วันนี้วิ่งนี้ซะตูดขาดเลย!! { ปูมวันที่ 12 }

xx xxxx 2502

เขาโล้น

วันนี้ตื่นมาแต่เช้าด้วยความสดชื่นยิ่งนัก คงเพราะการปราบไอ้กุดลงได้เมื่อวานที่ทำให้หมดกังวลไป เลยหลับสบาย แต่เมื่อคืนป่าทั้งป่าก็เงียบสงัดเอาซะจริงๆ ราวกับจะไว้อาลัยให้กับการตายของไอ้กุด
เมื่อเช้ารพินทร์มาแจ้งว่า ได้ส่งบุญคำกับลูกหาบที่ชื่ออินให้นำหนังไอ้กุดกลับไปให้นายอำพล แล้วจะตามไปสมทบกับคณะเราที่โป่งกระทิง ไอ้หนังเสือผืนนั้นเห็นเชษฐาอยากได้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว คงกะจะเอาไปปูไว้ที่ห้องรับแขกเลยมั้ง ก็น่าอยู่หรอก ขนาดของมันนี่ ถ้ากางออก คนธรรมดาลงไปนอนได้ตั้งสามสี่คน

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจตอนเช้ากันเรียบร้อยแล้ว รพินทร์ก็นำพวกเราออกเดินทางต่อทันที บ่ายหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ มุ่งไปยังโป่งกระทิง แล้วพักกินข้าวเที่ยงแบบง่าย แถวดงไผ่เหลืองตอนหนึ่ง

พอตกบ่าย ก็ออกเดินทางกันต่อ ระหว่างทางพบรอยวัวแดง รพินทร์คงเห็นเราผิดหวังจากวัวแดงเมื่อวันก่อน เลยชวนให้ตามแกะรอย น้อยคงนึกสนุกจึงขอตามมาด้วย แต่เชษฐาขอนั่งพักไปบนเกวียนบอกว่าขี้เกียจเดิน แต่ก็ดูรู้แหละว่า เชษฐาคงจงใจเปิดโอกาสให้เรา

คิดๆ ไปก็ตลกอยู่เหมือนกัน ครั้งที่แล้ว ตั้งหน้าตั้งตาแกะรอย เสียเวลาเดินเป็นวันๆ กลับพลาด คว้าน้ำเหลวซะอย่างนั้น แต่มาคราวนี้ ไม่ได้คิดที่จะล่ามันเลย กลับโผล่หน้ามาให้เห็น แถมคราวนี้ยังมากันเป็นฝูงให้เลือกยิง น้อยก็รู้ใจเราเป็นอย่างดี ปล่อยให้เราได้แสดงฝีมือเต็มที่ เราเองก็ไม่เลวเหมือนกัน ส่องร่วงทั้งสองตัว

แต่จะมาทีเหลวก็ตอนที่อยู่ดีๆ ไอ้ตัวหนึ่งมันฟื้นขึ้นมาวิ่งไล่เรานั่นแหละ เล่นเอาซะกางเกงตูดขาด วิ่งขึ้นต้นไม้แทบไม่ทัน ดีที่รพินทร์อยู่ด้วย ช่วยจัดการให้ แต่ก็วุ่นวาย ประดักประเดิดเสียเหลือเกิน ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าตายแล้วแน่ๆ นอนเอาจมูกฟุบดินแน่นิ่งขนาดนั้น กลับทะลึ่งพรวดขึ้นมาได้ยังไงก็ไม่รู้ แทนที่จะกู้หน้า กลับเสียหน้าอีกจนได้ เป็นทีให้ยายน้อยขี่แพะไล่ไปตลอดทาง

ระหว่างทางกลับ ยังไม่ทันจะถึงขบวนของเราดี เสียงปืนดังเป็นประทัดแตก ดังก้องต้อนรับมาแต่ไกล รพินทร์บอกว่าพวกกองเกวียนเราคงปะทะเข้ากับโขลงช้าง แล้วก็จริงตามนั้นเสียด้วย ขบวนของพวกเราปะทะเข้ากับช้างโขลงใหญ่ทีเดียว ดีที่พวกเราอยู่ตรงชัยภูมิที่ได้เปรียบ และอาวุธเราก็มีอำนาจพอที่จะรับมือกับพวกมันได้ พอจ่าโขลงโดนเชษฐายิงล้มลง ที่เหลือก็กระจัดกระจายหนีกันหางจุกตูด

ดูเอาเถอะ ตั้งแต่เริ่มเดินทางแล้ว พอเรายิงหมูป่าได้ เชษฐาก็ข้ามชั้นไปยิงวัวแดง พอทีนี้เรายิงวัวแดงได้บ้าง พ่อเจ้าประคุณก็ข้ามไปซัดกับช้างแล้ว ยิ่งเห็นรอยกระสุนที่เชษฐายิงนัดนั้น เจาะเข้าเนินน้ำเต้าจุดตายของมันพอดิบพอดี ยิ่งเห็นชัดเลยว่าฝีมือเชิงพรานของเรายังห่างชั้นจากเชษฐาอีกเยอะ เฮ้อ...เชษฐานะเชษฐา หยั่งงี้เมื่อไหร่ชั้นถึงจะตามแกทันวะ

ตอนหนึ่งของการเดินทาง รพินทร์เล่าถึงเกียรติประวัติอันไม่มีที่ติของพ่อเจ้าประคุณแหว่งให้พวกเราฟัง รพินทร์อาจกลัวว่าพวกเราจะเสียขวัญจากเรื่องที่เขาเล่าให้ฟังกระมัง ครั้งนี้เลยดูจะเป็นการปลุกปลอบให้กำลังใจยังไงพิกล แต่ก็สมควรอยู่หรอก ประวัติพ่อหูแหว่งนี่ ใช่ย่อยซะที่ไหนล่ะ ย่ำหมู่บ้านซะราบมาแล้วสี่หมู่บ้าน รื้อแค้มป์นักสำรวจไปสามแค้มป์ เหยียบคนตายมาแล้วกว่าสี่สิบศพ อืม...น่าทึ่งไม่หยอกนะ ถ้าเป็นคน ป่านนี้คงโดนประหารชีวิตไปหลายรอบแล้ว แต่ก็นะ จะให้ขนช้างไปขึ้นศาลก็คงไม่ใช่ที่

ในเมื่อไม่มีใครมาตัดสินความผิดให้กับพวกมัน พวกเราก็ควรอนุเคราะห์ ใช้อำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของลูกปืนตัดสินแทน ให้ความเมตตาจากลูกปืน ส่งมันไปสู่สุขคติซะ นี่ถ้ามันรู้คงจะปลาบปลื้มในความกรุณาที่เรามอบให้นี้ จนน้ำหูน้ำตาไหลเลยแหละนะ

คืนนี้เราหยุดพักแรมในจุดที่อนุชาเคยมาพัก และเจอกับรพินทร์ที่นี่ “โป่งกระทิง” ทั้งเชษฐาและน้อยเงียบไปถนัดตา น้อยถึงกับน้ำตาคลอ เราเองก็ไม่น้อยไปกว่ากัน คิดถึงอนุชาขึ้นมาจับใจ...

เราออกเดินทางตามหลังอนุชาช้าไปร่วมปี ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้างแล้ว

เหมือนกับมีอะไรบางอย่างคอยบอกเราอยู่เสมอว่าอนุชายังอยู่ อนุชายังไม่ตาย คงเพราะเสียงนี้กระมังที่ทำให้เรามีกำลังใจจะติดตามเขาต่อไป

ที่พักของเราคืนนี้แย่ไปกว่าทุกคืนที่ผ่านมา คงเป็นที่อากาศ รู้สึกมันอับๆ ทึบๆ ยังไงพิกล รพินทร์บอกว่าเป็นเพราะที่พักของเราคืนนี้อยู่บนที่ราบสูงตอนหนึ่ง ตั้งอยู่ระหว่างส่วนลาดของหุบเขาสองลูก จึงทำให้อากาศที่นี่เหมือนอยู่ในหุบลึก มาถึงที่พักได้ก็รู้สึกปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว เนื่องจากเดินทั้งวัน แต่โชคดีที่มีตัวช่วยอย่าง “เหล้าโรงผสมเลือดค่าง” ที่รพินทร์เสนอมาให้ พอน้อยรู้ว่าเป็นอะไรเท่านั้นแหละ บ่นซะไม่มีดี ต่างกับพี่ชายของเธอลิบ ขานั้นคว้ามาดวดรวดเดียวเกือบหมดขวด จะว่าไปรสชาติมันฝาดๆ แต่ก็กินไม่ยากนัก

ในขณะที่เรากำลังคุยกันอย่างออกรส ความยุติธรรมของธรรมชาติตามที่พรานใหญ่เรียก ก็ได้แสดงตัวออกมาให้เราเห็นเป็นครั้งแรก ภาพของเสือดาวโตเต็มวัยถูกเขาอันแหลมโง้งของกวางหนุ่มตัวเขื่องเสียบทะลุตัว นอนตายอยู่คู่กัน ภาพนั้นยังติดตามาจนบัดนี้ มันเป็นความยุติธรรมของธรรมชาติอย่างถึงที่สุด เท่าที่มันจะแสดงออกมาได้ เสือดาวตัวนั้นคงหมายตะครุบเหยื่อของมันตามธรรมชาติวิสัย แต่คงเลือกมุมผิดไปหน่อย ผ่ากระโจนเข้าทางเขากวาง เจ้ากวางตัวนั้นคงสะบัดเขาขึ้นรับพอดี เลยทำให้เขาของมันไปเสียบเข้ากลางลำตัวเจ้าเสือหนุ่มพอดี แต่เจ้าเสือตัวนั้นก็ไม่ทิ้งลายเจ้าป่า ลากเจ้ากวางหนุ่มตายไปพร้อมกับมันด้วย

ข่าวดีอีกเรื่องสำหรับคืนนี้ เรามีทางออกสำหรับปัญหาเนื้อสัตว์ที่มีอยู่มากเกินไป รพินทร์เสนอให้เราแจกจ่ายให้แก่พวกลูกหาบ ในตอนที่เราต้องแยกจากกันที่หล่มช้าง



::::::::::: credit ::::::::::::::::::::::::::::::

ตรวจคำผิด :mera , สหายน้อย

ตรวจเนื้อหา :wormy , นายเค

รวบรวมแก้ไข : ฟ้ากาง

ตรวจสำนวน :ภคิน , จตร

รูปประกอบ : นายเค




Create Date : 28 กันยายน 2550
Last Update : 28 กันยายน 2550 18:57:30 น.
Counter : 1983 Pageviews.

17 comment
ล่าไอ้กุด!!!.............. {ปูมวันที่ 11}

xx xxxx 2502

เขาโล้น

เช้านี้เราตื่นเร็วกว่าปกติ ด้วยความเป็นห่วงเชษฐากับรพินทร์ แต่ก็ยังช้ากว่าน้อย เพราะตื่นขึ้นมาก็เห็นแม่เจ้าประคุณออกเดินกระวนกระวายอยู่ในเต็นท์แล้ว
เมื่อคืนกะว่าจะนอนเอาแรงเตรียมไปดักล่าไอ้กุด ที่ไหนได้ เจ้าตัวกลับโผล่มาด้อมๆ มองๆ อยู่แถวเต็นท์ เล่นเอาพวกลูกหาบผวาขนหัวลุกกันเป็นแถว เสียดายไม่เห็นตัว ได้แต่กลิ่น นี่ถ้ามันโผล่หน้ามาให้เห็นสักหน่อยพ่อจะล่อให้ดิ้นปัดอยู่ตรงหน้าเชียว


และแล้วก็เหลวอย่างที่เราคิดเอาไว้ จะไปได้ตัวมันได้ยังไง ในเมื่อตัวมันมาเดินปาดหางไปมาอยู่แถวนี้ เชษฐาเล่าให้ฟังว่า แทนที่จะได้ยิงเสือ เกือบต้องปะทะกับโขลงช้างเสียอย่างงั้น พอน้อยรู้เข้าเท่านั้นก็โวยวายใส่พรานใหญ่ของเราทันที ดีที่ว่าเชษฐาช่วยห้ามทัพได้ทัน

ตอนสาย พวกเรากลับไปดูซากเจ้าเอิ้นอีกครั้ง โดยครั้งนี้เราและน้อยรับอาสานั่งเฝ้าซากมันแทน โดยมีเกิดมานั่งเป็นเพื่อนด้วย ที่ยอมให้น้อยมานั่งด้วยก็เพราะครั้งนี้เรามีเวลาได้ขึ้นไปขัดห้างไว้บนต้นไม้ ทำให้ปลอดภัยพอสมควร แต่ที่ไหนได้ มานั่งเฝ้าเสือแต่แม่เจ้าประคุณดันไปกลัวผึ้งแทน อีกอย่างพวกหมาในก็แห่กันออกมาแทะซากศพด้วย หลังจากไล่หมาในไปเรียบร้อยแล้ว พวกเราจึงตัดสินใจพายายน้อยกลับแค้มป์ก่อน สลับกับเชษฐา รพินทร์ และแงซาย



สลับเวรกันได้ไม่นาน รพินทร์ก็เดินหน้าตายกลับมาแค้มป์โดยปราศจากเชษฐากลับมาด้วย เล่นเอาตกอกตกใจกันไปหมด พอรพินทร์เล่าให้ฟังว่าเป็นแผนของเชษฐาที่จะนั่งเฝ้าซากกับแงซาย โดยเชษฐาสันนิษฐานว่า ถ้ารพินทร์นั่งอยู่ด้วย ไอ้กุดมันจะไม่เข้าไปที่ซากอีกเลย (เพิ่งจะมารู้ทีหลังว่าเป็นความคิดของแงซาย) เราก็พอจะเข้าใจ ถึงจะเป็นห่วงเชษฐา แต่ยังไงก็ยังมีแงซายที่นั่งเฝ้าอยู่ด้วยอีกคน แต่น้อยนี่สิ ทั้งโวยวายทั้งทะเลาะกับรพินทร์สารพัด ด้วยที่เขาทิ้งให้พี่ชายสุดที่รักของเธอต้องเสี่ยงเกินไป

ยังไม่ทันไร เสียงปืนก็ดังขึ้นมาสองนัดซ้อนจากทางเชษฐา พวกเราก็เลยกรูกันไปตามเสียง เชษฐาบอกพวกเราว่า หลังจากรพินทร์คล้อยหลังไป ไอ้กุดมันก็เข้ามาแทบจะทันที แต่เสียดายที่เขายิงพลาดไป เลยทำให้มันแค่บาดเจ็บเท่านั้น รพินทร์เองหลังจากไปดูรอยเลือดของไอ้กุดก็หันมาบอกพวกเราว่า กระสุนนัดนั้นของเชษฐาถูกเข้าจุดสำคัญของมันพอดี ที่จริงมันจะต้องคาที่อยู่ตรงนั้นแล้ว แต่ด้วยความทรหดของมัน ทำให้มันลากสังขารตัวเองออกไป ถึงไม่ตามมันก็ต้องตายอยู่ดี

รพินทร์ขอออกตามรอยมันเพียงลำพัง ซึ่งพวกเราไม่เห็นด้วย ตามเสือลำบากเพียงคนเดียว มันก็เหมือนกับเดินตัวเปล่าเข้าไปในกรงสิงโตที่กำลังหิวนั่นแหละ สำหรับรพินทร์แล้วอาจจะเป็นเพียงเรื่องธรรมดา แต่พวกเราก็ยอมไม่ได้ พวกเราจึงยกขบวนออกตามมันไป จนได้ร่องรอยว่ามันเข้าไปหลบอยู่ในพงหญ้า รพินทร์จึงสั่งให้จันจุดประทัดไล่ราว จนมันหนีเตลิดเข้าไปหลบอยู่ในโพรงถ้ำ ตื้นๆ แถวนั้น

รพินทร์ออกปากขอร้องให้เขาเข้าไปจัดการมันเพียงลำพัง เชษฐาก็ขัดใจอยู่ คงอยากจบชีวิตมันด้วยมือของตัวเอง แต่เมื่อรพินทร์ขอร้องมาเองเช่นนี้ พวกเราจึงต้องปล่อยให้พรานใหญ่เข้าไปเพียงลำพัง

กระสุน .375แม็กนั่ม ดังขึ้นเพียงนัดเดียว และคงเป็นนัดสุดท้ายในชีวิตของไอ้กุด รพินทร์เดินออกมา กวักมือเรียกพวกเราไปดู

มันเป็นเสือที่ตัวใหญ่มาก น้องๆ ม้าเลยทีเดียว สมบูรณ์ไปทั้งตัว ขาดแต่เพียงนิ้วเท้าที่โดนนายอำพลยิงขาดไป จากคำยืนยันของพรานทุกคน มันเป็นไอ้กุดเสือผีสิงที่ระรานอยู่แถวนี้จริงๆ

สิ้นสุดเวรกรรมกันแต่เพียงเท่านี้นะไอ้กุด ต่อไปชาวบ้านในละแวกนี้คงได้อยู่กันอย่างผาสุขซักที



::::::::::: credit ::::::::::::::::::::::::::::::

ตรวจคำผิด :mera , สหายน้อย

ตรวจเนื้อหา :wormy , นายเค

รวบรวมแก้ไข : ฟ้ากาง

ตรวจสำนวน :ภคิน , จตร

รูปประกอบ : นายเค





Create Date : 22 กันยายน 2550
Last Update : 24 กันยายน 2550 11:10:03 น.
Counter : 2217 Pageviews.

18 comment
วันที่ 10 ของปูมเดินทางครับ (เม้นท์ได้ครับพี่น้อง เม้นท์ได้เต็มที่)

xx xxxx 2502

เขาโล้น

เมื่อคืนนี้เรานอนหลับเป็นตายเพราะเพลียจากการเดินทางซึ่งยังไม่เคย น้อยตื่นเป็นคนแรก แต่ก็ยังตื่นสายกว่าพ่อยอดชายนายรพิน ทร์ที่ตื่นก่อนสว่างแล้วออกไปเดินสำรวจรอบๆ บริเวณแค้มป์ น้อยตื่นขึ้นก็แบกปืนเดินเข้าป่าจะไปยิงไก่ป่า ปะเหมาะสวนทางกับรพินทร์เลยได้ลับฝีปากกันเล็กน้อย เพราะพ่อพรานของเราไม่อยากจะให้น้อยออกไปจากบริเวณแค้มป์ แต่เมื่อเสียไม่ได้ก็เลยให้บุญคำแบกปืน ตามไปประกบ

จากที่เราตกลงกันไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่า ระยะทางเริ่มต้นนี้ เราจะยอมเสียเวลาเพื่อใช้ในการล่าสัตว์ ดังนั้นโปรแกรมสำหรับวันนี้จะมีทั้งนั่งห้างยิงสัตว์หรือจะแกะรอยตาม แล้วแต่ว่าใครต้องการล่าสัตว์อย่างไร เชษฐากับน้อยอยากจะนั่งห้าง ส่วนเราอยากจะลองแกะรอย โดยเฉพาะที่รพินทร์บอกว่าพบรอยวัวแดงไม่ห่างออกไปจากแค้มป์ของเ ราเท่าไรนัก เมื่อตกลงกันตามนั้นแล้ว รพินทร์ขอตัวออกไปผูกห้างเพื่อให้พวกเราได้ใช้ซุ่มยิงสัตว์ตามที่เราร้องขอ

รพินทร์กลับมาที่แค้มป์เอาเกือบเที่ยง มีเรื่องเล็กน้อย เพราะน้อยแอบไปอาบน้ำที่ลำธาร แล้วเกิดจ๊ะเอ๋กับช้างแม่ลูกอ่อนเข้า ดีที่รพินทร์ผ่านมาพบเข้าพอดีไม่งั้นก็คงเกิดเรื่องใหญ่ บางทีที่คุณรพินทร์เตือนเราเอาไว้แต่แรก ว่าเราไม่ควรเอาผู้หญิงมาด้วย ก็คงจะเป็นเพราะอย่างนี้แหละ



หลังอาหารเที่ยงรพินทร์กับพวกพรานของเรา พาพวกเราไปที่ ๆ เขาขัดห้างสำหรับยิงสัตว์ เชษฐาชวนแงซายให้ตามไปด้วยอีกคน

แกะรอยวัวแดงคราวนี้เราเลือกใช้ FN .375 Magnum ซึ่งกำลังดีสำหรับสัตว์ชั้นวัวแดง

เราออกเดินไปยังตำแหน่งที่รพินทร์ไปขัดห้างไว้เป็นแห่งแรก โดย ให้น้อยขึ้นนั่งกับบุญคำ หลังจากนั้น รพินทร์ก็ออกนำทางไปยังตำแหน่งห้างของเชษฐา ระหว่างทางเจองูเหลือมตัวเบ้อเร่อขวางทางอยู่ ได้เห็นการวัดเชิงของรพินทร์กับแงซายอีกครั้ง พ่อพรานใหญ่ของเ ราโยนมีดของตัวเองให้แงซายโดยไม่ได้พูดอะไรเลย เจ้ากะเหรี่ยงนี่ก็ไม่ใช่ย่อย รับมีดมาไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรเหมือนกัน เดาะมีดอยู่สองสามที ก็ปาไปตัดคองูตัวนั้นขาดฉับ ซ้ำยังเดินหน้าตายไปหยิบมีดที่ปาไป มาคืนรพินทร์อีก กินกันไม่ลงจริงๆ สองเสือนี่ รพินทร์รู้ฝีมือแงซายดี เท่าๆ กับที่แงซายก็ทันรพินทร์เหมือนกัน

เดินกันไปได้สักพักก็ถึงห้างของเชษฐา เรารอส่งเชษฐากับจันขึ้น ไปนั่งบนห้างเรียบร้อย เหลืออยู่ห้าคน เรา รพินทร์ แงซาย กับลูกหาบอีกสองคน รพินทร์นำพวกเราออกแกะรอยวัวแดงกันต่อ แต่ก็เหมือนฟ้าเล่นตลก กะจะล่าวัวแดงดันต้องไปซัดกับหมีทั้งโขยง แล้วแต่ละตัวก็ไม่ใช ่เล่นๆ ทั้งใหญ่ทั้งดุ เลยต้องซัดกันซะป่าแตก เรื่องจะแกะรอยวัวแดงต่อก็หมดหวังไปโดย ปริยาย เอาเถอะได้หมีมาสี่ตัวก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย



ก็อย่างที่บอกไว้แต่แรกแหละ เหมือนฟ้าเล่นตลก ไอ้เรารึอุตส่าห์ลงทุนเดินแกะรอยวัวแดง กลับได้หมีมาแทน ตรงกันข้าม เชษฐานั่งห้างยิงเก้งยิงกวาง ไอ้วัวแดงเจ้ากรรมดันเดินมาเข้าทางปืน เสร็จเชษฐาไป ก็คงเตลิดจากเสียงปืนเรามานั่นแหละ ให้ตายสิ พี่น้องคู่นี้มือทำบาปขึ้นจริงๆ



ตอนค่ำขณะพวกเรากำลังนั่งกินอาหารกันอยู่ พวกลูกหาบเข้าแจ้งกับเราว่า มีลูกหาบคนหนึ่งชื่อเจ้าเอิ้นโดนเสือคาบไประหว่างไปดักซุ่มหมูป่าอยู่กับลูกหาบอีกคนชื่อเจ้าปง เห็นเจ้าปงเล่าว่า มันย่องเข้ามาแล้วก็ตะปบเอาเอิ้นไปต่อหน้าต่อตาเขาเลย

รพินทร์เล่าความร้ายกาจของเสือตัวนี้ให้เราฟัง ขณะพวกเราตามรอยมันไป ชาวบ้านแถบนี้เรียกมันว่า ไอ้กุด เป็นเสืออันธพาลที่ป่วนเปี้ยนอยู่ในป่าแถบนี้ จริงๆ รพินทร์ควรจะจัดการมันได้ตั้งนานแล้ว แต่เป็นเพราะนายอำพลยิงพลาด เอาปืนเล็งหัวแต่ดันไปโดนตีน ทำให้มันหนีรอดไปได้ รพินทร์เองก็ออกล่ามันหลายหน แต่มันก็เหมือนเสือผีเสือปีศาจอย ่างที่ชาวบ้านลือกันจริงๆ คอยหลบรพินทร์มาโดยตลอด

พวกเราตามไปจนพบศพของเจ้าเอิ้น สภาพศพดูแทบไม่ได้ น่าสมเพชเวทนานัก พวกเราลงความเห็นกันว่า จะต้องจัดการมันให้จงได้ รพินทร์ออกปากจะนั่งเฝ้าซากคนเดียว แต่เชษฐาค้านไว้จะขออยู่ด้ วย เราก็เช่นกัน ในฐานะนายจ้าง เราจะปล่อยให้เขานั่งอยู่คนเดียวไม่ได้ รพินทร์ยอมฟังที่พวกเร าขอร้อง เชษฐาจึงขอนั่งกับรพินทร์ก่อน โดยให้เรากลับมารอฟังผลที่แค้มป์

ไม่รู้ว่าทางนั้นจะเป็นยังไงบ้าง จะได้ตัวรึเปล่าก็ไม่รู้ กลับมาถึงแค้มป์ ยายน้อยก็โวยวายเสียยกใหญ่ เรื่องที่ให้เชษฐาอยู่นั่งเฝ้าซากด้วย ก็ต้องอธิบาย กว่าจะยอมฟังบ้าง ผู้หญิงยังไงก็เป็นผู้หญิงวันยังค่ำ ถึงจะอธิบายจนเข้าใจแล้วก็เถอะ ก็ยังไม่วายบ่นกระปอดกระแปดอยู ่นั่นเอง แต่จะว่าไปก็สมควรแล้วล่ะที่น้อยจะต้องเป็นห่วง พี่ชายทั้งคนน ี่เนอะ เราเองก็ห่วงเชษฐาอยู่เหมือนกัน ถึงจะมี รพินทร์อยู่ด้วยก็ยังไม่น่าไว้ใจอยู่ดี ไอ้การที่ต้องไปดักยิงเสือเจ้าเล่ห์เช่นนี้ โดยเฉพาะอยู่บนพื้นดินระดับเดียวกับมัน ไม่ได้อยู่บนห้าง มันก็เสี่ยงใช่เล่นอยู่นา

อีกไม่นานก็จะเช้าแล้ว สองคนนั้นกลับมาคงได้รู้เองแหละว่าจะได ้หรือไม่ได้ตัว ถ้าได้ตัวคืนนี้เลยก็ดีไป แต่ถ้าไม่ได้ เรานี่แหละจะออกไปนั่งเฝ้าซากเจ้าเอิ้นเอง เกิดมาก็ไม่เคยนั่งเฝ้าซากกับเขาซะที จะได้ลองก็หนนี้แหละ ดูท่าคงจะได้ความเร้าใจไปอีกแบบนะ



::::::::::: credit ::::::::::::::::::::::::::::::

ตรวจคำผิด :mera , สหายน้อย

ตรวจเนื้อหา :wormy , นายเค

รวบรวมแก้ไข : ฟ้ากาง

ตรวจสำนวน :ภคิน , จตร

รูปประกอบ : นายเค





Create Date : 15 กันยายน 2550
Last Update : 17 กันยายน 2550 9:30:27 น.
Counter : 1966 Pageviews.

19 comment
ออกเดินทาง !!! [ปูมวันที่ 9 ]

xx xxxx 2502

พวกเราตื่นกันตั้งแต่ฟ้าสาง แต่ก็ยังตื่นทีหลังพรานรพินทร์ ขบวนเกวียนของเรามาจอดรอพร้อมที่จะเดินทางอยู่แล้ว 5 คัน ใช้บรรทุกสัมภาระ (ส่วนใหญ่เป็นข้าวของๆ น้อย) อีกสองคันใช้เป็นเกวียนสำรอง ส่วนคันสุดท้ายเป็นเกวียนของพวกเรา รพินทร์จัดให้มีที่นั่งและประทุนผ้าใบสำหรับกันแดดกันฝน เกวียนแต่ละเล่มจะมีลูกหาบประจำอยู่สองคน หัวหน้าลูกหาบชื่อนายเมย เป็นคนที่อยู่ที่หนองน้ำแห้งนี่เอง

เราจะออกเดินทางเวลา 6.00 น. ซึ่งเป็นฤกษ์ที่รพินทร์กำหนด (รพินทร์อธิบายว่าเวลานั่นไม่ใช่ฤกษ์ยามอะไร เพียงแต่รอให้หมอกจางหน่อยเท่านั้นเอง) นายอำพลกับคุณประเสริฐตามมาส่งเราถึงชายป่า สังเกตเห็นว่านายประเสริฐมีน้ำตาไหลออกมา แต่จ้าตัวบอกว่าฝุ่นมันเข้าตา ส่วนนายอำพลก็ตาแดงๆ แต่ไม่ถึงกับน้ำตาไหล ส่วนป้าจงไม่ยอมลงมาจากบนเรือน เพราะเมื่อคืนวานมีเสือมาร้องอยู่ใกล้ๆ เรือนที่พัก ป้าแกก็กลัวจนหัวหด มุดไปนอนอยู่ใต้เตียง แล้วไม่ยอมลงมาจากเรือนใหญ่เลย นี่ยังสงสัยอยู่ว่าขากลับ แกจะกลับอีท่าไหน

พอฟ้าเริ่มสางก็ได้เวลาพอดี รพินทร์นำขบวนร่วม 41 ชีวิต (รวมเจ้าควายทั้ง16 ตัวด้วย) ออกเดินทางทันที จะว่าไป ก็ต้องนับว่าเป็นคณะเดินทางที่ใหญ่โตไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ เกวียนแปดเล่ม ควาย 16 ตัว คนอีก 25 ชีวิต อันที่จริงก็อาจจะเล็กลงกว่านี้ได้อีกครึ่ง หากตัดเอาอุปกรณ์บำรุงบำเรอความสุขของเจ้าหญิงดารินออกไปเสียบ้าง จะไม่สงสัยเลยหากวันนี้เจ้าหญิงทรงอาภรณ์อย่างควีนอลิซาเบธ ออกมาเดินนวยนาดไปกับคณะด้วย หนักใจกับยายนี่จริงๆ ไม่รู้วันข้างหน้าจะร้องแรกแหกกระเชอ ขอกลับพระนครเมื่อไหร่ ไม่รู้จะตามมาด้วยทำไมกัน

เดินทางออกจากหนองน้ำแห้ง ขบวนเกวียนของเราก็จะเคลื่อนผ่านป่าโปร่ง พรานรพินทร์จะเดินนำหน้าขบวนเกวียน โดยมีพรานของเขาสองคนเดินตาม ส่วนพรานอีกสองคนเดินปิดท้ายขบวน รพินทร์จัดให้แงซายเดินมากับเกวียนของเรา แงซายชี้ให้ดูรอยตีนช้างที่ย่ำกันให้เปรอะไปหมด ตอนแรกนึกว่าช้างบ้าน ที่ไหนได้ช้างป่าทั้งนั้น ประโยคที่แงซายพูดยังติดหูอยู่เลย "เพียงก้าวแรกที่นายหญิงลงมาจากเรือนพัก ก็คือป่าลึกแล้วครับ..." มันน่าเขกหัวตาพรานนำทางนัก พ่อเล่นอุบเงียบไม่ยอมบอกกันบ้างเลย แงซายคงเห็นพวกเรานั่งจับเจ่าไม่มีอะไรทำอยู่บนเกวียน เลยแนะว่า ถ้าอยากจะยิงสัตว์เป็นการซ้อมมือล่ะก็ ให้ออกไปเดินกับพรานรพินทร์ รับรองไม่ผิดหวัง

ได้ยินแงซายว่าอย่างนั้น เรื่องอะไรจะนั่งหง่าวอยู่บนเกวียนให้โง่คว้า Winchester .458 แล้วลงจากเกวียนไปเดินกับรพินทร์ น้อยกลัวจะน้อยหน้าเลยคว้า Winchester .270 ติดมือมาร่วมเดินด้วย เชษฐานึกสนุกเลยลงจากเกวียนมาเดินกับพวกเราด้วย

มานั่งนึกๆ ดูก็ขำตัวเอง เลือกปืนไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ กะจะไปยิงเก้ง ยิงกวางดันคว้าเอา Winchester .458 Magnum Model 70 (Safari Express) ที่เป็นปืนสำหรับล่าสัตว์ใหญ่มาซะได้

กระสุนขนาด 500 เกรน ความเร็วต้น 1,900 ฟุตต่อวินาที แรงปะทะปาเข้าไปตั้ง 5,000 ฟุตปอนด์ ก็สองตันกว่าๆ แหละนะ ช้างก็ช้างเหอะเจอเข้าไปสักนัดรับรองล้มทั้งยืนแน่ แต่ก็นั่นแหละนะเอาปืนยิงช้างไปยิงกวาง ไม่ได้เรื่องจริงๆ เรา
ผิดกับเชษฐาลิบ ขานั้นเข้าใจเลือกจริงๆ เขาเลือกที่จะใช้ปืนลูกซอง FN Semi automatic 5 นัด แทนปืน Rifle นัด ยี่ห้อ Browning

แต่จะรู้จักกันว่าปืนลูกซอง FN เพราะผลิตโดยโรงงาน FN (Fabrique Nationale) ของเบลเยี่ยม เจ้า Browing FN นี้ใช้กระสุนขนาด 12 (12 guage) ซึ่งมีลูกให้เลือกใช้หลายเบอร์ เช่น เบอร์ 1 ที่มีลูกตะกั่วเกือบ 600 เม็ด ใช้สำหรับยิงนกไปจนกระทั่ง โอโอบั๊ค คือมีลูก 1 เม็ด ใช้ยิงเก้ง กวาง ตลอดจนถึงเสือ

ปืนของดารินก็เป็นปืน Winchester เหมือนกันกับของเรา แต่เป็นขนาด .270

เป็นปืนระดับยิงเก้ง ยิงกวาง กระสุนขนาด 130 เกรน ความเร็วต้น 3,060 ฟุตต่อวินาที ก็เหมาะกับน้อยล่ะนะ เพราะแรงถีบไม่ค่อยแรงเท่าไรนัก ถ้าไม่ต้องการยิงอะไรที่ใหญ่กว่าเก้ง กวาง แล้ว .270 กระบอกนี้จะเหมาะมาก แต่ถ้าเจอไอ้จมูกยาวหรือกระทิงก็คงจะไม่อยู่ นอกจากจะเข้าที่สำคัญจริงๆ

ส่วนปืนของพรานใหญ่คือ CZ รุ่น ZKK 600 .30-06 ทำในประเทศเช็คโกสโลวาเกีย

.30 หมายถึงเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด .30 นิ้ว ส่วน 06 คือปี 1906 ที่กองทัพสหรัฐนำเข้าประจำการกระสุน .30-06 หนัก 150 เกรน ความเร็วต้น 2,910 ฟิตต่อวินาที แรงปะทะ 2,820 ฟุตปอนด์ หรือประมาณ 1 ตันกว่าๆ ถ้าว่ากันตามตำรา มันก็น้อยเกินไปสำหรับสัตว์หนังหนา แต่ถ้าอยู่ในมือของพรานอย่างรพินทร์ก็น่าจะหยุดมันได้ถ้าวางกระสุนให้ถูกจุดตายของมัน

แล้วมันก็จริงอย่างที่แงซายว่า ลงมาเดินได้ไม่เท่าไร เหยื่อรายแรกก็กระโจนพรวดออกมาตัดหน้า เชษฐาเป็นคนประเดิมฤกษ์ให้กับคณะเรา

กวางตัวแรกที่เราประเดิมได้นี้ (ไม่นับเหยี่ยวที่น้อยสอยมันลงมาจากยอดไม้เพราะความมันมือ) เป็นกวางป่าพันธุ์ Samba Deer (Cerrus Poroinas) เป็นกวางที่พบได้ทั่วไปในป่าแถบเอเชีย

เชษฐายิงมันด้วยปืนลูกซอง Browning FN กระบอกนั้นแหละขณะที่มันกำลังกระโดดพอดี ลูกปรายจาก Browning กระบอกนั้นจับกลุ่มพุ่งเข้าไปฝังอยู่ที่ต้นคอของมัน ยังผลให้มันตายแทบจะในทันที นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีทีเดียวสำหรับเชษฐา ความแตกต่างของทักษะในการเลือกใช้ปืนส่งผลชัดก็ตอนนี้แหละ ขณะที่เชษฐาส่งกระสุนเข้าเป้าเป๊ะ แต่ .458 ของเรานี่สิ ไม่รู้ลอยหายไหน ก็สมควรแหละนะ ระยะประชิดขนาดนั้น แค่จะมองหาศูนย์ยังไม่มีเวลาเลย ขืนเรายังถือเจ้าปืนกระบอกนี้ต่อไป คงจะไม่ได้ยิงอะไรเป็นแน่ เราก็เลยแลกเอา .30-06 ของรพินทร์มาถือ แล้วปล่อยให้นายพรานถือเจ้าปืนยิงช้างแทน

เดินต่อไปอีกพักใหญ่ก็มีหมูป่าฝูงหนึ่งวิ่งตัดหน้า เจ้าตัวหนึ่งมาเข้าทางปืนของเราพอดี เลยซัดซะมันตีลังกาหงายหลังหมูป่าที่เรายิงได้เป็นหมูที่เรียกว่า Wild Boar หรือศัพท์ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า Sus Scrofa เป็นพันธุ์หน้าขาว ซึ่งตามปกติแล้วจะชอบอยู่กันเป็นฝูง ฝูงละ 5-6 ตัว จนถึง 50-60 ตัว รพินทร์เล่าว่าหมูป่าพวกนี้มีประสาทสำหรับรับกลิ่นที่ไวมาก แต่ประสาทตาไม่ค่อยดี รวมทั้งประสาทหูไม่ค่อยดีด้วย
ถึงจะพอแก้หน้าได้บ้างกับไอ้หมูป่าตัวนั้นก็เถอะ แต่ก็ยังห้าแต้มลืมสลัดปลอกเก่าทิ้งอีก แทนที่จะได้แก้หน้า กลายเป็นขายหน้าไปใหญ่ ยิ่งยายน้อยด้วยแล้วยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งยิ้มทั้งเยาะถากถางไปตลอดทาง คอยดูไปเถอะเดี๋ยวจะขอเก็บเกี่ยวความรู้จากอาจารย์รพินทร์ให้เต็มหน้าตักก่อนเถอะ แล้วจะเกทับให้หน้าหงายเลยทีเดียว

เมื่อตอนบ่ายรพินทร์ว่าจะให้หยุดพักอยู่ที่เขาโล้นนี่สักสองคืน ดีเลย...จะได้ถือโอกาสฝึกปรือฝีมือไปในตัว ก่อนจะเข้าสู่ป่าลึกกว่านี้ จะว่าไปก็กลัวใจตัวเองจริงๆ ฝีมือขนาดนี้ยังกล้าจะเข้าไปเดินในป่าลึก ดีเท่าไหร่แล้วที่รพินทร์เสนอให้ยืดเวลาเดินทางออกไปจากสองอาทิตย์เป็นหนึ่งเดือน

เห็นทีจะได้ออกจากกะลา ขึ้นแท่นเป็นพรานมืออาชีพกับเค้าสักที ก็ต้องในหนึ่งเดือนนี้แหละ

เดินทางต่อไปอีกครู่เดียวก็เจอดี

จงอางขนาดเท่าน่องขวางทางเราอยู่ พอมันเห็นเรามันก็ยืดตัวขึ้นสูงแล้วแผ่แม่เบี้ย มันเป็นงูจงอางที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เราเคย เห็นมันมา

รพินทร์สั่งให้พวกเรานิ่งอยู่กับที่ แล้วขอปืนลูกซองจากเชษฐา พองูทำท่าเหมือนจะฉกรพินทร์ก็ซัดลูกซองเข้าที่ก้านคอ แต่ก็ไม่อยู่เพราะตัวมันโตเหลือประมาณ โชคดีที่แงซายเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด คว้าลูกซองแฝดจากราวปืนบนเกวียน และซัดมันทั้งสองลำกล้องถึงได้เอามันอยู่

งูจงอาง King Cobra (Ophiophagus Hannah) จัดว่าเป็นงูพิษที่มีขนาดยาวที่สุดในโลก (สถิติโลกมีความยาว 5.59 เมตร ยังนับว่าเป็นรุ่นน้องของไอ้ตัวที่เราเจอ) รพินทร์เล่าว่าลึกเข้าไปในป่าเราอาจจะพบงูจงอางที่ใหญ่กว่าตัวนี้ โดยเฉพาะบริเวณป่าหวายซึ่งเป็นดงของมันเลยทีเดียว งูจงอางเป็นงูที่อยู่กันเป็นคู่ ซึ่งเราอาจจะเจอคู่ของมันก็ได้

หลังจากนั้นเรากลับไปนั่งอยู่บนเกวียนไม่คิดจะเดินต่อไปอีก ยังเสียวเจ้างูจงอางไม่หาย

รพินทร์สั่งหยุดขบวนครั้งแรกในบริเวณที่เรียกว่า “เขาโล้น” เพื่อที่จะล่าเลียงผาที่มีอยู่ชุกชุม เป็นอีกครั้งที่ต้องทึ่งในฝีมือพรานของรพินทร์ ที่บรรจงจัดวาง แค้มป์ได้เหมาะเจาะเสียจริงๆ ด้านหลังติดหน้าผาชัน ต่ำไปด้านหน้า ห่างไปสักร้อยเมตรเป็นลำธาร มีกำแพงกั้นด้านหลัง ไม่ต้องห่วงว่าจะมีอะไรโผล่พรวดเข้ามาถึง แค้มป์ได้ ส่วนด้านหน้า ก็ผูกควายไว้รอบนอกอีกชั้น เสมือนสัญญาณเตือนภัยอย่างดี นี่ก็ความรู้ใหม่ เพิ่งจะรู้ที่เค้าเอาควายมาเทียมเกวียนก็ด้วยสัญชาติญาณของมันนี่เองที่ไม่เกรงกลัวกระทั่งเสือ ที่พักก็ไม่ห่างจากลำธารนัก ยังความสะดวกให้คณะเป็นอย่างมากทีเดียว รพินทร์นี่แน่สมกับเป็นพรานใหญ่จริงๆ แค่วันนี้วันเดียว ได้ความรู้จากเขาไปมากโข ที่ผ่านมาก็นึกเข้าข้างตัวเองอยู่ว่า ถ้าในเชิงพรานเราก็แน่พอตัวเหมือนกัน เพิ่งจะรู้ว่าไอ้ที่ว่าแน่ ก็แน่แค่ในกะลาแคบๆ เท่านั้น ฝีมือยังเทียบพรานของเขาไม่ได้เลยมั้ง แค่เริ่มต้นเดินทางก็ได้อายไม่รู้จะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

สำหรับการไล่ราวครั้งนี้ เราเลือกปืนลูกซองแฝดเพราะเห็นผลจากที่เชษฐายิงกวาง กับที่รพินทร์กับแงซายยิงงูจงอาง แต่เชษฐากลับเลือกเอา 30-30 แบบคานเหวี่ยงแทน ปืนที่เชษฐาเลือกเป็นปืน Winchester Model 74 หัวกระสุนหนัก 150 เกรน ความเร็วต้น 2,370 ฟิตต่อวินาที แรงปะทะ 1,702 ฟุตปอนด์ ซึ่งกำลังพอเหมาะสำหรับสัตว์ประเภทเลียงผา


ส่วนดารินยังคงใช้เจ้า Winchester .270 ติดกล้องกระบอกเดิม ซึ่งโอกาสที่จะยิงถูกเลียงผาที่วิ่งเร็วๆ คงจะมีน้อยมาก หรือจะเรียกว่าไม่มีเลยก็คงไม่ผิดนัก

รพินทร์จัดให้พรานของเขาถือปืน .375 คอยประกบพวกเรา โดยให้จันประกบเชษฐา ให้เส่ยมาเป็นพี่เลี้ยงเรา ส่วนตัวพรานรพินทร์เองเป็นคนดูแลน้อย พวกเราแต่ละคู่จะแยกกันยิงเลียงผาตามจุดต่างๆ ที่รพินทร์กำหนด บุญคำจะพาพวกลูกหาบอ้อมเขาไปคอยไล่เลียงผามาให้พวกเรายิง

การยิงเลียงผาที่พวกลูกหาบไล่ราวมานั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด ขนาดเราใช้ลูกซองแฝดแล้วยังสอยได้เพียงแค่ 5 ตัว แต่เมื่อกลับมาถึงแค้มป์ถึงพบว่าเรามาบ๊วยที่โหล่ เชษฐายิงได้ 6 ตัว แต่ที่น่าแปลกใจที่สุดคือน้อย ทั้งๆ ที่ตอนแรกเรายังกะจะกลับมาเกทับอยู่พอดี ที่ไหนได้ แม่เล่นซะ 7 ตัว ยิงได้มากที่สุดในกลุ่มพวกเราเลย มือทำบาปขึ้นจริงๆเลยยายคนนี้

เลียงผา Serow (Capricornis Sumatraensis) เป็นสัตว์จำพวกแพะ อาศัยอยู่ตามภูเขาที่มีหน้าผา เช่น ที่เขาโล้นนี่ ว่องไงปราดเปรียวมาก ประสาทตาและหูรับกลิ่นได้ดีมาก ออกลูกครั้งละ 1 ตัว เขา กระดูก กีบ น้ำมัน สามารถใช้เป็นยาสมานกระดูกได้
 



UPDATE : ตอนนี้บล๊อกเราขยายคอนเทนท์เพิ่มขึ้นอีกช่องทางนะครับ เป็นช่อง youtube สำหรับเด็กๆ ใครเป็นเด็ก หรือสนใจคอนเทนท์แบบเด็กๆ หรือมีลูก มีหลาน ก็รบกวนกดติดตามกันสักนิด เป็นแรงให้เรามีกำลังใจผลิตคอนเทนท์ดีๆออกมาอีกครับ ขอบคุณครับ


Youtube  น้องนฎาพาป๊าไปไหว้พระ ให้อาหารปลาค่ะ


#หมูน้อยร้อยชั่ง  



Create Date : 08 กันยายน 2550
Last Update : 16 เมษายน 2562 10:23:02 น.
Counter : 1546 Pageviews.

0 comment
มันมาแล้ว.....ไอ้กระเหรี่ยงดง { วันที่ 8 }

xx xxxx 2502
หนองน้ำแห้ง (บ้านทาร์ซาน)

วันนี้เหมือนกับโชคเข้าข้างเราเพราะมีคนมาขอสมัครเดินทางไปกับเราชื่อ แงซาย เป็นกะเหรี่ยง หมอได้ข่าวว่าคณะของเรากำลังจะเดินทางไปเทือกเขาพระศิวะก็เลยมาสมัคร รพินทร์ไม่ค่อยจะสบายใจนักที่จะรับแงซายให้เดินทางไปกับเรา เพราะครั้งหนึ่งแงซายเคยเป็นทหารของกองโจรกะเหรี่ยงที่เคย โจมตีค่ายของรพินทร์ (ตอนที่ยังเป็น ต.ช.ด.) แต่ที่สำคัญกว่านั้นรพินทร์มีความรู้สึกว่านายแงซายคนนี้เป็น คนลึกลับที่เขาไม่แน่ใจว่านายแงซายต้องการอะไรในการที่จะติดตาม พวกเราไปเทือกเขาพระศิวะ เราเองก็สงสัยอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อพบว่านายแงซายคนนี้มีการศึกษาเหนือกว่าชาวป่าทั่วไป เรียนในมัณฑะเลย์ 8 ปี แล้วยังเคยกระโดดร่มเข้ายึดพม่ากับกองทัพอังกฤษ แถมต่อมาได้เข้าไปสังกัดอยู่ในกองทหารอิสระของนายพลอองซานมียศเป็นถึงร้อยโท

WOW !!!!!!!!!!

สุดท้ายรพินทร์ถามความเห็นของทุกคน พวกเราไม่ขัดข้องอยู่แล้ว เชษฐาจึงตกลงรับแงซายมาร่วมทีมด้วยอีกคน

เป็นอันว่ารพินทร์ได้ลูกหาบครบห้าคนอย่างที่เขาต้องการ และคณะเราก็พร้อมแล้วที่จะเดินทางออกติดตามตัวนายกลาง หรือ ชด ประชากร กลับมา

คืนสุดท้ายก่อนออกเดินทางเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะสอบถามเรื่อง การเดินป่าจากรพินทร์ นายพรานคนนี้รอบรู้เจนจบเรื่องป่าดงพงไพรอย่างไม่น่าเชื่อ เราได้รับความรู้ใหม่ๆ มากมาย เช่น สัตว์ป่าที่น่ากลัวที่สุด ไม่ใช่เสือ ไม่ใช้ช้าง แต่เป็นหมูป่า และสัตว์ที่ทำให้พวกเดินป่าตายมากที่สุดคือ งู นั่นเอง

เราอยู่คุยกันจนดึก นี่ถ้าไม่ได้ออกเดินทางกันแต่เช้า วันพรุ่งนี้แล้วละก็ คืนนี้คงได้อยู่คุยกันถึงเช้าแน่ๆ

เทือกเขาพระศิวะ หนทางแห่งความหายนะอย่างที่รพินทร์เตือนเราไว ้ อยู่ข้างหน้านี้แล้ว รอก่อนเถอะ พ่อจะบุกบั่นไปจนถึงให้ได้เชียว ลงว่าคณะเราพร้อมพรักถึงขนาดน ี้แล้ว จะไปไม่ถึงอีก ก็ให้มันรู้ไป

 





UPDATE : ตอนนี้บล๊อกเราขยายคอนเทนท์เพิ่มขึ้นอีกช่องทางนะครับ เป็นช่อง youtube สำหรับเด็กๆ ใครเป็นเด็ก หรือสนใจคอนเทนท์แบบเด็กๆ หรือมีลูก มีหลาน ก็รบกวนกดติดตามกันสักนิด เป็นแรงให้เรามีกำลังใจผลิตคอนเทนท์ดีๆออกมาอีกครับ ขอบคุณครับ


Youtube  น้องนฎาพาเที่ยว บ้านธรรมชาติ @ เขายายเที่ยง / bonanza exotic zoo ค่ะ


#หมูน้อยร้อยชั่ง



Create Date : 01 กันยายน 2550
Last Update : 16 เมษายน 2562 10:23:15 น.
Counter : 413 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  

ฟาฬ
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



ฝากช่องยูทูป Misterfharl ด้วยนะครับ
All Blog