Group Blog
 
All blogs
 

เนื่องมาจาก Blur – "All The People: Blur Live at Hyde Park" และ "No Distance Left To Run" (หนัง) ฯลฯ

คำเตือน: เป็นบล็อกบ่น ไม่มีรีวิว



     ปลายปีที่แล้วหลังรู้ว่า Graham กลับมาหวานชื่นกับ Damon พร้อมประกาศว่า Blur จะรียูเนียนกันจริงๆ นั้น ฉันได้ตั้งข้อสงสัย (และเป็นความปรารถนาส่วนตัว) ว่าจะมีโอกาสไหมที่จะได้เห็นอัลบั้มใหม่คลอดออกมาในเร็ววัน


ผ่านไปปีนึง รู้แล้วว่าตัวเองฝันเฟื่องจนเกินเหตุ


เพราะยังไงคุณ Damon Albarn ก็ยังคงพิศวาสกับบรรดางานลิงหลักๆ ของเขาอยู่ และ Blur มันก็แค่ side project เท่านั้น


     ขบวนการเคลื่อนไหวของพวกเขาในปีนี้ นอกจากคอนเสิร์ตรียูเนียนเพื่อหาตังค์ เอ๊ย! เพื่อเป็นการตอกย้ำความปรองดองกันของ Damon และ Graham ไล่ตั้งแต่ Hyde Park, Glastonbury, Oxegen ปิดท้ายด้วย T in the Park ที่ Graham เกือบตายเพราะอาหารเป็นพิษ ก่อน Damon จะประกาศกร้าวว่าไม่มีอีกแล้ว รียูเนียนมันจบแค่นี้ รวมถึงการออกรวมฮิต Midlife: A Beginner's Guide to Blur (เพื่ออะไร?) ไลฟ์ซีดี All The People: Blur Live at Hyde Park  และทำหนังสารคดี No Distance Left To Run ที่จะฉายในอังกฤษมกราคมปีหน้า เรียกว่าเรื่องเหล่านี้มันน่ายินดีและซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก


     เพียงแต่ว่าไอ้เรื่องที่ฉันจั่วหัวไว้ข้างบนมันไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้นเลย ฉันจึงรู้สึกอัดอั้นตันใจ ประหนึ่งว่าความสุขมันไม่เติมเต็มจิตในจุดสุดขีด


(พูดง่ายๆ คือ เรื่องมาก ไม่รู้จักพอ)


อธิบายอีกทีคือ ฉันน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเองยิ่งนัก


      ไอ้เรื่องที่เขารียูเนียนแล้วเล่นคอนเสิร์ตกัน มันออกจะไกลตัวฉันไปหน่อย เพราะความไม่มีปัญญาที่จะไปกลาสตันเบอร์รี่ ไปไฮด์ พาร์ค ฯลฯ แต่ถ้าอัลบั้มใหม่ออกมา นอกจากจะหมายถึงฉันจะได้ฟังแล้ว มันยังเป็นเรื่องน่าปลื้มยิ่งกว่าอะไรทั้งปวง


      คำพูดของ Damon ค่อนข้างแน่นอนไปแล้วว่าเขาจะไม่ทำอัลบั้มใหม่ แม้ช่วงนึง Graham จะบอกว่าเขาเองสนใจจะทำ แต่ท้ายที่สุดคือ เขายืนยันว่าแผนการเข้าสตูดิโออัดอัลบั้มหรือเล่นคอนเสิร์ตด้วยกันอีกคงไม่มีแล้ว (ไม่มีตลอดไปหรือถึงตอนไหนก็ไม่ทราบ)


      ที่น่าสงสัยคงเป็นเพราะคำพูด Damon กับ Graham มันค้านกันเองในช่วงนึง เพราะหลังจาก T in the Park ซึ่ง Damon บอกว่าคือคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายแล้ว ฝ่าย Graham ให้สัมภาษณ์เองว่าสนใจอยากทำอัลบั้ม และวงก็พูดกันว่าจะทัวร์คอนเสิร์ตนอกเกาะอังกฤษกันด้วยดีไหม หลังจากนั้นไม่นาน Damon จึงออกมายืนยันอีกครั้งว่าการรียูเนียนจบไปแล้ว ข่าวจากนั้นคือ Graham เองกลับคำพูดว่าวงไม่มีแผนจะทำอะไรด้วยกันอีก เขาเองก็จะก้มตาก้มตาใส่แว่นทำงานเดี่ยวต่อไป ทัวร์คอนเสิร์ตตัวเอง ฯลฯ


เหมือนว่าวงก็อยาก แต่ Damon นั่นแหละ ไม่เอาด้วย


อิตาบ้า Damon คะ
อยากจะบอกว่า..


จริงๆน่ะ ตรูไม่ได้อยากฟัง Gorillaz ห่าเหวววววว หรือวงบ้าบออะไรของคุณไปมากกว่า Blur อัลบั้มใหม่เลย
สตูดิโออัลบั้มน่ะ  อยากได้ เข้าใจไหม
ทำแบบไหนมา ก็จะฟัง


     เหตุผลที่พวกเขาควรจะทำอัลบั้มใหม่ที่สุด คือ ในเมื่อ Graham อุตส่าห์กลับมา ย้ำ! กลับมาหลังจากเจ็ดปี มันเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ที่ไหนกัน แล้วพวกเขาจะไม่ให้ความสำคัญกับการกลับมาของ Graham เชียวหรือ


ขออภัยถ้าเป็นการล่วงเกินคุณ Damon เกินไป เพราะฉันรู้สึกเจ็บใจเล็กน้อย


ยิ่งเมื่อได้ดู trailer No Distance Left To Run แล้ว ยิ่งกว่าจะรู้สึกอกแตกตายให้ได้เสียอีก



     หนังสารคดี No Distance Left To Run คือเรื่องเกี่ยวกับการรียูเนียนที่ผ่านมาของวง หนังกำกับโดย Dylan Southern และ Will Lovelace จะเข้าฉายที่อังกฤษแบบจำกัดโรงในวันที่ 19 ม.ค. 2010 โดยจะเปิดตัวครั้งแรกที่ โอเดียน เลสเตอร์ สแควร์ กรุงลอนดอน ซึ่งแน่นอนว่า Blur คงไปปรากฏตัวด้วย (ขอให้ทั้งวงเถอะ)



Trailer




ด้วยความสัตย์จริง ตอนช่วง The Universal ดูแล้วน้ำตาไหล


     ความเป็นไปได้ที่ No Distance Left To Run จะได้ฉายในไทยมันเท่ากับการที่ลิเวอร์พูลจะได้แชมป์ลีก ถึงจะออกดีวีดีมา (ซึ่งไม่รู้ตอนไหน) ก็ต้องรอไปอีกพักนึง ซึ่งนั่นมันของที่โน่น แต่ของแผ่นไทยล่ะ? Warner Music ผู้รวดเร็วกว่าเต่าประมาณสองคืบจะทำหรือไม่? ตอนไหน? เมื่อไหร่?


     จริงๆ ตอนแรกที่เห็นข่าวหนังนี้ ฉันกลับเกิดอาการอีกแล้วว่า “จะทำทำไม?”
     ประกอบกับอาทิตย์ก่อน ฉันไปฆาตกรรมเงินในกระเป๋า (ที่ไม่ค่อยมี) ของตัวเอง ณ ร้านโดเรมี อันทำให้ไปป๊ะกับไอ้แผ่น All The People: Blur Live at Hyde Park จนสุดท้ายก็ชั่งใจและจัดการมาเป็นกรรมสิทธิ์ในที่สุด


แล้วมันก็ยิ่งทำให้ฉันเกลียดวงนี้ขึ้นไปอีก


     ในภาวะใกล้สิ้นปี กระเป๋าแฟบและกินแกลบ มันยังกล้าเจียดตังค์ไปซื้อแผ่นอันนี้มาด้วยราคา 900 บาท ซึ่งนอกจากจะน้ำตาไหลพรากด้วยความตื้นตันที่ยอมเป็นผู้เสียสละสอยแผ่นนั้นลงมาจากกระจกแล้ว ยังทำให้สมดุลเงินค่าใช้จ่ายของฉันแทบบรรลัย และทำลายความตั้งใจแต่แรกที่จะสอยแผ่นอื่นๆไปอีก

     ก่อนหน้าก็ไม่คิดว่าป้าแกจะเอามาขาย และไม่คิดจะสั่งแผ่นอิมพอร์ตเหมือนกัน เพราะไม่อยากได้ ความรู้สึกเหมือนตอนซื้อ Midlife คือ ทำมาทำไม ไม่อยากได้ ไม่อยากได้ เข้าใจมั้ย? ที่อยากได้น่ะคืออัลบั้มใหม่ ทำมันออกมาให้ฟังได้มั้ย ฮะ?


อยากเอาไปปาหัว Damon ให้รู้แล้วรู้รอด เพราะทำมาทำไมแค่แบบซีดีไลฟ์
ฉันไม่ได้อยากฟัง
ฉันอยาก “ดู”
จะปั๊มเป็นดีวีดีเลยนี่มันยากไปหรือ?

     อย่างไรก็ดี การได้ฟัง All The People: Blur Live at Hyde Park ด้วยหูอย่างเดียว คือความบรรเจิดยิ่งแล้วในชีวิตของคนที่ไม่มีปัญญาไปอยู่ ณ  ที่นั่น ตอนนั้นได้




ขออภัยมาก ฉันจะไม่รีวิวมัน เพราะไม่มีอะไรจะเขียนถึง ไม่มีเลย พยายามไปหาคลิปจาก youtube ประกอบการฟังก็ไม่มีอะไรมาก

มีเพียงรูปแปะประกอบ เป็นภาพของวันที่ 2 ก.ค. เครดิตจาก NME.com
(ที่ไฮด์ พาร์ค พวกเขาเล่นสองวัน 2 และ 3 ก.ค. เช่นเดียวกับอัลบั้มที่ทำมาสองแบบ ของวันที่ 2 และ 3 ที่ฉันได้ฟังเป็นของวันที่ 3)




Damon กับสองวันติดกัน ณ ไฮด์ พาร์ค กรุงลอนดอน เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่วงกลับมาเล่นด้วยกัน โดยเฉพาะกับการกลับมาของ Graham Coxon (ไม่รวม This Is A Low ในงาน NME Awards ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปีที่ Damon และ Graham กลับมาเล่นบนเวทีด้วยกัน)




ก่อนร้องเพลง Out Of Time Damon บอกว่าไฮด์ พาร์ค เป็นสถานที่สำคัญพิเศษสำหรับเขา เพราะมีส่วนสำคัญในการเป็นที่เดินขบวนต่อต้านสงคราม(อิรัก) เมื่อปี 2003 และเขาเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย




เขายังตอกย้ำความสำคัญของไฮด์ พาร์คไปอีกว่า เพลง Parklife ได้ความคิดมาจากที่แห่งนี้เอง Damon เคยอาศัยอยู่ในถนนเคนซิงตันเชิร์ช แล้วเฝ้ามองดูนกพิราบ ผู้คน และสิ่งต่างๆ แถวนี้




วงเริ่มเล่นด้วย She's So High และปิดท้ายกับ The Universal ในวันแรก (2 ก.ค.) Damon บอกว่า "จริงๆเลยนะ ผมไม่รู้เราจะทำแบบนี้อีกได้ยังไงในวันพรุ่งนี้"




นอกเหนือจากเพลงฮิตๆ Beetlebum, Country House หรือ Tender วงยังเล่นเพลงที่ไม่ได้ฟังกันบ่อยอย่าง Oily Water และ Death Of A Party ด้วย



หลังจบ This Is A Low พวกเขากลับมาอังกอร์ด้วยเพลงประจำ เช่น Popscene, Song 2 ฯลฯ




ก่อนจะเล่น Popscene Damon กล่าวว่า "เรารู้สึกว่าได้สิทธิพิเศษกันจริงๆ ที่ได้มาเล่นที่นี่ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรกันเลยมาหลายปี.. เหลือจะเชื่อเลย เหลือจะเชื่อจริงๆ"



Setlist
แผ่น 1
1. She's So High
2. Girls And Boys
3. Tracy Jacks
4. There's No Other Way
5. Jubilee
6. Bad Head
7. Beetlebum
8. Out Of Time
9. Trimm Trabb
10. Coffee And TV
11. Tender


แผ่น 2
1. Country House
2. Oily Water
3. Chemical World
4. Sunday Sunday
5. Parklife
6. End Of A Century
7. To The End
8. This Is A Low
9. Popscene
10. Advert
11. Song 2
12. Death Of A Party
13. For Tomorrow
14. The Universal



     Blur จะมี re-reunion ไหม น่าสนใจยิ่ง


แต่เพราะ Damon ความคิดกระฉูด ทำงานโน่นนี่ไม่หยุดหย่อน
เพราะ Graham ยังคงขยันทำงานเดี่ยวของตัวเอง
เพราะ Alex ก็มีงานโปรเจ็คต์ตัวเองและรักการเขียนหนังสือ
เพราะ Dave สนใจไปเล่นการเมือง


     ดังนั้น มาลุ้นกันว่าระหว่างการที่ Blur ตัดสินใจทำอัลบั้มใหม่  กับ James Cameron สร้าง Avatar ภาคสอง อะไรจะสำเร็จก่อนกัน


(โปรดตำหมากรอไปพลางๆ  นะจ๊ะ)


*หมายเหตุ
     อนึ่งคือ จขบ. ได้จัดทำแคมเปญ ..รู้สึกจะพูดหรูหราเกินเหตุ จริงๆ ก็เป็นแค่กลุ่มในเว็บ last.fm ที่ชื่อ “ตรูต้องการอัลบั้มใหม่ Blur” ไว้ เป็นการกระทำที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดทั้งนั้น แต่ฉันก็ทำไปงั้นๆ เพราะต้องการมัน หากคุณมีจุดหมายหรือความต้องการร่วมกัน เชิญร่วมเป็นสมาชิกได้ที่
We Want A Blur’s New Album




เว็บ stereogum ทำ mashup เพลงปีนี้ได้เจ๋งมาก


ฉันชอบ Pina Horchata

ลองฟังดู





เรื่องสุดท้าย เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันชักดิ้นชักงอและเกือบหัวใจวายตายเมื่อรู้ข่าว British Sea Power live in BKK แล้ววันที่ 14 ก.พ. ปีหน้า จะเป็นวันที่ฉันมีความสุขมากที่สุดของปี!


รัก BSP Smiley








 

Create Date : 28 ธันวาคม 2552    
Last Update : 28 ธันวาคม 2552 22:28:40 น.
Counter : 1245 Pageviews.  

The Killers Live from the Royal Albert Hall | The Bravery - Stir the Blood | Apparatjik

The Killers Live from the Royal Albert Hall



[***Spoiler Alert*** ]






     เกาะอังกฤษและเหล่าบริติชชนเคยอ้าแขนรับ The Killers อย่างอบอุ่นเมื่อครั้งที่ Hot Fuss อัลบั้มแรกของพวกเขาออกมาสร้างซาวนด์อังกริ๊ด อังกฤษกระทืบหูคนฟังให้ฉงนว่าบิดามารดาวงนี้มันคืออังกฤษหรือไร แม้นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ The Killers จะได้ขยับสถานะตัวเองขึ้นมาเป็นหนึ่งในวงที่ประสบความสำเร็จระดับโลกและโด่งดังมากกว่าเดิม อ้อมกอดเดิมๆของชาวอังกฤษก็ยังคงอยู่ แถมยิ่งอ้าแขนกางกว้างๆยินดีต้อนรับพวกเขามากกว่าเดิมเสียอีก


      เพียงแต่ว่าไม่ใช่แค่แฟนๆ ลอนดอนเนอร์เท่านั้นหรอกที่จะได้รับความอิ่มเอมจากการแสดงสดของวงดนตรีที่พวกเขาหลงใหลไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ณ Royal Albert Hall สุดยอดสถานที่แห่งความอลังการ อบอวลด้วยมนต์ขลังแห่งความเก่าแก่ และเสน่ห์ที่ยิ่งกว่าการเป็นฮอล์คอนเสิร์ตธรรมดา แฟนๆผู้ปวารณาตนเป็น “เหยื่อ” (victims) หรือสาวกของ The Killers เดินทางมาจากทั่วสารทิศ ทั้งสเปน ออสเตรีย มอนเตเนโกร เยอรมนี ฯลฯ บางคนกระทั่งโดดงาน ลางานมาเพื่อค่ำคืนแห่งความทรงจำนี้


     น่าแปลกว่ากระทั่งคนบางคนแถวนี้ซึ่งไม่ได้เป็นหนึ่งในฝูงชนที่นั่นกลับทำตัวและมีความรู้สึกราวกับว่าได้ไป Royal Albert Hall มา หลังจากได้ทัศนาดีวีดี The Killers Live from the Royal Albert Hall จบลง


     ใช่ มันกระชากพลังงานในฉันร่างกายไปหมดสิ้น เพราะลีลาประกอบการดูของฉันทั้งการแหกปากร้องเพลง กระโดดโลดเต้น กระทืบเท้า ปรบมือ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ทำให้ฉันอยู่ในฝัน


ฝันว่าได้ดูมันเล่นสดที่นั่น


    นั่นคือสิ่งดีซึ่งควรจะเป็นสำหรับครั้งแรกของดีวีดีไลฟ์ที่ The Killers ทำออกมาให้ผู้ชมผ่านหน้าจอรู้สึกได้ ด้วยการโปรดิวซ์โดย Jim Parsons การกำกับของ Dick Carruthers คนเดียวกับที่ทำดีวีดี The Who Live at the Royal Albert Hall เช่นเดียวกับฝากฝีมืองานดีวีดีไว้กับอีกหลายๆวง อาทิ Keane, Oasis, Kaiser Chiefs หรือ The White Stripes


      มุมมองของ Royal Albert Hall ได้รับการนำเสนออย่างมีชั้นเชิงน่าดู เปิดเผยความงดงามของสถานที่และสร้างความรู้สึกตื่นเต้นได้ตั้งแต่เปิดตัว เสียงเพลง Enterlude ดังแว่วมา พร้อมกับการค่อยๆนำผู้ชมผ่านทางเดินยาวไปพบเจอกับเจ้าของเสียงร้อง ก่อนที่ความมันส์ของจริงจะปรากฏเมื่อภาพความพร้อมของวงซึ่งอยู่ข้างหลังเวทีและภาพการตั้งตาคอยของฝูงชนข้างนอกเวทีค่อยๆเริ่มกระหึ่มขึ้นมา


     พื้นเวทีลายม้าลายกับต้นปาล์มคืออุปกรณ์ประกอบเวที ซึ่งจะเพื่อให้เข้ากับแจ็คเก็ตขนนกของ Brandon Flowers หรือไม่ก็ตาม แต่ Human ก็สร้างความเร้าใจและบรรยากาศดิสโก้ในเพลงแรกพร้อมเสียงแหกปากกรีดร้องและการเต้นกระหึ่มยิ่งกว่านักเต้นของผู้ชม ซึ่งน่าสงสัยเหลือเกินว่าตกลงมันเป็นมนุษย์หรือเป็นนักเต้นกันแน่? (ตรูก็ยังไม่รู้อยู่ดี!!)


     แต่แน่นอนว่า This Is Your Life คือเพลงสำหรับบรรยากาศนอนเล่นโอบกอดต้นปาล์มเป็นที่สุด ด้วยซาวนด์อันน่ารักน่าชังและความคึกคักเปื้อนรอยยิ้มยังคงอยู่ในเพลงบรรยากาศสดใส ก่อนจะเปิดความมันส์ในเพลงฮิตเก่าๆ Somebody Told Me ทั้ง Brandon, Dave, Mark และ Ronnie ระเบิดความร้อนระอุให้เวทีเต็มที่ และคนดูต่างตอบรับกันอย่างเมามันส์ For Reasons Unknown ที่ Brandon เล่นเบสและ Mark ไปเล่นกีต้าร์ ก็ยิ่งเพิ่มความสนุกสนาน เมื่อ Brandon ถามไถ่คนดูว่าเคยรักใครบ้างไหม แล้วก็พูดคุยต่อไปเรื่องหวานเลี่ยนๆ แต่ก็เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากสาวๆได้ (“As easy as the way a beautiful English girl’s hair falls across her shoulder”) จากนั้นช่วงเวลาที่ประทับใจคือการเพิ่มท่อน “โอว้ โอววววว” ร่วมกันทั้งคนร้องและคนดู นับว่าเป็นอีกหนึ่งในเพลงที่คุ้มค่าการเล่นสด


      ต่อมาคือสามเพลงจาก Day & Age The World We Live In, Joy Ride และ I Can’t Stay (เสียงแซกโซโฟนอันเย้ายวน) ต่อด้วย Bling (Confessions of a King) ที่ Brandon รีบทิ้งเวทีวิ่งหนีไปเข้าห้องน้ำ เอ๊ย! ไปที่ระเบียงเพื่อร้องและพบปะประชาชน ตามด้วยไปเอางานคัฟเวอร์ Joy Division สุดเลิศ Shadowplay มาร้องอีกครั้ง และ Smile Like You Mean It ก็ทำหน้าที่ของมันได้ไม่มีที่ติ


      กลับมาที่ Day & Age อีกสามเพลงรวด Losing Touch ด้วยการประสานเสียงกับลวดลายของแซกโซโฟนงามๆ และความสุดยอดของเพลงไลฟ์ที่ Spaceman ยังคงกินขาด ลีลาการเหวี่ยงของ Brandon และ “โอๆ โอ่ โอๆ โอ่ โอ๊ โอ๋ โอๆ โอ่ โอๆ โอ่ โอ๊ โอ๋” เรียกหงาดเหงื่อและพลังงานร่างกายได้เสมือนหนึ่งเอเลี่ยนมาจับตัวคุณไปจริงๆ ขณะที่ A Dustland Fairytale ก็มีทีเด็ดตอนท้ายเพลง


      เพลงที่เหลือทั้งหมดคือเพลงฮิตแตกสมัยอัลบั้มเก่าก่อน เริ่มที่ Sam's Town ในเวอร์ชั่นใหม่ ต้องเรียกว่าคือเป็นแบบ Abbey Road Version ใน Sawdust ที่บวกกับเสียงแซกฯมาผสมโรง พ่วงด้วยไวโอลิน นี่คือเวอร์ชั่นอันบรรเจิดสุดของ Sam’s Town ในบรรดาทั้งหลายทั้งปวง และไม่ให้หายใจหายคอ Read My Mind, Mr. Brightside, All These Things That I've Done ขนขบวนกันมาต่อแถวกระชากอารมณ์  สามเพลงถูกใจจี๊ดติดกันเยี่ยงนี้ ลงไปนอนตายชักดิ้นชักงอตอนนั้นก็ยังได้


     ก่อนร้อง Mr. Brightside Brandon ย้อนความหลังไปเมื่อเจอเพลงนี้ในคาสเซ็ตต์ที่ Dave ทำ ขณะเมื่อทั้งสี่ยังเป็นแค่ “lost souls” จากลาสเวกัส แต่นั่นก็ก่อนหน้าที่เพลงนี้จะมากระหึ่มเวทีในแบบนี้ได้ แบบที่ต่อกันมาทันที ในที่สุด ท่อน “I got soul, but I’m not a soldier” ก็ได้ร้องกันสนั่นลั่นฮอลล์  แล้ววงก็กลับไปและท้ายสุดกลับมาอังกอร์ด้วย Sweet Talk, The River Is Wild, Bones, Jenny Was A Friend Of Mine ท้ายสุดของโชว์ คือ When You Were Young กับผลุดอกไม้ไฟ


เชื่อเถอะ ดูจบนี่แล้วเหนื่อยจริงๆ...


     ด้วยบรรยากาศอันใกล้ชิดและมุมกล้องแนบแน่น ทำให้เราสัมผัสได้จริงๆถึงคนดูที่พร้อมเทใจให้วงในทุกเพลงที่พวกเขาแสดง ทุกท่อนที่พวกเขาร้อง ทุกท่วงท่าลีลาที่พวกเขาพาฝูงชนสนุกสนาน ความสุขจากทุกรอยยิ้ม และมุมมองจากเวทีเองก็คือการเอนเตอร์เทนที่น่าตื่นตาตื่นใจ การถ่ายและมุมกล้องไม่ได้แปลกพิสดาร มีลีลาอะไรมาก ไม่ได้มีอะไรชวนเวอร์ มันจึงออกมาง่ายแต่มีประสิทธิภาพและดูแล้วได้บรรยากาศหลักทั้งหมด


     ตอนท้ายสุดจริงๆ คือ การร้องกันทั้งวงของ Exitlude และกล้องก็เตร็ดเตร่ออกไปภายนอกฮอลล์กระทั่งจับเอาภาพบรรยากาศถนนภายนอกและท้องถนนของกรุงลอนดอน


รายชื่อเพลงที่เล่นสดจากดีวีดี
1 Human
2 This Is Your Life
3 Somebody Told Me
4 For Reasons Unknown
5 The World We Live In
6 Joy Ride
7 I Can't Stay
8 Bling (Confession of a King)
9 Shadowplay
10 Smile Like You Mean It
11 Losing Touch
12 Spaceman
13 A Dustland Fairytale
14 Sam's Town
15 Read My Mind
16 Mr. Brightside
17 All These Things That I've Done
18 Sweet Talk
19 This River Is Wild
20 Bones
21 Jenny Was a Friend of Mine
22 When You Were Young
บวก Interlude, Exitlude

Extras ของดีวีดีประกอบไปด้วย
- Behind-the-Scene Documentary Including Interviews with Crew and Fans
- Bonus Festival Performances ไลฟ์จากเทศกาลอื่นๆที่วงแสดง (จากลอนดอนทั้งนั้น)
Tranquilize ที่ Oxegen
Human ที่ Hyde Park
Mr. Brightside ที่ Hyde Park
Smile Like You Mean It ที่ V Festival
When We Were Young ที่ V Festival
- Fan’s Eye View

*อื่นๆ*
- ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าผู้จัดการเวทีของคอนเสิร์ตนี้อายุแค่ 19 ขวบ
- ทีมงานเขามีแต่ฮาๆ น่ารักดี
- มีเซ็นเซอร์คำหยาบ บีปๆๆๆๆ เต็มเลย เซ็ง
- กรี๊ดดดดดดดดดด Tim Burton ก็มา จะมากำกับเอ็มวีเจ๋งๆให้วงอีกสักทีไหมหนอ


รายชื่อเพลงไลฟ์จากออดิโอซีดี
Human
This Is Your Life
Somebody Told Me
The World We Live In
I Can't Stay
Bling (Confessions Of A King)
Shadowplay
Smile Like You Mean It
Losing Touch
Spaceman
A Dustland Fairytale
Sam's Town (Acoustic)
Read My Mind
Mr. Brightside
All These Things That I've Done
Jenny Was A Friend Of Mine
When You Were Young


*หมายเหตุ*
ปีนี้ The Killers มีคริสต์มาสซิงเกิ้ลมาเหมือนเคย คือ Happy Birthday, Guadalupe ซึ่ง feat. Wild Light และ Mariachi El Bronx จะ release 1 ธ.ค. และเห็นว่าจะมี EP ที่มาพร้อมกับคัฟเวอร์ Hotel California (ซึ่งด้วยความเคารพว่าได้ยินแล้วค่อนข้างรับไม่ได้เท่าไหร่)


ตัวอย่างเพลง Happy Birthday, Guadalupe (ฟังแล้วต่อด้วย Hotel California ที่คัฟเวอร์นี่จะไปด้วยกันดีมาก)






The Bravery – Stir the Blood [1 ธ.ค. 09]





      ไม่ได้คาดหวังหรือตั้งตารออัลบั้มนี้มากมายอะไร หากว่าเดือนก่อนไม่ไปได้ยินเพลง Slow Poison เพลงซิงเกิ้ลใหม่จากอัลบั้มที่สามของพวกเขา ซึ่งฟังดูผ่านๆ ก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่กลับสร้างให้อารมณ์คึกคัก โดยเฉพาะท่อนฮุคชวนโยกและเสน่ห์ของเพลงที่ชวนร้องตามได้ไม่เคอะเขิน


      ภาพรวมอัลบั้ม แม้จะยังลบภาพการเป็นวงวัดรอยเท้า Franz Ferdinand, The Killers, Editors หรือ Interpol ไม่ออก นั่นคือปัญหาที่วงยังเผชิญอยู่ กับการหยิบยืมโน่นนี้จากวงอื่นๆมา สไตล์การร้องแบบ The Cure หรือ New Order ของ Sam Endicott ถูกนำมาผสมด้วยซินธ์ที่มากขึ้นกว่าเดิมกับเพลงในบรรยากาศการาจ ซินธ์ร็อค ซาวนด์แบบ new wave ที่หลายแทร็กฟังยังไงก็ซ้ำซากแบบวงรุ่นเก๋าก่อนหน้าบวกกับวงเพื่อนร่วมรุ่นอื่นๆ แต่เพลงยังฟังได้บันเทิงอารมณ์ และพบมุมน่ารัก เก๋ๆได้บ้าง จังหวะเร่งเร้าแบบเต้นกระหึ่มฟลอร์แบบ I Have Seen the Future เพลงร้อนแรงอย่าง Hatefuck จังหวะจะโคนของกลองอันหนักแน่นของ The Spectator และ Jack-O-Lantern Man ที่มีซินธ์อันโดดเด่น แถมยังขยับแข้งขาโยกย้ายตามได้อีก การปรุงแต่งกลิ่นไซคีเดลลิคในเพลงอย่าง Sugar Pill และ She’s So Bendable ยังขาดความลงตัวและพยายามมากไป แต่ก็ไม่มีอะไรเลวร้ายหรือฟังแล้วโลกจะแตก


     ฟังแล้วพวกเขาพัฒนาไปได้มากกว่าอะไรแบบ The Sun And The Moon แต่หากอยากสรรหาความแปลกใหม่วิเศษอลังการ เพราะหูเบื่อกับแนวดาดๆเทือกนี้แล้วล่ะก็ จงมองข้ามอัลบั้มนี้ไปได้เลย แต่อยากให้หูเบื่ออีกเพราะใจรักสดับจะฟังเพลงคึกคัก ติดหูง่ายก็คงไม่ผิดหวัง
The Bravery พยายามหาเอกลักษณ์ของตัวเองมาถึงสามอัลบั้ม ดูเหมือนครั้งพวกเขาจะดิ้นรนจนหามันเจอในที่สุด Stir the Blood ไม่ใช่การสร้างความก้าวหน้าในวงการโพสต์พังค์ แต่ภายใต้ร่มเงาของตัวเอง The Bravery ยังมีที่ยืนให้พวกเขาเองอยู่พร้อมเพลงสนุกสนาน และการยืนยันความสามารถที่มีไม่ด้อยกว่าวงอื่นๆซึ่งดันโด่งดังโสภากว่าพวกเขาเองเท่านั้น



รายชื่อเพลง
1) Adored
2) Song For Jacob
3) Slow Poison
4) Hatefuck
5) I Am Your Skin
6) She’s So Bendable
7) The Spectator
8) T Have Seen The Future
9) Red Hands And White Knuckles
10) Jack-O’-Lantern Man
11) Sugarpill



เพลงแนะนำ: Slow Poison







Apparatjik




Apparatjik คือซูเปอร์กรุ๊ปที่รวบรวม Guy Berryman มือเบส Coldplay Magne Furuholmen มือคีย์บอร์ดและกีต้าร์ของ a-ha Jonas Bjerre แห่ง Mew กับ Martin Terefe ...ใครฟะ?!? เอ่อ เขาก็คือโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงชาวสวีดิชที่มาอยู่อังกฤษและเคยร่วมงานกับ KT Tunstall, Ron Sexsmith หรือ a-ha เองด้วย ก่อนหน้านี้ Apparatjik เคยทำเพลงธีมให้ซีรี่ส์ Amazon ของช่อง BBC2 มีเพลงอย่าง Ferreting ที่อยู่ในอัลบั้มการกุศล Songs for Survival มาแล้ว


     ชื่อวงอ่านออกเสียงว่า ap•pa•ra•tchik เป็นภาษาสวีเดนของคำว่า apparatchik  ซึ่งหมายถึงสมาชิกหรือสายลับขององค์กรคอมมิวนิสต์
ตอนนี้วงกำลังอยู่ในช่วงทำอัลบั้มแรกที่พวกเขาบันทึกเสียงที่สตูดิโอของ Magne ที่นอร์เวย์ ก่อนหน้านี้มีเพลงหลายเพลงปล่อยออกมาทางอินเตอร์เน็ต เช่น Snow Crystals, Frozen Fingers, Flum, Self Torturers หรือ 4Could Keep aSecret If3Of Them Were Dead รวมทั้ง Electric Eye ที่จะเป็นซิงเกิ้ลแรกในอัลบั้มใหม่ซึ่งสามารถโหลดฟรีที่ เว็บวง ได้ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. เป็นต้นไป


     บางเพลงของวงคาดว่าเสียงร้องน่าจะมี Guy ด้วย เพราะฟังแล้วไม่ใช่เสียง Jonas หรือ Magne แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังยืนยันไม่ได้ว่าเพลงทั้งหลายนั่นเป็นเสียงของใคร รวมถึงsample ของ Electric Eye ที่ออกมานั่นด้วย จึงได้แต่คาดเดากันไปจนกว่าจะได้ฟังเต็มๆหรือได้รับการยืนยันจากวงเอง



ข้อมูลประกอบการเขียนนำมาจากเว็บวง
ฟังเพลงอื่นๆ
myspace
youtube








 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2552 18:37:02 น.
Counter : 1216 Pageviews.  

New Moon OST (ft. The Killers, Muse, Thom Yorke, Editors, Grizzly Bear, Death Cab For Cutie, etc.)

** คำเตือน: ข้อเขียนนี้เปี่ยมล้นด้วยความคิดเห็นส่วนบุคคลและอคติ โปรดด่าเจ้าของบล็อกประกอบการอ่าน หากไม่ถูกใจฉันใด **


 


ช่วงนี้เวลาเข้าโรงภาพยนตร์ ฉันจะทำเป็นหาเรื่องเข้าโรงช้าตามเวลาฉายหน้าตั๋วไปสัก 5 นาที 10 นาทีเสมอไปทุกครั้ง เพื่อจะได้ไม่ต้องเจอะเจอกับเทรลเลอร์ของโคตรสุดยอดอภิมหากาพย์ภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ยักษ์ภาคต่อที่สาวๆวัยรุ่นทั่วโลกต่างรอคอย


 ฉันยังไม่ขอเอ่ยชื่อว่าเป็นเรื่องอะไร แค่บอกใบ้ให้นิดนึงว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักอันสุดแสนหวานโรแมนติคของแวมไพร์หนุ่มเซ็กซี่หล่อลากตับขยี้ใจเด็กสาวให้ละลายกับมนุษย์สาวคนนึง สร้างมาจากนิยายอันโด่งดังสะเทือนโลกของนักเขียนหญิงนามย่อ ส. นามสกุล ม.


ในเมื่อภาพยนตร์ดังกระหึ่มทั่วโลกมากมาย เพลงประกอบจึงต้องได้รับความสนใจเป็นธรรมดา


แล้วการที่เพลงได้เข้าไปอยู่โลดแล่นบนแผ่นฟิล์ม ผลพลอยได้ที่ตามมาคือ การเข้าไปสังวาสในวัฒนธรรมป็อปหรือเป็นที่รู้จักของคนส่วนมาก หรือการได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น


ซาวนด์แทร็กดีๆควรจะคู่กับภาพยนตร์ดีๆ มันเป็นสมการที่น่าสมบูรณ์แบบ


เหมือนที่ครั้งนึง Zach Braff เคยทำให้ Garden State มาแล้ว


แต่บางครั้งสมการนี้ก็พิการ เช่นกับกรณีของ Wicker Park


เรื่องการได้รับความสนใจมากขึ้น ลองดูตัวอย่างกับ Garden State อีกที กรณีนี้เห็นได้ชัดมาก


The Shins คงอยากวิ่งไปหอมแก้ม Natalie Portman เป็นที่สุด จากฉากที่นั่งรอในโรงพยาบาลกับ Zach Braff แล้วเธอแนะนำวงให้เขารู้จักพร้อมกับให้ฟังเพลง New Slang (อันเป็นฉากที่บรรเจิดที่สุดในหนัง)


หนังเกี่ยวกับแวมไพร์ที่กำลังจะเข้านี้ มันจะดีหรือไม่ดี ฉันไม่รู้


หนังก็ยังไม่เข้า หนังสือฉันไม่เคยอ่านหนังสือ ไม่เคยดูภาคก่อนหน้า ความจริงคือไม่เคยคิดจะดู แต่ฉันใช้สติปัญญา (ซึ่งอยู่บริเวณหัวแม่เท้าข้างซ้ายของฉัน) บอกว่าอนุโลมให้ใช้คำว่า “ห่วยและปัญญาอ่อน” กับหนังตระกูลแวมไพร์พวกนี้ได้


อย่างไรก็ดี มีอย่างนึงที่แน่นอน คือ ซาวนด์แทร็กภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวทำออกมากดีมาก และเผลอๆดีเกินกว่าการจะไปเกี่ยวพันกับหนังแบบนี้


นอกจากรู้ว่า Muse ยอมสละ Super Massive Blackholes ไปให้ภาคก่อนหน้าแล้ว


อนุญาตให้เอาหัวไปจุ่มโอ่งได้หนึ่งที เมื่อได้รับทราบว่าศิลปินคนไหนบางที่จะมาทำซาวนด์แทร็กให้หนังเขา


(โชคยังดีที่ฉันยังคงไม่ได้ไปเอามีดมากรีดเอ็นหลังหัวเข่าฆ่าตัวตาย เพราะมี Coldplay ในนี้ ทั้งที่ก่อนหน้ามีข่าวลือหนาหูมากมายว่า Coldplay อาจเอาด้วย)


 


เพลงที่ถูกใช้เป็นเพลงนำและ release เป็นซิงเกิ้ลอย่าง Meet Me On The Equinox ของ Death Cab For Cutie ซึ่งต้องขอบคุณที่ Ben Gibbard ยังคงทำเพลงให้เป็น Death Cab แบบเดิม ถึงเพลงจะตั้งใจเขียนเพื่อหนังโดยเฉพาะ แต่ Death Cab ก็คือ Death Cab ของพวกเขาเองและแฟนๆอยู่ ไม่ใช่ Death Cab เพื่อ New Moon หรือ Stephenie Meyer แต่ไฮไลท์สำคัญคงอยู่ที่ ฯพณฯ Thom Yorke กับ Hearing Damage เขากลับเอางานบรรยากาศอิเล็กโทรในห้วงอารมณ์หม่นเศร้า ลอยในอวกาศมาอีกครั้งและไม่ผิดหวัง  Lykke Li กับแค่เปียโนและการคร่ำครวญใน Possibility ก็ให้อารมณ์ต่อเนื่องได้ดี


ขณะที่ Bon Iver กับ St. Vincent จับมือกันปล่อยของใน Roslyn เพลงกลิ่นโฟล์คอคูสติกขนลุก ลอยหลอน เพราะและซึ้ง เสียง St. Vincent เองยิ่งดูมีมิติมากขึ้นเมื่อเข้าคู่กันกับเสียงสูง เย็นของ Bon Iver กระทั่ง The Killers ยังทำเพลงมาแนวแปลกจากตัวจริง A White Demon Love Song คืองานชิ้นโบว์แดงกว่าบางเพลงในชุดล่าสุดด้วยซ้ำ จำ Goodnight, Travel Well จาก Day & Age ได้ใช่ไหม นี่คือภาคต่อในเวอร์ชั่นไม่เศร้าหมอง


 Editors กับเพลง No Sound But the Wind ยังเพราะกว่าเพลงที่เป็นซิงเกิ้ลแรกในอัลบั้มล่าสุดนั่นด้วยซ้ำ ส่วน I Belong to You ของ Muse ทำใหม่แล้วก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา เวอร์ชั่นในอัลบั้มก็ดีอยู่แล้ว ไม่ฟังก็ไม่เสียหาย เข้าใจว่าไปมิกซ์ใหม่ให้เหมาะกับตัวหนัง เลยต้องทำให้มันแย่ลง(?) แต่ที่สุดยอดเพลงอีกหนึ่งต้องยกให้ Slow Life ของ Grizzly Bear ที่มี Victoria Lagrand ของ Beach House มาร่วมแจม ในเมื่อมันออกมาอลังการและสวยงามแบบนี้น่าจะย้ายมาอยู่วงด้วยกันซะเลย


 


รายชื่อเพลง


Death Cab for Cutie - Meet Me on the Equinox
Band of Skulls - Friends
Thom Yorke - Hearing Damage
Lykke Li - Possibility
The Killers - A White Demon Love Song
Anya Marina - Satellite Heart
Muse - I Belong to You (New Moon)
Bon Iver & St. Vincent – Roslyn
Black Rebel Motorcycle Club - Done All Wrong
Hurricane Bells - Monsters
Sea Wolf - The Violet Hour
Ok Go - Shooting the Moon
Grizzly Bear - Slow Life
Editors - No Sound But the Wind
Alexandre Desplat - New Moon (The Meadow)


 


ความจริง กระแสฟีเวอร์ในหนังสือและหนังคุณภาพไม่ค่อยมีแบบนี้มันก็น่าแปลกและแสดงให้เห็นอะไรบางอย่างที่คนเรายอมให้ความเพ้อฝันมาครอบงำ


ส่วนในเมืองไทย ที่กระแสหนังเรื่องนี้บูมก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ มันก็คล้ายกับเหตุผลที่ว่าทำไมเรตติ้งละครน้ำเน่าหลังข่าวของโทรทัศน์ฟรีวีไทยยังคงสูงและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง


แต่เอาเป็นว่า วงและศิลปินเหล่านั้นที่มาทำเพลงให้ก็คงคิดถึงการแสวงหาฐานแฟนใหม่ (เด็กๆผ้หญิง) เหมือนที่ครั้งนึง Muse เคยได้ “fangirls” มา และเมื่อได้ใช้โอกาสทองกับหนังเฟรนไชส์ดังเปรี้ยงปร้างแบบนี้ การกอบโกยเอาไว้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก


ส่วนทีมสร้างหนังอาจคิดขึ้นได้ว่าในเมื่อหนังสือก็ห่วย หนังก็ห่วย งั้นไปให้เขาทำเพลงดีๆออกมากันเถอะ!



เพลงแนะนำ : Thom Yorke - Hearing Damage







 

Create Date : 10 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2552 1:27:09 น.
Counter : 699 Pageviews.  

Muse – The Resistance คือว่า...ยังไงล่ะ...


     เชื่อว่าคนที่เป็น Muser หรืออาจไม่ได้เป็น แต่ชอบดนตรีแบบ Muse จะมีอาการหนึ่งเกิดขึ้นระหว่างฟังเพลงของพวกเขา  ซึ่งฉันขออนุญาตเรียกมันว่า “การบรรลุ Muse” 


      และเพื่อไม่ให้ออกแนวเรตอาร์ ฉันจะไม่นำมันไปเทียบเคียงกับอาการถึงจุดสุดยอดทางเพศ เผื่อว่าลูกหลานเยาวชนไทยผู้อยู่ในยุคที่มีการจัดเรตภาพยนตร์ไปงั้นๆ (เพราะมันแค่เป็นการแนะนำ ไม่ใช่บังคับใช้) ด้วยกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ พ.ศ. 2552 แต่ก็ยังมีการหั่น ตัดหนังและยอมให้เด็กเข้าไปดู (แล้วจะมีไปทำไม) ในปัจจุบันเข้ามาอ่านบล็อกปัญญาอ่อนนี้


      แต่การ “บรรลุ Muse” ที่ว่านี้ ดุจดั่งสวรรค์ชั้นโอลิมปัสโอบล้อมเราไว้  ขณะที่สรรพสำเนียงแห่งดนตรีทิพยจากเทพีแห่งศิลปะและวิทยาการ (Muses ตามตำนานเทพปกรณัมกรีก) ขับกล่อมร่ายรำอยู่รอบกาย Apollo ที่เผอิญไม่ได้หยิบพิณมาพรมนิ้วบรรเลงอย่างที่ควร แต่กลับคว้าแมนสันกีต้าร์ แปลงกายเป็น Matt Bellamy มากระชากอะดรีนาลีนเหล่าเทพและเทพีชั้นฟ้าให้เพลิดเพลินมันส์อารมณ์ไปกับเพลงอวกาศระทึกตับ กระตุ้นหัวใจไตม้ามให้สะดุ้งสะเทือนด้วยอารมณ์อยากกรีดร้อง โหยหวนอย่างคิงคอง กระชากเสื้อตนเองจนขาดวิ่น และเปล่งเสียงครวญครางคล้ายๆว่า “โอวววว ไม่ไหวแล้ววววววววว อิ Muse” หรือเมื่อขณะที่เขาจรดนิ้วมือลงบนเปียโน พริ้มพรายเมโลดี้งามเงาเร้าจิตใจให้ไหวหวั่น กระทบกระเทียบความรู้สึกอ่อนไหวให้เคลิบเคลิ้มได้มิเสื่อมคลาย


นั่นคือความรู้สึกที่ฉันเป็นอยู่เสมอเวลาฟัง Muse และอธิบายได้เป็นอย่างดีว่าทำไมจึงต้องรักพวกเขา


แต่ในบางเวลา ฉันก็ชิงชัง Muse ด้วย
     ในภาวะอารมณ์พลุ่งพล่าน ฉันอยากจะไปเอาธนูจาก Artemis น้องสาวฝาแฝด Apollo มายิง Matt, Chris และ Dom ให้ด่าวดิ้นสิ้นใจตายกันไปสำหรับผลแห่งการกระทำต่อประเทศไทยเมื่อเดือน พ.ย. ปี 2007 หรือจาก HAARP ซึ่งประสบการณ์การดู 123,357,897 รอบ และฉันว่าจะเลิกดูในเร็วๆนี้ เพราะพวกเขาสามคนทำให้ฉันอยากทำการฆาตกรรมหมู่นักดนตรี ก่อนจะเอามีดกรีดตัวเองปวารวณาตนดับชีพให้ได้ไปเป็นหนึ่งในฝูงชนที่เวมบลีย์


และกับอัลบั้มล่าสุด The Resistance ของ Muse ฉันก็รู้สึกเช่นนั้น


แต่การฟัง The Resistance ของฉันค่อนข้างยากที่จะถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรได้ หากทำได้ก็อาจจะออกมาในราวๆนี้


#$^%&^*&(*()(+_*(&)*&fl♫♪♣♂╨╫○▓☺fl♂☼╪іỲбЮẄйЊЬЮвцΩ€₤₣•…▫˛źŴǼΘΚΜΟΟ^#@$^(*))_+)(&_½K๚£‚†๚£#$^%&^*&(*()(+_*(&*&fl♫♪♣♂╨╫○▓☺fl♂☼╪іỲбЮẄйЊЬЮвцΩ€₤₣•…▫˛źŴǼΘΚΜΟΟ^#@$^(*))_+)(&_½ΐžΌ&**^%%$%@#$@!##$@!#!$#%$%&_+@^%*__++()$%@#@!#@#$%$^I^#$^%&^*&(*()(+_*(&)*&fl♫♪♣♂╨╫○▓☺fl♂☼╪іỲбЮẄйЊЬЮвцΩ€₤₣•…▫˛źŴǼΘΚΜΟΟ^#@$^(*))_+)(&_½UITT$#RE$%T#$^%&^*&(*()(+_*(&)*&fl♫♪♣♂╨╫○▓☺fl♂☼╪іỲбЮẄйЊЬЮвцΩ€₤₣•…▫˛źŴǼΘΚΜΟΟ^#@$^(*))_+)(&_½RU((*_))(+*()QW#Q%$*&)_)(&)(&*(^&*^%&^%&€₤₣•…▫˛źŴǼΘΚΜΟΟ^#@$^(*))_+)(&_½ΐžΌ&**^%%$%@#$@!##$@!#!$#%$%&_+@^%*__++()$%@#@!#@#$%$^I^#$^%&^*&(*()(+_*(&)*&fl♫♪♣♂╨╫○▓☺fl♂☼╪іỲбЮẄйЊЬЮвцΩ€₤₣•…▫˛źŴǼΘΚΜΟΟ^#@$^(*))_+)(&_½UITT$#RE$%T#$^%&^*&(*()(+_*(&)*&fl♫♪♣♂╨╫○▓☺fl♂☼╪іỲбЮẄйЊЬЮвцΩ€₤₣•…▫˛źŴǼΘΚΜΟΟ


 ซี่งคงจะไม่มีใครเข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร


ฉันจึงต้องเสแสร้งขอออกตัวล่วงหน้าว่าที่จะเขียนนี้ไม่ไช่รีวิว แต่เป็นความรู้สึกอันข้นคลั่กที่มีต่ออัลบั้มนี้ ซึ่งการที่ร่ายยาวมั่วโอเวอร์แหลกอวยกันมาขนาดนี้ คงพอเดาได้ว่าฉันปลาบปลื้มกับ The Resistance มากมายแค่ไหน และมันก็ดีโคตรรรรจริงๆในสายตาและสายหูของฉัน



ความรู้สึกของฉันต่อ  The Resistance




แรงบันดาลใจจาก 1984 นิยายคลาสสิกเกี่ยวกับการเมืองของ George Orwell ปรากฏชัดตั้งแต่ในเพลงเนื้อหาเข้มข้นเรื่องการเมืองเพื่อต่อสู้กับอำนาจการปกครองเบ็ดเสร็จใน Uprising เมโลดี้คึกคักกระฉับกระเฉงสลับด้วยจังหวะปรบมือและเสียงเฮ้ๆๆชักชวนกระทืบเท้าเพิ่มไปด้วย เป็นเพลงที่น้ำเสียง Matt ร้องในโทนลึกล้ำและต่ำกว่าเพลงทั่วๆไปทำให้หลงลืมเสียงหอนๆไปชั่วขณะ โครงสร้างเพลงง่ายเกินเหตุและหันเหจากความเป็น Muse ดั้งเดิมแท้จริง ซิน์ในสไตล์ที่วงเองบอกว่ารับ Goldfrappe มาเต็มๆ แต่พวกเขาเสริมความแข็งแกร่งของเพลงด้วยเบสไลน์และเพอร์คัสชั่นเข้มข้น ก่อนที่ท่อนฮุคจะเป็นการกลับมาของ Matt Bellamy อันแท้จริง


--- You are victorious, Muse! ----



Resistance อินโทรตอนแรกเหมาะกับหนังเขย่าขวัญบ้านผีสิง ขัดกับการเปิดตัวต่อมาด้วยเสียงอันละเมียดของเปียโนสอดรับกับจังหวะกลองแถ่ดๆๆ แล้วการเข้ามากรีดกรายของกีต้าร์ก็ทำให้เพลงสมบูรณ์กินใจยิ่งขึ้นเข้าไป และโดยเฉพาะท่อนคอรัสอันจัยจิตทรงพลัง


“Love is our resistance
They keep us apart and they won’t stop breaking us down”


เพลงจบลงด้วยการกลับเข้าสู่บ้านผีสิงอีกครั้ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฉันบรรจุเพลงนี้เข้าสู่แทร็คโปรดในทันใดที่ฟังจบสมบูรณ์ครั้งแรก


Undisclosed Desires หลังจากทำใจไม่ให้เอาหัวไปจุ่มโอ่งฆ่าตัวตาย ฉันก็ค้นพบว่าอิทธิพล R&B ที่มาเยี่ยมเยียน Muse ครั้งนี้ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย แต่ก็เป็นเพลงอันดับสุดท้ายที่ฉันจะเลือกชอบในอัลบั้ม ลองคิดดูว่าหากเพลงนี้ไม่ใช่ของ Muse แต่เป็นเพลงที่โปรดิวซ์โดย Timbaland ร้องโดย Rihanna เพลงอาจขึ้นไปอยู่อันดับหนึ่งยูเอส บิลบอร์ดชาร์ต 17,604 สัปดาห์รวดก็ได้


United States of Eurasia (+Colateral Damage)  ช่างเรื่อง Queen เอาไว้ก่อน พูดกันมามากแล้ว เพราะนี่คือการ tribute ให้ Queen ซึ่ง Matt บอกว่าคือวงหนึ่งในเจนเนเรชั่นของแม่เขา (และจริงๆ ต้องบอกว่าเพลง Muse มีอิทธิพลของ Queen มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว) จุดเด่นของเพลงที่ดึงเอาสไตล์ตะวันตกและตะวันออกมารวมกัน มันอาจดูเหมือน Lawrence of Arabia ที่ทำ soundtrack โดย Queen แม้อาจไม่ดูเข้ากันอย่างอลังการและน่าประหลาดใจเท่า Knights of Cydonia เคยทำ หรือความขบขันเล็กน้อยที่ Matt ร้อง “sia sia sia sia” ด้วยพลังปากที่องอาจกล้าหาญ แต่เพลงสมบูรณ์แบบด้วย Chopin ในส่วนของ Colateral Damage เสียงพริ้วของเปียโนทำให้เพลงจบลงตัวและมาเข้าที่เข้าทางหลังจากฟังพลังแห่ง Eurasia ในส่วนไฮไลท์ของแทร็กไปแล้ว มหากาพย์ย่อยๆของอัลบั้มก็จบลงอย่างตรึงใจ


ถึงจุดนี้อัลบั้มได้ถูกรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยได้ที่ แล้วเมนูเด็ดต่อมาก็ถูกนำมาเสิร์ฟ Guiding Light คือเมนูเดิมที่คุ้นเคยอย่าง Invincible นำมาปรุงใหม่ให้ไฉไลกว่าเดิมด้วยเสียงคำรามของ Matt เสียงเบสโครกคราก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงโซโลกีต้าร์ เพลงจึงฟังดูบัลลาดแต่ในขณะเดียวกันก็มีความฮึกเหิมอลังการแห่งพลังเสียงซินธ์ที่กระเพื่อมเข้ามาเป็นระลอก


Unnatural Selection เริ่มต้นด้วยเสียงออร์แกนในตอนต้น กีต้าร์และเบสครวญคร่ำ กรีดครางอย่างดุดัน ขับเคลื่อนเพลงไปตามทิศทางการระเบิดของโสตกลอง Muse ยังคงเป็นมิตรกับดนตรีคลาสสิก ขณะเดียวกันก็เพิ่มความเหี้ยมเกรียมของจังหวะจะโคนให้แทร็คนี้เป็นหนึ่งในแทร็คที่หนักที่สุดในอัลบั้ม มีการเปลี่ยนอารมณ์เพลงอยู่หลายช่วงจังหวะ และให้อารมณ์ประหนึ่ง Muse ในเวอร์ชั่นเมทัลแบบกรายๆ


MK Ultra ยังคงหนักหน่วงขึ้นมาเรื่อยๆ และก่อนที่จะรู้ตัวก็ถูกพาเข้าไปสูร่างแหของการกระแทกกระทั้นอย่างเข้มข้นของกีต้าร์ ชวนให้ใฝ่ฝันถึง Museแบบเดิมๆที่คิดถึง


I Belong To You (+Mon Cœur S'ouvre à ta Voix) แจ๊ซ+วอลซ์แฝงด้วยความป็อปปี้น่ารักน่าชัง จังหวะโจ๊ะน่าประหลาดของเปียโนถูกเสริมด้วยเสียงเครื่องเป่า การร้องภาษาฝรั่งเศสของ Matt ในตอนท้ายชวนน่าขัน แต่ก็ช่างปะไร เข้าใจอารมณ์คุณ Matt เขาหน่อยก็แล้วกัน


แล้วก็มาถึงซิมโฟนีอลังการงานสร้างสามส่วน Exogenesis: Symphony เปิดตัวที่ Part I Overture เหมือน Radiohead โดนจับใส่ยานเอาไปท่องนอกโลกกับวงซิมโฟนีจากดาวอังคารที่มี Matt Bellamy เป็นคอนดัคเตอร์ เครื่องสายงดงามตามแบบโทนคลาสสิก แต่ที่เข้ากันได้กลมกลืนคือเสียงกีต้าร์ครางเข้ากันได้เพราะพริ้ง Matt ได้โหยหวนแบบถึงใจเป็นครั้งแรกในครานี้แล้ว


Part II Cross Pollination สรรพเสียงเปียโนพริ้มเพรานุ่มนวลกินใจไปก่อนในช่วงต้น จังหวะถูกเร่งเร้าขึ้นตรงกลางกับเสียงร้องจริงจัง ปิดท้ายด้วยเปียโนงดงามอีกครั้ง


Part III Redemption ไม่มีแทร็คไหนจะปิดท้ายความเป็นมหากาพย์ได้ดีกว่านี้อีกแล้ว การบีบอารมณ์ที่อาจทำให้น้ำตาซึมหรือหลับตาพริ้มอย่างสบายใจในช่วงแรกๆด้วยเมโลดี้งดงามเหนืออื่นใด  ร่างกายถูกนำพาให้มุ่งสู่บรรยากาศผ่อนคลายดุจดังสายลมเบาบางกำลังโอบไล้ผิวกาย ใจสะท้านด้วยเสียงร้องโหยหวนที่กล่อมเกลาความคมชัดให้ห้วงโน้ตทุกตัวดนตรี


ฉันไม่ได้ฝันไป
Muse กลับมาแล้วจริงๆ
และขอบคุณสำหรับ  The Resistance


เพลงแนะนำ: Resistance








 

Create Date : 15 กันยายน 2552    
Last Update : 15 กันยายน 2552 2:10:48 น.
Counter : 2513 Pageviews.  

Arctic Monkeys - Humbug : ใครว่ามันไม่โจ๊ะ?!? ... ก็แค่ช้าลง [และพวกเขาโตขึ้นแล้วนะ]


ขณะที่ฉันกำลังสัมผัสหูตัวเองให้กับ Humbug ด้วยความตื่นเต้นระคนรอมร่อจะง่วงอยู่นั้น ข้อความของโปรแกรมสนทนาผ่านอินเตอร์เน็ตจากเพื่อนคนหนึ่งก็โผล่เข้ามาสอบถามอาการและสรรพคุณอัลบั้มใหม่ของสี่หนุ่มขวัญใจวัยโจ๋จากเชฟฟิลด์ หลังจากที่เห็นฉันฟังเพลงในอัลบั้มนี้


ฉันทิ้งค้างข้อความนั้นไว้และไม่ได้ตอบกลับไปเป็นเวลาพักหนึ่ง ครั้งแรกฉันกำลังจะพิมพ์กลับไปแล้วด้วยซ้ำว่า มันน่าผิดหวัง น่าเบื่อ และโปรดลืมวงที่ชื่อ Arctic Monkeys แบบเดิมๆไปได้เลย แต่พลันนิ้วมือที่กำลังเริงร่ากระแทกแป้นคีย์บอร์ดก็ถูกทำให้ค้างชะงักไว้โดยห้วงความคิดภายใต้จิตสำนึกเล็กๆ ว่าแล้วฉันก็ทำเสมือนตนเองเป็นตัวละครในภาพยนตร์ สร้างแฟลชแบ็กให้กับตนเอง ปรากฏภาพขาวดำมึนทึมพร้อมเสียงประกอบก้องๆดังสะท้อนเป็นห้วงของบุคคลคนหนึ่งที่เคยบอกฉันไว้ว่า อย่ารีบตัดสินอัลบั้มหนึ่งใดว่ามันดีหรือไม่ดีเพียงแค่การฟังไม่กี่รอบ  แต่ได้โปรดให้เวลากับมันอย่างน้อยสักอาทิตย์และฟังให้ลึกซึ้งจริงๆแล้วค่อยประเมินค่ามันเถิด


เป็นเรื่องทั่วๆไปที่ใครก็ต้องทราบอยู่แล้วในการฟังเพลง เราไม่สามารถตัดสินอะไรโดยความคิดฉับพลันได้ ยิ่งการฟังทั้งอัลบั้มด้วยแล้ว มีอย่างที่ไหนที่จะไปด่วนทึกทักเอาว่านี่มันห่วย หรือเจ๋ง


ประสบการณ์ฉันก็เคยมีมาแล้วให้ได้เห็น


เพลานั้นฉันจึงตั้งกฎให้ตัวเองว่าจะยังไม่ออกความเห็นต่ออัลบั้มนี้จนกว่าตัวเองจะแน่ใจ
ฉันจึงส่งสารกลับเขาผู้นั้นไปว่า อย่าเพิ่งรีบไต่ถามเอาความเลยนะคะคุณ รอให้ดิฉันฟังไปอีกสักอาทิตย์ถึงจะด่า เอ๊ย! บอกได้ถูกจุดนะคะ
(จุดนี้แสร้งปรับภาษาให้สุภาพเกินกว่าความเป็นจริง เพื่อให้สามารถพิมพ์ลงบล็อกที่ไม่มีการจัดเรตได้)


ฉะนั้น ใครมีท่าทีมาถามในวันนั้นอันเป็นวันแรกที่ฉันได้ฟังอัลบั้ม ฉันก็จะฟาดงวงในทันใดว่า อย่าเพิ่งรีบมาถามกรูได้ม้ายยยยย


นอกจากจะเป็นการให้เวลาปรับสภาพจิตใจตนเองแล้ว ยังช่วยไม่ให้ตนเองหน้าแหกอีกด้วย
คือว่า เดี๋ยวเขาจะมาเอะใจ อ้าววว ตอนแรกพูดอย่าง มาเห็นอีกทีพูดอย่าง


ความรู้สึกครั้งแรกของฉันต่อ Humbug คือ ความผิดหวัง
คำสบถแรกของฉัน คือ เชี่ยยยยยแล้วไง!!!
และคนแรกที่ฉันอยากเอาปังตอไปสับให้แหลกคามือ คือ Josh Homme


แต่เนื่องด้วยความสามารถที่ฉันเป็นคนหลอกตัวเองเก่ง ฉันจึงเฝ้าบอกตัวเองให้ฟัง ฟัง และฟัง อัลบั้มนี้ต่อไป จนกว่าจะจับประประเด็นเข้าถึง Humbug ได้อย่างลึกซึ้งถ่องแท้


Humbug จึงอยู่เคียงข้างรูหูฉันไปทุกที่ ไหลหลั่งแทรกซึมเข้าไปทุกอณูแห่งอวัยวะ ว่างเมื่อไหร่คือต้องจับยัด
นี่ฉันลองมันมาแล้วแทบทุกเวลา สถานที่ ตั้งแต่ตื่นมาขยี้ตา ขณะกำลังแหย่แปรงสีฟันขึ้นลงในปาก ตอนที่เอาคุณอึ๊ออกจากรูตูด ตอนที่วิ่งขึ้นตึกไปเรียน ขณะรับประทานอาหาร หรือตอนก่อนเข้านอนก็สวดมนต์ภาวนาก่อนนอนฟังว่าขอให้ชอบอัลบั้มนี้ขึ้นเรื่อยๆสักที ฯลฯ


ตอนแรก ฉันกะไว้ที่หนึ่งอาทิตย์อาจสัมฤทธิ์ผล แต่มันดันไวนรกติดจรวดเพียงแค่สองสามวันเท่านั้นก็ทำให้ฉันประทับใจงานชุดนี้ในท้ายที่สุด


ในเช้าวันที่ฉันตื่นขึ้นมาขณะหูฟังยังประทับอยู่ตำแหน่งเดิมและเพลงจาก Humbug ก็เล่นไปเรื่อยๆนั้น (ปกติเป็นคนนอนหลับทั้งๆเพลงเปิดอยู่) เสมือนหนึ่งมีพญามารซาตานตนใดมากระชากหูแล้วดลใจให้ฉันชอบอัลบั้มนี้อย่างฉับไวและรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด มันแปลกประหลาดจนฉันยังเอะใจว่าเป็นความรู้สึกของฉันเองจริงๆหรือไม่ หรือเพราะ Humbug มันดีอยู่แล้ว เพียงแต่ฉันเพิ่งรู้สึกและค้นพบ หรือเพราะฉันบีบบังคับให้ตัวเองฟังมากเกินไปกระทั่งชอบเอาเอง?!?


ฉันพบว่าหลายแทร็กมีความพิเศษในแบบที่ฉันอยากค้นหาให้มากขี้นไปอีก โดยเฉพาะ Crying Lightning เพลงซิงเกิ้ลแรกที่สรุปแล้วฉันต้องใช้เวลานานกว่า 6 เดือนตั้งแต่ได้ยินครั้งแรก (แบบไลฟ์และสตูดิโอเวอร์ชั่น) และใช้แรงงานหูในการฟังไปเกือบร้อยรอบกว่าจะชอบได้แบบลึกซึ้งกินใจ


มีข้อแนะนำสำหรับผู้ชอบความโจ๊ะ สะเด่าดิบทรวงดั่งอดีตกาลของวงนี้ว่า ควรเปิดใจให้กว้าง และทิ้งความรู้สึกนี้ไปสักหน่อยก่อนฟังทั้งอัลบั้มจะเป็นผลดีอย่างยิ่ง
แต่อันที่จริง เชื่อว่าแฟนๆ Arctic Monkeys เมื่อทราบข่าวคราวการมาโปรดิวซ์ร่วมของ Josh Homme แห่ง Queens of the Stone Age หรือได้ฟัง Crying Lightning ไปแล้ว คงเตรียมตัวเตรียมใจไว้พอดู


การเปลี่ยนแปลงและเติบโตของพวกเขาหรืออิทธิพลและแนวทางของอัลบั้ม ก็มีข่าวมาอยู่เรื่อยๆ
ฉะนั้น การที่จะช็อคตาตั้งอกแตกตายกับการฟังงานใน Humbug จึงไม่อยู่ในวิสัยที่ควรจะเป็น
เว้นเสียแต่ว่า คุณจะเกลียด The Last Shadow Puppets แบบเข้ากระดูกดำเท่านั้น



ใน Humbug ส่วนแรกที่ต้องยอมรับคือ การขาดซึ่งความน่าตื่นตาตื่นใจ หรือสิ่งปลุกเร้าอารมณ์ให้กับอัลบั้มนี้มีเสน่ห์ตั้งแต่ครั้งแรกฟัง
อาจเป็นเพราะความไม่คุ้นชินกับดนตรีที่ช้าลงกว่าเดิม แม้อัลบั้มนี้เพิ่มความหนักหน่วงมากกว่าที่เคยทำมาของวง เสริมความมืด เนี้ยบ เงียบ งามสง่าในแบบผู้ใหญ่มากประสบการณ์ขึ้น เวลาได้บ่มเพาะให้พวกเขาเรียบเรียงดนตรีให้พิถีพิถันงดงามกว่าเดิม ลดความเร่าร้อนเมามันส์แบบเด็กวัยรุ่นอย่างที่เคยเป็น พ่วงกลิ่นไซคีเดลลิค ทิศทางที่น่าสนใจขึ้น และที่พัฒนาขึ้นไปอีกก็คือ เนื้อเพลงอันฉลาดหลักแหลมแฝงซึ่งอารมณ์อมยิ้มและความงง


ในแทร็กแรก My Propeller กลองกระหน่ำมาในช่วงอินโทรหลอกคนฟังว่ามันจะโจ๊ะได้แบบ Brianstorm แต่พอเพลงเปิดตัวเสียงแบบกำลังจะง่วงของ Alex Turner ก็ดุนดันคนฟังให้รีบถลาเข้าไปสู่อ้อมกอด Josh Homme ในทันใด


Crying Lightning เสียงเบสในโทนมืดมนที่ไม่ค่อยได้เห็นของวงเริ่มต้นสอดรับกันกับการกระแทกกลองเร้าใจของ Matt Helders ก่อนที่ Alex จะพาเสียงอันเกลี้ยงเกลากว่าเดิมมาตัดพ้อหญิงสาวตัวแสบที่ "เล่นเกมบ้าบออะไรของมันก็ไม่รู้ ที่หล่อนเรียกว่า ครายอิ้ง ไลท์นิ่ง"  แม้ท่อนฮุคจะซ้ำไปซ้ำมาในโทนเดียวจนเกินควรและเนิบนาบจืดชืด  แต่จังหวะเพอร์คัสชั่นเนิบๆถูกเร่งเร้าให้เร็วและหนักขึ้นไปเรื่อยๆ ในช่วงท้ายชักชวนให้คึกคักในอารมณ์ดิบประหนึ่งคนกำลังเมากรุ่มกริ่ม แปลกขึ้น โตขึ้น แต่เนื้อหาเพลงคือ Arctic Monkeys ดังเดิม เสียแค่เอ็มวีที่..เอ่อ ขอโทษ ห่วยแตก!!!


Dangerous Animals มีเสียงร้องที่แปลกไปของ Alex และท่วงทำนองในโทนเดียวนอนมาตอนแรก เพลงยังเป็นการเริ่มต้นเปิดฉากให้ความเร้าใจหลังจากสองแทร็กแรกผ่านไปแบบเนิบๆ โดยเฉพาะโหมดสะเด่าเร้าอารมณ์ช่วงท้าย ทั้งยังมีการสร้างความโดดเด่นให้ Nick กับการโชว์ลีลาเสียงเบส เพลงนี้ฟังแรกๆแล้วยังไม่สุด ไม่อิ่ม เผลออยากจะเร่งสปีดให้เพลงมันเร็วกว่านี้ คงจะมันส์ได้พิลึก แต่หากเป็นเช่นนั้นคงผิดคอนเซ็ปต์ Humbug ไป


Secret Door ไพเราะด้วยลิงขั้วโลกในกลิ่นเดิมที่ยังสัมผัสได้ หลังจากเริ่มต้นด้วยความนุ่มนวลชวนฝัน ช่วงที่กลองรัวตุบตับขึ้นมานั่นกินใจฉันเป็นอย่างดี เพลงมีการการร้องในโทนที่รัวเร็วขี้นมาบ้าง สลับไปมากับการเข้าไปสู่โหมดเชื่องช้า ช่วงนาทีสุดท้ายของเพลงเจ๋งมาก


Potion Approaching ยอมรับว่าตอนฟังครั้งแรก นี่เป็นแทร็กที่หงุดหงิดที่สุด และก็ยังคงเป็นเพลงโปรดน้อยสุดในอัลบั้มอยู่ ที่ฉันชอบคือกีต้าร์ริฟฟ์และช่วงจังหวะช้าๆก่อนจบลงที่โจ๊ะตรงท้ายเพลงซึ่งถือว่าฟังแล้วโอเค แต่พอ Alex มาร้องแล้วมันแปลกและรัวมั่วกันเกินไป


Fire and The Thud แม้เริ่มต้นดูน่าเบื่อ แต่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาตัดสินใจถูกที่ทำมันในเวอร์ชั่นใหม่ที่แปลกกว่าเดิมเข้าไปแทนที่แบบอคูสติกเวอร์ชั่นซึ่งเคยมีมา อันนี้อาจสร้างความแปลกใจให้สำหรับที่เคยได้ยินเวอร์ชั่นนั้นมา เสียงที่โผล่มาของ Alison Mosshart ในช่วงท้ายเพลงและจังหวะเร่งเร้าขึ้นลบความน่าเบื่อของเพลงไปได้ดี


Cornerstone นี่คืออีกเพลงที่สามารถเลือกเป็นซิงเกิ้ลได้สบายๆ (จากที่ให้สัมภาษณ์ NME มาก่อนหน้า ดูเหมือนพวกเขาเกือบจะเลือกเพลงนี้เป็นซิงเกิ้ลนำ) ด้วยความหวานของสรรพสำเนียงกีต้าร์นำทางอารมณ์เพลงที่ดูเศร้าสร้อยกับเสียงกลองกระทบตุบๆนุ่มนวลเป็นจังหวะ และเนื้อเพลงซึ่งเล่าเรื่องได้เยี่ยมยอดมหัศจรรย์น่าสนใจที่สุดในอัลบั้ม


Dance Little Liar เป็นเพลงไคลแม็กซ์สำคัญที่ดีและชวนฟังมากในชุดนี้ ท่วงทำนองไพเราะแบบอ่อนหวาน การก่อร่างตัวของเมโลดี้ ไปจนถึงจุดไคลแม็กซ์ในจังหวะหนักหน่วง การร้องแบ็กประสานเสียงตรงช่วง ฮูววว ฮาาาา งดงามหมดจด  การร้องซ้ำคอรัสตอนสุดท้ายของเพลง และกีต้าร์ริฟฟ์บรรเจิด สมบูรณ์แบบ!


Pretty Visitors ในอารมณ์ที่ก้ำกึ่งหรือหยวนๆได้ว่าให้ความรู้สึกพอๆกับเพลงในสไตล์โจ๊ะแดนซ์แบบที่ผ่านมาซึ่งคุ้นเคยกันดีของวง และนี่ก็คือสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดแล้วสำหรับคนที่ตั้งตาคอยอะไรแบบนั้น การสาดกลองของ Matt Helders อย่างเมามันส์ในท่อนคอรัสคือไฮไลท์สำคัญ


ท่อนนี้ “what came first, the chicken or the dickhead” ฮาาาาาา


The Jeweller's Hands โอววว The Last Shadow Puppets ชุดที่สองหรอกหรือเนี่ย ตรงอินโทร ตึ่ดๆๆๆๆๆ ฟังแล้วคิดไม่ออกว่ามันดูเหมือนอะไรสักอย่าง คิดว่าประมาณสกอร์สักอันหนึ่งในหนัง Ocean's ไม่ก็สกอร์ James Bond แทร็กนี้ฟังดูยาวเกินความจำเป็นไปนิด แต่โครงสร้างโดยรวมของเพลงไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย



Arctic Monkeys ไม่ใช่วงที่ฉันเคารพบูชามากมาย ถึงบางครั้งจะออกหมั่นไส้ในความโด่งดัง แต่แน่นอนว่าฉันยังยอมรับในความสามารถพวกเขาเสมอ และยังคงมองว่าในยุคนี้พวกเขาคือความหวังในการเป็น Beatles เจนเนเรชั่นของพวกเรา


พิจารณาว่า Alex และผองเพื่อนยังอยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ เวลาที่พวกเขาจะเติบโตและการพัฒนาตนเองในอาชีพยังอีกยาวไกลแค่ไหน
นี่คือก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น และสำหรับใครที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงและไม่สมถวิลกับอัลบั้มนี้ เพราะการโหยหาความรู้สึกเดิมๆ สไลต์เดิมๆ 
ขอฝากคำถามไว้สักนิดว่า หาก The Beatles สักแต่แหกปากแต่เพลงในประมาณ "ชี เลิฟฟสฺ ยูวว เย๊ เย๊ เย" ออกมาเรื่อยๆ โลกแห่งดนตรีมันจะพัฒนาไปในทางแบบปัจจุบันนี้ได้หรือเปล่า
พวกเขาก็คงย่ำอยู่กับที่และไม่มีอะไรแบบ Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band ออกมาไม่ใช่หรือ
ที่สำคัญคุณคนฟัง จะเบื่อไหม หรือว่าชอบฟังอะไรซ้ำๆซากๆ


ฉันไม่สามารถยืนยันได้ว่า Humbug เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของวง
การพูดแบบนั้นปัญญาอ่อนและเป็นอัตวิสัยมาก


มีสิ่งหนึ่งที่ฉันขอนั่งยันได้เลยว่า อัลบั้มนี้มันยิ่งฟัง ยิ่งจะดีขึ้น และจะเติบโตในจิตใจคุณสัมพันธ์กับครั้งของการฟังที่เพิ่มขึ้น
ดังนั้น จงฟังมากกว่าสิบรอบขึ้นไป บางทีคุณอาจจะมองเห็นมัน



รายชื่อเพลง


1. My Propeller
2. Crying Lightning
3. Dangerous Animals
4. Secret Door
5. Potion Approaching
6. Fire and The Thud
7. Cornerstone
8. Dance Little Liar
9. Pretty Visitors
10.The Jeweller's Hands


เพลงแนะนำ : Dance Little Liar





* หมายเหตุ : กำหนดวางขายที่  UK คือ 24 ส.ค. ส่วนแผ่นลิขสิทธิ์โดย platinum นั้น ฉันจะมาบอกอีกทีว่าวันไหนจึงจะวางแผง






 

Create Date : 02 สิงหาคม 2552    
Last Update : 2 สิงหาคม 2552 20:35:11 น.
Counter : 3145 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

Lucy in the sky with diamonds
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]







New Comments
Friends' blogs
[Add Lucy in the sky with diamonds's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.