Group Blog
 
All Blogs
 
นางผู้พลิกผันการรบ (บันทึกจากสามก๊ก)

บันทึกจากสามก๊ก

นางผู้พลิกผันการรบ

“ เทพารักษ์ “

ในสงครามหลายครั้งหลายหน ที่โจโฉเป็นผู้นำทัพนั้น บางครั้งก็ชนะ บางครั้ง ก็แพ้ แต่ไม่มีครั้งใดที่ต้องแพ้อย่างยับเยิน ด้วยความประมาทของแม่ทัพ เหมือนครั้งที่ไปตีเมือง อ้วนเซียครั้งแรกเลย ในนิยายอิงพงศาวดารเรื่องสามก๊ก มีความพอสรุปได้ว่า

เมื่อครั้งที่โจโฉยกกองทัพสิบเจ็ดหัวเมือง เข้ามาตีเมืองลกเอี๋ยงเพื่อกำจัดตั๋งโต๊ะมหาอุปราชผู้หยาบช้านั้น เตียวสิ้วเจ้าเมืองอ้วนเซียไม่ได้เข้าร่วมขบวนการด้วย โจโฉจึงจดจำไว้ ครั้นตนเองได้เป็นมหาอุปราชของพระเจ้าเหี้ยนเต้ มีอำนาจว่าราชการแผ่นดินโดยเด็ดขาดแล้ว จึงจัดแจงทหารสิบห้าหมื่นยกทัพไปตีเมืองอ้วนเซีย ให้ทัพหน้าแบ่งเป็นสามกอง ตั้งค่ายอยู่ที่แม่น้ำหยกซุย

เตียวสิ้วก็ปรึกษากับกาเซี่ยงผู้เป็นกุนซือ ว่าจะแก้ไขประการใด กาเซี่ยงก็ว่า

“…….โจโฉยกทหารมาครั้งนี้ประมาณยี่สิบหมื่น แล้วทหารเอกที่มีฝีมือเป็นอันมาก เราจะออกรบด้วยบัดนี้ เห็นจะเสียทีแก่โจโฉเป็นมั่นคง จำเราจะออกไปเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยโจโฉโดยดี จึงจะไม่เสียเมือง……”

เตียวสิ้วก็เห็นชอบด้วย จึงให้กาเซี่ยงออกไปหาโจโฉที่ค่าย แจ้งว่าเตียวสิ้วจะขออ่อนน้อมยอมเข้าด้วยโจโฉ มิได้คิดจะต่อสู้ โจโฉเห็นว่ากาเซี่ยงพูดจาน่าฟังดูจะเป็นคนมีสติปัญญา จึงชวนให้ทำราชการกับตน จะตั้งให้เป็นที่ปรึกษา กาเซี่ยงก็ตอบว่า

“…….ครั้งข้าพเจ้าทำราชการอยู่ด้วยลิฉุย ลิฉุยทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน ความร้ายก็พลอยมีอยู่กับข้าพเจ้า ด้วยข้าพเจ้ายังมิได้มีความชอบแก้โทษก่อน ซึ่งมหาอุปราชจะตั้งข้าพเจ้าเป็นที่ปรึกษานั้น พระคุณหาที่สุดมิได้ แต่เตียวสิ้วนั้นได้มีคุณแก่ข้าพเจ้า เตียวสิ้วมิได้มีผู้ใดเป็นที่ปรึกษา ข้าพเจ้าจะขออยู่ทำราชการด้วยเตียวสิ้ว ก็เหมือนอยู่ในมหาอุปราช……..”

โจโฉก็มิได้ว่าประการใด วันรุ่งขึ้นกาเซี่ยงจึงพาเตียวสิ้วไปคำนับโจโฉ แล้วเชิญให้ยกทหารเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองอ้วนเซีย โจโฉก็ยินดีจึงให้ทหารตั้งค่ายรายล้อมรอบกำแพงเมือง ส่วนตนเองพานายทหารคนสนิท เข้าพักในที่รับรองของเตียวสิ้วในเมือง ตามคำเชิญของเตียวสิ้ว ซึ่งจัดการเลี้ยงดูอย่างดี โจโฉก็พักอยู่หลายวัน

เตียวสิ้วมีอาชื่อเตียวเจ ซึ่งได้ถึงแก่ความตายไปแล้ว เหลือแต่อาสะใภ้ชื่อนาง เจ๋าซือ ซึ่งยังมีอายุไม่มาก มีรูปงามกิริยามารยาทเรียบร้อย เป็นที่เล่าลือกันจนรู้ถึงโจโฉ วันหนึ่งโจโฉดื่มสุราพอเมาได้ที่ดี ก็ใช้ให้โจอันบิ๋นหลานชายไปรับนางเจ๋าซือมาพบ นางก็ต้องมาตามคำสั่งของแม่ทัพใหญ่ ที่เจ้าเมืองยอมอ่อนน้อม โจโฉเห็นนางนั้นงามก็มีความยินดี ถามชื่อแซ่แล้วก็ว่านางรู้จักตนหรือไม่ นางเจ๋าซือก็ตอบว่า

“…..ข้าพเจ้ามิได้รู้จักท่าน ได้ยินข่าวเล่าลือว่าท่านเป็นมหาอุปราช ซึ่งข้าพเจ้าได้มาพบท่านครั้งนี้ ก็เป็นบุญของข้าพเจ้า…….”

โจโฉจึงทวงบุญคุณว่า

“……เพราะเราเห็นแก่เจ้า เราจึงยอมให้เตียวสิ้วมาเกลี้ยกล่อม หาไม่เราจะฆ่าเตียวสิ้วแลญาติพี่น้องเสียให้สิ้น…….”

นางเจ๋าซือก็คำนับแล้วว่า ซึ่งมหาอุปราชยกโทษไว้นั้นคุณหาที่สุดมิได้ โจโฉเลยรวบรัดเอาว่าตนจะเลี้ยงนางเป็นภรรยา แล้วจะพาไปอยู่ที่เมืองฮูโต๋ นางจะขัดข้องหรือไม่ นาง เจ๋าซือจึงว่าตามแต่จะเมตตา โจโฉจึงพานางเข้าไปนอนอยู่ด้วยกันในที่พัก จนกระทั่งรุ่งเช้า นาง เจ๋าซือจึงบอกว่า

“……..ซึ่งจะอยู่ในเมืองนี้ ความครหานินทาก็จะมีเป็นอันมาก ประการหนึ่ง เตียวสิ้วรู้ก็จะมีความแหนงท่าน…….”

โจโฉก็เห็นชอบด้วย รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งจึงพานางเจ๋าซือออกไปอยู่ในค่าย แล้วสั่งเตียนอุยนายทหารองครักษ์ ให้รักษาประตูที่พักอย่าให้ใครเข้าออกได้ เว้นแต่จะสั่งด้วยตนเองเท่านั้น และโจโฉก็อยู่กับนางเจ๋าซือจนมิได้ออกว่าราชการ ทั้งไม่คิดจะยกกลับไปเมืองฮูโต๋ด้วย

ในฉากพิศวาสขาดใจตอนนี้ ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เล่าไว้ในสามก๊กฉบับนายทุน ตอน โจโฉนายก ฯ ตลอดกาล ว่า

ครั้นหญิงนั้นมาถึงไต่ถามได้ความว่า ชื่อเจ๋าซือเป็นภรรยาเตียวเจ้นั้นจริง พอได้คุยกันโจโฉก็เริ่มพูดจาแทะโลม ฝ่ายนางเจ๋าซือนั้นก็เป็นไก่แก่แม่ปลาช่อน เป็นหม้ายผัวตายมานาน ได้มาพบโจโฉผู้มีตำแหน่งถึงนายกรัฐมนตรี และได้มาพูดจากันในลักษณะสนิทสนมเป็นกันเอง นางก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าโจโฉนี้น่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อย และตำแหน่งนายกฯ นั้นก็ดูช่างสมกับผู้ชายที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่แบบโจโฉ ยิ่งทำให้น่ารักยิ่งขึ้นไปอีก แล้วเรื่องมันก็เป็นไปอย่างว่า

อันโจโฉนั้นเป็นคนขนาดนายกรัฐมนตรี ฉะนั้นความลับในเรื่องส่วนตัวจึงมีได้ยาก เพราะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทำให้บุคคลที่อยู่ในตำแหน่ง เป็นบุคคลสาธารณะ บุคคลที่อยู่ในตำแหน่งเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะมิได้ทำอะไรจริง ก็มีคนคอยหาข่าวเอาไปลือกันสนุก จะเท็จจริงอย่างไรก็ช่าง เอาแต่ความสนุกเพลิดเพลินของผู้ลือนั้นเป็นประมาณ แต่สิ่งที่โจโฉทำไปคราวนี้นั้น เป็นความจริง ฉะนั้นภายในเวลาไม่ช้าไม่นาน ข่าวก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองอ้วนเซียว่า ท่านนายกฯโจโฉนั้นมีอะไร ๆ กันอยู่กับนางเจ๋าซือรูปงาม แม่หม้ายของเตียวเจ้

ส่วนท่าน ยาขอบ ก็บรรยายไว้ใน สามก๊กฉบับวณิพก ชุด เตียนอุยผู้ถือศพเป็นอาวุธ ไว้อย่างน่าอ่านว่า

แล้วผู้ยิ่งใหญ่ก็โอ้โลมปฏิโลมแสดงอำนาจ ที่มือตัวเหมือนกับเป็นผู้กำอำนาจในแผ่นดินไว้ พร้อมทั้งกล่าวขู่ไปในตัวเสร็จว่า ได้ข่าวว่าแม่ม่ายสาวผู้นั้นเป็นหญิงรูปงามดอก ตนจึงเห็นแก่การที่เตียวสิ้วเข้ามาอ่อนน้อม หากหาไม่แล้วเมืองอ้วนเสียสักหยิบมือเท่านี้ บุกเข้ามาฆ่าเตียวสิ้วเสียเมื่อใดก็ได้ ม่ายงามเจ๋าซืออาสะใภ้ของเตียวสิ้ว ก็เท่ากับลูกไก่อยู่ในกำมือของโจโฉ ยอมเป็นคู่ร่วมภิรมย์สมสู่ในราตรีนั้นเอง

ครั้นแล้วเมื่อได้ฟอนสวาทต่อกัน ตอนจนใกล้จะรุ่งเช้านางเจ๋าซือก็กล่าวแก่โจโฉว่า ซึ่งจะภิรมย์สมสู่ต่อกันอยู่ในเมืองฉะนี้ จะเป็นที่อัปยศ ด้วยคนทั้งปวงตระหนักในฐานะของนางดี ฉะนั้นขอให้พากันไปให้พ้นหูพ้นตาชาวอ้วนเสีย เสียเถิด โจโฉเห็นด้วยกับคำของม่ายงาม จึงพานางเจ๋าซือออกไปอยู่เสียกับกองทัพของตนนอกเมือง

พฤติการณ์ที่โจโฉปฏิบัติไป เป็นที่ปวดร้าวในใจเตียวสิ้วอย่างสาหัส บ้านเมืองก็ยกให้แล้ว ดูรึ ยังดูหมิ่นกันอย่างร้ายแรง ในทางขนบประเพณีของจีน เตียวสิ้วผู้ไม่คิดสู้โจโฉมาตั้งแต่ต้น บัดนี้ก็คิดสู้เพื่อเกียรติศักดิ์ของตนเอง และวงศ์ตระกูล

ส่วนสำนวนจาก สามก๊กฉบับแปลใหม่ ของ วรรณไว พัธโนทัย บรรยายว่า

โจโฉพิศดูเห็นนางช่างงามจับใจ จึงถามชื่อแซ่

สาวงามตอบว่า “ ข้าพเจ้าเป็นภรรยาเตียวเจ ชื่อเจ๋าซือ “

โจโฉถามว่า “ ฮูหยินรู้จักข้าพเจ้าไหม “

เจ๋าซือตอบว่า “ ข้าพเจ้าได้ยินชื่อของพระคุณท่านมาช้านานแล้ว วันนี้เป็นบุญที่ได้มาพบตัวจริง เป็นโอกาสให้ข้าพเจ้าได้แสดงคารวะ ต่อพระคุณท่านอย่างใกล้ชิด “

โจโฉจึงว่า “ ข้าพเจ้าเห็นแก่ฮูหยินดอกหนา จึงยอมให้เตียวสิ้วเข้ามา สวามิภักดิ์ หาไม่แล้วข้าพเจ้าจะสังหารเตียวสิ้วเสีย และจะสับรากสับกิ่งให้หมดสิ้น “

เจ๋าซือกระทำคำนับแล้วว่า “ ข้าพเจ้ารู้ดีว่า ข้าพเจ้านี้เป็นหนี้ชีวิตอยู่กับพระคุณท่าน ข้าพเจ้าสำนึกในพระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ “

โจโฉพร่ำพูดต่อไปว่า “ ข้าพเจ้าได้เห็นฮูหยิน เหมือนหนึ่งได้เห็นสวรรค์ชั้นฟ้า แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าปรารถนายิ่งกว่านี้ นั่นคือขอฮูหยินโปรดอยู่กับข้าพเจ้าที่นี่เถิด ข้าพเจ้าจะพาฮูหยินเข้าไปยังพระนครฮูโต๋ แล้วฮูหยินก็จะเห็นเองว่า ข้าพเจ้าได้เลี้ยงดูยกย่องฮูหยินไว้ในที่อันควรเพียงใด ไม่ทราบว่าฮูหยินจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้ “

เจ๋าซือกระทำคำนับขอบพระเดชพระคุณโจโฉอีกครั้งหนึ่ง

และคืนนั้นนางก็อยู่หลับนอนกับโจโฉ

เจ๋าซือฉะอ้อนกับโจโฉว่า “ ถ้าข้าพเจ้าอยู่ที่นี่นานไป เตียวสิ้วคงจะกินแหนงแคลงใจ ทั้งความครหานินทาก็จะเกิดมากขึ้นด้วย “

โจโฉว่า “ ถ้าเช่นนั้นขอเชิญฮูหยินไปอยู่กับข้าพเจ้าในค่ายนอกเมืองเถิด”

วันรุ่งขึ้นโจโฉจึงพาเจ๋าซือไปอยู่ด้วยกัน ณ ค่ายนอกเมือง สั่งให้เตียนอุย อยู่รักษาประตู และสั่งห้ามบุคคลภายนอกเข้าข้างในโดยโจโฉมิได้อนุญาตเป็นอันขาด

นานวันเข้าเรื่องก็รู้ถึงหูเตียวสิ้ว จึงหากาเซี่ยงมา
ปรึกษาว่าจะทำประการใด จึงจะแก้แค้นโจโฉได้ กาเซี่ยงจึงวางแผนให้ทหารของเมืองอ้วนเซีย ไปตั้งกองอยู่หว่างค่ายทหารของโจโฉ อ้างว่าเพื่อมิให้ทหารหนี โจโฉก็ไม่ขัดข้อง เตียวสิ้วจึงเรียกเฮาเฉียนายทหารเอก เข้ามาปรึกษาว่าตนจะคิดจับตัวโจโฉ เกรงอยู่แต่เตียนอุยซึ่งรักษาประตูนั้น มีกำลังเป็นอันมากจะทำการมิสะดวก

เฮาเฉียก็รับอาสาว่า

“……ข้าพเจ้ามีกำลังแบกเหล็กได้ห้าร้อยชั่ง เดินทางได้วันละเจ็ดพันเส้น ขอให้คิดอ่านเอาทวนสองเล่มซึ่งเตียนอุยถืออยู่นั้นมาเสียได้แล้ว ถึงเตียนอุยจะมีกำลังสักเท่าใด ข้าพเจ้าก็จะสู้ได้ ขอให้ท่านเชิญเตียนอุยมากินโต๊ะ เสพสุราเมาแล้วกลับไปก็จะนอนหลับอยู่ ข้าพเจ้าจะปลอมเข้าไปลักเอาทวนสองเล่มมาให้ได้ ท่านจึงคิดทำการต่อไป อย่าได้กลัวเตียนอุยเลย…….”

เตียวสิ้วก็ทำตามแผนการนั้น โดยให้กาเซี่ยงไปเชิญเตียนอุย มากินเลี้ยงที่ค่ายของตน และหลอกล่อให้เสพสุราจนเมาหนัก ครั้นกลับมารักษาการณ์ที่หน้าที่พักของโจโฉ ก็เลยลงเอนอิงพิงฝาหลับอยู่หน้าประตู เฮาเฉียก็แอบเข้าไปลักเอาทวนสองเล่ม หนักถึงร้อยหกสิบชั่งมาได้พอถึงเวลาสองยาม ทหารของเตียวสิ้วก็ลอบเข้ามาเผาค่ายของโจโฉ เพลิงนั้นก็ติดสว่างขึ้นรอบค่าย

โจโฉกำลังเสพสุราเพลิดเพลินอยู่กับนางเจ๋าซือ ก็มิได้ตกใจสั่งให้ทหารช่วยกันดับไฟเสีย แต่กลับมีเสียงประทัดดังขึ้นเป็นสัญญาณ แล้วทหารของเตียวสิ้วก็บุกเข้ามาอื้ออึง โจโฉจึงร้องเรียกเตียนอุยให้ช่วย เตียนอุยก็ตกใจตื่นขึ้น มิทันได้สวมเกราะทั้งอาวุธคู่มือก็หายไป จึงฉวยดาบของทหารเลวมาต่อสู้กับข้าศึก แต่ฆ่าไปเท่าไรก็มีเพิ่มเข้ามากลุ้มรุมรบมิได้หมด จนดาบนั้นหักสบั้นไปกับมือ ตนเองก็ถูกอาวุธของข้าศึกทั่วกาย จึงใช้พละกำลังของตนฉวยเอาศพของทหารข้าศึก ฟาดข้าศึกที่ดาหน้าเข้ามาตายไปอีกหลายคน ทหารของเตียวสิ้วก็ขยาดถอยออกไปให้ห่าง แล้วก็ระดมยิงเกาทัณฑ์ปักติดเตียนอุยทั่วกาย ยืนตายพิงประตูที่พักของโจโฉจังก้าอยู่ ทหารข้าศึกไม่ทันรู้ก็ไม่กล้าบุกเข้าถึงตัว

แล้วท่าน เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ก็บรรยายความต่อไปว่า

ในขณะเมื่อเตียนอุยยังรบสู้อยู่นั้น โจโฉจึงขึ้นม้าพาโจอันบิ๋นกับทหาร ประมาณเก้าคนสิบคน หนีออกข้างหลังค่ายได้ ฝ่ายทหารโจโฉซึ่งอยู่ต่างค่ายนั้น แตกกระจัดกระจายหนีข้ามแม่น้ำหยกซุยไปได้บ้าง เหล่าทหารเตียวสิ้วนั้นฆ่าฟันทหารโจโฉล้มตาย ครั้นรู้ว่าโจโฉหนีออกไปข้างหลังค่าย จึงชวนกันยกติดตามไป เอาเกาทัณฑ์ยิงถูกโจอันบิ๋นตกม้าตาย โจโฉนั้นถูกเกาทัณฑ์แห่งหนึ่ง ม้าซึ่งโจโฉขี่นั้นมีกำลังมาก ถูกเกาทัณฑ์สามดอกมิได้ล้ม โจโฉขับม้าหนีไปถึงแม่น้ำหยกซุยแต่ผู้เดียว ทหารเตียวสิ้วเอาเกาทัณฑ์ยิงระดมไปถูกจักษุม้าล้มลงตาย

พอโจงั่งผู้บุตรโจโฉมาพบโจโฉเข้า จึงเอาม้านั้นให้บิดาขี่ พอทหารเตียวสิ้วยิงเกาทัณฑ์มาถูกโจงั่งตายอยู่ริมฝั่ง โจโฉหนีไปพบทหารซึ่งแตกมาเป็นอันมาก ก็พากันรีบหนีไป

บทเรียนที่มีราคาแพงครั้งนี้ โจโฉต้องสูญเสียทั้งบุตรและหลาน และทหารเลวอีกมากมาย แต่ก็ไม่เสียใจเท่ากับการที่ต้องเสียนายทหารองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์เลย โจโฉจึงให้แต่งโต๊ะรินสุราเซ่นเตียนอุย แล้วกล่าวแก่ทหารว่า ถึงบุตรกับหลานเราตาย ก็มิเสียดายเท่าเตียนอุยเลย

ส่วนนางเจ๋าซือแม่ม่ายเจ้าเสน่ห์ ผู้เป็นต้นเหตุที่ทำให้ฝ่ายชนะ กลายเป็นฝ่ายแพ้นั้น ก็ไม่ปรากฎว่าเป็นตายร้ายดีประการใด คงหายสูญไปจากสามก๊กตั้งแต่นั้นด้วยเช่นกัน.

###########


นิตยสารทหารสื่อสาร
พฤษภาคม ๒๕๓๔



Create Date : 25 มิถุนายน 2553
Last Update : 25 มิถุนายน 2553 21:05:15 น. 0 comments
Counter : 1279 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.