พระพุทธศาสนา
Group Blog
 
All Blogs
 
นิพพาน

พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นสรณะที่พึ่งของเรา สิ่งใดเราไม่รู้เราก็ไม่ได้ทำไว้ สิ่งใดไม่ได้ทำไว้เราก็พึ่งไม่ได้ สิ่งใดเรารู้เราก็ได้ทำไว้ปฏิบัติไว้ เราก็พึ่งได้ นี่เป็นอย่างนี้ ท่านวางศาสนานี้ไว้เป็นเครื่องทะนุบำรุงตัวของเรา
ท่านทั้งหลายได้มาทำบุญทำกุศลทำคุณงามความดีเป็นการบริจาค สละมัจฉริยะความตระหนี่เหนียวแน่นในจิตใจของเรา สละความโลภ สละความโกรธ สละความหลงออกไป นี่แหละ เรื่องมันเป็นยังงี้ ผลานิสงส์นี่แหละจะกำจัดความทุกข์ความจน เพราะเราได้ทำไว้ได้สร้างไว้ จะน้อยหรือมากก็เป็นของเรา
ที่ให้พากันกรวดน้ำเมื่อทำบุญกุศลแล้ว คือให้ตรวจน้ำใจของเรา ที่เราทำมานี้ใจของเรามีความสุข ใจของเรามีความสบายไหม ให้ดูซิ เราทำมาแล้วนี่แหละ ถ้าใจเรามีความสุข ใจเรามีความสบาย เย็นอกเย็นใจ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่วุ่นไม่วาย นี่แหละใจของเราเป็นพุทโธ ใจเยือกใจเย็นใจสุขใจสบายนำความสุขความเจริญให้ในปัจจุบันและเบื้องหน้า
เพราะฉะนั้นให้พากันพึงรู้พึงเข้าใจ ไม่ใช่อื่นสุข ไม่ใช่ข้าวของเงินทองสุข ไม่ใช่ฟ้าอากาศมันสุขใจของคนเราเป็นสุข สุขเพราะเหตุใด เพราะใจเราสงบ เราได้ทำคุณงามความดีไว้ ท่านทั้งหลายมานี้ก็มาทำคุณงามความดี ดีแล้วหรือยัง ต้องดูให้มันรู้มันเข้าใจต่อไป สิ่งใดเราไม่ได้ทำไว้เราก็พึ่งพาไม่ได้ ได้แต่ที่ทำไว้เท่านั้น
การที่เรารักษาศีล เราก็ไม่ได้รักษาอื่นไกล รักษากาย รักษาวาจา รักษาใจของเราให้เรียบร้อย เมื่อกายของเราเรียบร้อย วาจาเรียบร้อย ใจเรียบร้อยแล้ว เกิดไปภพไหนชาติไหนก็ตาม ถ้าเรายังไม่พ้นจากทุกข์ ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีก กายของเราก็จะเป็นคนเรียบร้อย วาจาของเราก็เป็นที่เรียบร้อยไม่มีโทษน้อยใหญ่
ดังนั้นท่านจึงให้รักษาศีล โทษน้อยโทษใหญ่คืออันใด เราท่านทั้งหลายก็ทราบอยู่แล้วว่า ปาณา หรือ อทินนา กาเม มุสา สุราเหล่านี้มันเป็นโทษ บ้านเมืองยุ่งยากทุกวันนี้ก็เพราะโทษห้าอย่างนี้แหละ ให้พากันพึงรู้พึงเข้าใจ
เมื่อเราทั้งหลายไม่ได้ทำโทษห้าอย่างนี้เราก็มีความสุข เราไปภพไหนชาติไหนเราก็มีความสุข ทั้งปัจจุบันและเบื้องหน้า เราไม่ได้ทำโทษห้าอย่างแล้ว เราก็เป็นผู้มีโภคสมบัติ เป็นคนไม่ทุกข์ เป็นคนไม่จน เป็นคนไม่อดไม่อยาก เป็นคนไม่ทุกข์ไม่ยาก เหตุนี้ให้พากันฟัง แต่อย่าสักแต่ว่าฟัง ให้ทำจิตไปพร้อม
เมื่อพระพุทธเจ้าเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ ภิกษุทั้งห้าเมื่อท่านได้สดับโอวาทธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็ยกอันนี้ขึ้นมาชี้แจงแสดงให้ฟัง ท่านปัญจวัคคีย์ก็ได้สำเร็จมรรคสำเร็จผล นี่เราก็ปัญจะ แปลว่าห้า ห้าคืออะไรเล่า ก็ขาสอง แขนสองศีรษะหนึ่ง นี่แหละปัญจะแปลว่าห้า
เมื่อท่านปัญจวัคคีย์ได้ฟังธรรมแล้ว สิ่งใดไม่ดีท่านก็เลิกท่านก็ละ ท่านยกอนัตตลักขณสูตรขึ้นมาชี้แจงแสดงให้ฟัง ชี้แจงยังไง คือท่านยกรูปยกเวทนายกสัญญายกสังขารยกวิญญาณขึ้นมาชี้แจงแสดงให้ฟัง ชี้แจงแสดงว่าอย่างไรล่ะ รูปัง อนิจจัง
เมื่อท่านแสดงแล้วท่านถามว่า รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ท่านปัญจวัคคีย์ก็ตอบว่าไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ท่านตอบว่าเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นว่าเป็นตัวตนได้ยังไงเล่า ท่านว่า โน เหตัง ภันเต ไม่ใช่พระเจ้าข้า ท่านก็ละรูป ทีนี้ถามถึงเวทนา เวทนา อนิจจา เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง ท่านบอกไม่เที่ยง เมื่อสิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ท่านตอบว่าเป็นทุกข์ เมื่อสิ่งนั้นเป็นทุกข์ว่าตัวตนอย่างไรเล่า ท่านบอกว่าไม่ใช่ท่านก็ละเวทนา
เวทนาคือความเย็นความร้อน ความเป็นสุขความเป็นทุกข์ ที่เรียกว่า สุขเวทนา ทุกขเวทนา เรานั่งอยู่นี่ก็มีเวทนา เดี๋ยวเจ็บตรงนั้นเดี๋ยวปวดตรงนี้ แล้วก็ให้ร้อน แล้วก็ให้เย็น วีวีวับวับแวบแวบอยู่นี่ นั่นแหละตัวเวทนา เห็นไหมล่ะมันอยู่เฉยๆไม่ได้ ให้พิจารณาอันนี้ว่ามันเป็นทุกข์ ไม่ใช่อื่นไกล
เมื่อท่านถามเวทนาแล้ว ก็ถามสัญญา สัญญา อนิจจา สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง ท่านตอบว่าไม่เที่ยง เมื่อสิ่งนั้นไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ท่านก็ตอบว่าเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นทุกข์จะว่าตัวตนอย่างไรเล่า ท่านตอบ โน เหตัง ภันเต ไม่ใช่พระเจ้าข้า ท่านก็ละสัญญา ทีนี้ถามถึงสังขาร สังขารา อนิจจา สังขารเที่ยงหรือไม่เที่ยง ท่านตอบว่า ไม่เที่ยง
เมื่อสิ่งนั้นไม่เที่ยงเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ท่านตอบว่าเป็นทุกข์ เมื่อสิ่งนั้นเป็นทุกข์แล้วสิ่งนั้นจะว่าตัวตนอย่างไรเล่า ท่านบอกไม่ใช่ ท่านก็ละสังขาร ทีนี้ถามถึงวิญญาณ วิญญาณัง อนิจจัง วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง ท่านก็ตอบไม่เที่ยง เมื่อสิ่งนั้นไม่เที่ยงแล้วเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ท่านก็ตอบว่าเป็นทุกข์
เมื่อสิ่งนั้นเป็นทุกข์แล้วจะว่าเป็นตัวตนอย่างไรเล่า ท่านก็เลยละ ท่านก็ปล่อยวางหมด จิตของท่านก็สงบ เป็นศีลเป็นสมาธิ ละอารมณ์สัญญา ละกิเลสตัณหา ราคะโลภะ โทสะโมหะอวิชชา ตัณหาอุปทานภพชาติ ท่านก็ได้สำเร็จมรรคสำเร็จผล จิตของท่านก็สงบ นี่ท่านเทศน์เพียงเท่านี้
เหตุนั้นให้พากันพึงรู้พึงเข้าใจในสี่เหล่านี้ซึ่งมีประจำตัวของเรา อันนี้ให้พากันตรวจดูน้ำใจของเราในเวลานี้เราจะอยู่ในชั้นใดภูมิใด ในกามภพหรือรูปภพหรืออรูปภพ นี่พากันมาทำบุญทำกุศล จิตเราเป็นบุญแล้วหรือยัง ให้พากันดู จิตเป็นบุญเป็นยังไงจิตเป็นบุญก็คือจิตเราดี มีความสุขความสงบ เย็นอกเย็นใจ ไม่ทุกข์ไม่ร้อนไม่วุ่นไม่วาย พุทโธ ใจเบิกบานสบาย หายทุกข์หายยาก หายความลำบากรำคาญ
เป็นอย่างนี้แหละให้เข้าใจไว้ นี่แหละบุญ คนทั้งหลายทำบุญแล้วไม่เห็นตัวมัน จักเป็นตัวยังไง ตัวบุญ อยากรู้จักตัวมัน เออ ตัวบุญก็คือคนทั้งหลายที่นั่งอยู่นี่แหละ ศีรษะมันดำ ๆ คอมันกีว ๆ เราทำคุณงามความดีแล้ว เราก็มีความสุขความสบายจิตใจของเราก็เบิกบาน จึงว่า พุทโธ มันเป็นอย่างนี้จิตเราไม่ทุกข์ไม่ยากไม่มีความลำบากรำคาญ
พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร


Create Date : 06 มกราคม 2564
Last Update : 6 มกราคม 2564 18:54:41 น. 0 comments
Counter : 131 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 5378236
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ดี
Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 5378236's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.