บันไดมนุษย์ images by free.in.th
Group Blog
 
All blogs
 

Backpack ไปพม่าวันที่8: 12/12/09 Bagan-Yangon

เกือบจะถึงสุดทางของการเดินทางในพม่าแล้ว และวันนี้ก็ยังเป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่บะกันอีกด้วย เย็นนี้พวกเราก็จะเปลี่ยนที่นอนไปนอนที่ย่างกุ้ง เตรียมตัวก่อนที่พรุ่งนี้จะบินกลับเมืองไทยกัน

พวกเราจะกลับไปย่างกุ้งด้วยการบินภายในประเทศด้วยสายการบิน “Air Bagan” อันนี้ซื้อตั๋วกันตั้งแต่ที่ Mandalay มาแล้วจะได้หมดปัญหา เครื่องบินมีเที่ยวตอนประมาณบ่าย 4 โมงกว่าๆ ทำให้เรายังมีเวลาเที่ยวในตอนเช้าอยู่อีกหน่อย





เช้านี้เราเริ่มต้นเที่ยวด้วยรถม้าเหมือนเช่นเคย โดยไปที่ “Buphaya” กัน บริเวณนี้ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกได้อีกด้วย แต่จะไม่เห็นทะเลเจดีย์เท่านั้นเอง เนื่องจากตรงนี้ติดบริเวณแม่น้ำอิระวดี เจดีย์นี้มีคนเที่ยวเยอะเหมือนกัน แถมยังมีร้านขายของฝาก ร้านอาหารวางเรียงรายอยู่หลายจุด คาดได้ว่าต้องเป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์มาลงแน่นอน









เมื่อเที่ยวได้สัก 3-4 แห่งก็ต้องกลับที่พักเพื่อไป Checkout และเอากระเป๋าเดินทางออกมาจากห้องด้วย คนขับรถม้าบอกว่าตอนบ่ายนี้ให้เอากระเป๋าเดินทางไปกับรถม้าเลย เมื่อใกล้ๆเวลาที่ต้องไปที่สนามบินจะได้ไปปส่งให้เลยไม่ต้องย้อนไปย้อนมาอีก











ส่วนใหญ่แล้วการเที่ยวด้วยรถม้านั้น คนขับจะเป็นคนวางแผนการเดินทางรวมทั้งสถานที่ต่างๆที่จะไป ให้เหมาะกับเวลาและม้าของเค้าด้วย การเที่ยวแบบบังคับให้ม้าไปหลายๆแห่งอาจจะทำให้ม้านั้นเหนื่อยเกินไปก็ได้ ดูจะเป็นการทรมาณสัตว์ไปอีก











ช่วงบ่ายนี้ก่อนขึ้นเครื่องเป็นการเที่ยวในอีกพื้นที่หนึ่งเป็นอยู่คนละทางกับเส้นทางหลัก แถวนี้ไม่ค่อยจะมีต้นไม้เลย แถมอากาศในวันนี้ร้อนมากกว่าวันก่อนๆเยอะ ตอนแรกนึกว่าสถานที่เที่ยวแถวนี้จะคล้ายๆกับที่ผ่านมา แต่ว่าไหนได้ด้านในของพระเจดีย์แถวนี้มีภาพเขียนสีที่สวยงามอยู่มากมาย และที่สวยๆก็ไม่สามารถที่จะถ่ายภาพออกมาให้เห็นกันได้ สิ่งเหล่านี้เป็นความน่าทึ่งของศิลปะของพม่าเลยที่สามารถคงนาน ผ่านกาลเวลามาร่วมกว่า 1,000 ปีมาแล้ว











สุดท้ายของการเดินทางด้วยรถม้านั้น เค้าไปส่งเราถึงสนามบินซึ่งให้ความรู้สึกแปลกๆดีดูไม่ค่อยจะเข้ากันเท่าไหร่ แล้ววิธีการตรวจสอบเอกสารของการเดินทางภายในประเทศก็ไม่มีอะไรเลย แค่ยื่นตั๋วก็ได้แล้วไม่มีแม้แต่การตรวจ Passport ให้ตรงกับชื่อใดๆทั้งสิ้น แปลกดีจริงๆแบบนี้ใครเก็บตั๋วได้ก็ไปขึ้นเครื่องได้สิ











การบินจากบะกันไปย่างกุ้งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆเป็นเครื่องบินใบพัด 2 เครื่องมีอาหารเสริฟภายในด้วย และเมื่อไปถึงเราก็นั่ง taxi ไปที่โรงแรมเดิมเหมือนกับวันแรกที่มา แต่คราวนี้ค่า taxi ถูกกว่าเพราะว่าเริ่มจะรู้ว่าราคาที่แท้จริงควรจะเป็นเท่าไหร่แล้ว พวกเราจองโรงแรมไว้ตั้งแต่วันแรกแล้วห้องเดิมทำให้ไม่ต้องไปกังวลที่ต้องไปหาที่พัก

พรุ่งนี้ก็จะถึงวันที่จะกลับเมืองไทยแล้ว เครื่องจะบินประมาณ 11 โมงแต่ยังไงก็ออกแต่เช้าอยู่ดี การเที่ยวที่ย่างกุ้งก็คงจะทำไมได้แล้ว ใจจริงก็อยากจะไปดูเจดีย์ชเวดากองตอนดึกอีกทีว่าจะสวยขนาดไหน แต่คงจะไม่สามารถแล้ว เนื่องจากว่าเหนื่อยมาก แล้วก็ยังไม่ได้กินข้าวเย็นด้วย เป็นอันว่าการท่องเที่ยวประเทศพม่าก็จบลง ณ ตรงนี้เองครับ เอาไว้โอกาสหน้าจะไปเที่ยวอินเล เผลอๆจะไปพิชิตจอดเขาของพม่าด้วยก็ดีเหมือนกัน




 

Create Date : 30 ธันวาคม 2552    
Last Update : 30 ธันวาคม 2552 21:03:32 น.
Counter : 1448 Pageviews.  

Backpack ไปพม่าวันที่7: 11/12/09 Bagan(2)

นี่เป็นอีกวันที่อยู่บะกัน เช้านี้เราตื่นกันอย่างเช้ามากๆ เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า รถม้านัดเราตอนตี 4 ครึ่ง ไม่รู้ว่าจะรีบนัดไปทำไมกว่าพระอาทิตย์จะขึ้นก็ 6 โมงกว่าๆ คนขับนั้นพาเรานั่งรถม้าฝ่าอากาศหนาวคลุกคล้าไปกับหมู่ดาวประมาณครึ่งชั่วโมง ไปบนพระเจดีย์อันหนึ่ง (ตอนนี้จำชื่อไม่ได้แล้วสิ) ต้องบอกว่าเจดีย์นี้เป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยมากเลย บนเจดีย์องค์นี้ ยังมียกรุ๊ปคนไทยอีก 2 กลุ่มใหญ่ และที่ตลกมากผมได้พบกับรุ่นน้องที่มหาลัยที่ไม่ได้เจอกันนานมากบนนี้ แปลกดีอยู่เมืองไทยไม่เคยเจอ







เช้าของวันนี้อากาศไม่ค่อยจะเป็นใจ มีเมฆมากทำให้ถ่ายรูปพระอาทิตย์ไม่ค่อยจะสวยนักไม่เหมือนเมื่อวานตอนเย็น เมื่อถ่ายรูปเสร็จสิ้นแล้ว พวกเราก็กลับไปที่พักก่อนเพื่อที่จะกินข้าวเช้าที่โรงแรมและเป็นการที่จะให้ม้าได้พักด้วย การเดินทางด้วยรถม้านี้มีข้อจำกัดอย่างหนึ่งคือว่า ต้องให้ม้าเค้าพักด้วย ไม่สามารถที่จะเดินทางยาวๆ ต่อเนื่องกันนานๆได้ จริงแล้วจะไปยาวก็ได้แต่ต้องให้แวะบ่อยๆก็เท่านั้นเอง







เช้านี้เราเริ่มเที่ยวกันจริงๆจังๆอีกรอบตอน 8 โมงกว่าๆ โดยจะไปเที่ยวกันแถว Old bagan แถวนี้เป็นเมืองเก่าที่ได้อนุรักษ์เอาไว้ ไม่ได้ให้ชาวบ้านชาวเมืองมาพักที่นี่ ทางพม่าเค้าย้ายชาวบ้านให้ไปอยู่ที่ new bagan จัดให้เป็ฯเมืองสำหรับอยู่ไปเลย ส่วนบริเวณ Old baganให้เหลือแต่พระเจดีย์กับคนขายของที่ระลึก บริเวณนี้มีพระเจดีย์มากมาย ถ้าจะเที่ยวกันจริงๆ เก็บทุกรายละเอียดแล้วอาจจะต้องใช้เวลาหลายวันทีเดียว









พวกเราถูกพาไปหลายที่มากมาย ส่วนที่ Highlight ของวันอยู่ที่วิหารอนันดา ที่นี่มีพระพุทธรูปยืนใหญอยู่ 4 องค์ 2 ใน 4 องค์นี้รอยยิ้มสามารถที่จะเปลี่ยนจากหน้ายิ้มเป็นหน้าบึ้งได้ อันนี้ไม่ได้เป็นความศักดิ์สิทธิ์ประการใด เพียงแต่เป็นความสามารถล้วนๆของช่างศิลป์ชาวพม่าครับ













ส่วนที่เที่ยวอื่นๆนี้ไม่สามารถที่จะจำรายละเอียดได้ น่าเสียดายมากครับ จำได้แต่ชื่อสถานที่หลักๆเท่านั้นเอง เช่น วิหารสัพพัญญู(Thatbyinnyu), พระเจดีย์มิงกาลา, พระเจดีย์มนูหา, วิหารติโลมินโล, วิหารชเวกุจี, พระเจดีย์ชเวซานดอว์ และพระวิหารธรรมยางจี





แต่ที่ที่จำได้แม่นเลยก็คือว่ามีแม่ค้า พ่อค้า ทั้งเด็กและผู้ใหญ่คอยตื้อให้ซื้อสินค้าของเค้า บางทีก็อยากจะขอแลกเงิน เป็นที่น่าเหนื่อยใจเป็นอย่างมากเลย ประโยคแรกที่เค้าจะถามนักท่องเที่ยวคือว่า “มาจากไหน” แล้วก็จะพยายามขายของสุดฤทธิ์ ใช้ทุกกลยุทธ ถ้าชอบสินค้าก็น่าจะซื้อเหมือนกัน เพราะว่าพวกเค้าก็ทำกันเอง ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนๆกันบ้างก็เถอะ แต่สำหรับฉันไม่ค่อยจะได้อุดหนุนเท่าไหร่











ช่วงเย็นก็หนีไม่พ้นการไปดูพระอาทิตย์ตกดินเหมือนเดิมแต่คนละที่เท่านั้นเอง เย็นดีวิวไม่ดีเท่าเมื่อวานนี้ได้มีแต่คนน้อยเท่านั้นเอง









วันนี้หมดไปกับการท่องเที่ยวตลอดทั้งวัน โชคดีที่อากาศไม่ค่อยจะร้อนเท่าไหร่ทำให้ไม่ค่อยจะโทรมมาก นี่ถ้าอากาศร้อนละก็ตายแน่





 

Create Date : 29 ธันวาคม 2552    
Last Update : 29 ธันวาคม 2552 23:24:45 น.
Counter : 1485 Pageviews.  

Backpack ไปพม่าวันที่6: 10/12/09 Mandalay-Bagan(1)



ในที่สุดก็เข้ามาสู่วันที่ 6 ของการเดินทาง วันนี้พวกเราต้องเดินทางข้ามเมืองจาก Mandalay ไปสู่บะกัน (Bagan) หรือที่บ้านเราเรียกว่าพุกาม วิธีการไปเมืองบะกันนี้ไปได้ 3 วิธีคือ ทางรถ ทางเรือ และทางเครื่องบิน หลายคนเดินทางระหว่างเมืองโดยเครื่องบิน การเดินทางโดยเครื่องบินนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทยเรา เนื่องจากประหยัดเวลาเดินทางเป็นอย่างมาก ส่วนการเดินทางโดยเรือนั้นค่อนข้างน่าสนใจเลย เพียงการพวกเราไม่มีเวลามากขนาดจะนั่งเรือไปนั้นเอง การไปโดยเรือนี้จะใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง ดังนั้นวิธีสุดท้ายคือการใช้รถบัสนั้นเอง



พวกเราไปจองตั๋วรถบัสกันตั้งแต่เมื่อวานแล้วเพราะกลัวที่จะเต็ม นี่ถ้าไม่ไปจองตั๋วก่อนก็คงจะเต็มแหละ พวกเราออกจากโรงแรมกันตั้งแต่เช้าเลย มุมตรงไปสู่ที่สถานที่รถ ที่เดียวกับตอนที่มาถึง ที่นั่งของรถบัสคันนี้ไม่สามารถที่จะปรับเป็นแบบนอนได้เหมือนรถที่นั่งมา แล้วรถที่นี่ก็เหมือนกันคือว่าสามารถที่จะรับคนขึ้นระหว่างทางได้ แล้วเก้าอี้นั่งคราวนี้เป็นแบบเก้าอี้นั่งซักผ้าอันเล็กๆ ดูแล้วตลกมาก

เส้นทางจาก Mandalay ไปบะกันนี้ค่อนข้างที่จะทุรกันดารมาก รถหลวงเส้นนี้เหมือนกับถนนรูกรังในต่างจังหวัดของเรา บางช่วงมีการต้องแล่นข้ามลำธารเล็กๆด้วย แอบคิดว่านี่ถ้าเป็นหน้าฝนแล้วจะวิ่งกันยังไงเนี่ย

ในระหว่างทางนี้รถหยุดให้ 2 ครั้ง ครั้งแรกก็หยุดให้พักกินขนม ดื่มกาแฟ ส่วนครั้งที่สองก็หยุดให้กินข้าวกลางวัน พวกเราเกือบจะกินข้าวกลางวันไม่ทันแหนะ กว่าพวกเค้าจะเอาอาหารมาให้ช้ามาก แล้วอาหารก็เป็นอาหารพม่า ความไม่คุ้นเคยก็ทำให้การกินช้าไปอีก



การเดินทางไปสู่บะกันใช้เวลา 7 ชั่วโมง และก่อนจะเข้าเมืองนี้ต้องเสียค่าเข้าเมืองสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย เมืองไปถึงด่านตรวจก็จะมีเจ้าหน้าที่ของพม่าขึ้นมาบอกให้ลงไปจ่ายเงินเสียดีๆ แต่ปรากฏว่าพวกเจ้าหน้าที่ไม่ได้มาบอกพวกเรา คงจะนึกว่าพวกเราเป็นคนพม่าไปแล้ว แต่ว่าพวกเราก็ลงไปจ่ายเงินกับเค้าแหละไม่อยากจะโกงเงิน



โรงแรมที่บะกันนี้พวกเราโทรจองตั้งแต่ที่ Mandalay มาแล้ว ให้โรงแรมที่นั้นโทรจองให้เป็นการประหยัดค่าโทรศัพท์ด้วย โรงแรมที่จะไปพักนี้ชื่อว่า “Eden hotel” โดยที่ทางโรงแรมให้รถม้ามารับพวกเราถึงที่สถานีรถเลย

โรงแรม Eden นี้เป็นโรงแรมระดับ Guest house ราคาไม่แพง พวกเราพักห้อง 3 คนราคาประมาณ $17 แต่โรงแรมออกจะดูทึมๆไปนิดหนึ่ง

โรงแรมที่บะกันนี้มีค่อนข้างมาก มีหลายระดับหลายราคา ถูกก็มีแพงก็มาก สภาพบ้านเมืองที่นี้มีการจัดระเบียบมากกว่าที่เมืองอื่นๆ อีกทั้งเมืองบะกันนี้ได้ถูกจัดเป็นเมืองที่เป็นมรดกโลกไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้มีการบริหารสภาพบ้านเมืองเป็นอย่างดี

การเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆนี้ทำได้ 2 วิธีคือ ด้วยรถม้า และก็จักรยาน การเดินทางด้วยจักรยานนั้นค่อนข้างจะถูก แต่ก็อาจจะเหนื่อยไปบ้างสำหรับคนที่ไม่ค่อนจะฟิต ส่วนการใช้รถม้านี้อาจจะแพงกว่า แต่ก็สบายไม่เหนื่อย พวกเราใช้รถม้าตลอดการท่องเที่ยวในบะกันนี้เลย

เนื่องจากพวกเราไปถึงบะกันก็บ่ายกว่าแล้ว กว่าจะทำอะไรเสร็จก็เกือบจะบ่าย 3 โมง ทำให้เหลือเวลาท่องเที่ยวอีกไม่มากนักสำหรับวันนี้ อย่างไรก็ตามทีพวกเราก็เหมารถม้าเที่ยวกันเลย ทางคนขับพาพวกเราไปอยู่ด้วยกัน 3 แห่ง แต่ละแห่งเป็นสภาพของเจดีย์เก่าโบราณคล้ายกับที่อยุธยา หรือสุโขทัย แต่ที่นี่เก่ากว่ามาก





ที่แรกที่ไปนั้นเป็นเจดีย์ชเวซิกองเป็นอีก 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของเค้า ตอนที่ไปถึงนั้นไม่มีคนแล้ว คาดว่าคงจะเย็นแล้วเลยมีนักท่องเที่ยวน้อยมากเลย คราวนี้เป็นอันว่าพวกเราไปสักการะครบ 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์หมดแล้ว





โดยที่เที่ยวสุดท้ายนี้เป็นการพาไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินบนเจดีย์สูง การถ่ายรูปบนนี้จะทำให้ทะเลเจดีย์ของเมืองบะกันนี้เป็นฉากหน้าเลยทีเดียว





เมืองบะกันเป็นเมืองที่มีเจดีย์มากมายนัก ตอนนี้มีอยู่ด้วยกัน 4,000 เจดีย์ก็ว่าได้ ซึ่งสมัยก่อนนี้มีประมาณ 12,000 อันแต่ว่าพังทลาย เสียหายไปตามกาลเวลา สภาพของทะเลเจดีย์นี้บ่งชี้ให้เห็นถึงอารยะธรรมของชาวพุกามในอดีตได้เลย คาดได้ว่าความเจริญรุ่งเรืองของศาสนาพุทธสมัยนั้นคงจะมีอยู่ในสายเลือดทุกอนุของชาวพม่า การสร้างเจดีย์นี้ ชาวพม่าเชื่อว่าจะได้บุญเยอะ ดังนั้นถ้าคนที่พอจะมีรายได้สักหน่อยก็จะนำมาสร้างเจดีย์กัน โดยที่การออกแบบเจดีย์แต่ละที่ก็แตกต่างกันไป ใหญ่บ้างเล็กบ้าง มีชั้นเดียว หรือหลายชั้น













ถ้าจะให้เลือกเมืองในพม่าที่ประทับใจแล้ว คงจะเถใจให้กับเมืองบะกันนี้เสียแล้วสิ ดีนะเนี่ยที่ไม่ได้ตัดเมืองนี้ออกจากรายการท่องเที่ยวในตอนวางแผนมานี่ไม่งั้นคงจะเสียใจแย่เลย





 

Create Date : 28 ธันวาคม 2552    
Last Update : 29 ธันวาคม 2552 22:06:50 น.
Counter : 1026 Pageviews.  

Backpack ไปพม่าวันที่5: 9/12/09 Mandalay(2)



ตั้งแต่ที่เดินทางมาเที่ยวที่พม่านี้ ยังไม่มีโอกาสได้นอนตื่นสายเลยซักวันเดียว ทุกวันต้องรีบตื่นเช้าเพื่อที่จะเดินทางไปเที่ยวไม่งั้นก็เตรียมย้ายเมือง วันนี้ก็เช่นเดียวกับวันอื่นๆแถมยังจะตื่นเช้ากว่าปรกติอีกด้วย

เช้ามืดวันนี้มีโปรแกรมที่สำคัญคือไปดูพิธีล้างพระพักตร์ของพระมหามุนีตอนตี 4.30 การไปสักการะพระมหามุนีนี้ยังเป็นการเยี่ยมชมสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด 1 ใน 5 อีกด้วย ตอนนี้คณะของพวกเราได้ไปมา 3 แห่งแล้วไม่รวมวัดมหามุนีนี้ ตามโปรแกรมแล้วเราก็จะไปเยี่ยมชมครบทุกที่ด้วย

เมื่อไปถึงวัดมหามุนีก็ได้พบกับประชาชนอย่างมาก มีทั้งนักท่องเที่ยว และคนพม่าเอง ที่ขาดไม่ได้ก็จะมีนักท่องเที่ยวคนไทยรวมอยู่ด้วยแน่นอน ไปคอยดูพิธีนี้ พิธีล้างพระพักตร์นี้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แต่ว่าพวกเราก็ไม่ได้ดูจนจบกลับไปที่พักเพื่อเตรียมไปเที่ยวต่อในตอนเช้าดีกว่า







วันนี้เราจะยังคงเที่ยวต่อที่ Mandalay กันแต่จะเป็นการเที่ยวนอกเมือง เป็นเมืองเก่าแก่ 3 เมืองรอบนอก (3 ancient cities)

วิธีการไปเที่ยวนั้นก็เหมารถ Blue taxi ให้เค้าพาไปทั้ง 3 ที่เลย ที่แรกที่ไปนั้นเรียกว่า “สะกายฮิว” (ไม่รู้ว่าสะกดถูกหรือเปล่า) พื้นที่นี้มีลักษณะเป็นเมืองอยู่คนละฝั่งแม่น้ำกัน รถ taxi มาส่งที่ตีนเขาลูกหนี่งแล้วบอกให้เดินขึ้นไปจนถึงยอด ก็จะมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองนี้ได้ ที่เขาลูกนี้ไม่ได้สูงเท่าที่ Mandalay hill เพราะฉะนั้นใช้เวลาเดินขึ้นน้อยกว่าเยอะ









เมื่อขึ้นไปถึงก็พอจะเดาได้ว่า เมืองนี้มีการสร้างบ้านเรือน และวัดอยู่บนเขา แล้วก็สร้างทางเดินเชื่อมต่อกันไปชมวัดโน่นวัดนี้ได้ แต่พวกเราไม่ได้เดินไปที่ไหนหรอก เพราะว่ามีเวลาน้อยด้วย ที่วัดแห่งนี้ นายพล ตานฉ่วย จะมาทำบุญทุกๆปี (ได้เห็นจากรูป) แสดงว่าวัดนี้ดังพอสมควร

เมื่อถ่ายรูปเยี่ยมชมกันเสร็จแล้ว ก็ไปต่อกันที่ที่ 2 ก็คือ “อังวะ” ที่อังวะนี้เป็นเมืองเก่าแก่จริงๆ วิธีการไปก็นั่งรถไป แล้วก็ต้องต่อด้วยการขึ้นเรือข้ามฝั่งกัน เรือก็มีลำเดียวแต่รอไม่นาน ลำไม่ใหญ่แต่ว่าก็เอารถมอเตอร์ข้ามไปได้ การจะไปอังวะนี้ไม่จำเป็นจะต้องเดินทางโดยเรือก็ได้ สามารถที่จะนั่งรถเข้าไปก็ได้



เมื่อข้ามเรือไปได้แล้ว ก็ต้องต่อด้วยการนั่งรถม้าไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ อันนี้ไม่สามารถที่จะเดินไปเที่ยวเองได้ สถานที่แต่ละแห่งนี้อยู่ไกลกันมากๆ ถ้าเดินละตายแน่นั่งรถม้าได้ความ Classic กว่าเยอะเร็วกว่าด้วย





พวกเราไปกัน 3 แห่งตามโปรแกรมที่รถม้าเค้าพาไป ส่วนแต่ละแห่งมีรายละเอียดแบบไหนนั้น จำไม่ได้แล้วมีเพียงแต่รูปถ่ายเป็นที่ระลึกเท่านั้น จริงแล้วก็ค่อนข้างที่น่าเสียดายทีเดียวเลย นี่ถ้ามี guide มาด้วยจะดีกว่านี้มากเลย















ส่วนที่สุดท้ายนี้เป็น Highlight ของวันนี้เลยก็คือ ไปที่สะพานอูเบียน อยู่ที่เมืองอมรปุระ สะพานแห่งนี้เป็นสะพานเก่าทำด้วยไม้สักจากการรื้อถอนพระราชวัง มีอายุราว 200 ปีมาแล้วมีความยากประมาณ 1.2 กิโลเมตรสร้างเอาไว้ข้ามทะเลสาบ









สะพานนี้มีผู้คนมาเยี่ยมชมกันมากหน้าหลายตาหลายกลุ่มมาก ส่วนใหญ่ก็จะใช้เวลาอยู่ที่นี่ค่อนข้างมาก อย่างน้อยก็จะคอยดูพระอาทิตย์ตกดินกันละ บริเวณสะพานยังมีร้านอาหารริมทะเลสาบด้วย สามารถที่จะมานั่งทอดอารมณ์กันได้อีกด้วย









โปรแกรมการเที่ยว Mandalay ก็จบลง ณ ที่แห่งนี้ พรุ่งนี้พวกเราก็จะเปลี่ยนที่ ไปบะกันหรือพุกามกันแล้ว ครั้งนี้ก็จะไปด้วยการนั่งรถบัสไปอีกเช่นเคย แต่ไม่ต้องนั่งข้ามคืน ครั้งนี้ไปขึ้นรถตอนเช้าของอีกวันหนึ่งครับ





 

Create Date : 27 ธันวาคม 2552    
Last Update : 27 ธันวาคม 2552 20:51:01 น.
Counter : 744 Pageviews.  

Backpack ไปพม่าวันที่4: 8/12/09 Mandalay(1)



การเดินทางโดยรถโดยบัสข้ามคืนจากบะโกไป Mandalay นี้ จะมีหยุดพักให้กินข้าวตอนกลางดึกด้วยประมาณเกือบเที่ยงคืน สภาพร้านข้าวนั้นยากที่จะอธิบายไม่ได้สกปรก เพียงแต่ดูเก่าๆโบราณยังไงก็ไม่รู้ และตอนประมาณตี 4 ก็จะหยุดแวะให้กินขนม น้ำชาอีกที



รถบัสมาถึง Mandalay ประมาณ 7 โมงเช้าใช้เวลาเดินทางเกือบ 12 ชั่วโมง รถบัสจริงแล้วไม่ได้วิ่งตลอดทั้งคืน รถที่นี่สามารถที่จะรับคนระหว่างทางให้ขึ้นมานั่งแถวพิเศษตรงกลางได้ด้วย แล้วก็ไม่มีห้องน้ำในรถ ถ้ามีใครต้องการจะเข้าห้องน้ำละก็ ก็ให้บอกคนขับรถให้หยุดได้

การหาที่พักคราวนี้ค่อยดีหน่อย เพราะโรงแรมที่เลือกนี้คือ “Royal Guest house” นั้นมีนายหน้ามาคอยรับลูกค้าด้วย ทำให้พวกเราไม่ต้องถูกพาไปที่ไกลๆ ที่โรงแรมนี้เหลือห้องอีก 1 ห้องพอดีเลยโชคดีมาก ไม่งั้นต้องไปหาโรงแรมใหม่อีก ค่าห้องพักสำหรับ 3 คนก็ $15 ห้องมีสภาพใหญ่พอควรเลย พนักงานที่นี่บริการดี เป็นกันเองมาก แนะนำให้พักที่นี่เป็นอย่างยิ่ง



ที่เที่ยวแรกสำหรับเช้านี้ พวกเราไปเมืองเก่าที่อยู่นอกเมืองกัน ชื่อว่า “มิงกุน” การไปเที่ยวมิงกุนนั้นถ้าเดินทางไปด้วยเรือแล้วจะสะดวกที่สุด โดยพวกเราเหมารถ Blue taxi ไปที่ท่าเรือแล้วก็ซื้อตั๋วที่จะข้ามไปมิงกุนที่ท่าเรือ แล้วยังต้องเสียค่าเข้าชมอีกต่างหาก โดยเรือจะออกตอน 9 โมงเช้าและขากลับตอนบ่ายโมง ใช้เวลานั่งเรือประมาณเที่ยวละ 1 ชั่วโมง





ที่มิงกุนนี้มีที่ให้ไปเยี่ยมชมหลักอยู่ 3 แห่ง พระเจดีย์ยักษ์มิงกุน, ระฆังยักษ์มิงกุน และพระเจดีย์มญาเธียรดาน ส่วนใหญ่แล้วสถานที่เที่ยวของพม่านี้จะได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวใหญ่ เป็นผลทำให้เจดีย์เสียหายหลายแห่ง บางแห่งก็สามารถที่จะซ่อมแซมได้ บางแห่งก็ไม่สามารถ





เช่นเดียวกับพระเจดีย์ยักษ์มิงกุน เจดีย์นี้จริงแล้วก็สร้างไม่เสร็จอยู่แล้วตั้งแต่สมัยก่อน แล้วก็มาได้รับความเสียหายจนไม่สามารถบูรณะได้จากเหตุแผ่นดินไหว นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปเยี่ยมชมบนยอดของพระเจดีย์นี้ได้ด้วย ถ้าเจดีย์นี้สร้างเสร็จละก็ จะกลายเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปเลย ตอนนี้เจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้อยู่ที่เมืองไทยแล้วนั้นเอง











ส่วนระฆังยักษ์ก็เป็นระฆังที่สำริดที่ใหญ่ที่สุดในโลก น่าเสียดายที่ทางพม่าไม่ได้อนุรักษ์ระฆังนี้เท่าไหร่ ทำให้มีการเข้าไปเขียนข้อความอะไรต่างๆนาๆข้างในระฆังใบนี้ น่าเสียดายของประวัติศาสตร์แบบนี้จริงๆ





สำหรับพระเจดีย์มญาเธียรดานนี้ มีลักษณะเป็นสีขาวบริสุทธิ์แปลกกว่าพระเจดีย์อื่นๆในพม่า เจดีย์นี้ถูกสร้างเพื่อให้เป็นอนุสรณ์แห่งความรักของราชนิกูลอังวะ



พวกเราเที่ยวที่มิงกุนได้ประมาณ 5 แห่งรวมกินข้าวกลางวันก็ต้องกลับไปนั่งเรือแล้ว ถ้าไม่กลับไปตอนบ่ายโมงมีหวัง ว่าคนอื่นๆคงรอแย่ เรือที่มาส่งนี้เค้าจะรอรับกลับไปด้วย คล้ายๆกลับจะเป็นแบบเหมามาประมาณนั้นแต่ไม่ใช่

ภาคบ่ายนี้พวกเราไปเที่ยวกันในเมือง Mandalay โดยการเหมารถ Blue taxi กันไป คนขับรถพร้อมกับ Guide ที่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะรู้เรื่องพาพวกเราไปหลายที่มาก ส่วนใหญ่ก็อธิบายอะไรไม่ค่อยจะได้พวกเราต้องอาศัยอ่านเอาจะ Guide book

เมือง Mandalay นี้เป็นราชธานีสุดท้ายของพม่า ก่อนที่พม่าจะตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษในเวลาต่อมา มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากย่างกุ้ง












สภานที่ที่ไปนั้นก็อย่างเช่นพระราชวังมัณฑะเลย์ อารามชเวนันดอว์ อารามอะตูมาชิ พระเจดีย์เจาตอจี พระเจดีย์กุโสดอ และปิดท้ายด้วยการขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ Mandalay hill ที่ซึ่งตอนแรกนึกว่าเป็นภูเขาธรรมดา ที่ไหนได้มีอะไรน่าสนใจทีเดียว สามารถที่จะเดินขึ้นไปได้ แต่ถ้าไม่เดินขึ้นก็นั่งรถขึ้นไปก็ได้ ระหว่างทางเดินขึ้นและที่ข้างบน ก็จะมีพระให้ไหว้อยู่ด้วย บนยอดนี้เป็นจุดดูพระอาทิตย์ตกดินของ Mandalay มีผู้คนจำนวนมากมารอถ่ายรูปที่นี่




















อาหารเย็นวันนี้มีโอกาสไปเยือนร้านอาหารไทยด้วย ร้านนี้มีเจ้าของเป็นคนไทยเลยทำให้ทำอาหารได้ถูกบางคนไทยเลยทีเดียว มีคนไทยมากินที่ร้านนี้เยอะ รวมทั้งกรุ๊ปทัวร์

พรุ่งนี้พวกเรายังคงอยู่ที่ Mandalay อยู่อีก 1 วันที่นี่ยังมีที่เที่ยวที่น่าสนใจอีกครับ




 

Create Date : 22 ธันวาคม 2552    
Last Update : 22 ธันวาคม 2552 21:11:14 น.
Counter : 1892 Pageviews.  

1  2  

ลานสน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ตราบที่ยังมีความฝัน ตราบนั้นก็ยังเดินหน้าสู้ต่อไป
Custom Search
Friends' blogs
[Add ลานสน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.