บันไดมนุษย์ images by free.in.th
Group Blog
 
All blogs
 
วันที่ห้าในญี่ปุ่น(21/08/2553) ปีนภูเขาไฟฟูจิ(1)

เช้านี้ตื่นมาด้วยความตื่นเต้น ผมจัดกระเป๋าใหม่แยกเอาของที่จำเป็นใส่ในกระเป๋าใบเล็กใบที่จะเอาขึ้นฟูจิ เอาสิ่งที่ไม่จำเป็นออกใส่กระเป๋าใบใหญ่แล้วฝากไว้ที่โรงแรมไม่แบกไปด้วย โปรแกรมปีนเขาคร่าวๆก็คือจะเดินขึ้นตอน 2-3 ทุ่มแล้วไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนนั้น เสร็จแล้วก็ลงมาเลยโดยไม่มีการพักค้างแรมบนนั้น

สิ่งของที่นำติดตัวไปก็มีเสื้อกันลม(Wind breaker), เสื้อกันหนาว, ไฟฉายคาดหัว (Head torch), ปลอกแขน, หมวก, กล้องถ่ายรูปแล้วก็เสื้อที่จะเปลี่ยนตอนลงมาแล้ว ทั้งหมดในกระเป๋าก็มีอยู่เท่านี้ ของในกระเป๋านั้นเบามาก เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าไม่มีการนอนหรือทำอาหารข้างบนนั้น อาศัยความอึดอย่างเดียว จึงไม่จำเป็นต้องขนอุปกรณ์อะไรไปมากมาย

การไปปีนฟูจินี้ผมโชคดีหน่อยไม่ต้องจัดการเรื่องการเดินทางเอง มีน้องที่อยู่ญี่ปุ่นเค้ามีโปรแกรมไปปีนพอดีผมก็เลยได้อานิสงค์ติดตามพวกเค้าไปด้วย โดยผมมีนัดกับน้องๆเค้าประมาณ 11 โมงแถวสถานีรถไฟ Shinjuku

ก่อนที่จะไปตามที่นัดกันไว้นั้น เพื่อเป็นการไม่ให้เสียเวลา ผมก็เลยไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ที่อยู่แถว Ueno ก่อน ที่นี่เป็น National Museum เปิดเวลา 9.30 น เสียค่าเข้า 600 เยน จริงแล้วน่าจะเปิดเร็วกว่านี่นิดหนึ่งจะได้มีเวลาเดินมากกว่านี้หน่อย ผมกะกว่าจะอยู่ที่นี่จนถึง 10.30 แล้วค่อยไป นี่ขนาดเปิด 9.30 ยังมีคนไปต่อคิวเข้าแถวซื้อตั๋วเพื่อเอาไปดูพิพิธภัณฑ์เลย











เวลาที่ผมมีอยู่เพียง 1 ชั่วโมงนี้ ทำได้แค่ชะโงกดูแค่ Main building ก็แย่แล้วครับ สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดในส่วนนี้ก็คือพวกชุดซามูไร และก็พวกดาบต่างๆ ดูแล้วก็นึกถึงการ์ตูนหลายเรื่องที่ซื้อมาอ่านเลยทีเดียว

เมื่อได้เวลาตามนัดนั้น ผมก็เดินทางไปเจอผู้ร่วมอุดมการณ์การปีนฟูจิที่ Shinjuku ตรงนี้พวกเรามีอยู่ด้วยกัน 5 คนเป็นผู้หญิง 3 คนผู้ชาย 2 คน ผู้ชาย 1 คนนั้นคือเพื่อนที่ผมไปเที่ยวด้วยที่ฟูกูโอกะ และอีก 3 คนก็มาจากฟูกูโอกะเมื่อกัน





พวกเราทั้ง 5 คนนั่งรถบัสจาก Shinjuku ไปที่สถานีคะวะงุชิโกะ ใกล้กับฟุจิคิวไฮแลนด์(สวนสนุกใกล้กับภูเขาไฟฟูจิ) เพื่อพบกับสมาชิกคนที่ 6 สมาชิกคนนี้เป็นผู้หญิงอีกเช่นเคย น้องคนนี้มาจากนาโงย่า(ไม่รู้จำถูกหรือเปล่า)
พวกเราทั้ง 6 คนนี้ไม่ได้ต่อรถตรงไปที่จุดเริ่มต้นทันทีเลย พวกเราเที่ยวกันแถวๆนั้นก่อน ที่ๆพวกเราจะไปนั้นเค้าเรียกว่าถ้ำน้ำแข็ง อยู่ใกล้ๆกับสถานีคะวะงุชิโกะ โดยพวกเรานั่งรถประจำทางไปแล้วก็เดินต่อเข้าไปที่บริเวณถ้ำนั้น



ถ้ำน้ำแข็งนี้ เป็นแห่งท่องเที่ยวที่คนไปเยอะมาก นั่งรถขาไปก็ติด ทางเขาก็รถเยอะ ขากลับก็ติดไม่รู้ว่าช่วงนี้มีอะไรนักหนาคนมาเที่ยวเยอะจริงๆ ผมไม่อาจจะรู้ได้ว่าบริเวณถ้ำน้ำแข็งนี้มีอะไรให้ทำอีกได้บ้างนอกจากจะมีดูถ้ำแห่งนี้ เพียงแต่ว่าผมสังเกตุมีผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่มาเดินป่าแถวนี้ด้วย









การเข้าชมถ้ำนั้น ต้องทำการซื้อตั๋วเข้าก่อนแล้วเค้าก็ห้ามเอาพวกไม้ต่างๆเข้าไปเพราะกลัวจะเข้าไปความเสียหายให้กับถ้ำได้ แต่กว่าจะเข้าไปชมความงามของถ้ำได้นั้นต้องต่อคิวยาวมาก ยาวแบบไม่น่าเชื่อ ข้อมูลที่ได้นั้นก็คือมีน้ำแข็งอยู่ในถ้ำนั้นเอง น้ำแข็งนี้เกิดจากในถ้ำมีน้ำขังอยู่ในช่วงฝนตกและเมื่ออากาศเย็นลงน้ำเหล่านี้ก็เป็นน้ำแข็ง ปรากฏการณ์นี้คาดว่าจะเกิดมาหลายล้านปีมาแล้ว ชาวญี่ปุ่นสมัยก่อนมีการนำเอาก้อนน้ำแข็งเหล่านี้ที่ได้จากถ้ำไปถวายให้แก่เจ้านายทั้งหลายในฤดูร้อน

เมื่อผมไปถึงบริเวณปากถ้ำก็ได้สัมผัสถึงอากาศอันหนาวเย็นที่ออกมาทันทีเลย นักท่องเที่ยวหลายคนเริ่มจะหยิบเสื้อกันหนาวมาใส่ อากาศด้านในกับด้านนอกนี้ช่างแตกต่างกันมาก แต่ปริมาณผู้คนนั้นก็จะติดขัดกันเหมือนเดิม ดีอย่างเดียวที่ไม่มีการแซงคิวหรือแย่งกัน ระยะทางในการชมถ้ำนั้นตอนแรกก็นึกว่าจะยาวที่ไหนได้สั้นมาก สั้นจริงๆ ที่เราต่อคิวกันมาตั้งนานได้มาดูนิดเดียวเอง นึกว่าจะเดินดูอะไรในถ้ำได้ยาวๆเสียอีก













การเที่ยวที่ตรงนี้พบกับความผิดหวังเล็กน้อยเพราะว่าพวกเราเสียเวลาให้กับตรงนี้นานเกินไปส่วนใหญ่หมดเวลาไปกับการรอเสียด้วยสิ ทำให้โปรแกรมอื่นๆของเราต้องรีบร้อนตามๆกัน

สำหรับการที่จะไปขึ้นภูเขาไฟฟูจินั้นไปได้หลายเส้นทางมีทั้งยากและง่าย สำหรับที่ผมไปนั้นเรียกว่าเป็นเส้นทางที่มีผู้คนนิยมไปมากที่สุด โดยมีชื่อเส้นทางว่า โยะชิดุงุชิ – คะวะงุชิโกะงุชิ จุดเริ่มต้นของเส้นทางอยู่บริเวณสถานีที่ 5 (5th station) สถานีบนฟูจินี้มีอยู่ 9 สถานีครึ่ง โดยที่เส้นทางนี้เริ่มต้นก็เป็นสถานีที่ 5 แล้ว สำหรับเส้นทางอื่นก็จะไปเริ่มต้นที่จังหวัดอื่น แต่สามารถที่จะไปเจอกันข้างบนนั้นได้

“ไปปีนภูเขาฟูจิทำไม” เป็นคำถามที่ตัวของผมเองรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ว่าสำหรับคำตอบของสมาชิกคนอื่นๆผมไม่อาจจะทราบได้ โดยเฉพาะเหล่าสาวๆในกลุ่ม คำตอบที่ผมได้มาก็คือว่า ‘อยากจะไป’ เป็นเพียงคำตอบสั้นๆง่ายๆ โดยที่ผมไม่พยายามที่จะหาคำตอบอื่นๆซ้ำ ผมว่าคำตอบเพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะให้มีแรงปีนขึ้นไปถึงจุดหมายแล้ว

‘เคยไปปีนเขาที่ไหนมาบ้างหรือเปล่า’ เป็นอีกหนึ่งคำถามที่ผมถาม เพื่อที่จะรู้จักสมาชิกในกลุ่มให้มากขึ้น ในใจผมนึกคำตอบออกมาถึงภูเขาหรือดอยที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของไทยเรา ปรากฏว่าไม่เคยเลย ไม่เคยปีนเขาที่ได้มาเลย สาวๆทั้ง 4 คนให้คำตอบอย่างเดียวกัน ผมนั้นแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

‘แล้วภูกระดึงละเคยไปไหม’ ผมพยายามที่จะบอกภูเขาที่ดูแล้วออกแรงเดินขึ้นเหนื่อยๆแล้วก็มีหลายคนไปมาแล้ว ‘ภูกระดึงก็ยังไม่เคยไปเลย’ เป็นคำตอบที่แสนจะท้าทายให้กับชีวิตหลังจากนี้จริงๆ
นี่เป็นความอยากจะไปที่ท้าทายจริงๆเลย ภูเขาฟูจิมีความสูง 3,776 เมตร ความยากของภูเขาลูกนี้นั้น อยู่ที่ความสูงของมัน ยิ่งเราขึ้นไปสูงเท่าไหร่อากาศก็จะยิ่งน้อยลง ซึ่งจะมีผลทำให้เราเหนื่อยง่ายขึ้น แถมถ้ามีใครเป็นโรคแพ้ความสูงอาการก็จะยิ่งแย่ลงไปอีก

ก่อนที่พวกเราจะนั่งรถต่อไปที่สถานีที่ 5 กันนั้น เราได้ไปเตรียมซื้อเสบียงอาหารกันไว้ก่อน แม้ว่าด้านบนจะมีอาหารและน้ำขายก็ตามที ไม่ต้องเดาเลยว่าของกินด้านบนนั้นคงจะแพงขึ้นไปอีกหลายเท่า เหล่าชาวไทยพวกเราที่เงินน้อยมีหรือจะไปซื้ออะไรกินด้านบน แค่ด้านล่างผมก็ว่าแพงแล้ว

ที่สถานีที่ 5 นี้เราได้ไปพบกับสมาชิกคนที่ 7 ของกลุ่ม เป็นหญิงสาวคนที่ 5 มีอายุน้อยที่สุดของกลุ่มเลย ถึงแม้จะดูอายุน้อย แต่ว่าดูเธอนั้นกระตือรือร้นที่สุดแล้ว

Step on the cloud
เมื่อเสื้อผ้าหน้าผมพร้อม อาหารพร้อม รองเท้าพร้อม พวกเราทั้ง 7 คน ก็ได้เริ่มต้นเดินขึ้นเขากัน เราเริ่มกันตอนเกือบจะ 3 ทุ่มแล้ว จริงแล้วนี่ก็เป็นการเดินขึ้นเขากลางคืนครั้งแรกของผมเหมือนกัน การเดินครั้งนี้เป็นการเดินที่มีคนเยอะมากที่สุดในชีวิต จะหาความเงียบสงบระหว่างทาง หรือปราศจากผู้คนไม่ได้เลย แสงไฟจากไฟฉายหรือไฟคาดหัวของแต่ละคนนั้นช่างส่องไสว ล้อไปกันแสงจันทร์เสียจริง





การเดินของกลุ่มเรานั้นแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือพวกช้ากับเร็ว ผมอยู่กับพวกเดินช้าจะได้คอยตามเก็บเดี๋ยวจะมาอ้างว่าไม่ไหวนอนรอระหว่างทางไม่ยอมขึ้นไป

จากชั้น 5 มาถึงชั้น 6 จากชั้น 6 มายังชั้น 7 การเดินของเรานั้นยังไปได้เรื่อยๆ พวกเรายังทำเวลาได้ดีการขึ้นไปดูพระอาทิตย์บนนั้นมีเวลาเหลืออีกมากมาย กระนั้นก็เถอะใช่ว่าการเดินทางจะง่ายเสมอไป ระหว่างทางขึ้นนั้นผู้คนจำนวนมากทำให้ต้องมีการรอคิวกันเป็นระยะๆ บางช่วงถึงขึ้นต้องมีหยุดรอในช่วงทางแคบ แถมอากาศก็เริ่มจะหนาวขึ้นไปเรื่อยๆ อุปสรรคที่สำคัญจริงแล้วคือลม ลมพัดแรงขึ้นพัดพาความหนาวเย็นมาด้วย เสื้อกันหนาวเริ่มถูกหยิบออกมากันทีละตัว 2 ตัว





การขึ้นเขาตอนดึกนี้มีข้อดีคือว่าไม่ร้อน เดินได้เรื่อยๆ ข้อเสียคือง่วง ปกติแล้วใครจะมาเดินอะไรตอนเที่ยงคืนแบบนี้ ความง่วงนี้ทำให้หลายคนนั้นออกอาการป่อแป้ไปเหมือนกันครับ















หลังจากชั้นที่ 7 ขึ้นไปนี่ เราทำเวลากันไปแย่มาก คนก็เยอะเริ่มจะมีการพักกันนานขึ้น เดินกันเหนื่อยง่ายขึ้น จากที่เราคิดว่าจะไปดูพระอาทิตย์บนยอดนั้น ต้องเปลี่ยนมาดูระหว่างทางแทน เราเดินกันไปเรื่อยๆไม่มีกำหนดว่าจะหยุดดูที่จุดไหน ขึ้นเมื่อไหร่ก็หยุดเมื่อนั้น สถาพอากาศเหนือเมฆบนนี้ช่างแสนหนาวเย็นในช่วงที่ยืนพักอยู่เฉยๆ เมื่อต้องหยุดก็ต้องไปหาที่หลบลมก่อนไม่งั้นหนาวตายแน่ แล้วความง่วงเหงาหาวนอนก็เข้ามาคุกคามพวกเราทุกคนมากขึ้นๆ สภาพก่อนจะเช้านี่แต่ละคนเริ่มโทรมแล้วครับ






Create Date : 07 กันยายน 2553
Last Update : 7 กันยายน 2553 21:32:22 น. 1 comments
Counter : 1043 Pageviews.

 
น่าไปมากครับ


โดย: เอกTung วันที่: 8 กันยายน 2553 เวลา:16:36:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลานสน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ตราบที่ยังมีความฝัน ตราบนั้นก็ยังเดินหน้าสู้ต่อไป
Custom Search
Friends' blogs
[Add ลานสน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.