Group Blog
 
All Blogs
 
อะไรก็ได้ (๑๒) หนีสงคราม (๑)

อะไรก็ได้ (๑๒)


ในนิตยสารทหารสื่อสาร ฉบับปรับปรุงโฉมใหม่ ประจำเดือน พฤษภาคม – สิงหาคม ๒๕๓๔ นั้น เรื่องนอกคอลัมน์ ที่นี่....สะพานแดง ก็มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่งคือ หนีสงคราม ซึ่งผมคิดว่าท่านผู้อ่านคอลัมน์ อะไรก็ได้ ของ วชิรพักตร์ ก็คงจะสนใจบ้าง แต่ค่อนข้างยาว จึงต้องขอความเห็นใจว่า พิมพ์ไปจนเจ็บหลังเมื่อไรก็ต้องหยุดแค่นั้นนะครับ ที่เหลือเอาไว้ต่อวันหลัง

ผู้เขียนเรื่องนี้ คือ คุณอำพา พึ่งเกตุ ขณะที่เขียนเป็นครูโรงเรียนทวีธาภิเศก ตำแหน่งอาจารย์ ๒ ระดับ ๖ หัวหน้าหมวดวิชาภาษาไทย บ้านอยู่แขวงอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกน้อย สมัยนั้นเป็นจังหวัดธนบุรี

สงครามเกิดจริง ๆ นั้น ผู้เขียนยังเล็กมาก แต่ก็พอจำได้ว่า ตัวเองกับครอบครัวหนีภัยสงครามอย่างไร ครอบครัวของเราช่วงนั้นยังมีผู้คนไม่มากนัก มีคุณพ่อ แม่ แล้วก็ญาติชั้นผู้ใหญ่ คือแม่ย่าและพี่สาวของแม่ย่าอีกคนหนึ่ง ส่วนเราพี่น้องก็มีกันสามคน ที่พอจะรู้เรื่อง ก็มีพี่ชายคนโตและผู้เขียนเท่านั้น ส่วนน้องคนหนึ่งยังเล็กมาก ที่จำได้เพราะน้องคนนี้เพิ่งแรกเกิด ระยะแรก ๆ นั้นยังจำอะไรไม่ชัดและไม่รู้สึกกลัวด้วย ว่าสงครามเป็นอย่างไร รู่แต่ว่าอยู่ ๆ วันหนึ่งแม่ย่าก็พาเรากับพี่ชายลงเรือไปอยู่ที่บางคูเวียง ซึ่งตอนนี้เรียกว่าอะไรก็ไม่ทราบ บ้านที่ไปอยู่เป็นบ้านริมคลอง และมีสภาพคล้ายกับบ้านที่เราอยู่ จึงไม่รู้สึกแปลกที่เท่าใดนัก เราไม่กลัวแต่ก็เหงามากกว่า เพราะไม่ได้อยู่กับพ่อและแม่

ไปอยู่ที่นั่นนานเท่าใดจำไม่ได้ แต่ที่พอจะนึกออกก็ตรงที่แถวนั้นเป็นสวน และผู้เขียนชอบที่จะเก็บผลไม้ ที่เจ้าของเขาไม่ใส่ใจจะเก็บคงปล่อยทิ้งไว้ ดูเหมือนท้าทายให้อยากลอง เมื่อเก็บไปรับประทานก็มีรสหวานปนฝาดเล็กน้อย เมื่อเก็บมาให้แม่ย่าดู ท่านบอกว่านั่นคือลูกชำมะเลียง รสของมันคล้ายกับมะหวด ซึ่งเด็กสมัยนี้คงมีน้อยคนที่จะรู้จัก

และที่บ้านซึ่งแม่ย่าพาเราไปหลบภัยอยู่นั้น ก็มีเด็กอยู่เหมือนกัน เขาสอนให้ผู้เขียนลองชิมผลไม้แปลก ๆ รู้สึกอร่อยดี เช่นลูกตะขบ เวลาสุกจะมีรสหวานและมีกลิ่นหอม ลูกนมแมวก็กินได้ ลองกินไปหมดแม้กระทั่งลูกกระทกรก เวลาแกะออกมากินคล้ายกับลูกแมงลัก และหัดกินอะไรหลายอย่าง ขนมที่กินบ่อยคือขนมวัวควาย เพราะเจ้าของบ้านทำขายเอง อยู่ไปสักระยะแม่ย่าก็พากลับบ้าน แต่อยู่ไม่กี่วันก็พาไปต่างจังหวัด ไปอยู่นครชุมบ้าง บ้านโป่งบ้าง แต่อยู่นครชุมนี่นานกว่าเพื่อน (บรรพบุรุษทางคุณปู่อยู่ที่นั่น) จำได้ว่าเป็นท้องนา และบ้านญาติอยู่ใกล้แม่น้ำ มีหาดทรายให้ลงเล่นน้ำได้อย่างสนุกสนาน ดูเหมือนผู้เขียนจะไปหัดว่ายน้ำที่นั่น

อยู่ไปพักหนึ่งก็ถูกพากลับบ้านอีก คราวนี้อย่างไรไม่ทราบ แม่เอาตัวไปอยู่ด้วยที่ราชบุรี เพราะคุณพ่อย้ายไปอยู่ที่โรงเรียนสายธรรมจันทร์ การไปนั้นไปทางเรือ และเรือต้องไปจอดที่ประตูน้ำบางยาง นานมากสำหรับความรู้สึกขณะนั้น พอประตูน้ำเปิดเรือจะวิ่งฉิว เราชอบมากเพราะสนุก ต้นปี ๒๔๘๗ เราได้น้องชายอีกคนหนึ่ง คุณพ่อกลับมาเป็นครูที่โรงเรียนอมรินทร์โฆษิต แต่โรงเรียนดูเหมือนจะหยุดเรียน เพราะภัยสงครามมาเกิดที่กรุงเทพ ผู้คนอพยพเข้ามาอยู่ในเรือกในสวนตาม ๆ กัน พวกเราอยู่ในสวนอยู่แล้ว อย่างพวกบ้านเราก็ก็ย้ายเข้าไปอยู่ในสวนลึกเข้าไปอีก จะไม่ให้หนีได้อย่างไร บ้านเราอยู่ใกล้จุดยุทธศาสตร์ค่อนข้างมาก เพราะอยู่ไม่ไกลจาก สถานีรถไฟบางกอกน้อย เท่าใดนัก

อาหารการกินก็ดูเหมือนจะแพงและหาซื้อยาก จำได้ว่าต้องใช้ตะเกียงน้ำมันหมู แทนที่จะใช้น้ำมันก๊าด ได้ยินผู้ใหญ่คุยกันว่าจะต้องซื้อข้าวปันส่วน น้ำตาล ผ้า สิ่งของที่จำเป็นต้องปันส่วนทั้งนั้น และที่หาซื้อยากและแพงราวกับทองคำ คือยารักษาโรคนี่เอง โรคที่มักจะเป็นในตอนนั้นก็คือมาเลเรีย ผู้เขียนจำได้ว่าตัวเองเคยเป็น และยาที่ถูกบังคับให้รับประทานคือยาควินิน นึกขึ้นมาได้ตอนนี้ ยังจำความขมของมันได้ดี จะระวังอย่างไรก็คงจะยาก เพราะขณะที่พากันหนีภัยสงครามนั้น แค่หลบภัยเอาชีวิตรอดก็บุญแล้ว

และเวลากลางคืนจะต้องพรางไฟเพราะช่วงท้ายสงครามนี้ มีการทิ้งระเบิดที่กรุงเทพหลายแห่ง ทางการประกาศให้ทุกบ้านพรางไฟ และขุดหลุมหลบภัย การลงไปอยู่ในหลุมหลบภัยนั้นนัยว่าปลอดภัย แต่ถ้าลูกระเบิดลงไปที่หลุม ก็เป็นอันฝังให้เสร็จ (พร้อมเผาด้วย) ไม่เหลือซากให้เห็นแน่นอน.


เรื่องนี้นับดูแล้ว ผมมีอายุมากกว่าผู้เขียนนิดหน่อย จึงพอจะเสริมได้ว่าการปันส่วนนั้น ที่สำคัญคือข้าวสาร จะต้องประหยัดกินให้พอทั้งครอบครัว ตามโควตาที่ทางการกำหนดให้ แต่จำไม่ได้ว่าคนละ เดือนละ เท่าไร ไม้ขีดไปอาจจะได้เดือนละกลักเดียว ต้องนับก้านใช้ ต้องจุดให้ติดทุกก้าน แต่จะสุมไฟไว้ก็ไม่ได้ เพราะต้องพรางไฟ วิธีพรางก็คือหาผ้าสีน้ำเงินเข้มหรือผ้าดำ มาหุ้มโป๊ะไฟฟ้า ให้แสงส่องลงข้างล่างเท่านั้น แต่ถ้ามีสัญญาณภัยทางอากาศแล้ว ต่อมาโรงไฟฟ้าจะดับไฟเอง คนที่เดินตามถนนหนทางจะสูบบุหรี่ไม่ได้เป็นเด็ดขาด ตำรวจเห็นจะโดนจับแน่ ส่วนในเรือกสวนไม่มีไฟฟ้า ต้องใช้ตะเกียงน้ำมันมะพร้าว คือตะเกียงดวงเล็ก ๆ ที่ใช้กันในโรงยาฝิ่นนั่นเอง ส่วนผมเคยเห็นว่าเอาน้ำมันมะพร้าวเทใส่ในจานแบนเล็ก ๆ แล้วเอาแป้งนวลวางลงตรงกลาง เอาทางยอดแหลมขึ้นข้างบน แล้วจุดไฟบนยอดแหลมนั้น ก็จะได้แสงสว่างพอมองเห็นหน้ากันได้

คงจะพอแค่นี้ก่อน เป็นบทนำ ส่วนบทตามก็จะเอามาวางต่อไป โปรดรอสักครู่ .


###############

Create Date : 11 มีนาคม 2553
Last Update : 11 มีนาคม 2553 5:43:31 น. 3 comments
Counter : 15 Pageviews. Add to






โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 11 มีนาคม 2553 เวลา:8:13:49 น.




จำได้ว่าป๋ามนเคยเล่าให้ฟังเหมือนกันค่ะ ท่านเกิด 2475 พอดี ยังเล่าว่าช่วยก๋งหาบมะหมี่ขายพวกญี่ปุ่นแถวคุกบางขวางอยู่เลย พรางไฟเกิดไม่ทัน แต่ตามไฟด้วยตะเกียงน้ำมันมะพร้าวยังทันตอนอยู่บ้านนอกนะคะ

โดย: มนต้นไม้ (Setakan ) วันที่: 11 มีนาคม 2553 เวลา:11:03:49 น.




ขอบคุณสำหรับน้ำส้มของคุณนนนี่มาแล้ว ครับ


คุณป๋าของคุณมนต้นไม้อายุใกล้เคียงกับผมครับ
คงมีเรื่องเล่าได้มากพอใช้ครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 12 มีนาคม 2553 เวลา:11:05:00 น.





Create Date : 22 สิงหาคม 2553
Last Update : 24 ธันวาคม 2553 5:20:16 น. 0 comments
Counter : 600 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.