ดี
อุบาสกกราบเรียน ช้างที่เมามันทำอย่างไรจึงจะหายเมามันได้ครับ หลวงปู่ตอบ เบื้องต้น เมื่อรู้ว่าช้างจะเมามัน ก็ต้องรีบผูกมัดในสถานที่ห่างฝูงคนทันที . . อุบาสกกราบเรียน ทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าช้างจะตกมันครับ หลวงปู่ตอบ เจ้าของช้างที่คุ้นเคยอยู่กับช้างมานานและอยู่ใกล้ชิดช้างมานานย่อมรู้ดี . . อุบาสกกราบเรียน เมื่อผูกแล้วจะทำอย่างไรต่อไปครับ หลวงปู่ตอบ ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดอย่าให้มันหลุดไปได้ ให้อาหารและน้ำพอกินไม่ตาย เจ้าของคอยดักขู่อยู่เสมอๆ . . อุบาสกกราบเรียน ถ้าขู่มันจะเป็นอย่างไรครับ หลวงปู่ตอบ ด้วยอำนาจของความเมาแล้ว ถ้าปล่อยไปตามลำพังของมันมีแต่โทษ ไม่มีคุณเลย เจ้าของต้องเอาใจใส่รักษาอยู่อย่างนี้จนกว่าจะหาย . . อุบาสกกราบเรียน เมื่อหายแล้วจะเป็นอย่างไรครับท่านอาจารย์ หลวงปู่ตอบ เมื่อหายแล้วจะไม่วุ่นวาย คือไม่ดิ้นรน เรียกว่าช้างปกติ จะนำไปเพื่อประโยชน์หรือเพื่อการงานได้ตามปรารถนา . . อุบาสกกราบเรียน คนที่มีกิเลสรุนแรงจะเป็นอย่างช้างไหมครับ หลวงปู่ตอบ เป็นเหมือนกัน จะยิ่งกว่าช้างเสียอีก . . อุบาสกกราบเรียน ถ้าอย่างนั้นคนก็ปล่อยไม่ได้ จะต้องผูกมัดอย่างช้างหรือครับ หลวงปู่ตอบ ต้องกระทำเช่นเดียวกัน . . อุบาสกกราบเรียน ดูเหมือนจะไม่จริง เพราะกระผมไม่เห็นเขาผูกมัดคนที่ไหนเลยครับ พูดถึงกิเลสก็มีกันทุกคน นอกจากพระอรหันต์เท่านั้น แต่แล้วไม่เห็นใครทรมานผูกมัดคนเหมือนช้างเลย จะว่าเหมือนกันอย่างไรครับ หลวงปู่ตอบ คนคือมนุษย์ ไม่ใช้สัตว์เดรัจฉาน มันทรมานกันคนละอย่าง เด็กที่อยู่ในความปกครองของพ่อแม่ พ่อแม่จะมีข้อผูกมัดเด็กอย่างไรบ้างเมื่อหากว่าเด็กทำไปตามลำพังของกิเลส จะทำอย่างไรกับเด็ก คิดดูให้ดี สามีภรรยามีข้อผูกมัดกันอย่างไรบ้าง สังคมในโลก มีกฎหมายผูกมัดอย่างไรบ้าง ถ้าฝ่าฝืนจะต้องผูกมัดเหมือนช้างอีก หรือจะหนักกว่าช้างอีก ไปดูที่เรือนจำจะเห็นได้ดี . . อุบาสกกราบเรียน ถ้าปล่อยไปโดยลำพังอย่างช้าง คนกับช้างข้างไหนจะมีโทษมากกว่ากันครับ หลวงปู่ตอบ คนมีโทษมากกว่า คนถ้าไม่มีข้อผูกมัดปล่อยไปตามธรรมชาติธรรมดาแล้วดูไม่ได้เลย . . อุบาสกกราบเรียน กระผมรู้จักอำนาจของกิเลสแล้วครับ แต่ก่อนกระผมไม่เข้าใจอย่างนี้เลย ขอนิมนต์ท่านอาจารย์อธิบายวิธีทรมานจิตที่เมาด้วยกิเลสให้กระผมฟังด้วย กระผมจะจำและนำไปใช้ชำระจิตต่อไป เพราะเวลานี้กระผมรู้จักอำนาจของกิเลส และโทษของกิเลสดีแล้ว แต่ก่อนรู้แต่ว่าจิตมันรุนแรงเป็นทีๆ เป็นอย่างๆ พอหมดอย่างนี้ก็ไปอย่างนั้นต่อเรื่อยไปแรงไปในทางภายนอก เมื่อสงบทางภายนอกก็เข้าไปแรงทางภายในอีก กระผมจึงเข้าใจว่ามันรุนแรงมาก แต่บางทีกระผมนึกว่ามันไม่มีเลยเป็นบางครั้งบางคราว เมื่อได้ฟังคำอธิบายของท่านอาจารย์แล้วเป็นเหตุให้กระผมมีปัญญาสว่างขึ้น ได้ความว่ากิเลสมันรุนแรงอยู่เสมอ แต่มันรุนแรงไปคนละอย่าง บางทีแรงไปในทางดีใจ บางทีแรงไปในทางเสียใจ บางทีก็ไปภายนอก บางทีก็ไปภายใน ดูดีๆ จึงจะรู้ คนที่เข้าใจอย่างกระผมในเบื้องต้นดูเหมือนจะมีอยู่มากเหมือนกันครับ เพราะไม่ได้ดูให้ละเอียด บางอย่างกิเลสมันทำให้ชอบเลยเข้าข้างกิเลสไปเสีย นึกว่าไม่รุนแรง หรืออีกอย่างหนึ่งเหมือนคนตาฟางที่มองเห็นไฟ ถ้าเปลวพุ่งอยู่ถือว่าเป็นไฟ เมื่อไฟมันไม่มีเปลวเพราะหมดเชื้อที่จะทำให้ไฟลุกเป็นเปลวไม่มี แต่ไฟยังแดงร่าอยู่ไม่ใช่ไฟเหมือนมองเห็น พิษบางอย่างทำให้ปวดเกล้าเมาหัว แต่ไม่เป็นอันตราย เพียงแต่ไม่พอใจก็หายาแก้ หรือวิ่งหาหมอ ถ้าไม่หายก็ปวดครวญคราง แต่เมื่อดื่มสุราเข้าไปก็ปวดหัวเวียนหน้า บางทีถึงกับอาเจียนก็ไม่เห็นเขาหายาแก้หรือวิ่งหาหมอ บางคนกลัวมันจะสร่างเสียอีก สิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบเห็นได้ชัดอย่างนี้แหละ ผู้ที่เข้าข้างกิเลสก็เหมือนกัน กระผมเมื่อยังไม่ได้ฟังธรรมจากท่านอาจารย์ก็เหมือนกัน บัดนี้กระผมทราบดีแล้ว กรุณาช่วยแนะนำให้กระผมด้วยครับ หลวงปู่ตอบ วิธีทรมานจิตที่เมากิเลสทำเหมือนวิธีทรมานช้าง การผูกมัดเหมือนการผูกมัดคนแต่เจ้าของผู้กำกับได้แก่สติผูกด้วยอุบายของปัญญาที่สอดส่องถึงโทษและคุณนั้นเป็นเชือกผูกมัด ทุบตีด้วยอาวุธคือพระธรรม จะนำธรรมมาเป็นอาวุธสักสี่อย่าง เครื่องประกอบทรมานจิตที่เมากิเลสสัก ๔ ข้อ ได้แก่ อิทธิบาท ๔ หนึ่ง ฉันทะ ความพอใจ หมายความว่า พอใจที่จะชนะจิตที่อาศัยกิเลสนำพา ถึงแม้จิตจะสั่งออกมาภายนอก คือ ทางกายและทางวาจา ด้วยกำลังของกิเลสแล้วจะไม่ยอมเลย สอง วิริยะ ความเพียรพยายามต่อสู้กับจิตที่บัญชามาด้วยกำลังของกิเลสไม่ยอมให้แสดงออกมาได้เลยเป็นอันขาด สาม จิตตะ ความฝักใฝ่จะอุดหนุนกิจการที่ทำการปฏิวัติกับจิตที่เมาด้วยกำลังของกิเลส จนกว่าจะอ่อนกำลังลง สี่ วิมังสา ความตริตรอง คือปัญญาจะพิสูจน์ความจริงของจิตที่แสดง จะไปด้วยกำลังอะไรทั้งส่วนตัวของมัน และสั่งการออกมาภายนอก เมื่อเห็นว่ามาด้วยกำลังของกิเลส หรือประกอบด้วยโทษจะไม่ยอมเป็นอันขาด หรือมาด้วยกำลังของโมหจิตก็ไม่ยอม มาโดยธรรมชาติทั้งหมดไม่ยอมแน่ จะปฏิวัติจนกว่าจิตหายเมา จิตไม่ได้แสดงด้วยความเมา เรียกว่า จิตหมดพิษ นำสติกับปัญญาเข้าทำงานแทนกิเลสทั้งหมด ที่แสดงออกเป็นไปด้วยกำลังของสติและปัญญาก็หมดโทษมีแต่คุณ เป็นคุณทั้งตนเองและคนอื่น จึงสมกับคำว่าจิตที่มีคุณ หรือมนุษย์ที่มีคุณจัดว่าเป็นปัญญาชน เพราะประกอบอะไรๆ ประกอบด้วยปัญญา ไม่เหมือนสัญญา ไม่เหมือนสัญญาชนผู้รู้ไม่จริง รู้ด้วยสัญญาในทำนองที่ว่า ทัพพีตักแกง คนที่ถึงซึ่งปัญญาเรียกว่านักปราชญ์ ไม่ใช่นักเถือ จิตที่ชำระดีแล้วย่อมนำสุขมาให้ ต้องหมายถึงจิตที่ชำระอย่างนี้ จิตนี้ว่างไม่วุ่น เพราะหมดกิเลสสิ่งที่ก่อกวน เรียกว่าจิตสงบ เรียกว่าจิตสะอาด ประภัสสร จิตนี้สมควรแก่นิพพาน พระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย
Create Date : 24 มกราคม 2564 |
Last Update : 24 มกราคม 2564 15:32:04 น. |
|
0 comments
|
Counter : 140 Pageviews. |
|
|
|
| |