าค้นหา ซินธ์เอฟเฟ็กต์ที่ประสานรับกันกับกีต้าร์ ช่วงกลางเต็มไปด้วยความเข้มข้นหนักแน่น แบรนดอนเคยให้สัมภาษณ์ว่าแต่งเพลงนี้ด้วยแรงบันดาลใจจาก MGMT ซึ่งดูขำดีนะ และฉันก็ชอบเพลงวงนี้ด้วย สตูดิโอเวอร์ชั่นบรรเจิดว่าแบบไลฟ์ที่เคยฟังมาก


“Can you cut me some slack, Cause I don't wanna go back, I want the new day and age”


The World We Live In
ไม่ชอบตอนฟังครั้งแรก แต่เปลี่ยนใจแล้ว เพลงสวยงามอย่างประหลาดด้วยคอรัสแตกมาเป็นอนุพันธุ์ เสียงร้องแบ็คฯดีมาก ฟังแล้วชิลๆ ขณะที่อารมณ์พ็อพ แดนซ์เด้งดึ๋งแหลกมาอีกแล้ว จะว่าไปเพลงนี้ไม่มีอะไรดึงดูดพิเศษมากเท่าไหร่  จึงต้องฟังหลายๆครั้งติดๆกัน จะพบเสน่ห์ชวนหลงใหลกวักมือเรียกอยู่


Goodnight, Travel Well
เนื้อเพลงโศกนุ่มนวล แต่ไม่ถึงกับจืดชืดไม่มีรสชาติ มืดหม่นด้วยสาเหตุแรงบันดาลใจของเพลงนี้คือการเสียชีวิตของแม่นายเดฟ มือกีต้าร์ เจ็ดนาทีกว่าของบทเพลงเป็นการสอบวัดความอดทน จากเริ่มต้นเอื่อยๆอย่างที่ไม่คิดว่ามันจะเข้าสู่เพลงจริงๆช่วงไหน กระนั้นก็สัมผัสได้ถึงการก่อกำเนิดพลังอันกังวานของเพลงได้ในช่วงกลาง ตอนนั้นแหละ นี่ฉันถูกยิงไปพร้อมกระสวยอวกาศมาอยู่นอกโลกแล้วหรือไร?  ปิดฉากมหากาพย์นี้ด้วยการกราดเกรี้ยวดิบๆ อาาาา..ประหวั่นคิดไปถึงการตายและความสูญเสียที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ถ้าฟังตอนหัวใจแหลกสลาย มีสิทธิได้สะอึกสะอื้นขนานใหญ่


เพลงแนะนำ :  Spaceman




     ฉันเคยตระหนกเมื่อแรกฟัง Human (แม้จะไม่ใช่เพลงแรกจาก Day and Age ที่ได้ยิน) เพราะหวั่นกลัวถึงทิศทางของวง แต่ทั้งหลายทั้งปวงนี่ก็เป็นการเลือกสรรงานคุณภาพมาจากวงเองให้คนฟังได้ลิ้มรส และอัลบั้มนี้พวกเขาก็โตขึ้น ทุกบทเพลงคือความเปลี่ยนแปลงจากที่เคยเป็นมา การกลับมาครั้งนี้พร้อมซินธ์พ็อพที่ฟูฟ่า ผสานงานเพลงที่พร้อมให้คนกระทืบขาเขย่าโยก หรือการเพิ่มแซกโซโฟน ทำให้พวกเขาเป็น The Killers ที่แตกต่าง ซึ่งมันก็ยังดีกว่าวงที่ได้ยินเพลงแนวเดียวซ้ำๆกันออกมาเป็นตับ
ครั้งนี้ฉันชอบในความต่างตรงเสียงนุ่มนวลที่เบาลงของแบรนดอน ไม่ได้กระโชก ครวญครางเอาเท่แบบ Sam's Town มีหลายเพลงใน Day and Age ที่คนจะเลือกชอบกันได้ ไม่เหมือนที่ผ่านมาอย่าง Hot Fuss คนก็มักจะเอียงไปทาง Mr. Brightside หรือ All These Things I've Done ขณะที่ Sam's Town ก็อาจมี Read My Mind หรือ When You Were Young แต่ Day and Age จะมีบทเพลงมากมายให้คนเลือกชอบและตกหลุมรักอย่างคละเคล้ากัน แต่จะเป็นเพลงไหนก็ต้องลองพิสูจน์และเลือกดูเองแล้วล่ะ





 

Create Date : 23 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2551 22:56:16 น.
Counter : 878 Pageviews.  

Let me introduce “GLASVEGAS” (Plus COLDPLAY - Prospekt’s March EP)


ของดี ต้องบอกต่อ



Glasvegas วงดนตรีน้องใหม่จากกลาสโกว์เป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างมากในปีนี้ งานชุดแรกที่พวกเขาทำซึ่งมีชื่อเดียวกับวงได้ออกมาวางจำหน่ายไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา หลังจากที่ปล่อยซิงเกิ้ลดังๆพอหอมปากหอมคอไปแล้ว


ดูเหมือนพวกเขาจะมีอะไรให้พูดถึงกันเยอะเหลือเกิน เช่นเดียวกับที่ก่อนอัลบั้มจะออกมาก็มีการคาดหวังอย่างสูง
ก่อนที่จะพร่ำพรรณนาสรรพคุณเรื่องราววงนี้ สำหรับคนขี้เกียจอ่านและจะชิ่งหนีกันไปตั้งแต่ก่อนย่อหน้านี้จบ ก็ขอบอกแล้วกันว่าอัลบั้มนี้ดีจริงไม่ได้อวยและยอเกินเหตุ ไปหามาฟังซะเถอะ


เพลงของวงนี้อย่าง Daddy’s Gone เคยทำให้ฉันเพ้อละเมอไปเมื่อปีก่อน เสน่ห์ดึงดูดอย่างนึงของพวกมัน คือ สำเนียงการร้อง... ต๊ายยย มาอีกแล้ว ประเภทพ่อคุณลิ้นไก่สั้น ร้องออกมาแต่ละคำแทบจะต้องเอาหูไปจ่อฟังใกล้ๆ (กระนั้นก็ยังถอดความไม่ออก) มันฟังไม่ค่อยออกเลยค่ะ แล้วคุณนักร้องนำก็เป็นพวกรักถิ่นเกิดต้องออกเสียงให้ชัดถ้อยชัดความตามนั้นซะเหลือเกิน พวกสก็อตติชคือของสแลงหูจริงๆ ระทมประสาทการฟังเป็นที่สุด


แต่ไม่เป็นไร บริติชแอคเซนท์น่ะ ฉันชอบ ถึงจะกระเดือกยากแต่ใจรักและคลั่งไคล้ กรั่กๆ ไม่รู้มันจะฟังเอาเพลงหรือฟังสำเนียงคน เอิ๊กๆ


เอาล่ะ ถึงจะมีแค่ซิงเกิ้ลออกมาและออกทัวร์ที่ต่างๆ แต่ Glasvegas ก็สั่งสมชื่อเสียงที่เป็นกระแสบอกต่อถึงงานของพวกเขามาเรื่อยๆ ยิ่งปีนี้ยิ่งแล้วใหญ่ สังเกตได้ว่า NME จะดันวงนี้อย่างออกตาออกหน้า ฉันน่ะ อัลบั้มเต็มจริงๆก็ยังไม่ได้สัมผัสหู ได้แต่เห็นคนโน้นคนนี้มาสรรเสริญว่าวงนี้มันสุดยอดกันยกใหญ่ อะไรจะขนาดนั้น อาการหมั่นก็ไส้บังเกิดขึ้นได้เช่นกันนะ


แต่แน่นอนว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าลองฟัง ฟังแล้วไปดมและได้กลิ่นด้วยยิ่งดีใหญ่


Glasvegas เป็นวงร็อคสำเนียงเหน่อที่ทำซาวด์นกลิ่นร็อคแอนด์โรลเจือ ในเอ็มวีเพลงยิ่งมาทั้งขบวนทั้งไมค์ฯแบบยุคร็อคแอนด์โรลหรือกระทั่งทรงผมนักร้อง
แต่ไม่ใช่แค่ร็อคแอนด์โรลย้อนยุคล้วนๆ ยังมีดนตรีลอยๆ เป็นบริทฯแบบย้อนยุคไปในสมัย50’s – 70’s ประมาณนั้น รวมทั้งไม่แปลกที่ฟังแล้วจะนึกถึง My Bloody Valentine หรือ The Jesus and Mary Chain


Glasvegas ประกอบด้วยสมาชิก 4 คน คือ
James Allan กีต้าร์และร้องนำด้วยสำเนียงบ้านนอก และทำให้ฉันนึกถึงเสียง Billie Joe Armstrong
Rab Allan กีต้าร์ ร้องแบ็ค
Paul Donoghue เบส
Caroline McKay มือกลองสาวหรือปล่าวไม่รู้ ป้า เอ๊ย! พี่แกแนวได้อีก




งานชุดนี้โปรดิวซ์โดย James Allen นักร้องนำและ Rich Costey ที่เคยทำ Muse กับ Franz Ferdinand


ส่วนที่โดดเด่นและอยากจะเน้นย้ำของวงนี้คือเนื้อเพลง เนื้อหาและภาษาเพลงที่เห็นแล้วตายไปเลย พวกเขาเอาความจริงและเหตุการณ์ต่างๆในสังคมมาพูด ส่วนใหญ่เน้นแต่ด้านมืดเลวร้าย ตั้งแต่การตาย ความเจ็บปวด การทะเลาะวิวาท ความรุนแรง ชีวิตวัยเด็กที่น่าเศร้า ทั้งหมดมากับท่วงทำนองที่หวานซึ่งพอฟังแล้วจะได้อารมณ์โศก นั่นคือขื่นขมแบบหวานซ่อนเปรี้ยว แต่มันก็เป็นเคมีที่ลงตัวในทั้งสิบแทร็กของอัลบั้มที่ทำให้ฉันหลอมละลายได้เหมือนกัน


อย่าง Daddy’s Gone ที่ชำเราจิตใจคนฟังให้สลดระทมทุกข์ไปกับการสูญเสียพ่อ ครวญคร่ำและทำให้สัมผัสไปกับอารมณ์ล้ำลึกอ่อนไหวได้ไม่ยากเย็น กืดๆ ไม่...ไม่เศร้าเลยสักนิด ฉันแค่ฝุ่นเข้าตาเท่านั้น


Geraldine เสียงกลองก้องๆคือจุดเด่นของเพลง และอะไรกัน? มีการหักมุมด้วย น่าขันเพราะรู้สึกว่ามันก็เหมือนเพลงรักทั่วไปในช่วงแรกของเพลง พร่ำไปบลาๆๆ แล้วกลายเป็นว่าสุดท้าย....


“my name is Geraldine, I’m your social worker”


กร๊ากกกกกก เหมือนจะขำ แต่คิดไปคิดมา มันก็มีมุมน่าเศร้า


It's My Own Cheating Heart That Makes Me Cry เหมือนจะมีแต่เพลงให้คิดสงสาร แต่เพลงนี้ก็แสดงว่ามันก็ไม่ดีได้เหมือนกัน


“Everybody’s doing it so why can’t I,
I tally up tonight’s strangers and stragglers that I’ve kissed”


Flowers & Football Tops ที่เล่าถึงแม่ที่สูญเสียลูกน้อยไป ซึ่งเอาท่อนในเพลง You Are My Sunshine มาครวญอย่างเหงาหงอยในช่วงท้าย เฮือก! ส่วนตัวฉันมีอดีตกับเพลงนี้ด้วย เวลาใจไม่แข็งพอ ไม่เปิดฟังแน่


ยังมีให้มืดหม่น เชื่องช้าไปกับ Stabbed และ Ice Cream Van ที่รู้สึกลอยเคลิบเคลิ้มไหลได้ไม่รู้ตัว หรือร็อคขึ้นไปกับ Lonesome Swan, Polmont On My Mind และ SAD Light



ถามว่าพวกเขาได้สร้างความตื่นตาตื่นใจใหม่ๆให้วงการเพลงหรือไม่ คำตอบคือไม่แน่นอน งานของ Glasvegas ไม่มีอะไรแปลกใหม่หวือหวาเป็นพิเศษด้วยซ้ำ แนวแบบนี้เราก็ได้ยินตามวงดาดๆทั่วไปและพวกร็อคแอนด์โรลครั้งกระโน้นอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ Glasvegas ทำให้ฉันรู้สึกอย่างมากคือ เพลงอันไพเราะที่มาพร้อมกับความหมายงดงามดังบทกวีเหล่านี้เชิญชวนให้ฉันได้เพลิดเพลินไปกับอารมณ์ที่อัดแน่นด้วยการโหยหา ได้สัมผัสกับความกึกก้องดังกังวาน กวนข้นความรู้สึกให้เข้มด้วยซาวนด์แบบเก่าแต่ไม่คร่ำครึ เป็นธรรมชาติและมีเสน่ห์ ชนิดที่วงหน้าใหม่น้อยวงจะทำได้ขนาดนี้


**หมายเหตุ **
Glasvegas กำลังจะมีชุดที่สอง A Snowflake Fell (And It Felt Like a Kiss) เป็นคริสต์มาสอัลบั้มออกมา วางขาย 1 ธ.ค.นี้



< Coldplay – Prospekt’s March EP >



(อาร์ตเวิร์กนี้ใช้ภาพ Battle of Poitiers ของ Eugène Delacroix คนเดียวกับที่ใช้ในVLVODAAHF)


ได้ฟังแค่พรีวิวเล็กๆน้อยๆไปใน youtube ก็ตื่นเต้น ใจกระโดดกระเด้งล่องลอยไปโน่นแล้ว


Life in Technicolor II
มันเป็น Life in Technicolor แบบมีเนื้อร้อง ซึ่งฟังแล้วคล้ายคลึง Viva La Vida แต่แน่นอนว่าด้อยกว่า เพลงใช้กีต้าร์เป็นแบ็คกราวน์มากกว่า Life in Technicolor และเปียโนดูจะเสริมมามากขึ้น ความจริงฉันชอบแบบบรรเลงมากกว่านะ แต่ก็โอเคค่ะ
“Now my feet won't touch the ground” –> ใช้บ่อยนะ ท่อนนี้ อิอิ


Postcards from Far Away
เป็นอะไรที่Coldplay ดั้งเดิม กีต้าร์ + เปียโน และคล้าย Parachutes ซะด้วย ฟังจากพรีวิวที่ไม่ถึงหนึ่งนาทีแล้วรู้สึกไพเราะมากกระทั่งกลัวว่าถ้าได้ยินเต็มๆแล้วเกิดไม่เท่าที่หวังจะทำไงเนี่ย


Glass of Water
นึกว่า Muse มาเอง มันหนักขึ้นมากสำหรับสไตล์พวกเขา ระดมกลองรัวๆ ยิ่งช่วงท้ายๆไม่รู้กระหน่ำอะไรมามั่ง นั่นเป็นสำหรับเวอร์ชั่นไลฟ์ที่เคยได้ยินมาก่อนหน้าแล้วชอบมาก แต่พอมาฟังในพรีวิวดูมันต่างจากเดิม คือ เบา เงียบๆลง ไม่น่าตื่นใจเท่าไหร่ ไม่มันส์เล้ย ให้ตาย แต่ชอบตรงร้องประสานกันนะ ช่วงท้ายก่อนจบเพลง

Rainy Day

ยิ่งฟังยิ่งติดไปเรื่อยแล้ว เท่และน่ารักโคตร เครื่องสายก็ชวนฟังงดงามดีมาก อยากฟังทั้งหมดแล้วเนี่ย


Prospekt's March/Poppyfields
คือไม่รู้ว่าที่เอามาพรีวิวมันเพลงไหนกันแน่ แต่เท่าที่ฟังเสียงคริสเยี่ยมนะ ชอบเป็นพิเศษช่วงร้อง...วรรค...สลับเสียงกีต้าร์ เป็นเพลงที่ฟังสบายๆได้


Lost+ (featuring Jay-Z)
คำเดียว”เกลียด” รับไม่ได้และสาบานได้ว่าฟังไปรอบเดียวแล้วหลอนที่จะเปิดฟังอีกรอบ ถ้าเป็นไปได้หรือเลี่ยงได้จะไม่ฟังอีกตลอดชีวิต ฉันอาจถึงขั้นเอามีดกรีดตัวเอง...ไปโดดตึกตาย...ยื่นฟ้องศาล...เขียนป้ายไปยืนประท้วง...ได้โปรดเถอะ Coldplay หยุดทำอะไรแบบนี้!!!


Lovers in Japan (Osaka Sun Mix)
แค่เอาLovers in Japan เวอร์ชั่นในอัลบั้มมาเพิ่มเสียง อู้ว วู ไปหน่อย ก็ไม่ได้รู้สึกต่างมาก เปลืองพื้นที่EP ออกคุณ ทำไมไม่เอาเพลงอื่นมาใส่นะ


Now My Feet Won't Touch the Ground
มหัศจรรย์!! ยอดเยี่ยมอย่างเจ๋ง! เริ่มด้วยกีต้าร์ละเมียดๆอย่างที่คุ้นชินกันและเนื้อร้องที่ เออ นั่นแหละ ฉันงง

ฉันกำลังรอEP นี้ด้วยใจจดจ่อ นี่เป็นของหวานชั้นเยี่ยมหลังจากเพิ่งอิ่มหนำกับอัลบั้มเต็มไปหยกๆ

***หมายเหตุ***
Coldplay เพิ่งประกาศทัวร์ออสเตรเลียมีนาปีหน้า กราบล่ะ คุณๆ จะมาเอเชียก็อย่าลืมไทยแลนด์นะ ขอร้อง



อ้า! สำหรับ The Killers กำลังจดจ่อด้วยใจระทึกเช่นกัน คือว่า มันต้องบรรยายอารมณ์ด้วยเสียงกรีดร้องประมาณ
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก
โว้ยยยยยยยยยยยยย

ไม่ไหวแล้วววววววววววววววววววววววววววว
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด
งืดดดดดดดดดดๆๆๆ
กรั่กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ฯลฯ

ฟังพรีวิวในyoutube ไปก็ยังพูดอะไรมากไม่ได้เลย เสียงก็ไม่ค่อยดี แต่ Spaceman ซิงเกิ้ลที่สองก็อยู่ในเกณฑ์โดนแล้วนะ (A Crippling Blow b-side ของ Human ก็ชอบ)
ยังไม่อยากสปอยล์ตัวเองเลย ว่าจะอดใจจนวันได้แผ่น แต่คาดว่าไม่ไหวชัวร์ 555+
อีกอย่าง ได้ข่าวว่าพวกเขาจะได้ขึ้นปก Rolling Stone แล้ว เป็นจริงก็ดีสิ สักทีๆ
ณ เวลานี้ Day&Age ยังไม่มี leak สักกะแอะเลยนะ แปลกเหมือนกัน คงได้แต่นับถอยหลังรอตอนนี้ Smiley








 

Create Date : 16 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2551 23:24:55 น.
Counter : 1200 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

Lucy in the sky with diamonds
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]







New Comments
Friends' blogs
[Add Lucy in the sky with diamonds's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.