หากไม่ทราบว่าโลกนี้สิ้นวงที่ชื่อ Grandaddy ไปแล้วและเอาอัลบั้มนี้มาฟัง บอกว่าเป็นของ Grandaddy ก็คงเชื่ออย่างนั้นไปแล้ว เพราะ Yours Truly, the Commuter ไม่ได้แตกต่างไปไหนจากงานกลิ่นเดิมๆแบบวงเก่าของหนุ่ม Jason คนนี้เลย ทว่างานแบบนี้นี่แหละที่เขามาทำงานคนเดียวแล้วดีและรุ่งขึ้นกว่าเดิม การฟังอัลบั้มนี้ก็คือการได้ขับรถไปตามถนนชนบทหรือเดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันหยุด รับอุ่นไอแดดในวันที่อากาศสบายๆ ลมโชยกระซิบมาพร้อมกับเสียงเคลิ้มฟังเป็นรางๆมาอันเป็นเอกลักษณ์ของ Jason Lytle ทุกแทร็กมีดนตรีที่งดงาม ฟังง่าย นุ่มละมุน อารมณ์ฟีลกู๊ดส่วนมาก แต่ก็มีโศกเศร้าสอดแทรกเป็นบางเพลง สำหรับแฟนๆ Grandaddy อาจได้เป็นการหวนระลึกถึงบรรยากาศเก่าๆ และหลอกตัวเองว่าได้ฟังงานใหม่ เพื่อบรรเทาอากาศคิดถึงหรือเสียดายกับการแตกวงของพวกเขาก็ได้ แทร็กแนะนำ :Yours Truly, the Commuter, Brand New Sun, Ghost of My Old Dog เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบ : แน่นอน Grandaddy
White Lies - To Lose My Life...
“ตายแล้ว!” หลายคนอาจอุทานออกมาอย่างนั้นหลัง To Lose My Life... ของวงอินดี้ร็อคหน้าใหม่ลูกหลาน Joy Division ปรากฏตัวออกมากระทืบโสตประสาทและสั่นคลอนขี้หูให้ระริกระรี้ ชวนให้อยากรู้จักมักจี่ด้วยยิ่งนักว่ามันเป็นใครมาจากไหน น้องชาย Interpol เหรอ? หรือเป็นลูกพี่ลูกน้อง Editors หรือว่าลูกเมียน้อยของ The Killers? และแน่นอนว่าพวกเขาทำให้ตายกันจริงๆ เพราะเนื้อหาที่พร่ำคร่ำครวญกันทั้งอัลบั้มมีแต่การตาย ความสูญเสีย มืดหม่นด้วยอารมณ์โศกเศร้า การอาลัย ความเจ็บปวด ความไม่สมหวัง และเลือดเต็มมือ! มันเหมือน Glasvegas ในโหมดที่มืดทึมและหดหู่ที่สุด เหมือนโทนเสียงของ Harry McVeigh ปลุกผี Ian Curtis กลับมา บางทีด้านมืดแบบนี้มันก็น่าค้นหา และต้องยอมรับตรงๆเลยว่า White Lies มันไว้ลายกันจริงๆสิ แทร็กแนะนำ : Unfinished Business, Death, To Lose My Life เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบ : ส่วนผสมกันของ Joy Division, Interpol, The Killers, Editors กับ Echo & the Bunnymen
The Answering Machine - Another City, Another Sorry
วงสี่ชิ้นจากแมนเชสเตอร์ที่เห็นชื่อมาก็เกือบสามปีแต่เพิ่งจะได้ออกอัลบั้มเต็มจริงๆครั้งแรกในปีนี้กับสังกัดใหม่ Another City, Another Sorry คืออีกหนึ่งงานที่อิทธิพลแบบ The Strokes ยังเข้ามาแทรกซึม (อินโทรลากมาแต่ละเพลง นึกว่าเฮีย Nick มาดีดกีต้าร์ให้) แต่กระนั้น The Answering Machine ไม่ได้ทำงานการาจจ๋า เพราะเพลงพวกเขายังดูพ็อพกว่า ไม่ตื้อหรือตึ๊บโกรกกรากเกินไป และคงเอกลักษณ์แบบวงอังกฤษที่สังเกตได้อยู่ ทั้งสิบเอ็ดแทร็กต่อเนื่องความมันส์ด้วยการฟาดฟันกันอย่างเมาอารมณ์ของกีต้าร์ แต่ยังมีเพลงดึงจังหวะลงมาหน่อยอย่าง The Information เวอร์ชั่นใหม่ของ Oklahoma ในอัลบั้มยังให้อารมณ์พังค์ร็อคที่สนุกสนานเหมือนที่เคย release ไปเมื่อหลายปีก่อน ใครโหยหาสไตล์แบบ The Libertines ฟังเพลงนี้คงชอบใจ อีกหนึ่งอัลบั้มเปิดตัวที่น่าทึ่ง อนาคตยังจะดีต่อไปถ้าไม่ตายไปเหมือนหลายๆวงซะก่อน แทร็กแนะนำ :Cliffer, Oklahoma, Another City, Another Sorry เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบ : Los Campesinos, The Strokes, The Libertines, Arctic Monkeys ดูแล้วเหมือนหลายวงและไม่มีอะไรใหม่ มันก็จริงเช่นนั้น แต่เผอิญว่ามันทำดนตรีกันได้ดีก็เท่านั้น
Kasabian - West Ryder Pauper Lunatic Asylum
มีสิ่งหนึ่งที่ Kasabian ชนะ Oasis ได้แล้ว คือพวกเขายังคงทำอัลบั้มที่สามได้สุดยอดตามมาตรฐาน และถ้าให้พูดว่าดีขึ้นไปอีกก็คงไม่เกินเลยนัก ในการคงไว้ซึ่งกลิ่นไซคีเดลลิค พวกเขาทำได้ก้าวล้ำหน้าไปกว่าพวกวงร็อคหน้าอื่น ขณะที่จังหวะเร้าใจสไตล์อิเล็กโทรนิก้า พวกเขาปรุงแต่งมันให้น่าสนใจ คึกคัก และเร่าร้อน เซ็กซี่ด้วยเสียง Tom Meighan (ฟังแล้ว “on fiiiirrrre”) ฉลาดด้วยเนื้อร้องที่ยังเลิศหรูของ Serge และกับฝีมือการโปรดิวซ์ที่ไปดึง Dan the Automator แห่ง Gorillaz มา เขากลับเอากลิ่นฮิปฮอปและดิสโก้มาทำให้ Kasabian น่าดึงดูดยิ่งขึ้นจนฟังไปฟังมากลายเป็นการคุ้นชินที่ลงตัวไปแล้ว เพลงกระหึ่มฟลอร์เต้นรำ เพลงส่ายสะเอวอย่างเคลิบเคลิ้มในอารมณ์กรุ่มกริ่ม หรือเพลงหวานเศร้าคั่นอารมณ์ ทุกแทร็กในอัลบั้มนี้ยากนักที่จะหาข้อมาตำหนิที่สมเหตุสมผลมาต่อว่าได้ ของเขาดีจริง!!! แทร็กแนะนำ :Underdog, Fast Fuse, Where Did All the Love Go? เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบ : งานยุคแรกๆของ Pink Floyd, The Stones Roses, The Rolling Stones, The Clash หรือ Daft Punk!!!
Manic Street Preachers - Journal For Plague Lovers
อาจจะพูดว่าภาคต่อของ The Holy Bible ได้ไม่เต็มปาก แต่ที่แน่ๆคือ Manics ได้กลับไปหารากเหง้าของตัวเองจริงๆและกลับมาทำอัลบั้มที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ THB แล้ว ภาวะการณ์ขนลุกตั้งแต่เนื้อหา อารมณ์รำพึงรำพันของเพลง และภาคดนตรี เป็นไปได้ว่า Richey อาจยังไม่ตายจริงๆ แต่จิตวิญญาณของเขายังคงมาเดินวนเวียนอยู่ทั่วทุกแทร็ก แอบกระซิบบอกแนวทางการทำงานให้สามหน่อในสตูดิโอ นอกเหนือความดิบ กระชากอารมณ์ที่โดดเด่นใน JFPL เพลงช้าอย่าง This Joke Sport Severed ยังซึ้งใจและโชว์งานเครื่องสายที่งดงาม หรือกระทั่งการปรากฏอารมณ์ดิสโก้อย่าง Marlon J.D ที่ให้ความคึกคักเร้าใจ ส่วนใครว่ามันไม่พ็อพแบบงานหลังๆบ้างเลยเหรอ ลองพิจารณาแทร็กน่ารักอย่าง Jackie Collins Existential Question Time ดูสิ ก่อนที่จะเข้าโมดพังค์แหลกช่วงท้ายๆนั่น เพลงนี้ก็ไพเราะ น่ารัก และฟังสบายได้เช่นกัน แทร็กแนะนำ :This Joke Sport Severed, Virginia State Epileptic Colony, Peeled Apples เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบ : ก็ Manics ไง
Golden Silvers - True Romance
จินตนาการว่า เอา MGMT มาจับยัดรวบกับ Vampire Weekend เขย่าขวดให้ออกมาเป็นวงในเวอร์ชั่นอังกฤษ ก็คงพอมองภาพรวมแนวดนตรีของ Golden Silvers ทรีโอน้องใหม่จากลอนดอนวงนี้ออก True Romance คืออัลบั้มที่เปี่ยมไปด้วยซาวดน์และซินธ์ที่ MGMT เคยใช้ อารมณ์กรุ๊งกรุ๊ง นุ้งนิ้งแบบ Vampire Weekend เพิ่มด้วยความร่าเริงในกลิ่นอายอิเล็กโทร เสียงเปียโน โทนพ็อพ ฟังก์ ดิสโก้ ไซคีเดลลิค (Please Venus) ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป และสร้างเสน่ห์ด้วยความดึงดูดใจให้ติดหูได้ง่ายซึ่งอาจหลงรักได้ตั้งแต่แรกฟัง อยากยึกยักแบบสดใสก็กระดิกขาและสะโพกไปกับ True No. 9 Blues เช่นเดียวกับ Arrows of Eros ที่จะทำให้รู้สึกไม่อยากกลับจากสถานบันเทิงยามราตรีไปอีกเลยตลอดชีวิต Another Universe ยังเป็นสุดยอดแทร็กที่กระชากใจ ไม่เปิดวนซ้ำไปมาคงเป็นคนใจแข็งน่าดู แทร็กแนะนำ : Another Universe, True No. 9 Blues, Arrows of Eros เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบ : MGMT, Black Kids
The Leisure Society - The Sleeper
ทั้งชื่อวงและชื่ออัลบั้ม บอกตัวตนอย่างเห็นได้ชัดอยู่แล้ว วงนี้คงไม่ได้ทำเพลงร็อคมันส์สะเด่าแหงล่ะ The Leisure Society คือลูกหลานของวง She Talks To Angels (ผกก. Shane Meadows เคยอยู่ด้วยน่ะนะ) ซึ่งเป็นไงมาไงไม่ทราบได้ แต่สรุปพวกเขาก็มาทำอัลบั้มนี้เป็นชุดแรกกัน แต่ละเพลงเป็นโฟล์คพ็อพนุ่มนิ่มและอ่อนหวาน เบาสบายเหมือนไม่ได้ใส่อะไรเลย ความสมดุลกลมกลืนกันของเครื่องสายและเครื่องเป่าทำให้ไหลรื่นหู ฟังแล้วอารมณ์ดีเริงร่า สดชื่น เสียงร้องยังแอบให้คิดถึงอะไรในยุค 60's แบบ The Beatles หรือ The Kinks อะไรอย่างนั้น พวกเขาทำเพลงง่ายมากๆ แต่เมโลดี้สวยงามกลมกล่อม เป็นคู่แข่งอัลบั้ม Jason Lytle เวลาเดินทางไปพักผ่อนและพบปะธรรรมชาติตามรายทางได้ดี แทร็กแนะนำ : The Sleeper, The Last of the Melting Snow, Love's Enormous Wings เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบ : My Latest Novel, Sufjan Stevens, The Phantom Band และแฟน Fleet Foxes กรี๊ดแตกแน่
Peter Doherty - Grace/Wastelands
ช่างหัวเรื่องส่วนตัวของอิตา Pete แล้วมามุ่งอารมณ์ไปที่ความโรแมนติคในสไตล์อคูสติคหวานนุ่มที่ Grace/Wastelands อ้าแขนรอโอบกอดผู้ฟังไว้อยู่ดีกว่า อัลบั้มนี้ก็ดูดีไปอีกแบบ อ่อนหวาน มีเสน่ห์กลมกล่อมในตัวมันเอง แรงงานกีต้าร์ทั้งจาก Pete, Graham Coxon หรือเพื่อนสมาชิก Babyshambles ต่างช่วยรังสรรค์สรรพเสียงละมุนหูชวนฝันหวาน หลายแทร็กยังมีกลิ่นอายทั้งโฟล์คนิดๆ (Arcady ) แจ็สหน่อยๆ (Sweet By And By) ออร์เคสตร้าที่กำลังฮิตกัน (A Little Death Around the Eyes) ส่วนอะไรที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา เช่นการร้องแบบครางๆ งึมงำ หรือสุดยอดความคมคายและอารมณ์กวีของเนื้อเพลงก็ยังคงอยู่ และยิ่งตอกย้ำความอัจฉริยะแต่เลวของหมอนี่ไปใหญ่ แต่ดูๆไป นี่ แสดงว่าเขาก็แอบเป็นคนอ่อนหวานและอ่อนไหวเหมือนกันล่ะสินะ แทร็กแนะนำ : Last Of The English Roses, Sweet By And By, Broken Love Song เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบ : งานเดี่ยว Pete หรือ Babyshambles - EP Albion
Eels - Hombre Lobo
Eels หรือ Mark Everett กลับมาได้คุ้มค่ากับเวลาที่หายหน้าและหนวดไปหลายปีมาก (แถมกลับมาแล้วหนวดเยอะกว่าเดิม) Hombre Lobo ยังเป็นอัลบั้มชีช้ำหัวใจและย่ำยีคนใจสลาย ด้วยโครงสร้างไลน์เครื่องดนตรีหลักสามชิ้นยังคงทำงานขันแข็งกันออกมาเป็นโทน ละห้อยโหยหาในสไตล์ Eels สลับอารมณ์กันระหว่างอัลเทอร์เนทีฟพ็อพและร็อคหม่นเศร้าด้วยโทนจังหวะกลางๆ ไปจนถึงบลูส์การาจหรืออินดี้พ็อพ มุมมองของเพลงถูกร้องโดยมนุษย์หมาป่าผู้โหยหาเลือดและคู่รัก (hombre lobo เป็นภาษาสเปน แปลว่ามนุษย์หมาป่า) แม้อัลบั้มจะไม่พัฒนาขึ้นมากหรือมีอะไรแปลกใหม่ ยิ่งหากลองไปฟังทุกเพลงแบบพิจารณาถ้วนถี่ บวกกับงานเก่าๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแนวใกล้เคียงและมาแบบเดิมๆ แถมใช้คอร์ดทางเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด แต่เพลงแบบ Eels ก็ยังคงนำพาเมโลดี้อ่อนหวานนุ่มนวลคลอด้วยเสียงแหบพร่าแต่อบอุ่นของ Mark Everett วนเวียนไปทั้งอัลบั้ม ซึ่งเปรียบเสมือนได้เหล้าเก่าในขวดใหม่ ที่เผอิญว่าเป็นเหล้าชั้นดี ดื่มกี่ทีก็ยังหอมหวาน ไม่มีเบื่อซะด้วย แทร็กแนะนำ : Flesh Blood, My Timing Is Off, In My Dreams เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบ : Eels โดยเฉพาะ Souljacker, Shootenanny!
รางวัลชมเชย The Maccabees - Wall of Arms The Rifles - The Great Escape Phoenix - Wolfgang Amadeus Phoenix British Sea Power - Man of Aran Silversun Pickups – Swoon
อัลบั้มใหม่
Muse - The Resistance (14 ก.ย.)
อัลบั้มที่ห้าของสามหนุ่มต่อจาก Black Holes and Revelations ที่ดูเหมือนมันนานเป็นชาติแล้ว ชุดนี้บันทึกเสียงในสตูดิโอที่อิตาลี โปรดิวซ์โดยวงเอง มิกซ์เสียงโดย Mark Stent (เคยช่วยงานซาวน์ดใน In Rainbows - Radiohead มาแล้ว) จุดสำคัญของอัลบั้มนี้คงเป็นการเข้ามามีส่วนร่วมของออร์เคสตร้า Dominic Howard บอกว่าซาวน์ดชุดนี้ดีมากโคตรๆจนรอที่จะเล่นสดแทบไม่ไหว (ตรูก็รอฟังแทบไม่ไหวแล้วววว) ช่วงกำหนดวางขายนี่พวกเขามีทัวร์ที่อังกฤษกันพอดีด้วย แถมมีกำหนดการที่ยุโรปและอเมริกาเหนือไว้ช่วงปลายปี (จะเล่นเปิดให้ U2)
รายชื่อเพลง 'Uprising' 'Resistance' 'Undisclosed Desires' 'United States Of Eurasia (+Collateral Damage)' 'Guiding Light' 'Unnatural Selection' 'MK Ultra' 'I Belong To You (+Mon Coeur S'Ouvre A Ta Voix)' 'Exogenesis: Symphony Part I (Overture)' 'Exogenesis: Symphony Part II (Cross Pollination)' 'Exogenesis Part III (Redemption)'
Exogenesis ซิมโฟนีสามพาร์ทอลังการงานสร้างข้างต้นความยาวสิบห้านาทีแอเร้นจ์โดย Matt เองทั้งหมด เขาเคยให้คำนิยามว่ามันเหมือนสเปซร็อคโซโลอะไรแบบนั้น ซึ่งจะถูกใจแฟนๆอย่างไรไหมคงต้องรอฟังกัน เพราะเขาเองก็บอกว่าจะหันเหไปจากทางร็อคแบบที่ผ่านๆมาได้เลย ส่วน United States of Eurasia จะเป็นซิงเกิ้ลแรกถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เพลงนี้ Matt ใช้เสียงร้องในอิทธิพลแบบ Queen และได้แรงบันดาลใจจากนิยาย George Orwell เรื่อง Nineteen Eighty-Four ปลายเดือนนี้จับตาดูให้ดีๆว่าอาจจะได้ยินเพลงนี้กัน เพราะมีข่าวลือว่าพวกเขาจะส่งก็อปปี้เพลงไปให้สถานีวิทยุแห่งหนึ่ง
รายชื่อเพลง We Were Aborted Cheat On Me We Share The Same Skies The City Of Bugs Hari Kari Last Year's Snow Emasculate Me Ignore The Ignorant Save Your Secrets Nothing Victim Of Mass Production Stick To Yr Guns
เพลง We Were Aborted เป็นแทร็กที่วงให้ดาวน์โหลดฟรีจากวงเว็บหลายวันก่อน พวกเขาบอกว่าเป็นเพลงแรกทีเริ่มเขียนร่วมกันกับ Johnny Marr ส่วนซิงเกิ้ลแรกจริงๆคือ Cheat on Me จะวางขาย 31 ส.ค.
Athlete – Black Swan (10 ส.ค.)
ชุดนี้หนี Parlophone มาอยู่กับ Fiction Records
รายชื่อเพลง 1. Superhuman Touch 2. The Getaway 3. Black Swan Song 4. Don't Hold Your Breath 5. Love Come Rescue 6. Light the Way 7. The Unknown 8. The Awkward Goodbye 9. Magical Mistakes 10. Rubik's Cube
มีเพลงนึงคือ Summer Sun ที่วงให้โหลดฟรีเมื่อเดือนก่อน แต่คาดว่าคงเป็นแค่ b-side ของอัลบั้มนี้ เพราะไม่ปรากฏเพลงนี้จากรายชื่อข้างบน ลิงค์เพลงนี้ //www.athlete.mu/register.html
The Twilight Sad - Forget the Night Ahead (21 ก.ย.)
อัลบั้มที่สองมาแล้วซะที โปรดิวซ์โดย Andy MacFarlane มือกีต้าร์วง
รายชื่อเพลง 1. "Reflection of the Television" เพลงนี้วงเคยให้โหลดฟรีทาง stereogum ลิงค์ //stereogum.com/archives/mp3/new-twilight-sad-reflection-of-the-television_069412.html 2. "I Became a Prostitute" 3. "Seven Years of Letters" 4. "Made to Disappear" 5. "Scissors" 6. "The Room" 7. "That Birthday Present" 8. "Floorboards Under the Bed" 9. "Interrupted" 10. "The Neighbours Can't Breathe" 11. "At the Burnside" ซิงเกิ้ลแรก คือ I Became a Prostitute จะ release 3 ส.ค. นี้
รายชื่อเพลง The Fun Powder Plot Hooting & Howling All The King's Men When I'm Sleepy We've Still Got The Taste Dancing On Our Tongues Two Dancers Two Dancers This Is Our Lot Underbelly The Empty Nest
A-ha – Foot Of The Mountain Billy Talent - Billy Talent III Dan Black – ((Un)) The Dandy Warhols - Are Sound The Dead Weather – Horehound > side-project ที่แปดสิบหกของ Jack White นี้ เขาเองเอาลงไว้ให้ลองฟังแล้วเหมือนกัน ที่ //apps.facebook.com/ilike/artist/The%20Dead%20Weather Ebony Bones - Bone Of My Bones Kid British – It Was This Or Football Lisa Mitchell – Wonder New Seekers - Its Been Too Long… The Greatest Hits & More The Rumble Strips - Welcome To The Walk Alone Young Nate - A Piece Of Me
20 ก.ค.
Bent – Best Of Billy Boy On Poison – Drama Junkie Queen Ian Hunter – Man Overboard Riceboy Sleeps - Riceboy Sleeps The Twang – Jewellery Quarter VV Brown - Travelling Like The Light Will And The People – tba
27 ก.ค.
The Days - Atlantic Skies Fields – Hollow Mountains Frankmusik - Complete Me Helena Jessie – The Law Of Attraction Julian Velard – The Planeteer Reverend And The Makers - A French Kiss In The Chaos
3 ส.ค. Julian Plenti - Is...Skyscraper MSTRKRFT – Fist Of God Polarkreis 18 - The Colour of Snow September – Cry For You-The Album Ultrabeat – Discolights Wild Beasts – Two Dancers
10 ส.ค. Absent Elk - Absent Elk Athlete – Black Swan James Yorkston – Folk Songs Team Waterpolo - Team Waterpolo The Temper Trap – Conditions Tommy Sparks – Tommy Sparks The Used – Artwork
17 ส.ค. Calvin Harris - Ready For The Weekend The Cave Singers - Welcome Joy The Fiery Furnaces - I'm Going Away Jay Reatard - Watch Me Fall Simian Mobile Disco - Temporary Pleasure Soulsavers – Broken The Troubadours - The Troubadours
24 ส.ค. Arctic Monkeys – Humbug Brendan Benson – My Old Familiar Friend Carolina Liar – Coming To Terms David Guetta – One Love Dolores O’Riordan - No Baggage Felix Da Housecat – He Was King Hockey – Mind Chaos Imogen Heap – Ellipse Mew - No More Stories Mum - Sing Along To Songs You Don't Know Steve Appleton – When The Sun Comes Up The Soundtrack Of Our Lives – Communion
พวกที่จะได้เจอกันเร็วๆนี้
Basement Jaxx – Scars [21 ก.ย.] Biffy Clyro – tba [ต.ค.] The Big Pink – tba Blondie – tba Brett Anderson - Slow Attack Butch Walker – Sycamore Meadows [5 ต.ค.] Cajun Dance Party – tba Captain – Distraction Cat Power – Sun Charlotte Hatherley – Cinnabar City [ก.ย.] Courtney Love – Nobody’s Daughter The Cribs – Ignore The Ignorance [7 ก.ย.] David Gray - Draw The Line [14 ก.ย.] Dawn Landes - Sweet Heart Rodeo [7 ก.ย.] Deftones – Eros Delays – tba (ก.ย.) The Divine Comedy – tba The Dodos - Time To Die [31 ส.ค.] อัลบั้ม leak แล้วเนี่ย Echo & The Bunnymen – The Fountain [ก.ย.] เลื่อนบ่อยแฮะ ชุดนี้มี Chris Martin มาร่วมแจมด้วย ซิงเกิ้ลแรกคือ Think I Need It To Editors - In This Light And On This Evening [21 ก.ย.] ชื่อเพลงโผล่ออกมาเยอะ เช่น No Sound But The Wind, Bird Of Prey, In This Light And On This Evening, This House Is Full Of Noise,Bricks And Mortar, The Big Exit, Eat Raw Meat, Papillon และ Like Treasure Findlay Brown - Love Will Find You The Flaming Lips – Embryonic [14 ก.ย.] Frank Turner - Poetry Of The Deed [14 ก.ย.] FrYars - Dark Young Hearts The Hidden Cameras – tba The Holloways – Tales From The Tarmac The Hot Rats – tba Howard Elliott Payne - Bright Light Ballads Ian Brown - tba [ส.ค.] Jet – Shaka Rock [7 ก.ย.] Joe Lean & The Jing Jang Jong – Joe Lean & The Jing Jang Jong แปดปีผ่านไปวงนี้ก็ยังไม่ได้ออกอัลบั้มเต็ม Johnny Foreigner – tba [ต.ค.] Laura Critchley – Laura Liam Frost - tba Lifehouse – tba Livvi Franc - Underground Sunshine The Longcut - Open Hearts [5 ต.ค.] Lucky Soul - Dark Times Ahead Maps - Turning The Mind [28 ก.ย.] Massive Attack – Weather Underground [ต.ค.] Monsters Of Folk - Monsters Of Folk [21 ก.ย.] Muse – The Resistance [14 ก.ย.] Noah & The Whale - The First Days Of Spring [31 ส.ค.] OK Go – tba Operation Aloha - Operation Aloha Pearl Jam – Backspacer [ก.ย.] Pete Yorn & Scarlett Johansson – Break Up [7 ก.ย.] Richard Hawley - Truelove's Gutter [21 ก.ย.] Scarlet BLONDE – Acerbic The Slits - Trapped Animal [5 ต.ค.] Turin Brakes – Best Of [7 ก.ย.] Twiggy Frostbite – Through Fire The Twilight Sad - Forget The Night Ahead [21 ก.ย.] The Victorian English Gentlemens Club -Love On An Oil Rig [ก.ย.] Wallis Bird – New Boots [ก.ย.] Zero 7 – Yeah Ghost [7 ก.ย.] Zoot Woman - Things Are What They Used To Be [ส.ค.] Vampire Weekend – tba มีเพลงออกมาสม่ำเสมอหลังออกชุดแรกไป แต่ยังไม่เห็นความคืบหน้าอัลบั้มเท่าไหร่ เพลงที่ว่าก็เช่น Ottoman (อันนี้จริงๆ จะเรียกเพลงใหม่ก็ไม่ถูก) White Sky, Taxi Cab, Little Giant, California English Stereophonics เหมือนเคยบอกว่าประมาณสิงหา, กันยา นี่ดูเงียบๆและไม่ได้ข่าวอะไรเลย
เปล่า Mark Everett ไม่ได้กำลังง่วนอยู่กับการจัดแต่งหนวดหรือสอนการสร้างรูปลักษณ์ให้ Joaquin Phoenix อยู่แต่อย่างใด (ถ้าคุณไม่เข้าใจมุขนี้ กรุณาไปสอบถามได้ที่ Jack Black)
ความจริง Mark Everett แค่แอบอู้จากการทำเพลงให้ Eels ไปสักพักแค่นั้น เขายังโผล่ใบหน้าเปื้อนหนวดให้แฟนๆเห็นเสมอมาใน side-project มากมายและไปจับปากกาเขียนหนังสืออัตชีวประวัติชื่อว่า Things the Grandchildren Should Know และทำ Parallel Worlds, Parallel Lives หนังสารคดีความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ควอนตัมชื่อดังช่วงที่ไม่มีอัลบั้มชุดใหม่ออกมา
ใน Q ฉบับเดือนก.พ.ของปีที่แล้ว เคยลงบทสัมภาษณ์ของ Mark Everett ซึ่งมันเปิดเผยมุมมองน่าสนใจหลายอย่างที่ฉันก็ไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับเขา
Hombre Lobo ได้ละทิ้งการแต่งเพลงโดยคร่ำครวญถึงการสูญเสียในชีวิต E แบบ Electro-Shock Blues หรือ Daisies of the Galaxy มาเป็นการแต่งนิทานให้ชีวิตปัจเจกของมนุษย์หมาป่าตัวหนึ่ง เรื่องราวของมันที่พร่ำถึงความรักที่ไม่ค่อยสมหวังบ้าง มุมมองหดหู่บ้าง ความปรารถนาและค้นหาชีวิตให้มากขึ้น อาการเหงาหงอยกับการสืบเสาะตามหาคู่ใจ แต่ยังมีมุมขบขันให้ใจชื้นสอดแทรกประปราย
Prizefighter เป็นแทร็กเปิดชวนโศกที่ไม่ได้โดดเด่นได้เท่าเมื่อการเดินทางของหูมาหยุดอยู่แทร็กที่สอง That Look You Give That Guy เพลงบัลลาดอารมณ์โรแมนติคโหยหาความรักที่กินใจ
Lilac Breeze ที่ตอกย้ำอารมณ์ปรารถนาของตัวละครในอัลบั้มได้เป็นอย่างดี ออกไปทางใคร่อยากมากๆด้วย ตรงข้ามกับ In My Dreams ที่แม้ยังเป็นเพลงเกี่ยวกับความรักที่อลังการในสไตล์คันทรีชวนโรแมนติค แต่กลับดูไร้เดียงสาน่ารักกว่า
The Longing รำพึงรำพันบัลลาดจ๋าอีกครั้ง และน่าจะเป็นแทร็กกลางอัลบั้มที่ชวนสะดุดไปในทางไม่ชอบใจได้มากที่สุด ก่อนจะมามาถึงเพลงที่เอาไว้กล่อมประสาทได้ดีแต่ไม่ได้ถึงขั้นหลอน อย่าง Flesh Blood เสียงซินธ์ผสมกับคีย์บอร์ดครางหึ่งๆและใช้เบสไลน์โทนต่ำที่สุด E ทำเสียงให้อารมณ์เหมือนดูหนัง Hitchcock แถมยังมีการเห่าหอนเพื่อให้สมเป็นมนุษย์หมาป่าในเนื้อหาเพลงที่ค่อนข้างเรียกความกำหนัด
What's A Fella Gotta Do จังหวะเร่งเร้าขึ้นมาด้วยกีต้าร์ริฟที่คึกคัก เอาไว้ลัลลาหน้าซัมเมอร์ก็ดูเหมาะ My Timing Is Off พ็อพมากๆ และฟังติดหูได้ง่ายสบาย ฟังไปฟังมาแล้วก็รู้สึกหวนรำลึกไปถึงชุด Shootenanny! ได้ด้วย All the Beautiful Things มีเครื่องสายส่งถ่ายรับกันได้นิ่มนวลให้เพลงดูอคูสติคสดใสร่าเริงอยู่ท่ามกลางเสียงร้องอันชวนหลอน Beginner's Luck เป็นเพลงที่แหวกมาให้อารมณ์ฟีลกู๊ดและดูจะไม่เข้ากับอัลบั้มมากที่สุด แต่ก็มันชักชวนให้เปิดวนไปมาได้ Ordinary Man ยังเป็นแทร็กปิดท้ายที่คงบรรยากาศดั้งเดิม สานต่อและสรุปรวบอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดด้วยเสียงกีต้าร์หวานชวนฝัน
รายชื่อเพลง 1. Prizefighter 2. That Look You Give That Guy 3. Lilac Breeze 4. In My Dreams 5. Tremendous Dynamite 6. The Longing 7. Fresh Blood 8. What's A Fella Gotta Do 9. My Timing Is Off 10. All The Beautiful Things 11. Beginner's Luck 12. Ordinary Man
เพลงแนะนำ Fresh Blood
ถ้าชอบ Eels เคยดูหนังพวกนี้หรือยัง?
Eels โด่งดังในเรื่องเพลงที่ถูกนำไปประกอบหนังหรือแต่งเพลงให้หนังอยู่แล้ว นอกเหนือจากที่รู้ๆกันดีอยู่แล้วหรือชอบเอามาจั่วหัวเวลาพูดถึง Eels อย่างพวก American Beauty, Shrek ต่างๆ, Holes, The Anniversary Party ฯลฯ มาดูกันว่าหนังเรื่องใดที่มีเพลงของ Eels ไปโผล่อยู่และน่าดูบ้าง
Yes Man (Peyton Reed, 2008)
เซย์เยสไปกับ Jim Carrey ในหนังอารมณ์ฟีลกู๊ดให้แง่คิดดี นอกจากหนังจะได้เห็นหน้าหวานๆและฟังเสียงของ Zooey Deschanel ช่วยขับกล่อมผู้ชมให้หลงใหลได้แล้ว ก็มีเพลงของ Eels นี่แหละที่จัดได้ว่าเอามาอัดไว้ในหนังเยอะมากทั้งในเรื่องและอัลบั้ม soundtrack โดย Eels ได้แต่งเพลงใหม่ให้หนังเป็นพิเศษคือ เพลง Man Up ส่วนเพลงอื่นๆ มี Bus Stop Boxer, To Lick Your Boots, The Good Old Days (ขึ้นมาในช่วงพอเหมาะดีมากด้วย), The Sound Of Fear, Wooden Nickels, Flyswatter, Blinking Lights (For Me) และ Somebody Loves You ที่น่าแปลกคือหนังเรื่องนี้มีเพลงประกอบเจ๋งๆหลายเพลงเลยทีเดียว แต่ตัวอัลบั้ม soundtrack กลับมีแต่ Eels ครองเมืองไปถึง 9 เพลงและที่เหลือก็เป็นของวงติ๊ต่างในเรื่อง Munchausen by Proxy
The Big White (Mark Mylod, 2005)
หนังที่อาจดูเงียบเชียบและโดนสับเละมา แต่ฉันกลับดูแล้วอิ่มเอมและประทับใจกับมุขตื้นๆที่บางมุมของหนังยังให้อารมณ์คล้าย Fargo ของพี่น้อง Coen หนังมีดาราใหญ่อย่าง Robin Williams และ Holly Hunter ในช่วงโรยราแต่ยังดูน่ารักกับบทภรรยาแสนดีแต่เป็นโรคกระตุกไปด่าไป(โรคนี้เท่มาก) รวมถึงยังมี AlisonLohman สาวสวยที่กำลังรุ่งกับหนังขวัญใจนักวิจารณ์ในขณะนี้อย่าง Drag Me To Hell เพลง Eels ที่นำมาใช้ประกอบมี Last Stop: This Town, Trouble With Dreams และโดยเฉพาะการเลือกเพลงที่เข้ากับธีมหนังที่สุดอย่าง I Want To Protect You
Levity (Ed Solomon, 2003)
หนังดูเอามันส์แนวอาชญากรรม เรื่องราวการชดใช้บาปของ Billy Bob Thornton หนังเป็นการกำกับครั้งแรกของ Ed solomon (และถึงตอนนี้ก็ยังเป็นครั้งเดียว ฮา) และสำหรับ E ก็คือการทำสกอร์ให้หนังครั้งแรก โดยที่ผลงานในอัลบั้ม soundtrack เป็นของเขาทั้งหมด ประกอบด้วยสกอร์ที่ฟังดู สวยงาม มืดหม่น และอบอุ่นระคนกันไป บวกกับเพลง Skywriting และ Taking A Bath In Rust ที่ยังคงสไตล์แบบ Eels และไพเราะจนเหลือเชื่อว่าจะเป็นแค่เพลงที่ไม่เคย release เท่านั้น
Knocked Up (Judd Apatow, 2007)
อีกหนึ่งหนังฮาเรตอาร์ในตระกูล Judd Apatow แจ้งเกิดทั้งสาวสวย Katherine Heigl และหนุ่ม Seth Rogen พ่วงด้วยนักแสดงฮาแหลกในแก๊ง Apatow ทั้งหลาย หนังมีเพลงมาแซมๆอยู่ทั่วทั้งเรื่องและมีหลากหลายแนว ถือว่านอกจากหนังจะดี ยังเป็นอีกเรื่องที่เลือกเพลงได้เยี่ยมเหมาะกับหลายๆฉากด้วย เพลง Eels มี Running the Bath และ Manual's Got a Train to Catch แต่น่าเสียดายเช่นกันที่ไม่ได้มีอยู่ในอัลบั้ม soundtrack
Hot Fuzz (Edgar Wright, 2007)
สุดยอดของสุดยอดหนังตำรวจแนวแอ็คชั่นคอมเมดี้จากอังกฤษที่พึ่งพาความฮา ความสามารถ การแสดงและบทของ Simon Pegg ผนึกกำลังกับความน่ารักของ Nick Frost หนังมีแค่เพลง Eels เพลงเดียวคือ Souljacker Part 1 ซึ่งถูกนำไปใช้ตั้งแต่ใน trailer ซึ่งก็ทำให้ Eels เป็นที่รู้จักจากเรื่องนี้เหมือนกัน ช่างเป็นเพลงที่ไปด้วยกันได้ดีและร่วมสร้างความมันส์ระห่ำให้หนังได้อย่างมโหฬาร
ขายของช่วย Gondry /รวมฮิตอาร์ตตัวพ่อครั้งที่ 2 – Michel Gondry 2: More Videos Before & After DVD 1
Michel Gondry อาจได้ก้าวจากวงการกำกับมิวสิควิดีโอไปสู่อีกหนึ่งในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงได้แล้ว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะมาหยุดยั้งไอเดียบรรเจิดและเทคนิคสร้างสรรค์ให้เอ็มวีของเหล่าศิลปินมากมายที่เขาได้ทำออกมาในช่วงเดียวกันด้วย
ฉันได้มีโอกาสดู The Work of Director Michel Gondry ตอนหลายปีก่อนโน้น หลังจาก Eternal Sunshine of the Spotless Mind ออกมาฮิตแตกได้ไม่นานเท่าไหร่ มันคือรวมฮิตความเป็นอาร์ตตัวพ่อของเขา และไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ เพลงหลายเพลงไม่ใช่เพลงที่ฉันชอบ หลายศิลปินที่เขาร่วมงานไม่ใช่คนที่ฉันโปรด แต่เอ็มวีเหล่านั้นสะกดจิตการดูฉันได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ครั้งนี้เขากลับมาพร้อมกับ Michel Gondry 2: More Videos Before & After DVD 1 แม้จะไม่ค่อยทำเอ็มวีออกมาถี่นักในช่วงหลังมานี้ อันเนื่องมาจากภารกิจหนังลักพาตัวเขาไปบ่อยๆ แต่เขาก็รวบรวมเอ็มวีในคอลเลกชั่นนี้มามากว่า 20 ชิ้น บวกเบื้องหลังฉากและงานเบ็ดเตล็ดแปลกประหลาดบ้าบวมอื่นๆของเขามาให้ดูอีกเป็นโหล ดูให้ตาแตกตายไปเลยสิ
มีตั้งแต่งานเก่าๆแรกเริ่มของเขาที่หาดูอย่างเฉกเช่น How the West Was Won ของ Energy Orchard ซึ่งถ้าจะว่าไปตอนนั้นที่เขาทำงานนี้ออกมาจัดว่าล้ำสมัยกับการนำเสนออยู่เอาการ รวมถึงงานชิ้นที่คุ้นเคยกันดีของ Beck ,The White Stripes ขาประจำอย่าง Bjork ไปจนถึงงานชิ้นล่าสุดคือ Dance Tonight ของ Paul McCartney เมื่อสองปีก่อน
ถึง The Work of Director Michel Gondry นั้นจะมีแต่งานได้โล่นับกันไม่หวาดไม่ไหว แต่ Michel Gondry 2 ก็มียี่สิบเอ็มวีที่ยังนำเสนอด้วยไอเดียพิลาศพิไลของเขาอยู่
รายชื่อเอ็มวีทั้งหมด 01 Michael Andrews [ft. Gary Jules]: "Mad World" 02 Paul McCartney: "Dance Tonight" 03 Thomas Dolby: "Close But No Cigar" 04 Bjork: "Declare Independence" 05 Steriogram: "Walkie Talkie Man" 06 The Willowz: "I Wonder" 07 Beck: "Cellphone's Dead" 08 The White Stripes: "The Denial Twist" 09 Donald Fagen: "Snowbound" 10 Cody ChesnuTT: "King of the Game" 11 Sinead O'Connor: "Fire On Babylon" 12 Queen [ft. Wyclef Jean, Pras and Free]: "Another One Bites the Dust" 13 Radiohead: "Knives Out" 14 Dick Annegarn: "Soleil du Soir" 15 Sananda Maitreya: "She Kissed Me" 16 Sheryl Crow: "A Change Would Do You Good" 17 The Black Crowes: "High Head Blues" 18 Leafbirds: "It Can All Be Taken Away" 19 The Rolling Stones: "Gimme Shelter" 20 Energy Orchard: "How the West Was Won”
ส่วน special features ก็มีจุใจเสียยิ่งกว่าอันแรก เพราะมีทั้งฉากเบื้องหลังของเอ็มวีเด่นๆ และงานอื่นๆของ Gondry เองด้วย
BEHIND-THE-SCENES: 1. Behind-the-Scenes Of The White Stripes "The Denial Twist" 2. Behind-the-Scenes Of Beck "Cellphone's Dead" 3. Behind-the-Scenes Of Paul McCartney "Dance Tonight" 4. Behind-the-Scenes Of Radiohead "Knives Out" 5. Behind-the-Scenes Of Steriogram "Walkie Talkie Man" 6. Behind-the-Scenes Of Bjork "Declare Independence"
OTHER WORKS: 1. The Simpsons Parody Of The White Stripes Video 2. Booker T and The Michel Gondry's 3. Michel Gondry Solves A RUBIK'S CUBE With His Feet 4. Michel Gondry Solves A RUBIK'S CUBE With His Nose 5. Jack Black Beats Michel Gondry WIth His RUBIK'S CUBES 6. Herve Di Rosa "Viva Di Rosa" 7. Conan & The Big Head 8. Paul Gondry's The Willowz "Take A Look Around" 9. How To Blow Up A Helicopter (Ayako's Story) 10. Forum Des Images "L' Histoire De L'Univers"
other works เป็นคลิปสั้นๆที่ส่วนใหญ่ผ่านตาผู้คนบนอินเตอร์เน็ตไปแล้ว ยกเว้นแต่ How to Blow Up a Helicopter (Ayako's Story)
อันที่เด่นๆซึ่งฉันชอบคงจะเป็น Michel Gondry Solves A RUBIK'S CUBE With His Feet ซึ่ง Gondry โชว์เทพแก้ลูกรูบิคด้วยเท้า คลิปได้ถูกเอาลงที่ youtube และฮิตมาก จากนั้นจึงมีการตามมาด้วย Michel Gondry Solves A RUBIK'S CUBE With His Nose
พูดแล้วมันงง ต้องดูเอง
แต่ Gondry ไม่ใช่ที่สุด จะว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือ Gondry ยังมี Jack Black นี่เล่นแก้ได้สิบอันพร้อมๆกันเลยทีเดียว เจ๋งขนาด Gondry ยังยอมรับ
ส่วน How to Blow Up a Helicopter บทสัมภาษณ์กับ Ayako Fujitani ก็คือ การเล่าเรื่องบุคคลในรูปแบบสารคดีหัวใจสลายของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งพยายามติดต่อพ่อของเธอ (และกลายเป็นว่าผู้ชายคนนั้นก็คือ Steven Seagal) ตอนแรก Gondry กะตั้งใจจะใช้ตัวนี้เพื่อโปรโมต Tokyo! ภาพยนตร์ที่เขากำกับร่วม (อีกสองผู้กำกับคือ Leos Carax และ Bong Joon-ho) แต่เพราะมันดันดูไม่เข้าทีในท้ายที่สุดจึงไม่ได้ถูกใช้
Michel Gondry 2 สั่งซื้อได้ที่ michelgondry.com เท่านั้น แล้วหากเข้าไปในเว็บไซต์ประหลาดนี้ จะสังเกตเห็นได้ด้วยว่าของที่เขาขายไม่ใช่มีเพียงแต่ดีวีดีดังกล่าว เพราะดูเหมือนเขาจะเอาไอเดียตัวเองไปหากินได้หลายอย่างและจับมันทำเป็นของมาขายได้มากมาย ไม่เว้นแม้กระทั่งกระดาษชำระ
ว่าแล้วก็ช่วยเขาขายของสักหน่อย
*พื้นที่โฆษณา*
* รูปภาพเหมือนของคุณเองวาดโดย Gondry เชียวนะ ราคา 19.95 เหรียญสหรัฐฯ * กระดาษชำระลวดลายภาพสเก็ตช์ ข้อความสั้นๆ ที่เขาเขียน เนื้อนุ่มสบายเวลาเช็ดตูด ราคา 13.95 เหรียญฯ * ปฏิทินโลกาหายนะ (อันเนื่องมาจาก The Science of Sleep) ราคา 5.95 เหรียญฯ * We Lost the War But Not the Battle หนังสือการ์ตูนเล่มแรกของ Gondy ราคา 3.95 เหรียญฯ * การ์ตูน Crazy Town ของ Paul Gondry ราคา 1.95 เหรียญฯ * You’ll Like This Film Because You’re In It: The Be Kind Rewind Protocol หนังสือเล่มแรกของเขา ราคา12.95 เหรียญฯ มีแบบออดิโอบุ๊คโดยเสียงของเขาเองที่ iTunes ด้วยนะ * เสื้อทีเชิ้ตออกแบบโดย Paul ลูกชายเขา เนื้อผ้าฝ้ายอย่างดี 100% สวมใส่สบาย มีหลายไซส์ให้เลือก ราคา 17.95 เหรียญฯ
และเร็วๆนี้เตรียมพบกับ The Science of Sleep เฟร้นช์อิดิชั่น มีฟุตเทจที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน แถมด้วยหนังสือการ์ตูนต้นฉบับ 18 หน้า
เอ็มวีสุดยอดของสุดยอดที่ฉันเลือกมาเพราะชอบ
Radiohead เทกเดียว ครั้งเดียว กับ Knives Out ที่สุดแสนจะครีเอตพิสดาร แต่ทางวงเองกลับไม่ชอบและเคยปฏิเสธไม่ให้เขาเอาไปใส่ใน The Work of Director Michel Gondry จนกลายเป็นความขุ่นเคืองให้แก่ทั้งสองฝ่าย
เรื่องของเรื่องคือ ตอนที่เสนอไอเดียไปให้ทางวงจนถึงทำเอ็มวีชิ้นนี้ออกมาแล้วก็ช่างดูราบรื่นเรียบร้อยดีและคุณ Thom Yorke ก็ค่อนข้างพออกพอใจ แต่เอาไปเอามา Gondry ดันถูกวงกล่าวหาว่าเห็นแก่ตัว ใส่ความนึกคิดและถ่ายทอดออกมาในมุมมองตัวเองมากเกินไปซะอย่างนั้น (สังเกตว่าตอนหลัง เราได้เห็นไอเดียที่เหมือนกันบางอย่างนี้แล้วใน Eternal Sunshine of the Spotless Mind)
Cellphone's Dead - Beck การจับสุดยอดอัจฉริยะด้านเอ็มวีมาชนกันเองอีกครั้ง ได้ผลลัพธ์เป็นทรานส์ฟอร์เมอร์ภาคมึนทึม
Dance Tonight - Paul McCartney การร่วมงานกันครั้งแรกของทั้งสองคน ถึงจะไม่ใช่การท็อปฟอร์ม แต่แค่ลองบอกว่า Paul McCartney ร้อง Natalie Portman แสดง Michel Gondry กำกับ มันก็เรียกเสียงซี๊ดซ้าดได้แล้ว
โปรเจ็กต์ขณะนี้ของ Gondry ที่น่าสนใจคือ Megalomania อนิเมชั่นความร่วมมือกับลูกชาย Paul Gondry สร้างจากการ์ตูนที่ Paul แต่งเอง และสามารถรอชมหนังใหม่ The Green Hornet (Seth Rogen แสดงนำและร่วมเขียนบทกับ Evan Goldberg กึ๋ยๆ) หนังที่จะเอาใจตลาดมากที่สุดเท่าที่เขากำกับมาได้ในกลางปีหน้า
เคยมีรายงานผลการวิจัยสมองของ Einstein บอกไว้ว่า เขามีสมองซีกซ้ายใหญ่กว่าคนปกติทั่วไปถึง 15% แล้วสมองซีกขวาของ Michel Gondry จะมีลักษณะเป็นอย่างไร? ฉันใคร่อยากจะรู้
นั่นคือเหตุผลว่า ทำไม Amy Winehouse ถึงมียอดขายอัลบั้มดีและกวาดรางวัลแกรมมี่ได้มากมาย หรือยังคงมีคนบูชา Kurt Cobain อยู่มากจนถึงทุกวันนี้
Pete Doherty คือคนที่มีความสามารถและพรสวรรค์คนนึง แต่เขาก็เหมือนหลายๆคนที่ชอบย่ำเหยียบสิ่งที่ตัวเองมี จะว่าไป ความประพฤติแบบนี้ดูจะยิ่งเข้าทางซะอีก กลายเป็นว่านิสัยเลวๆ ติสต์แตกนั่นแหละ ทำให้มีคนชอบมันมากเอาการ ฉันก็ชอบนายคนนี้ และอีกนัยหนึ่งก็เกลียดมันโทษฐานที่บรรจงใช้เท้าบดขยี้ความสำเร็จและความรุ่งโรจน์ที่กำลังพวยพุ่งเข้ามาใส่วงดีๆอย่าง The Libertines ผลงานของสมาชิกทุกคน ในช่วง post-Libertines ยังไม่เคยตรึงใจฉันได้เท่าผลงานเก่าๆของของตัวพวกเขาเอง
ขอโทษนะ เอาเพลง Dirty Pretty Things กับ Babyshambles มารวมกันออกเป็นรวมฮิตออกมายังสู้ของ The Libertines เดิมไม่ได้ด้วยซ้ำ อย่างที่เห็นว่าพอไม่มีกันและกัน ทั้งคู่กลับเหลวเป๋ว แม้ทั้ง Pete และ Carl ต่างมีความสามารถในตัว แต่มันจะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้นหากร่วมพลังกันสองคน ช่วงที่ความประพฤตินาย Pete เริ่มออกลายสุดขีดนั้น ใครเล่าจะคิดว่าจะมีวันที่เขามายืนรับรางวัลหรือออกอัลบั้มเดี่ยวได้อย่างทุกวันนี้
หรือกระทั่งการมายืนเชิดหน้าชูรางวัล Best Male Solo Artist จากเวที NME Awards ครั้งล่าสุด ทั้งๆที่ไม่เห็นมันจะมีอัลบั้มเดี่ยวจริงจังออกมาเลยตอนนั้น ก็เป็นการประกาศิตได้อย่างดีว่า นายคนนี้ยังมีอนาคตในวงการดนตรีอยู่เสมอและผู้คนก็ยังนิยมชมชอบผลงานเขาอยู่
ในวันที่ 16 มีนาคมนี้แล้ว ที่อัลบั้มเดี่ยวชุดแรก Grace/Wastelands ภายใต้ชื่อว่าอย่างเป็นทางการว่า Peter Doherty จะออกวางจำหน่ายในสหราชอาณาจักร โอเค เพื่อสนองตอบความต้องการของนาย Pete เอ๊ย! Peter ต่อไปนี้ฉันจะเขียนถึงเขาด้วยคำเรียกว่า Peter
การเสริมขุมกำลังกีต้าร์ด้วย Graham Coxon Dot Allison หรือเพื่อนๆจาก Babyshambles การมีโปรดิวเซอร์อย่าง Stephen Street (หลังจากร่วมงานกันแล้วใน Shotter's Nation) เป็นส่วนเติมเต็มสำคัญให้อัลบั้มนี้สมบูรณ์
Grace/Wastelands เป็นอีกอัลบั้มที่มีเสน่ห์เย้ายวน เสน่ห์ของนาย Peter Doherty ที่จะเรียกจากผู้ฟังได้ แต่อย่าได้คาดหวังอันใดที่จะได้ยินซาวนด์คุ้นหูแบบใน Libs หรือ Babyshambles ไม่มีอินดี้ร็อค พังค์ร็อคกระโชกโยกมันส์ มีแต่อารมณ์เพ้อฝันราวกับมีศิลปินยุคโรแมนติกมาอ่านบทกวีให้คุณฟังต่อหน้า มีแม้กระทั่งการบอกรักประเทศตัวเอง หรืออารมณ์ความรักในแบบที่ยังโหยหาคู่รักคนเก่าคนนั้นอยู่ของ Peter (กระมัง)
ถ้า Grace/Wastelands เป็นภาพยนตร์สักเรื่อง มันคงจะกำกับการแสดงโดย Joe Wright ดัดแปลงจากบทประพันธ์ของ Oscar Wild มีฉากหลังอยู่ในยุควิคตอเรียน แสดงนำโดย Robert Downey, jr เวอร์ชั่นกลับใจ พ่วงด้วยดาราสมทบที่คอยสนับสนุนพระเอกตลอดเวลาอย่าง Paul Giamatti
ถ้าเป็นพวกชื่นชอบหรือติดตามนาย Peter คงคุ้นเคยกับ Arcady เพลงในแทร็กแรกที่เมื่อก่อนเขาตระเวนร้องไปทั่วทุกงานอยู่แล้ว ล่าสุดก็งาน NME Awards ที่เขาแสดงกับ Graham Coxon เสียงกีต้าร์เปาะแปะบวกจังหวะกลองให้กลิ่นอายโฟล์คลอยมาหน่อยๆ และฟังดูสดใสเหมาะกับการเปิดตัว แต่หากจะมีอะไรแปลกๆ ไม่เคยเห็นในแบบ Peter มาก่อน เพลงซิงเกิ้ลแรก Last Of The English Roses (เอ็มวีออกนานแล้วซึ่งช่วงท้ายๆนั่นมั่นช่าง....) ก็คือคำตอบ ฟังครั้งแรกแม้อาจได้หง่าวๆกับอาการมาแบบเรื่อยและเอื่อยเฉื่อย แต่หากใครใคร่จะดื่มด่ำไปกับเสียงดิบหวานในอารมณ์โซซัดโซเซแต่แฝงความนุ่มโรแมนติกแบบเสียง Peter ในเพลงนี้แล้วล่ะก็ ฟังไปฟังมาคงได้ละเมอเกลือกกลิ้งฝันหวานกับจังหวะเนิบๆขึ้นๆลงๆในเพลงรักไร้เดียงสานี้ได้ดี
1939 Returning ขึ้นต้นมาทำให้คิดถึงดนตรีประกอบในหนังขาวดำเก่าๆ ก่อนที่จะเข้าใจว่าเนื้อหาเพลงมันไปสงครามโลกครั้งที่สองกันเลยทีเดียว เคยอ่านเจอว่าเพลงนี้ตอนแรกเขาตั้งใจแต่งไว้ร้องกับ Amy Winehouse แต่ยังไงไม่ทราบได้ เพลงเลยมาอยู่นี่ A Little Death Around the Eyes (ในวิกิฯ บอกว่า Carl Barat ร่วมเขียนด้วย) เพลงหรูหราในแบบออร์เคสตร้าที่เคยคุ้นเคยมาแล้วในแบบ The Last Shadow Puppets แทร็กต่อมาเข้าสู่โหมดมืดหม่นกับ Salome เพลงระดับเสียงต่ำมาหน่อยและเป็นอีกหนึ่งในเพลงไพเราะงดงามด้วยการพรรณนา (ในอารมณ์จิกกัด?)
ด้วยสไตล์การร้องแบบ Peter ที่ทอดเสียงร้องเบาๆในลำคอ พึมพำงึมงำและมีเสียงหายใจเล็ดรอดในบางทีอาจไม่เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน แต่ฉันอยากให้ลองจับความสวยงามในบทเพลงซึ่งเปี่ยมด้วยภาพพจน์ โวหารของแต่ละบทเพลงที่เขาเปล่งเสียงร้องออกมา แน่นอนว่าสำหรับการเขียนเพลง หมอนี่ก็อัจฉริยะด้านอารมณ์คมกวี เขียนได้ทุกเรื่องกระทั่งยันเรื่องข้างถนน เฉกเช่น ในเพลงที่ดูง่ายๆ ไม่มีอะไรอย่าง I Am The Rain ที่ใช้การเปรียบเทียบแจ่มๆในเพลงแต่ละท่อน เริ่มต้นด้วยเสียง Peter และกีต้าร์อคูสติกตัวเดียวก่อนจะเข้าสู่ท่อนคอรัสที่เข้ารับกันได้กลมกลืนดูมีชีวิตชีวา (ซึ่งจะได้ยินเสียงแทมบูรีนด้วย) ก่อนจะกลับมาสู่กีต้าร์อีกครั้ง Sweet By And By ดูออกแนวแจ๊สเลยนะนั่น เสียงเปียโนเคล้าเคลียแทร็มเป็ตเข้ากันกับเสียงปั๊ป ปะ ดา ดาๆๆ ให้อารมณ์ไฮโซมาก Palace Of Bone ฟังเผินๆ ก็นึกว่า The Coral มาเอง เนื้อหาช่างคล้ายกับการคร่ำครวญกับชีวิตตัวเองอย่างไรชอบกล หรือจนแล้วคนรอด Kate Moss ก็ยังคงตามหลอกหลอนคุณอยู่? Sheepskin Tearaway มีเสียง Dot Allison มาเป็นแขกรับเชิญและแต่งเพลงร่วม เพลงรักที่น่าจะชวนเคลิบเคลิ้มไปในทางหลับซะมากกว่า แต่ยังดีที่เสียงเปียโนกับ Dot Allison มันดูกลมกล่อม ฟังได้เพลินๆ เป็นอีกหนึ่งแทร็กที่ให้อารมณ์อคูสติกอ่อนนุ่มและยังไม่รู้สึกระคายเคืองหู ในเพลงเศร้าสร้อยอย่าง Broken Love Song ที่อย่างกับมาบอกเล่าชีวประวัติตัวเองอีกครั้ง แน่นอนว่าที่ Peter ครวญถึงก็คือการที่เขาเคยอยู่ในคุก (ท่อน “Through my cell window”) เพลงนี้ ft. Peter Wolfe (For The Lovers ไงล่ะ จำได้มั้ย?) เฮ้! และมันมีท่อนนี้ด้วยแหละ Every morning I'll be singing Like a caged bird who might say Jump on George and Ringo Help me pass the hours away
New Love Grows On Trees เพลงนี้ไม่ใช่เพลงใหม่ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมฉันคลับคล้ายคลับคลามันเมื่อได้ยินครั้งแรก เวอร์ชั่นในอัลบั้มนี้เพราะกว่าเดโมเวอร์ชั่นเยอะ โดยเฉพาะในส่วนกีต้าร์และการจัดการเครื่องดนตรีที่ทำได้ดีจนกลบข้อเสียเรื่องเสียงร้องอย่างคนเมาแอ๋ของ Peter ไปได้
Lady, Don’t Fall Backwards โรแมนติกโฮกกกก ท่อน “C’mon fall into my arms” นั่น ไม่อยากบอกเลยว่า ให้ตายเถอะ ฉันอยากเป็นผู้หญิงคนนั้นเสียจริง
อัลบั้มนี้ไม่ได้ดีเลิศ แต่มันก็ไม่ใช่การสักแต่สุ่มเอาเพลงเหลือเดนที่เคยลองๆทำไว้ แต่ไม่เคย release มายัดรวมกัน มันอาจไม่กระชากขี้หูให้เริงระบำและยอดเยี่ยมเท่าจุดที่เขาเคยสร้างชื่อไว้กับ Libertines ไม่น่าตื่นตะลึงซี๊ดปากเท่าเห็นฉาก Kate Winslet ในอ่าง เอ๊ย! ในศาลใน The Reader ไม่หวานจ๋อยโรแมนติกชวนดื่มด่ำเท่าหนัง Richard Curtis ไม่ให้อารมณ์สุดยอดเท่าเห็น Mickey Rourke กลับมาพีคใน The Wrestler
แต่ฉันว่าฉันพอใจกับงานเดี่ยวของคนไม่ดีที่กำลังพยายามทำตัวดีอยู่ตอนนี้ และพิจารณาได้ว่ามันเป็นงานที่ดีที่สุดของเขานับตั้งแต่การสิ้นสุดลงของ The Libertines
และคงทราบดีกว่าในปีนี้ เมื่อแฟนๆ Blur ได้ปรีดากับการมาจูจุ๊บปากกันอีกครั้งของ Damon กับ Graham ไปแล้ว ฉันก็หวังเหลือเกินว่าจะมีความน่ายินดีของ Carlos และ Peter ตามมาในไม่ช้านี้...
ปล. Happy Birthday ย้อนหลังเมื่อวานด้วย Peter Doherty!! ปล. 2 เขาเอาลงไว้ที่นี่ให้ได้ฟังกันด้วย //www.myspace.com/gracewastelands ฟังดูได้ แล้วอัลบั้มมันก็ leak แล้ว แบบ high quality ไม่ใช่rip จาก myspace (ไม่ได้ชี้ทางนะ แต่มันเป็นนิสัยเลวอย่างหาที่สุดไม่ได้ของฉัน มี leak ที่อยากฟังที่ไหน เมื่อไหร่ มันต้องโหลดโดยพลัน) ส่วนแผ่นลิขสิทธิ์ไทย ฉันเข้าใจว่าอยู่กับวอร์เนอร์ฯ (อัลบั้มนี้เป็นสัญญากับ Parlophone เหมือน Babyshambles ซึ่งแผ่นที่ว่า EMI เดิมก็ทำไว้อยู่) หวังว่ามันคงจะทำเร็วๆนี้ ปล. 3 เนื่องจากทิ้งบล็อกไว้นานโคตร ตอนแรกคิดอยู่ว่าน่าจะเขียนสรุป รวมๆเหมือนบล็อกที่แล้วด้วย แต่เนื่องจากสาเหตุ 1. ขี้เกียจมากกกกกกๆ 2. เดือนที่แล้วไม่มีอัลบั้มไหนที่ประทับใจ โดนๆเป็นพิเศษ และผิดหวังอย่างสูงกับ U2 (แต่บ็อกซ์เซ็ต No Line On The Horizon สุดยอดมากกและใน booklet ตรงเขียนขอบคุณผู้คน มีชื่อ Chris Martin ด้วย) และเหตุผลประการสำคัญคือ คงไม่มีใครมานั่งทนอ่านแกพร่ำบ่นอะไรยาวๆหรอกนะ 555+ สรุปบล็อกนี้เกี่ยวกับ Peter Doherty ทั้งหมด ได้ยาวๆไปล่ะนะ ปล. 4 ตอนนี้ชอบ Dinosaur Pile-Up มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก จับตาดูไว้ให้ดีๆนะ (จะรุ่งไม่รุ่งไม่รู้ ขอพูดเอาไว้ก่อน ฮ่าๆ) ปล. 5 โอเคฉันต้องเอ่ยถึง Coldplay ก่อนจบบล็อก (เฮ่อออ – เสียงถอนหายใจพลางส่ายหน้าของผู้อ่าน) อันเนื่องมาจากปลายเดือนนี้พวกมันจะมาโฉบเฉี่ยวแถวบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างสิงคโปร์และฮ่องกง โดยไม่คำนึงถึงไทยแลนด์โดยแม้แต่น้อย ฉันจะไม่ยอมเด็ดขาดถ้า Viva La Vida Tour ไม่บรรจุประเทศไทยไว้ในตาราง แม้ต้องอาศัยปาฏิหาริย์ระดับ Michael Clarke Duncan ใน The Green Mile ยังลำบากใจ กระนั้นฉันได้บนบานศาลกล่าวต่อเจ้าพ่อหลายที่แล้ว ตั้งแต่เจ้าพ่อ Sir Matt Busby ยันเจ้าพ่อ Don Vito
White Lies - To Lose My Life [ดัน ดัน ดัน ดัน ดัน ดัน!] +สรุปภาพรวมอัลบั้มต่างๆประจำเดือนม.ค. ฯลฯ
White Lies – To Lose My Life
จากความหวังอันเฉิดฉายเปล่งประกายแรงดึงดูดใจ White Lies วงที่เป็น my brightest hope เมื่อปีที่ผ่านมาของฉัน ปลดปล่อยโฉมหน้าและตัวตนผ่านบทเพลงมาให้เป็นที่ประจักษ์กันเต็มๆเรียบร้อยแล้ว จะดันกันจริงๆจังๆ อวยกันสนั่น ไม่สนใครทั้งนั้นเลยนะคราวนี้ ฮะ ฮ่า!
White Lies มันเป็นยังไงล่ะ? เอาเป็นว่าลองจินตนาการว่า Joy Division สมรสกับ Interpol มีลูกคือ White Lies พี่ชายเป็น Editors น้องชายต่างมารดาคือThe Killers ดูสิ นั่นคือส่วนผสมที่กลั่นกรองมาเป็นวงที่ชื่อ White Lies หลังจากที่พวกเขาเคยฟอร์มวงครั้งแรกในชื่อ Fear of Flying ก่อนจะปฏิวัติสถาปนาตัวเองใหม่ ทั้งชื่อวงและตัวดนตรี (ไม่รู้นะ ฟังแต่แค่พรีวิวบางเพลงของ Fear of Flying น่ะ มันเป็นอินดี้พ็อพติ๋มๆ คนละแนวเลย)
ข้อมูลคร่าวๆ White Lies วงจากลอนดอนที่ประกอบด้วยสามคน Harry McVeigh (โอ้ยย เห็นโหนกแก้มแล้วคิดถึง Ian Curtis) หน้าที่ร้องนำและเล่นกีต้าร์, Charles Cave เบส กับ Jack Lawrence-Brown เล่นกลอง To Lose My Life โปรดิวซ์โดย Ed Buller และ Max Dingel อาทิตย์แรกที่วางขายอัลบั้มได้ถล่มอันดับหนึ่งUK chart ไปแล้ว ก่อนหน้าอัลบั้มเต็มๆจะบอกมา พวกเขาได้ปล่อยเพลงอย่าง Unfinished Business และ Death ในปีที่แล้ว มาให้ฟังตื่นเต้นตั้งตารอและเป็นที่คาดหวังของคนทั่วไป (ฉันด้วยไง! ) ข้อมูลอื่นๆหาดูเอาเองแล้วกัน สามารถหาได้ทั่วไปง่ายยิ่งกว่าแผงลอยลูกชิ้น เพราะกูเกิ้ลครองจักรวาล
มาพูดถึงตัวอัลบั้มเลยดีกว่า ครึ่งนึงของพลงในชุดนี้คืองานคุณภาพที่ขอแค่ไปตัดเป็นซิงเกิ้ลมันก็น่าจะพอรับได้กันเลย … ยิ่งใหญ่ กระหึ่ม อลังการตั้งแต่แทร็กแรก Death เพลงที่น่าจะเป็นในโทนเสียงสูงที่สุดของเสียงร้องในอัลบั้ม เสียงเบสและช่วงชั้นจังหวะของซินธ์ที่เนิบๆไป อื้อๆไปด้วยกัน เสียงกีต้าร์และกลองปะทะกันโครมครามในช่วงท้าย อือ หืมมม เร้าใจอะไรอย่างนั้น แล้วก็ ท่อนสุดยอด "..This fear's got a hold on me..."Harry McVeigh ร้องกู่ก้องไปมาก่อนจะแหกปากไปจนจบเพลง ถ้ามันยังเยี่ยมไม่พอ ฟัง To Lose My Life ต่อ ที่ White Lies ยังอาจจะยึดกุมจิตใตคุณได้อยู่ไม่รีบตีจาก และเมื่อครั้งแรกได้ฟังก็ต้องสะดุดกึกกับท่อน "Lets grow old together and die at the same time" เป็นที่สุด A Place To Hide เพลงนี้เสียงลึกๆ เย็นๆ Fifty On Our Foreheads โทนต่ำในขีดที่อยากจะไปฟังในอุโมงค์ให้รู้กันไป แต่ช่วงกลางก็ก้องกังวาน หึ่งๆอื้ออึงไปเรื่อยๆ ก่อนที่แสงสว่าง ณ ปลายอุโมงค์จะสาดส่องเข้ามา ฟังไปแล้วมันเปล่งประกายปิ๊งๆดี ฮะ ฮ่า! Unfinished Business เพลงนี้ทำให้เราทราบอีกว่า พี่ชายต่างบิดาที่พลัดพราก ไม่ได้เจอกันมากว่าสี่สิบปีของพวกเขา คือ Arcade Fire นั่นเอง ถึงตอนนี้แต่ละแทร็กถูกขับเคลื่อนไปในทิศทางมาตรฐานตามเป้าประสงค์ของวง จะเห็นได้ว่าแต่ละเพลงจะมีจุดเด่นคือการเริ่มต้นแบบราบเรียบ เนิบๆ และดูขึงขัง ใช้เบสเป็นหลัก ก่อนจะเพิ่มพลังไปด้วยเครื่องดนตรีที่ประโคมกันหนักขึ้น พร้อมกับช่วงคอรัสที่กู่ก้องเร้าอารมณ์ E.S.T เข้ามาจู่โจมความหวาดผวาเมื่ออินโทรเริ่มบรรเลง โอ้ เพลงก็จะครวญคร่ำโศกาไปไหนกัน และอีกครั้งที่ได้ยินเสียงหึ่งของซินธ์และกีต้าร์เคล้าเคลียกันอย่างหนักแน่น From The Stars ลองไปฟังเนื้อหาเพลงที่เขาเล่าแล้วเจ๋งดีนิ แต่เพลงค่อนข้างจมอยู่ในจังหวะเนิบๆไปเรื่อยๆนานไปหน่อย Farewell to the Fairground (ได้ข่าวว่าเป็นซิงเกิ้ลถัดไปและกำลังถ่ายเอ็มวีกันอยู่) ดูแล้วจะหันเหแนวทางเดิมมานิด กล่าวคือ มันดูเป็นส่วนที่คึกๆและสดชื่นขึ้นหน่อย ช่วงกลางๆที่ร้องท่อน “Keep on running, keep keep on running, there's no place like home, there's no place like home.” ไปมา แอบนึกถึงที่ Brandon Flowers ร้อง “I got soul but I’m not a soldier” Nothing To Give บัลลาด?!? แบบที่ง่วงๆ หงอยๆ และไปนอนหรือไม่ก็ฆ่าตัวตายดีกว่า The Price Of Love เยี่ยมยอดไปเลยที่ปิดตัวด้วยเพลงนี้ ยอดเยี่ยมด้วยการแหกปากสุดเสียงในท่อนคอรัสและเครื่องสายกระแทกกระทั้นสุดฤทธิ์
อัลบั้มอื่นที่ได้ฟัง The View – Which Bitch? (7.5/10) ไม่อิ่ม ไม่สุด แต่เครื่องดนตรีในชุดนี้อลังและนุ๊งนิ๊งดี และชอบแทร็กสุดท้ายอย่าง Gem of a Bird อย่างหัวปักหัวปำ The Rifles – The Great Escape (7.89/10) แหม ชื่ออัลบั้มหนิ มันเพิ่งมา release จริงๆเดือนม.ค. แต่อัลบั้มก็leak ก่อนเป็นชาติแล้ว น่าฉงฉาน ภาพรวมอัลบั้มประมาณว่าการเสพสมกันของ The Killers กับ Franz Ferninand ยังไงยังงั้น Winter Calls และ The Great Escape เป็นเพลงโปรดฉัน Morrissey – Years of Refusal (7/10) ฉันว่าชุดนี้ก็อยู่ในเกณฑ์ดีนะ เพียงแต่ สำหรับฉันแล้ว..ยังไงล่ะ คือ เหมือนชีวิตฉันตอนเด็กๆนะ ฉันรักยายและสนิทกับท่านมาก ใช้เวลากับท่านมากมาย แต่พอโตขึ้นฉันจะเริ่มเบื่อ ไม่สนใจ(a.k.a. เลว) มันก็เหมือนกับ Morrissey เขาทำงานมาตอนนี้ฉันก็แค่ฟังๆไม่ใคร่จะปลาบปลื้มมากมาย หรือใช้เวลาคลุกคลีด้วยสม่ำเสมอ แต่ครั้นได้ดอมดม The Smiths นั่น ฉันกลับดื่มด่ำได้ดีมากกว่า เป็นไง เห็นภาพป่ะ เปรียบเทียบถูกมั้ยฟะตรู?!? อนึ่ง พูดถึงหนุ่ม(แก่ๆ) คนนี้แล้ว เห็นข่าวล่าสุด เขาไปถ่ายแบบเซ็กซี่เพื่อเป็นภาพแถมสำหรับซิงเกิ้ล I'm Throwing My Arms Around Paris ขออนุญาตเอาลงให้ได้ยลกัน คำเตือน ควรหากระโถนหรือถุงผ้า(เพราะพลาสติกมันโลกร้อน) มาเตรียมไว้ล่วงหน้า
มาย ก็อดดดดดดดด อกอีแป้นจะชำรุด คุณคะ ถ้าคุณถ่ายตั้งแต่สมัยยังหล่อเฟี้ยวอยู่ The Smiths จะไม่ว่าอะไรเลยค่ะ เฮือกกกก
Franz Ferdinand – Tonight : Franz Ferdinand (7/10) ตามเคย เซิ้งเชิ้บๆ เด้งดึ๋งป๊ะเท่งป๊ะ ปลาบปลื้มเพลงนุ่มอย่าง Katherine Kiss Me และเต้นกระแด่วๆดีใน Lucid Dreams จะไม่ลืมอัลบั้มนี้เมื่อมีปาร์ตี้ Animal Collective - Merriweather Post Pavilion (8/10) ประทับใจอย่างน่าประหลาดกับชุดนี้ ยอมรับว่าเป็นงานอันบรรเจิดและงดงามมากกก เพลงอย่าง Summertime Clothes หรือ My Girl นี่ฟังแล้วแบบว่า..แหมๆ สุดๆเลยนะ เอิ่ม The Fray – The Fray มันรั่วแล้ววววว แต่ยังไม่ได้หา มีฟังไปแค่สองเพลง (Say When, Syndicate) ซึ่งไม่ประทับอ่ะคุณ You Found Me ซิงเกิ้ลแรกนั่นพอโอเคนะ Doves - Kingdom of Rust ก็มีหลุดบางเพลง นอกเหนือจากที่วงปล่อย Jetstream ซิงเกิ้ลแรกให้ดาว์นโหลดฟรี กำลังชอบ The Outsider Fight Like Apes - Fight Like Apes & The Mystery Of The Golden Medallion กำลังลองๆฟัง ยังไม่ติดเท่าไหร่
เพิ่มเติมอัลบั้มในโหลดองปีที่แล้ว Belle & Sebastian - The BBC Sessions(8/10) Sigur Ros - Með suð í eyrum við spilum endalaust (7.5/10)
2. Coldplay – Life in Technicolor ii (Dougal Wilson) Coldplay กลายเป็นหุ่นไปแล้ว!! สืบเนื่องจากสมาชิกวงงานรัดตัว Chris เลยได้ความคิดสุดเก๋ทำอะไรแบบนี้นี่แหละ แนวจังนะ ครีเอตสุดยิด แต่ไม่ทราบว่าคนทำหุ่น Guy Berryman ละเมอหลับหรือหมั่นไส้ที่เขาหน้าตาดีเลยทำออกมาแบบไม่เหมือนที่สุดในโลก อย่าเข้าใจผิดแล้วกันถ้าเห็น Coldplay ไม่ได้มีสมาชิกใหม่ คนเดิม สี่หน่อ เพียงแต่มีสมาชิกวงคนที่ห้าอย่าง Phil Harvey มาร่วมปรากฏตัวด้วยแว้บๆ(แบบที่เห็นแล้วตกใจ กรี๊ดดดด) เขาเป็นผจก.วงเอง อาจคุ้นชื่อใช่มะ? ลองไปเปิด booklet A Rush of Blood to the Head, Viva la Vida or Death and All His Friends หรือ Prospekt's March EP ดูดิ มันจะให้เครดิตเอาไว้ว่าเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของวงด้วย
3. U2 – Get On Your Boots (Alex Courtes) คะแนนความน่าตื่นตาตื่นใจ(ฉากหลังงามแต้ๆ) : 8.5/10 คะแนนความพยายามของ Bono ที่จะเข้าชิงโนเบลสาขาสันติภาพอีกปี : 10/10 สรุป Bono ยังคงเป็นพระเจ้า!!!
New Songs of the Month 1. U2 - Get On Your Boots ช่วยบอกทีว่าฉันไม่ได้เป็นหนึ่งในแค่ 152 คนในประเทศนี้ที่ตื่นเต้นไปกับการกลับมาของวงนี้อยู่ ไม่ใช่แฟน ไม่ได้บูชา Bono ไม่ได้ถึงกับอยากให้ Bono ตายๆไปซะ แต่ฉันต้องเตรียมตัวและหูให้พร้อมกับการกลับมาของวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับแต่ Beatles (ไม่เห็นด้วยเชิญแย้ง) เพลงนี้ยิ่งฟังยิ่งเติบโตในจิตใจ ใครจะไปสนพวกที่เกลียด U2 ล่ะ เพราะยังไงพวกเขาก็ยังขายได้ และเพลงต้องขึ้นชาร์ตสูงๆแหงอยู่แล้ว เอิ่ม แค่ถึงตอนนี้นับจากวันพรีเมียร์เมื่อ 19 ม.ค. ก็ได้ยินเพลงนี้ในวิทยุ(ไม่ใช่ของประเทศไทย)แทบจะทุกชั่วโมงอยู่แล้ว 2. Coldplay – The Goldrush แหม่ จะไม่พูดถึงก็กระไรอยู่ 555 เพลง b-side ของ Life in Technicolor ii จะมีอะไรดีกว่าการได้ฟังเสียงทั้งวงร้องด้วยกันเนี่ย 3. The Decemberists – The Rake’s Song, The Wombats - My Circuitboard City สองอันนี้ฟังแล้วชอบเลยและกระตุ้นการรออัลบั้มใหม่ได้ดียิ่งนัก อนึ่ง มีโอกาสลองฟังเพลงใหม่ Arctic Monkeys Crying Lightning แล้วเคลิ้มไป(แทบหลับ) เห็นได้ว่าพอกลับมาจับงานลิงขั้วโลกอีก Alex Turner เอาอิทธิพล The Last Shadow Puppets มาใส่พอสมควร แต่เพลงยังอยู่ในเกณฑ์ดีและน่าติดตามสำหรับวงที่กำลังรอคอยว่าจะมีวันไหนมั้ยที่จะล่มจม 555 คนชอบคนชมเยอะเสมอ (ถ้ายังทำงานมาดีก็ชอบจ้ะ)
EP of the Month Bon Iver – Blood Bank ละลายเยิ้มๆกับ Woods เคลิบเคลิ้มเหงาๆกับ Beach Baby กวนๆอารมณ์ให้หวิวและตัวลอยไปกับ Babys ชิลๆ หวานนุ่มกับ Blood Bank
Guideline: February 2009 ค่ะ เดือนก.พ.เป็นช่วงที่งานเข้าอย่างใหญ่หลวงยิ่งนักทุกวงการ นอกเหนือจากหนังดีๆพวกเอารางวัลจะเข้าไทยกันตูมๆแล้ว งานต่างๆไม่ว่าเป็น Oscar, Grammy, Brit Awards, NME Awards หรือการลุ้นกันอย่างเข้มข้นของ EPL (อุ้ย! ตอนนี้หน้าวววว หนาว อยู่หัวตารางแบบนี้ 555) แล้วนี่ตรูจะพูดถึงเรื่องอื่นเพื่อ? อ่ะ.. อัลบั้ม,งานแจกรางวัลสำหรับเดือนก.พ. มีดังนี้ Andrew Bird - Noble Beast Tom Morello - The Nightwatchman Spider & The Flies - Something Clockwork Comes This Way The View - Which Bitch? Handsome Furs (Wolf Parade) - Face Control Blck Lips - 200 Million Thousand Charles Spearin (Broken Social Scene) - The Happiness Project The Airborne Toxic Event – The Airborne Toxic Event Emmy The Great - First Love The Fray - The Fray Hayley Sales – Sunseed Lily Allen – It's Not Me It's You Beirut - March Of The Zapotec M Ward - Hold Time Morrissey – Years Of Refusal Empire Of The Sun – Walking On A Dream (เป็นการ release ในUK) New Rhodes – Everybody Loves A Scene The Prodigy – Invaders Must Die The Von Bondies - Love Hate And Then There’s You