ดี
(ท่องมนต์วิเศษ) นะ-คือ พระพุทธเจ้ากุกกะสันโธ องค์แรกในภัทรกัปนี้ โม-คือ พระพุทธเจ้าโกนาคม องค์ต่อมา พุท-คือ พระพุทธเจ้ากัสสปะ องค์ถัดมา ธา-คือ พระพุทธเจ้าพระสมณโคดม องค์ปัจจุบัน ยะ-คือ พระพุทธเจ้าพระศรีอริยเมตไตรยในอนาคตกาลข้างหน้า เปิดธรรมเปิดโลกเปิดจิตครอบจักรวาล ด้วยนะโมพุทธายะ พระพุทธังอาราธนา พระพุทธเจ้าเปิดโลก พระธัมมังอาราธนา พระพุทธเจ้าเปิดโลก พระสังฆังอาราธนา พระพุทธเจ้าเปิดโลก นะเปิดบุญ โมเปิดบารมี พุทเปิดวาสนา ธาเปิดจิต ยะเปิดธรรม เปิดโลกเปิดจิตครอบจักรวาล ด้วยนะโมพุทธายะ ยะเปิดกรรมดี ธาเปิดงานดี พุทเปิดโชคดี โมเปิดลาภดี นะเปิดอำนาจดี เปิดสิ่งดีๆทั้งหลายมาสู่สยาม อวิชาสูญสิ้นแผ่นดินร่มเย็น ด้วยยะธาพุทโมนะ นะมะพะธะ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ขออำนาจบารมีของพระรัตนตรัยเปิดสยามบังเกิดแดนพุทธภูมิธรรม เปิดสำเร็จ สำเร็จ สำเร็จพระเจ้าเปิดโลก สยามสว่างเรืองรองด้วยมหาบารมีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ **คาถามหาเมตตา** ******เม กะ มุ อุ ****** "หัวใจ พรหมวิหาร" สุดยอดคาถาที่ทุกคนพึงมี....เริ่มต้นจะขอกล่าวถึง "พรหมวิหาร ๔" อันได้แก่.. ....เมตตา คือความรักความสงสาร ... กรุณา คือความเอื้อเฟื้อ มีใจมุ่งช่วยเหลือผู้อื่น ... มุฑิตา คือความยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นมีความสุข ... อุเบกขา คือการวางเฉยต่อสิ่งที่มากระทบกระทั่งกายและใจ ... "หัวใจ" อยากให้ท่านทั้งหลายมี "หัวใจ" ประดับตัวไว้สัก ๓ ดวง ..ดวงที่ ๑: คือ "หัวใจบริสุทธิ์" ที่เต็มไปด้วยความรักความเมตตาต่อผู้อื่น ..ดวงที่ ๒: คือ "หัวใจของผู้อื่น" ที่อยู่รอบๆตัวของท่าน ความเห็นใจและนึกถึงใจผู้อื่น ..ดวงที่ ๓: คือ พระคาถาหัวใจพรหมวิหาร 4 คือ " เม กะ มุ อุ " ..เมื่อท่านทั้งหลายเข้าใจแล้วว่า "หัวใจ" ทั้ง 3 ดวงคืออะไร ..ลำดับต่อไป..จะขอเชิญท่านทั้งหลายมาร่วมกันแผ่เมตตา..ให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ..ก่อนแผ่เมตตา..ขอท่านทั้งหลาย..วางอารมณ์ใจ..น้อมนำดวงใจทั้ง ๓ ดวงนี้ ให้มาสถิตบังเกิดมีในใจของท่าน ...ดวงที่ ๑ น้อมมา..ท่านทำใจให้ว่าง..บริสุทธิ์..ปราศจากกิเลสและความเศร้าหมอง ...ดวงที่ ๒ น้อมมา..ท่านส่งจิตตนออกไป..นึกถึงจิตใจของผู้อื่น ดังคำว่า "ใจเขาใจเรา" ...ดวงที่ ๓ ท่านน้อมนำพระคาถา หัวใจพรหมวิหาร ๔ มาสถิตในใจท่าน แล้วว่าคาถา ..เม (เมตตา) ระลึกว่า "เราจะรักและห่วงใยในคนและสัตว์ทั้งหลายด้วยความจริงใจ" ..กะ (กรุณา) ระลึกว่า "เราจะสงเคราะห์ช่วยเหลือคนและสัตว์ทั้งหลายตามกำลังที่มี" ..มุ (มุฑิตา) ระลึกว่า "เรามีความสุขและยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นมีความสุข" ..อุ (อุเบกขา) ระลึกว่า "เราจะไม่ถือสาเมื่อมีผู้ใดมากระทบกระทั่ง" ....อานิสงส์การเผยแพร่ธรรม.... ทานอันประเสริฐ .....ขอให้ข้าพเจ้าได้ตัดเศียรเกล้า มอบชีวิตเป็นพุทธบูชา..ถวายแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า .....ขอให้ข้าพเจ้าได้เผาร่างกายของตน เป็นดวงประทีป..บูชา แด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า .....ขอให้ได้บำเพ็ญยอดปรมัตถบารมี..ในยุคแห่งพระศรีอาริพุทธเจ้า และพระรามพุทธเจ้า .....เพื่อเป็นพละปัจจัย ให้ถึงซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า อย่างเที่ยงแท้ .....เพื่อจบการเกิด แก่ เจ็บ ตาย นำพาสรรพสัตว์..เข้าสู่พระนิพพาน อันสูญแล้ว..จากความทุกข์ ***ยอดปรมัตถบารมี*** ....พระศรีอาริยเมตไตรย ๑ , พระรามเจ้า ๑ ***พระเจ้าสังขจักรบรมจักรพรรดิ ***พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ ***มหาบารมีแห่งพระบรมโพธิสัตว์ ต่อ สมเด็จพระสิริมิตรสัพพัญญูผู้ประเสริฐ :: ......ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมสังขจักรก็ได้ซึ่งอัสสาสประสาท เกิดความยินดีชื่นชมก้มเศียรเกล้า คลานเข้าไปในสำนักสมเด็จพระพุทธองค์เจ้า เสด็จนั่งยังที่อันสมควรแล้วจึงยกพระกรขึ้นประนมบังคมเหนือศิโรตม์กระทำอภิวาทนมัสการ กราบทูลว่า ภนฺเต ภควา ข้าแต่สมเด็จพระพุทธองค์เจ้า บัดนี้ข้าพระบาทถึงสำนักพระองค์เจ้าแล้ว ขอจงทรงพระกรุณาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระพุทธเจ้า โปรดตรัสแสดงพระธรรมเทศนาอันอุดม ให้ข้าพระบาทฟังในกาลบัดนี้ฯ ......ปางนั้น สมเด็จพระชินศรีจึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาโปรดแก่พระยาสังขจักร เมื่อพระองค์ได้ทรงสดับพระสัทธรรมเทศนาบทหนึ่งสิ้นเนื้อความลงแล้ว ก็ทูลห้ามสมเด็จพระพุทธเจ้าว่า ขอพระองค์จงหยุดพระธรรมเทศนาเสียเถิด อย่าทรงสำแดงต่อไปเลยฯ ***มีปุจฉาว่า เหตุไฉนพระเจ้าสังขจักรจึงทูลห้ามสมเด็จ ......พระพุทธเจ้าเสียดังนี้ ......เดิมทีสิมีพระทัยผูกพันในพระพุทธศาสนา ระลึกถึงซึ่งคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้าเป็นอันมาก ทรงสู้สละศิริราชสมบัติบรมจักรเสด็จมาด้วยความลำบากแทบถึงซึ่งชีวิต ครั้นมาประสพพบพระภควันตบพิตร พระองค์ประทานธรรมเทศนาแล้วห้ามเสียด้วยเหตุประการใดฯ ***วิสัชนาว่า สมเด็จบรมสังขจักรทรงคิดเห็นว่า .....ถ้าสมเด็จพระพุทธเจ้าโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาเป็นอันมาก แล้วพระองค์ก็เสด็จมาแต่พระองค์เดียวเปลี่ยวพระทัยนัก จะหาเครื่องไทยธรรมอันสมควรที่จะสักการบูชา ให้สมควรแก่รสพระสัทธรรมนั้นหามีไม่ บัดนี้เราได้สดับรับรสพระธรรมเทศนาแต่บทเดียว เครื่องสักการบูชาของอาตมานี้มิพอสมควรกันกับพระสัทธรรมแล้ว พระองค์ทรงคิดดังนี้ จึงทรงห้ามสมเด็จพระพุทธเจ้าเสีย ......ข้าพระพุทธเจ้าเกล้ากระหม่อมฉันได้สดับฟังพระสัทธรรมของพระองค์ในกาลบัดนี้ พระองค์ทรงพระมหากรุณาตรัสพระสัทธรรมเทศนาสำแดงพระนิพพานอันเดียวเป็นที่สุดพระสัทธรรมอยู่แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าจะตัดเศียรเกล้า อันเป็นที่สุดแห่งสรีรกายแห่งข้าพเจ้า ออกกระทำสักการบูชาพระสัทธรรมเทศนาของสมเด็จพระพุทธองค์ก่อน ตรัสดังนั้นแล้ว พระเจ้าสังขจักรผู้มีอัธยาศัยอันยิ่ง จึงทรงอธิษฐานขอให้เล็บของพระองค์คมดังพระแสงดาบ เด็ดซึ่งพระศอให้ขาดแล้ววางไว้บนฝ่าพระหัตถ์ ตั้งปณิธานความปรารถนา ออกพระโอษฐ์ตรัสด้วยวาจาว่า ภนฺเต ภควา ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงศิริเป็นที่เฉลิมโลก เชิญพระองค์เสด็จเข้าสู่เมืองแก้วอันเกษมสานต์ คือพระอมตมหานิพพานอันสำราญก่อนข้าพระบาทเถิด ข้าพระบาทจะขอตามเสด็จไปสู่พระนิพพานอันสำราญต่อภายหลัง ด้วยข้าพระพุทธเจ้าได้ถวายเศียรเกล้าบูชาพระสัทธรรมเทศนาของพระองค์ในกาลบัดนี้ ในที่สุดขาดพระวาจาปณิธานปรารถนาลง พระบรมโพธิสัตว์ก็จุติจิตต์สิ้นชีวิตไปบังเกิดในดุสิตาสวรรค์เทวโลกฯ" ***** มหาทาน ยอดปรมัตถบารมี แห่งพระรามโพธิสัตว์ แด่องค์สมเด็จพระพุทธกัสสปเจ้า ......ครั้งหนึ่ง..องค์พระจอมไตรมหาศาสดา สมณโคดมเจ้า ได้ตรัสแก่พระสารีบุตรว่า ......ดูก่อนสารีบุตร พระรามโพธิสัตว์เจ้าได้บำเพ็ญกองบารมีทั้งหลายมาช้านานเป็นอันมากแล้ว แต่กองบารมีธรรมครั้งหนึ่งนั้น ปรากฏเป็นยอดปรมัตถบารมีอันประเสริฐ เพราะเหตุดังนั้นพระรามสัพพัญญูเจ้า จึงได้พระพุทธสมบัติเห็นปานดังนี้สมเด็จพระศรีสรรเพ็ชญ์จึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาแก่พระสารีบุตรว่า ในเมื่อครั้งพระศาสนาพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระรามองค์นี้เป็นบรมโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ มีนามว่านารทมาณพ วันหนึ่งนารทมาณพได้ทัศนาการเห็นองค์พระพุทธกัสสปสัพพัญญูบรมครูเจ้าครั้งนั้น ก็มีความโสมนัสยินดีปรีดา คิดว่าจะกระทำสักการบูชาแก่พระองค์ให้เห็นศรัทธาของอาตมา มิได้คิดแก่ชีวิตอินทรีย์ คิดแล้วจึงเอาผ้า ๒ ผืนชุบน้ำมัน พันสรีรกายตั้งแต่เศียรเกล้าตลอดปลายเท้าทั้ง ๒ แล้วก็จุดไฟขึ้นบนศีรษะเป็นประทีปกระทำสักการบูชา ถวายแก่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า แล้วตั้งปณิธานความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระภาคเป็นอันงาม อันว่าองค์อวัยวะน้อยใหญ่ในสรีรกายของข้าพระพุทธเจ้า คือเลือดเนื้อเป็นอาทิ กระทำเป็นทานถวายแก่พระองค์ในกาลบัดนี้ ปัจจโย โหตุ จงบังเกิดมีเป็นปัจจัย ให้อุปการคุณอุปถัมภกยกชูข้าพระพุทธเจ้าให้ได้สำเร็จแก่พระสร้อยสรรเพชุดาญาณ ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเถิด ......ครั้งนั้นองค์สมเด็จพระพุทธกัสสปเจ้า จึงตรัสพยากรณ์ทำนายนารทมาณพนั้นในท่ามกลางบริษัททั้ง ๔ มีพระพุทธฎีกาว่า ดูก่อนมาณพผู้เจริญ ในเมื่อภัทรกัปนี้ฉิบหายไปแล้ว บังเกิดมีกัปป์ตั้งขึ้นมาใหม่ เป็นสุญญกัปอยู่สิ้นกาลช้านาน นับได้อสงไขยแผ่นดินล่วงไปแล้ว ครั้งนั้นจึงบังเกิดมัณฑกัปป์ ในกาลเบื้องหน้าคือตัวของมาณพนี้จะได้บังเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระรามสัพพัญญูในมัณฑกัปป์อันนั้น พระองค์ทรงพยากรณ์ทำนายมาณพดังนี้แล้ว ครั้นเวลาราตรียังรุ่ง ก็กระทำกายของมาณพเป็นประทีปถวายต่างเครื่องสักการบูชาสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นอันดี ครั้นนารทมาณพดับจิต ก็ได้ไปบังเกิดในดุสิตาสวรรค์เทวโลก ในที่เผาสรีรกายกระทำสักการบูชาแห่งมาณพนั้นก็บังเกิดดอกบัวผุดขึ้นมา มหาชนเห็นเป็นอัศจรรย์จึงกล่าวสรรเสริญชมว่า จะหามนุษย์ผู้ใดเปรียบเสมอสองหามิได้ นานไปจะได้บังเกิดเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ......ด้วยผลอานิสงส์ที่ท่านมิได้เอื้อเฟื้อแก่สรีรกายและชีวิตของอาตมากระทำเป็นมหาบริจาค เจตนาอันใหญ่ยิ่งกว่าบารมีทั้งหลายทั้งปวง ......ด้วยเดชะอานิสงส์ที่บูชาสรีรกายของอาตมานั้นเมื่อได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า มีสรีรกายสูง ๘๐ ศอก ......สละชีวิตเป็นทาน เป็นปรมัตถบารมีอันอุดมอุกฤษฏ์นั้น จะมีพระชนมายุได้ ๙ หมื่นปีเป็นกำหนด ......เวลาราตรียังรุ่งตามประทีปแล้ว คือ สรีรกายของอาตมากระทำสักการบูชานั้น จะบังเกิดพระรัศมีรุ่งเรืองงามสว่างไปทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นนิจจกาล อาจปกปิดเสียซึ่งแสงพระจันทร์และพระอาทิตย์ กระทำให้อัปภาคย์แพ้พระรัศมีของพระองค์ฯ **ใครจะอธิฐานสร้างบารมี** ขอฟ้าดินเป็นพยาน สิ่งศักดิ์สิทธิล้วนที่เฝ้ามอง ในความดีที่จะบำเพ็ญเพียร :: ข้าพเจ้า จ่าสิบเอกสิทธิชัย รักภักดี พุทธบุตร..แห่งองค์พระทศพลบรมมหาศาสดา ทุกพระองค์ ข้าพเจ้าขอมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง พร้อมมอบกายถวายชีวิตแด่พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า ข้าพเจ้าพร้อมอุทิศชีวิตและจิตวิญญาณ มุ่งตรงทางกระแสโพธิญาณ โพธิสัตว์ วงศ์แห่ง..ท่านตถาคต ข้าพเจ้า..จะดำรงอยู่ในวัฏสงสาร เพื่อมุ่งสู่ประโยชน์แก่สรรพชีวิต ในการหลุดพ้นจากวัฏภัย ข้าพเจ้า..จะขอเกิดและตาย..เพื่อทางแห่งพระโพธิสัตว์ เพื่ออนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ..องค์สัพพัญญู .....ด้วยสัจจะความจริงใจแห่งข้าพเจ้านี้ ข้าพเจ้าขอปฏิญาณให้คำมั่นตั้งสัจจะ *****อธิษฐาน .......ข้าพเจ้าจักขอมีความบริสุทธิใจ ในกิจการงานทุกอย่างอันเป็นไปเพื่อโพธิญาณ กิจการงานเพื่อประโยชน์แห่งสรรพชีวิต และกิจการงานเพื่อประพุทธศาสนา ขอให้เทพยดา ฟ้าดิน โปรดเป็นพยาน ในกิจการงานทุกอย่างของข้าพเจ้าและหมู่คณะ พร้อมโปรดอำนวยอวยพร ให้ทุกๆกิจงานนั้นๆสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ผลแห่งความดีทั้งหมด..ข้าพเจ้าพร้อมคณะที่ได้เคยทำมา กำลังทำอยู่ และจะได้ทำต่อในอนาคต ขอให้เป็นพลวะปัจจัยสู่ความสำเร็จในทางแห่งพระโพธิสัตว์ เพื่อได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ จงบังเกิดมีแด่ข้าพเจ้าและหมู่คณะผู้ปรารถนาพุทธภูมิ " ......ต่อไปนี้ข้าพเจ้าและหมู่คณะ..จะสร้างบารมี ทำคุณงามความดีกันอีกมากมาย ด้วยความบริสุทธิใจ โดยมุ่งประโยชน์แห่งสรรพสัตว์และประโยชน์แห่งพระพุทธศาสนาเป็นสำคัญ ด้วยความจริงใจ..ขอท่านทั้งหลาย โปรดร่วมกันสร้างคุณงามความดี ถวายเป็นพุทธบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา โพธิสัตว์บูชา มหาจักรพรรดิบูชา เพื่อประโยชน์แห่งสรรพชีวิตทั้งปวง.. ..และจักขอเชิญ ญาติธรรมทั้งหลาย มาร่วมด้วยในการสร้างความดี ที่สิ่งศักดิ์สิทธิเฝ้ามอง.. :: ข้าพเจ้าและหมู่คณะ ขอตั้งคำมั่น ว่าจะดำรงตนอยู่บนทางแห่งความบริสุทธิและดีงาม :: :: จึงขอประกาศไว้ ฟ้าดินเป็นพยาน สิ่งศักดิ์สิทธิล้วนเฝ้ามอง ในความดีที่จะบำเพ็ญเพียร... กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพวาดสีน้ำมันนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน
Create Date : 30 ธันวาคม 2563 |
Last Update : 30 ธันวาคม 2563 19:28:05 น. |
|
0 comments
|
Counter : 407 Pageviews. |
|
|
|
| |