ดี
ท่านพ่อลีเล่าว่า... เมื่อเราเกิดมาได้เพียง ๙ วัน มีอาการร้องไห้กระจองอแงรบกวนพ่อแม่เป็นอย่างมาก ไม่มีใครสามารถจะเลี้ยงให้ถูกใจได้ เป็นเด็กที่เลี้ยงยาก ซุกซนที่สุด มักร้องไห้เอาแต่ใจเสมอ เมื่อโยมแม่ออกไฟได้ ๓ วัน เราเกิดเจ็บป่วยด้วยโรคบนศีรษะ ไม่ยอมกินไม่ยอมนอนเป็นเวลาหลายวัน “อันโรคเจ็บป่วยบนศีรษะที่เป็นมาตั้งแต่เกิด” นั้น เป็นบุพพกรรมมาตั้งแต่อดีตชาติที่เคยพรากชีวิตสัตว์ไว้ เราเคยเกิดเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่รบได้ชัยชนะมาทั้ง ๔ ทิศ ได้สร้างกรรมหนักหน่วงด้วยการฆ่ามนุษย์ ทรมานนักโทษด้วยเครื่องบีบศีรษะ และเครื่องทรมานอื่น ๆ อันเป็นเครื่องทรมานที่สุดแสนจะทารุณ เพื่อให้เขายอมรับผิดและพูดความจริงถึงความลับของอริราชศัตรู แต่การได้ชัยชนะเหล่านั้นมา กลับเป็นการสร้างเวรกรรมที่ไม่มีวันจะจบสิ้น...ส่งผลให้ชาติปัจจุบัน เราต้องมีอาการปวดศีรษะและจะอายุสั้น เพราะเราได้ฆ่ามนุษย์ไว้มากในชาติที่เป็นกษัตริย์นั้น เนื่องจากท่านพ่อลี ธมฺมธโร ได้เคยปรารภถึงเรื่องในอดีตชาติ ก่อนที่จะมาเกิดในชาตินี้ ซึ่งเป็นชาติสุดท้ายของท่านไว้ว่า ท่านเคยเกิดเป็นชาวจังหวัดจันทบุรี มีฐานะมั่งคั่งพรั่งพร้อม มีชีวิตความเป็นอยู่สะดวกสบาย เป็นบุตรชายคนที่สอง พ่อแม่รักถนอมดั่งดวงใจ เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาประวัติของท่านพ่อมาถึงตรงนี้จึงเกิดความคิดสะกิดใจ ใคร่รู้ใคร่เห็นในชาติที่ท่านเกิดครั้งนั้นว่าน่าจะมีอะไรที่น่าสนใจมากกว่านี้ สมควรที่จะไขปริศนาความลี้ลับแห่งภพชาติหนหลังของท่าน อันจะเป็นกุญแจไขไปสู่ประตูแห่งนรกสวรรค์ และพระนิพพานได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้จึงพยายามสืบค้นหาความจริงยืนยันในเรื่องนี้ เมื่อเป็นที่แน่ใจแล้ว ผู้เขียนและทีมงานจึงเดินทางไปพบกับ คุณลุงสถิต ไมตรีเวช ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานชายของท่านพ่อลีทันที ณ บ้านเลขที่ ๖๒๙/๑๒๐ ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อคุณลุงสถิต ซึ่งมีตำแหน่งเป็นสรรพากรจังหวัดสระบุรี ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ ได้เข้าใจถึงสาเหตุที่พวกเรามาพบแล้ว คุณลุงจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่พอจะจำได้ให้พวกเราฟังว่า ชาติก่อนนั้นท่านพ่อลีเป็นน้องชายของพ่อผม คือ ขุนแพทย์ไพบูลย์ (ไพบูลย์ ไมตรีเวช) ทั้งคู่เป็นบุตรของ ก๋ง (ปู่) จันทร์ และคุณย่าฮ้วย ไมตรีเวช ซึ่งเป็นคนรวย มีที่ดินและห้องแถวให้เช่าอยู่จังหวัดจันทบุรี แต่ย่าเป็นคนมีนิสัยค่อนข้างหนักไปทางตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ชอบทำบุญสุนทานอะไรเลย ชาตินั้นท่านพ่อลีอายุสั้นมาก ตายตอนอายุได้แค่ ๘ ขวบเท่านั้น ท่านตายไปได้ไม่กี่ปีท่านก็มาเกิดใหม่อีกในชาตินี้ คุณแม่และพี่ชายของท่านยังมีชีวิตอยู่ เรียกได้ว่า... “ทวิภพ” คือ “ท่านเป็นคน ๒ ภพ” คือ ตายแล้วเกิดใหม่ พ่อแม่เก่าและญาติพี่น้องก็ยังคงอยู่ เป็นเรื่องน่าพิศวง ฉะนั้น ผมซึ่งเป็นหลานของท่านจึงทันได้พบท่าน และพอรู้เรื่องราวจากพ่อผมเล่าให้ผมฟังว่า ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ท่านพ่อลีซึ่งบวชเป็นพระแล้ว ได้มาหาย่าที่บ้าน ย่าก็รู้สึกแปลกใจสงสัยว่าพระมาทำไม? ไม่ได้รู้จักกันซักหน่อย ด้วยความที่ย่าเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวมาก ก็กลัวว่าพระจะมาขอเรี่ยไรเงิน จึงถามท่านพ่อว่า “ท่านชื่ออะไร? มาจากไหน? มาทำไม?” ท่านพ่อท่านก็ไม่มีลีลามาก ท่านก็พูดโต้ง ๆ ซื่อ ๆ ว่า “อาตมาชื่อ ‘ลี’ มาจากวัดป่าคลองกุ้ง มาหาคุณแม่ คุณแม่เป็นโยมแม่ของอาตมาเมื่อชาติปางก่อน” คุณย่าได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ไม่เชื่อ คิดว่าท่านพ่อลีมาหลอก เพราะทราบว่า “ตัวเป็นคนรวย คงอยากได้เงินได้สมบัติละสิ” ในส่วนตัวผมคิดว่า ท่านหวังจะมาโปรดให้คุณย่ารู้จักทำบุญทำทานเสียบ้าง อายุมากแล้ว ตอนนั้นก็อายุตั้ง ๗๙ ปี ยังไม่รู้จักการให้ทานรักษาศีลสักเท่าไร...งกที่สุด จากนั้นท่านพ่อจึงบอกว่า.. “โยมแม่” อาตมาไม่ได้หวังอะไรในสมบัติของโยมเลย โปรดฟังอาตมาก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าสิ่งที่อาตมาพูดเป็นความจริงหรือความเท็จหรือแต่งเรื่องขึ้นมา” คุณย่าจึงเรียกพ่อผมมาฟังด้วย เพราะฟังคนเดียวเดี๋ยวโดนพระหลอก ท่านพ่อลีจึงเล่าเรื่องแต่ปางก่อนอย่างช้าๆ ว่า... “โยมแม่จำได้ไหมว่า ไฟเคยไหม้ที่ตลาดของเรา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ตอนนั้นอาตมาอายุได้เพียง ๘ ปี โดนไฟครอกพุพองไหม้เกรียมไปทั้งร่าง โยมแม่ร้องไห้แทบเป็นแทบตาย เบื้องต้นอาตมายังไม่ตาย โยมแม่เฝ้าถนอมรักษาอยู่นานวัน หลังจากนั้นไม่นานอาตมาก็ถึงแก่ความตายตอนอายุ ๘ ปี หลังจากตายไป ๔ ปี คือในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ อาตมาก็มาเกิดใหม่ที่จังหวัดอุบลฯ ตอนนี้แม่ที่อุบลฯ ก็ตายแล้ว อาตมาอยากตอบแทนบุญคุณแม่ที่ยังไม่ตาย คือ แม่ที่นั่งอยู่ต่อหน้าต่อตาอาตมานี้เอง คุณย่าฮ้วยและพ่อผมนั่งฟังนิ่ง พยายามลำดับเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีต ตามที่ท่านพ่อลีเล่า ถึงแม้เรื่องนี้จะผ่านมานานแล้ว แต่คุณย่ายังจำฝังใจไม่มีวันลืมเลือนในเหตุการณ์ครั้งนั้น ถ้าหากท่านพ่อลีเล่าผิดนิดเดียวนั้นแสดงว่าหาข้อมูลมาโกหก แม้ที่ท่านพ่อลีพูดมานั้นจะถูกต้องทุกเรื่อง แต่ก็มิได้ทำให้คุณย่าฮ้วยเชื่อและลงใจ แกก็ยังลังเลที่จะเชื่อว่าเป็นลูกของตัวจริง ๆ ท่านพ่อลี จ้องหน้าคุณย่าด้วยสายตาคบกริบและพูดอย่างหนักแน่นว่า... “โยมแม่!...อาตมาลืมบอกไปเรื่องหนึ่ง คือตอนที่อาตมาเป็นเด็ก ในครั้งนั้นอาตมามีแผลเป็นอยู่ตรงขาด้านซ้าย ซึ่งเกิดจากตอนเป็นเด็กซุกซนมาก ขามีแผลเหวอะหวะ คุณแม่ยังเอายามาคอยทาให้ เรื่องนี้นอกจากคุณแม่ และพี่ชาย และอาตมาแล้วคงไม่มีใครอาจรู้ได้” คุณย่าฮ้วยกับพ่อผมได้ฟังดังนั้น เหมือนฟ้าดินถล่มภายในดวงใจ ถึงกับน้ำตาไหล ย่าฮ้วยจ้องมองท่านพ่อลีด้วยนัยตาแห่งความอ่อนโยนอันสื่อมาจากความรักเอ็นดูของแม่ สงสารท่านพ่อลีเป็นกำลัง ถ้าไม่ใช่พระ คุณย่าคงเข้าไปโอบกอดท่านแล้ว “แม่...เรื่องในครอบครัวนี้ไม่มีใครจะสามารถรู้ได้ นอกจากพวกเราเอง” พ่อผมพูดขึ้น “โถ...ลูกแม่” ย่าฮ้วยอุทานพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย “พระท่านสอน บุญบาปมี ชาติหน้ามีจริง นรกสวรรค์มีจริงแท้ ๆ” ย่าฮ้วยอุทานอีกครั้ง “บุญค้ำจุนแท้ ๆ ที่ได้พบกัน” ย่าฮ้วยพร่ำรำพันแล้วรำพันเล่า และท่านพ่อลีก็ได้เล่าเรื่องต่าง ๆ ในอดีตมากมายให้ย่าฮ้วยฟัง เสียดายผมจำมาจากพ่อไม่ได้หมด คุณลุงสถิตบ่นเสียดาย “ผมสรุปสั้น ๆ ก็แล้วกันว่าคุณย่าเชื่อสนิท” จากนั้นท่านพ่อลีก็ไป ๆ มา ๆ ที่บ้านย่าฮ้วยเป็นประจำ มาดูแลย่า เช่น ยามเวลาย่าเจ็บป่วยก็ส่งคนมาช่วยดูแล ส่วนท่านก็มาถามไถ่ว่า เป็นไงบ้างโยมแม่และหาของมาฝากมาให้เสมอ คุณย่าก็ยิ่งรักท่านพ่อลี รักมาก ๆ รักเหมือนลูกในไส้ พวกเราทั้งตระกูลก็รักท่าน กาลต่อมาคุณย่ากราบขออ้อนวอนให้ท่านสึกมารับทรัพย์มรดก ท่านก็ไม่สึก ท่านพ่อลีตอบว่าถ้าจะให้ก็ไม่ต้องให้ส่วนตัวหรอก ทำบุญไปเลย ให้วัดไปเลย อาตมาไม่เอา คุณย่าเห็นว่าท่านพ่อมีความตั้งใจอย่างนั้นจริง ๆ จึงทำตามที่ท่านพ่อบอก ที่จำได้ ย่ายกสมบัติที่มีให้วัด ยกที่ให้โรงเรียน ส่วนหนึ่งของวัดป่าคลองกุ้งก็เป็นที่ย่า ติดกับบ้านที่ย่าอยู่มีสวนมะม่วงด้วย ผมเคยทานข้าวที่บ้าน แล้วไปนั่งส้วมที่สวนมะม่วง ใกล้กันมาก แหงนหน้ามีแต่มะม่วง เก็บมะม่วงได้ เพราะส้วมสมัยนั้นไม่มีหลังคา พ่อผมก็ยินดีที่ย่าเอาสมบัติส่วนของท่านพ่อลีทำบุญถวายวัดไป เพราะพ่อก็แน่ใจว่าท่านพ่อลี คือน้องชาย ที่ตายไปตอนอายุได้ ๘ ขวบจริง ๆ ต่อมาภายหลัง พ่อกับย่ามาอยู่ที่บางคล้า แปดริ้ว พ่อมาเป็นคหบดีที่นี่ ย่ามาตายที่บางคล้า ยังไม่ทันเผาศพย่า พ่อก็ตายอีก พอท่านพ่อทราบข่าว ก็มาที่บางคล้า ถามไถ่ลูกหลานว่าเป็นยังไง ทำบุญยังไง งานศพคุณย่ากับงานศพพ่อทำที่วัดแจ้งเป็นงานใหญ่มาก ท่านพ่อลีแข็งขันมาก ท่านมาจูงศพให้เอง ทำเหมือนกับท่านเป็นเจ้าภาพองค์หนึ่ง ท่านมาจากเมืองจันท์ฯ มากันหลายคน ท่านนั่งตรงที่ตั้งศพ คนจันท์ฯ ก็จะนั่งอยู่ข้างๆ ความที่เราไม่รู้ประสีประสา ความคารวะอะไรเราก็ไม่รู้เรื่อง ได้แต่สงสัยว่าแหมเขาคอยอะไรนะ สักพักท่านพ่อคายชานหมาก เขาก็รีบรับมาแบ่งกัน แล้วก็บอกว่าอมเข้าไปแล้วจะรู้สึกคล้าย ๆ อมพิมเสน จะเย็น แต่ท่านไม่เห็นให้ผมเลย ผมก็คิดว่าเอ...เคี้ยวกันเองก็ได้ ทำไมต้องคอยจากที่ท่านคายออกมา ท่านพ่อลีมีปานดำที่ลิ้น ลิ้นของท่านดำ ฉะนั้นชานหมากของท่านจึง “เฮี้ยน!” (ขลัง) ต้องแย่งกัน ถ้ามีใครขออะไรท่าน ท่านจะบอกว่าให้นั่ง “พุทโธ” ตอนที่ย่าตาย มีปัญหาจัดการเรื่องมรดกไม่ลงตัว พี่น้องมีปากมีเสียงกันนิดหน่อย พอท่านพ่อลีขอ ก็เลิก ๆ กันไป ท่านสอนไม่ให้โลภ ท่านเคยมาเยี่ยมผม ท่านก็ถามสบายดีไหม ถ่ายรูปดีไหม ขยัน ๆ เน้อ ตอนนั้นผมเปิดร้ายถ่ายรูป ท่านก็พูดธรรมดา ไม่เคยสอนไม่เคยให้อะไรมาก ไม่ให้คาถาด้วย ก่อนที่ท่านจะกลับเมืองจันท์ฯ ท่านมาเยี่ยม คืนนั้นถ่ายรูปท่านตอนประมาณ ๒-๓ ทุ่ม รูปที่ท่านนั่ง ผมเป็นคนถ่ายที่บ้านผม สมัยนั้นใช้กล้องใหญ่ถ่าย กล้องแบบขาตั้ง คลุมหัวแล้วก็หมุน สมัยนั้นกล้องเล็ก ๆ ไม่ค่อยมีหรอก ไฟก็ไม่มีต้องใช้ตะเกียงเจ้าพายุ แล้วก็รีบล้างให้ท่าน ไม่สะดวกเหมือนสมัยนี้ ท่านจะลงอักขระที่รูปให้ ก็เหลืออยู่แผ่นเดียวรูปนี้ ตอนท่านมาอยู่วัดอโศการาม ผมได้ไปหาท่าน ท่านให้พระดินที่ท่านสร้างพร้อมกับยันต์ หน้าท่านพ่อลีคล้ายพ่อผมมากเลย กราม เกริมอะไรนี่ เหมือนมาก ทุกวันที่ ๒๓ เมษายน ผมต้องไปทำบุญที่วัดอโศฯ ทุกปี บูชารูปมาบ้าง ผมเคารพนับถือท่านพ่อลีมาก
Create Date : 22 พฤศจิกายน 2563 |
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2563 8:03:09 น. |
|
0 comments
|
Counter : 230 Pageviews. |
|
|
|
| |