ดี
เกือบตกนรก พลิกชะตาขึ้นสวรรค์ทันที ด้วยอานิสงส์แห่งบุญของลูกชาย เพียงแค่บวชเป็นสามเณร บุญมหาศาลช่วยพ่อแม่ได้ ตัวอย่างในพระสูตรที่มีมาในเรื่องของ เณรสุบิน ท่านกล่าวว่า เณรสุบินคนนี้ ปรากฏว่าบิดามารดาเป็นพรานแต่ว่าลูกชายมีจิตใจเลื่อมใสในศาสนาขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มีคติไม่ตรงกัน พ่อชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แม่ก็มีอารมณ์จิตเหมือนกับพ่อ แต่ว่าสำหรับลูกชายกลับเป็นคนที่มีจิตน้อมไปในกุศลในพระพุทธศาสนา หนีพ่อหนีแม่ไปบรรพชาเป็นสามเณร เป็นอันว่าพ่อแม่สามเณรไม่มีโอกาสจะพบกัน ต่อมาเมื่อกาลเวลาเข้ามาถึง พ่อและแม่ก็ตายจากความเป็นคนด้วยอำนาจกรรมที่เป็นอกุศล พระยายมก็สั่งคนมาเชิญไป เป็นแขกรับเชิญคือเชิญไปในขุมนรก เชิญไปในสำนักพระยายมก็สอบสวนตามความเป็นจริงว่า ทำกรรมที่เป็นอกุศลอะไรบ้าง แกก็รับทุกอย่างว่า ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตั้งแต่สัตว์เล็กถึงสัตว์ใหญ่ อาศัยกฎของกรรมอันนี้ก็ปรากฎว่าท่านทั้งสองจะต้องลงนรก เขาจึงนำไป เมื่อนำไปแล้วตามธรรมดาสัตว์นรกที่มีกรรมที่เป็นอกุศลทั้งหมด เมื่อเข้าเขตของนรกแล้วก็ต้องลงขุมได้ทันที แต่ว่าบิดามารดาของสามเณรนี้ลงไม่ได้ นายนิรยบาลจึงจับโยนลงไปเข้าขุมนรก ก็ปรากฎว่ามีหวายใหญ่มารองรับเป็นหวายร่างแหรองรับเข้าไว้ ไม่ตกลงไปในนรกทำอย่างนี้ถึง ๓ วาระ คนทั้งสองลงนรกไม่ได้เพราะอะไร เพราะว่าในเมื่อพ่อและแม่เห็นแสงไฟ ก็คิดขึ้นมาในใจว่า แสงไฟนี้คล้ายจีวรของพ่อเณรน้อย เพราะว่าเณรไปบวช ทราบว่าบวชก็ไปทวงให้สึก เณรไม่สึก เห็นภาพเณรเพียงนิดเดียวเท่านั้นจิตใจนึกขึ้นมาได้ว่า เณรลูกชายของเรามีสีจีวรคล้ายเปลวไฟ เพราะไฟบางตอนมันมีสีเหลือง จิตคิดเป็นอย่างนี้ เป็นอันว่าบิดามารดาทั้งสองศรีลงนรกไม่ได้ นายนิรยบาลก็นำกลับมาสำนักพระยายมใหม่ พระยายมก็สอบถามว่า “กรรมใดที่เป็นกุศลน่ะ ท่านไม่เคยทำบ้างเลยหรือ ?” สำหรับบิดามารดาของสามเณรก็กล่าวว่า กรรมใด ๆ ที่เป็นกุศลตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งตาย ไม่เคยทำ มีอย่างเดียวคือมีลูกชายอยู่คนหนึ่งชื่อสุบิน เธอไม่พอใจในการทำอกุศลกรรมความชั่ว สอนให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเธอก็ไม่ทำ ในที่สุดเธอก็หนีไปบวชเป็นสามเณรน้อยในพระพุทธศาสนา เป็นอันว่า ท่านพระยายมก็ทราบว่า นี่บุญลูกชายบวชเณร ท่านจึงกล่าวว่า "ในเมื่อลูกชายบวชเณร เราสอบสวนในตอนก่อนทำไมเจ้าจึงไม่บอก..?" บิดามารดาของสามเณรบอกว่า.... “นึกไม่ออก เพราะกรรมที่เป็นอกุศลบัง มันกดปากเข้าไว้ บังใจไม่ให้นึกถึง” เป็นอันว่าในเมื่อพระยายมทราบอย่างนั้น จึงได้กล่าวว่า... "เพราะอำนาจกุศลที่ลูกชายของท่านบวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา จึงเป็นเหตุบันดาลให้ลงในขุมนรกไม่ได้ ฉะนั้นท่านจงได้รับผลของกรรมคือความดีต่อไปก็หมายความว่าไปเกิดบนสวรรค์" นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ท่านทั้งหลายที่มีบุตรชายบวชเป็นสามเณรก็ดี บวชเป็นพระก็ดีในพระพุทธศาสนา แม้ว่าท่านจะไม่ยินดีหรือไม่ทราบท่านก็มีอานิสงส์มาก จะนั่งเทศน์ถึงอานิสงส์ถามกันไปตอบกันมาสิ้นเวลา ๑ กัปก็ไม่จบ ฉะนั้นองค์สมเด็จพระนราสภจึงได้ทรงสรุปไว้ว่า “การอุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนาย่อมเป็นปัจจัยเข้าถึงพระนิพพาน” สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า "เป็นสามัญผล" คือเป็นผลที่เสมอกัน คนที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา จะเป็นลูกผู้ดีหรือยากจนเข็ญใจเป็นลูกขอทานก็ตามทีเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนานี้ย่อมมีสิทธิเสมอกันในการทรงสิกขาบท และสามารถที่จะกำหนดจิตปฏิบัติสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐานได้เสมอกัน ฉะนั้นจึงจัดว่ามีอานิสงส์มาก . ที่มาของบทความ: หนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑ หน้า ๔๑ - ๔๔ .,โดย...พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน .,รวบรวมจัดพิมพ์โดยคณะสงฆ์และเจ้าหน้าที่เวฬุวัน วัดท่าซุง ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี
Create Date : 19 มกราคม 2564 |
Last Update : 19 มกราคม 2564 8:42:25 น. |
|
0 comments
|
Counter : 135 Pageviews. |
|
|
|
| |