Group Blog
 
All blogs
 

[My] World Cup 2010's Playlist / Fast Forward: The World Cup Goes Indie

     ช่วงนี้เมื่อคิดถึงมหกรรมฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ซึ่งจะเริ่มดวลเดือดกันในเร็ววันนี้ขึ้นทีไร จิตใจฉันยิ่งหวั่นไหวดึ๋ยๆ ทั้งตื่นเต้นและหวาดเสียวระคนกันไป


ไอ้อาการตื่นเต้นน่ะมันมีอยู่แล้ว
     นี่คือโคตรอภิมหากิจกรรมแห่งมวลมนุษยชาติที่คนรักฟุตบอลก็รอ
     หรือถึงใครจะไม่ใช่คอบอลก็ต้องมาตั้งตารอเอาใจช่วยชาติของตัวเองให้ทำผลงานได้ดี
     ไอ้คนที่ไม่มีทีมชาติตัวเองให้เชียร์ในรอบสุดท้ายเลยสักทีก็อาศัยเกาะแกะชาติอื่นที่อาจไม่ได้เป็นญาติโกโหติกาหรืออาจเป็นให้เล่นดีๆ สมใจ
     มีเกมการแข่งขันอันน่าเร้าใจจากทุกสนามกำลังรออยู่ข้างหน้า โดยที่ไม่มีใครจะหยั่งรู้หรือลิขิตชะตากรรมได้
     เป็นโอกาสที่นักเตะจะได้โอกาสโชว์ฝีเท้าตัวเอง ถ้าเล่นดีก็เป็นได้เป็นดาวเด่นที่ทุกคนนับยอมรับนับถือ เราคนดูก็พลอยได้ยลฟอร์มเทพๆ เขา
     ตำรวจของประเทศไทยแลนด์ที่ใฝ่ฝันถึงแคมเปญบอลไทยไปบอลโลก (ตอนนี้เอาบอลไทยไปมวยโลกก่อน) ก็ได้โอกาสอันดีที่จะได้ปฏิบัติการผักชี เข้มงวดกวาดล้างการพนันในช่วงนี้ (ช่วงอื่นมันจะไม่ทำกัน)
     ฯลฯ
     น่าตื่นเต้นทั้งนั้น
แต่ฉันก็เกิดอาการหวาดเสียวในหลายๆ อย่างเหมือนกัน
     เช่น
     เสียวว่ามันจะมีตัวเจ็บไปอีกมากแค่ไหน กว่าบอลโลกรอบสุดท้ายจะได้เตะกันจริงๆ
     เสียวว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายๆ กับความพยายามก่อความไม่สงบเกิดขึ้นที่แอฟริกาใต้หรือไม่
     เสียวว่าอิทีมชาติอังกฤษจะได้ถึงขึ้นดวลจุดโทษตัดสินในรอบใดอีก แล้วจะแพ้อีกต่อไปไหม
     เสียวว่าสภาพร่างกายช่วงหนึ่งเดือนในการตรากตรำลูกตาและสุขภาพของฉันในครั้งนี้จะเป็นเยี่ยงไร (เพราะเป็นบอลโลกครั้งแรกที่จะไม่สามารถปฏิบัติตัวแบบเดิมได้ – ที่ตื่นสายๆ ไปโรงเรียนและอาศัยหลับในห้องเรียนตลอดเวลา)
     และที่หวาดเสียวที่สุด ก็เป็นเพราะกลัวเหลือเกินว่าจะได้เห็นมาราโดน่าแก้ผ้าโชว์หุ่นอันมะลึกกึ๋ยหากว่าอาร์เจนตินาดันทะลึ่งคว้าแชมป์โลกได้จริง (สงสารลูกตากรู)


     พล่ามมาเป็นหมื่นห้าพันตัวอักษร ยังไม่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องเพลงเลยสักนิด
แต่..โอเค! ฉันจะพยายามโยงไปให้ได้ เพราะบล็อกดนตรีอันนี้ก็ยังคงไม่มีเรื่องเพลงอะไรมาเขียนอีกหนึ่งเอนทรี้ ฮ่าๆๆๆ
     เนื่องมาจากเพลงอย่างเป็นทางการของฟุตบอลโลกครั้งนี้หาได้ถูกหูฉันแต่อย่างใดไม่
     แต่อย่ากระนั้นเลย เพลงอย่างไม่เป็นทางการมากมายเกี่ยวกับ WC 2010 ได้ถูกแห่กันมาโปรโมตมากมายให้ตามฟังกัน ทั้งฟังทันบ้าง ไม่ทันบ้าง ทั้งไพเราะน่ารัก ทั้งอุบาทว์แทบไม่อยากเอาหูสัมผัส และยิ่งเพราะทีมชาติอังกฤษ ทีมบิดาของนักข่าวไทยและคนไทยเองผู้คลั่งไคล้เอาใจช่วยเขาอยู่เนืองๆ โดยสมาคมฟุตบอลอังกฤษหรือเอฟเอได้บอกว่าครั้งนี้จะไม่มี anthem หรือเพลงใดๆ อย่างเป็นทางการประจำการแข่งขันของประเทศ จึงมีเพลงออกมามากมายเป็นพิเศษกว่าครั้งไหนๆ


     ฉันจึงลองเลือกเพลงเป็น playlist เพื่อเอาไว้ฟังประกอบอารมณ์การเชียร์ WC 2010 ไว้ด้วยประการฉะนี้
     เป็นเพลงเกี่ยวกับฟุตบอล ทั้งเก่าทั้งใหม่ หลากหลายแนวด้วยสิ -> อันเป็นเรื่องแปลกอย่างยิ่งสำหรับคนฟังเพลงแคบและจิตใจแคบอย่างฉัน – แต่ช่างหัว เพราะ “we all speak football” เหมือนสโลแกนของโคคา โคล่าเมื่อครั้ง WC 2006 ที่คิดได้โดนใจฉันมาก


     และไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมมันมีแต่เกี่ยวกับทีมชาติอังกฤษ เพราะ 1. ฉันไม่ค่อยรู้จักหรือได้ฟังเพลงทีมชาติอื่นเขาเลยสักนิด และ
2. แน่นอน อังกฤษเป็นหนึ่งในทีมที่ฉันหวังว่าจะทำผลงานให้ดีและเอาใจช่วยในครั้งนี้
(ความจริงฉันมีทีมชาติฟุตบอลที่รักที่สุดในโลกอยู่แล้ว (นอกเหนือจากไทย) คือ สาธารณรัฐเช็ค - ว่าแล้วขอยืนไว้อาลัยให้เช็คที่รักซึ่งสะเหล่อไม่ไป WC 2010 กับชาวบ้านเขาหนึ่งนาที T_T)…………………………………………………………………………..


My WC 2010 Playlist



Goal! England! - We Are Scientists
     ไม่ใช่แค่ความเป็นเมกันที่อยากดั้นด้นเป็นอังกฤษทางด้านดนตรีเท่านั้น We Are Scientists ยังพิศวาสอังกฤษถึงขึ้นแต่งเพลงเชียร์ขึ้นมาให้ด้วย เพลงนี้วงแต่งเป็นพิเศษและเล่นออกอากาศที่ BBC Radio 1 รายการคุณZane Lowe ไปเมื่อวันพุธที่ผ่านมา วงยังทำเพลงได้ขำแหลกกว่าเพลงอื่นๆ ทั้งมวล และเผลอๆ ดูดีกว่าทุกเพลงจาก Barbara อัลบั้มใหม่ล่าสุดของตัวเองด้วยซ้ำ ร้องเชียร์หมู (Wayne Rooney) ซะขนาดนี้ ไม่รู้ว่าถ้าหมูเขาโชว์ฟอร์มอัดประตูแหลกในนัดที่สหรัฐอเมริกาจะเจอกับอังกฤษนัดแรกของทั้งคู่ วงจะว่ายังไง


World At Your Feet - Embrace
     ถ้ายังจำกันได้กับเพลงอย่างเป็นทางการของทีมชาติอังกฤษตอนฟุตบอลโลกครั้งที่แล้ว บ่งบอกทั้งความเป็นดนตรีสไตล์นุ่มละมุนเยี่ยงอังกฤษ และส่อนัยถึงความเป็นตัวตนทางฟุตบอลของทีมชาติพวกเขาเองด้วย ส่วนใครแทบความจำเลอะเลือนแล้วว่า Embrace คือใคร หรือสงสัยว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ด้วยเหรอ อัลบั้มใหม่ต่อจาก This New Day เมื่อครั้งบอลโลกครั้งที่แล้วของวงแว่วว่าจะออกมาภายในปีนี้แล้วล่ะ


Vindaloo – Fat Les
     ดังเพลงเดียวจอดของ Fat Les ก็นี่แหละ เพลงเมื่อบอลโลก ’98 ซึ่งแต่งโดย Alex James สนุกสนาน ฮึกเหิม ล้อเลียนเพลงเชียร์ของแฟนบอล (nah nah nahๆๆ) และได้บรรยากาศบอลอังกฤษของแท้  ไม่ต้องพูดถึงความก๊ากของเอ็มวีที่มี Richard Ashcroft (ตัวปลอม) เวอร์ชั่นเสื่อม ซึ่งทำเอาถนนอันเงียบเหงาซึ่ง Ashcroft (ตัวจริง) เคยเดินใน Bitter Sweet Symphony เกลื่อนกลาดไปด้วยพวกบ้าบอวายป่วงเต็มไปหมด


It's Our Game - Gerry Asmus
     อย่าถามว่า Gerry Asmus เป็นใคร มาจากไหน ฉันเองก็ไม่อาจทราบได้จริงๆ แต่เพลงที่เขาแต่งเพื่ออังกฤษกับ WC 2010 นี้นอกจากจะฟังร่าเริง น่ารัก ชวนยิ้มแฉ่งกับจังหวะจะโคนที่สดใสแล้ว ยังมีเสียงเชียร์ของแฟนบอลและนักพากย์ที่ใส่เข้ามาให้ความรู้สึกร่วมของเกมฟุตบอลโดยแท้ ถึงแม้เนื้อเพลงจะยังวนเวียนกับเรื่องอะไรโหลๆ แบบเพลงฟุตบอลทั่วไปก็ตามที


Come On England - The Roars
     นี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน  ว่า The Roars มันคือผู้ใด แต่เพลงเขาก็น่าฟังดีเหมือนกัน


World In Motion - New Order
     โอเค ตัดจอห์น บาร์นสออกไป เพลงนี้ก็คือหนึ่งในงานสุดยอดของ New Order อยู่ดี  World In Motion เคยทำออกมาในเวอร์ชั่นของ England New Order ให้เป็นเพลงประจำ บอลโลก ’90 ของทีมชาติอังกฤษที่มีจอห์น บาร์นสมาร่วมแร็ปด้วย  เพลงถูกนำมาใช้หากินหลายครั้งในเกือบทุกช่วงบอลโลก จึงมีหลายเวอร์ชั่นที่รีมิกซ์อะไรนิดๆ หน่อยๆ ใส่เข้าไปใหม่ แถมครั้งนึงเอฟเอได้เคยขัดขวางไม่ให้เบคแคมมาแร็ปในเพลงเวอร์ชั่นใหม่ เราเลยไม่มีโอกาสรู้ว่าเบคแคมจะทำได้ห่วยน้อยว่าจอห์น บาร์นส หรือจะยิ่งทำให้เพลงนี้ห่วยมากขึ้นกันแน่


Back Home - England 1970 World Cup Squad
     นักบอลมาร้องเพลง เพลงนี้เคยโด่งดังเมื่อครั้งบอลโลกปี ’70 โน่นที่นักบอลชาติอังกฤษทั้งทีมพากันมาแหกปากร้องกันเพื่อชาติ และตัวเพลงเองก็พลุแตกใช่เล่น ขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งในสมัยนั้นไปหลายอาทิตย์ สวนทางกับผลงานที่พวกเขาเองต้องพ่ายให้กับเยอรมันตะวันตกในรอบแปดทีม อันเป็นอีกหนึ่งแมตช์คลาสสิกของฟุตบอลโลก ขณะที่ใครดูรายการฟุตบอลทางโทรทัศน์บ่อยๆ ก็น่าจะคุ้นกับทำนองเพลงนี้เป็นอย่างดี


Three Lions 2010 - The Squad
     Three Lions เวอร์ชั่นของ Baddiel, Skinner & The Lightning Seeds ในยูโร ’96 เคยสร้างความขลังไว้ให้เพลงฟุตบอลมาแล้ว เพลงนี้ก็เหมือนเคย ยังกลับเอามาใช้หากินได้อยู่ร่ำไป เวอร์ชั่นล่าสุดทำใหม่เพื่อบอลโลกครั้งนี้มีการผสมผสานทั้งโอเปราจาก ACM Gospel Choir และ Robbie Williams และ...Russell Brand (กรี๊ดดดดด) 


Live for Love United - Love United
     เล่นขนเอาซูเปอร์สตาร์มากมายทั้งซีดาน ฟิโก้ โรแบร์โต้ คาร์คอส คันนาวาโร อองรี ปิแรส โรนัลดิญโญ่ ฯลฯ อีกเกือบครึ่งร้อย เพลงทำคอนเซ็ปต์ได้ดีมากกับการให้ขบวนนักบอลหลากหลายเชื้อชาติและสโมสรเหล่านั้นมาร่วมร้องเพลงที่ก็ไม่ได้ขี้เหร่ แถมในเอ็มวี บางคนอย่างโรแบร์โต้ คาร์ลอสในลีลาร้องประกอบท่าทางแบบสมบทบาทเต็มที่ ขนาดว่าบอยแบนด์ตัวจริงยังอาย


Diamond Lights - Glenn Hoddle & Chris Waddle 
     เกล็น ฮอดเดิ้ล กับคริส วอดเดิ้ล เมื่อว่างจากการเล่นให้ทอตแนม ฮอตสเปอร์เมื่อครั้งก่อนโน้นเลยหันมาร้องเพลงบ้าง เพลงออกมาฟังดูคล้าย  b-side ของ Depeche Mode ที่เดฟ เกฮานหลอดลมอักเสบยังไงยังงั้น แต่อย่าว่าเขาไป ทั้งคู่เคยไปร้อง (ลิปซิง) ออกรายการ Top of the Pops มาแล้วนะ ลองคิดภาพให้มีคนเอาเพลงมาทำใหม่ก็น่าสน ว่าแต่จะเป็นใครดี? ไม่รู้เอมิล เฮสกี้กับปีเตอร์ เคร้าช์จะสนใจหรือปล่าว


England United – (How Does It Feel To Be) On Top Of The World
     England United  ก็คือ Echo and the Bunnymen, Ocean Colour Scene, Space และวงของคุณนายเบคแคม เพลงประจำบอลโลก ’98 ที่ไม่ค่อยจะดังเท่าเพลงอื่นๆ อย่าง Vindaloo หรือ Three Lions 98 แต่ก็ถือว่าเป็นการรวมซูเปอร์กรุ๊ปแห่งเกาะอังกฤษซึ่งกำลังอยู่ในช่วงรุ่งเรืองของบริทพ็อพเอาไว้ ทั้งยังได้ตรึงภาพประวัติศาสตร์ของวงการดนตรีอังกฤษในช่วงยุค ’90 ที่ดังระเบิดระเบ้อ แม้ผลงานในฟุตบอลโลกของพวกเขาครั้งนั้นจะไปไม่ถึงฝันอีกก็ตาม


Bafana Bafana - Cop On The Edge
     เพลงจากอัลบั้มพิเศษ Fast Forward: The World Cup Goes Indie ของ WC 2010 ป๊าบๆ น่ารักๆ อย่างพลพรรคบาฟานาคงได้ครื้นเครงกันแน่ๆ ถ้าได้เพลงนี้เป็นเพลงอย่างทางการจริงๆ


England's Heartbeat - Shuttleworth (feat. Mark E. Smith)
     อีกหนึ่งเพลงของบอลโลกปีนี้ที่ทำมาเพื่อเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงเพลงสำหรับทีมชาติอังกฤษ ตอนของ The Fall นั้น Mark E. Smith ก็เคยทำ Theme From Sparta F.C. เป็นเพลงฟุตบอลเจ๋งๆ มาแล้ว ครั้งนี้ฝีมือยังคงไม่ตก แม้ลีลาจะไม่พังค์จ๋าเท่าใดก็ตาม


We Share the Same Skies – The Cribs
     ความจริง มันไม่ใช่เพลงที่แต่งเพื่อฟุตบอลเลยสักนิด แต่หลังจากรายการ Match of the Day 2 เอาเพลงซิงเกิ้ลที่สองจาก Ignore The Ignorant ของ The Cribs ไปใช้เป็นเพลงธีมรายการ ฉันก็เริ่มติดเพลงนี้ไปพร้อมๆ กับภาพนักบอลทำประตูอยู่ในหัวจนสลัดไม่ค่อยออก ความเร้าใจของท่อนกีต้าร์ริฟฟ์อันสะดุดหู ที่เป็นกลิ่นลวดลายจากลายเซ็นต์จอห์นนี่ มาร์เองน่าจะเป็นเอกลักษณ์ของดนตรีอังกฤษได้เป็นอย่างดี

Heroes – Kasabian
     ตอนบอลโลกครั้งที่แล้ว Kasabian ได้คัฟเวอร์เพลงนี้ของเดวิด โบวี่ไว้เพื่อช่วยชาติตัวเอง แต่พอบอลโลกครั้งนี้กลับยังคงไร้วี่แววเพลงใดๆ จากหนุ่มๆ แฟนเดนตายของเลสเตอร์ ซิตี้เหล่านี้ จะเห็นก็แต่การเดินสายเป็นนายแบบใส่เสื้อทีมชาติอังกฤษชุดเยือนโปรโมตและโชว์พุงน้อยๆ ของทอม เมแกนเป็นว่าเล่นเท่านั้น





Fast Forward: The World Cup Goes Indie



นี่เป็นอัลบั้มเพื่อ 32 ทีมแห่งบอลโลกครั้งนี้โดยเฉพาะ มีหลากหลายศิลปิน/วงมาร้อง ทั้งดีพอฟัง ห่วยๆ ก็มี (ชื่อก็บอกว่า “อินดี้”) แต่ก็เป็นอัลบั้มที่มีไอเดียเก๋ไก๋  มีศิลปินไม่น้อยที่ไม่ค่อยคุ้นหูมาทำเพลงให้ลองฟัง ซึ่งก็ออกจะน่าฟัง ดีกว่าเพลงอื่นอย่างเป็นทางการที่ FIFA เลือกซะอีก (ที่สำคัญคือมีศิลปินหลายหลายสัญชาติที่ส่วนใหญ่จะร้องเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด)


กลุ่มเอ
แอฟริกาใต้
1. Cop On The Edge – Bafana Bafana ไม่มีอะไรน่ารักกว่าการแต่งเพลงที่บอกว่า “จะชนะเพื่อชาร์ลิซ เธอรอน” แล้ว
เม็กซิโก
2. Standard Fare – Vaya Vaya México! นี่ดีหนึ่งอย่างคือท่อน “โอเล่ๆ”
อุรุกวัย
3. Showstar – Uruguay! ท่อนคอรัสฮึกเหิม แต่เพลงก็เบาๆ ไม่ได้โหดเช่นทีมเขา
ฝรั่งเศส
4. The Very Most – Irlande เหมือน The Coral เวอร์ชั่นแอ๊บ twee


กลุ่มบี
อาร์เจนตินา
5. The Dirty 9s – Ballad of El Diego ไม่ทราบว่าจะพยายามหอนโอเปร่าไปเพื่อเหตุอันใด
ไนจีเรีย
6. Grand Pocket Orchestra – Nigeria ประหนึ่งว่าเพลงการ์ตูนดิสนีย์แบบแนวทดลอง
เกาหลีใต้
7. Pearse McGloughlin – Jongmyo Shrine เปียโนสวยๆ ไม่ถึงขั้นรื่นหู เกลี้ยงเกลา แต่พอฟังไปชิลๆ
กรีซ
8. At Last An Atlas – The Pirate Ship อิเล็กโทรเสียงกุกกัก โป๊งเป๊ง ฟังแล้วก็รู้สึกยานๆ เหมือนการเล่นของกรีซดี


กลุ่มซี
อังกฤษ
9. Detox Cute – St George’s Day  ตัวเพลงพยายามอย่างยิ่งที่จะหวานละมุน แต่..หลับเท่านั้น! คงน่าขายหน้าถ้ามีเพลงประจำชาติแบบนี้
สหรัฐอเมริกา
10. Echo Orbiter – Game Without A Name เพลงประหลาดๆ ไม่รู้เสียงอะไรมั่ง แต่น่าฟังกว่าของชาติข้างบน
แอลจีเรีย
11. Boca Chica – Wildlife of Algeria คันทรี่แบบฝรั่งเศส บรรยากาศสบายแบบพฤกษ์ไพร
สโลวีเนีย
12. Lightholler – Slovenia’s Dream แค่ดนตรีบรรเลงสั้นๆ แต่งดงาม เคลิ้มๆ ดีมากกกกกกกกก


กลุ่มดี
เยอรมนี
13. Betty and the Cavalero – Meet Me At The Red Light  เพราะมาก การร้องคลอเสียงอคูสติคของเครื่องดนตรีน่ารักกรุ๊งกริ๊ง ประกอบไวโอลินเคล้าเข้ามา เสียงของนักร้องชายหญิงก็ใสกิ๊ง.
ออสเตรเลีย
14. Sleep Good – Australia ร้องอะไรวนไปวนมาอยู่ได้ หลับตามชื่อเพลงไปเลย
เซอร์เบีย
15. Hunter-Gatherer – Serbia ความพยายามจะทำ Kid A 2.0 โดยมนุษย์ต่างดาวที่ยังไม่มีพัฒนาการเต็มที่
กานา
16. The Invisible Clock Factory – We Are The Black Stars เพลงชาติแบบนอกกระแส (ประมาณว่าของคนชายขอบ?)


กลุ่มอี
ฮอลแลนด์
17. Burning Codes – Wooded Land โฮ่ โฮๆๆ มากไปจนน่าเบื่อ แถมเสียงยังไม่ค่อยดี
เดนมาร์ก
18. Cleemann – Princes of Denmark อาจฟังดูแบบแดนิชร็อคทั่วไป แต่เพลงติดหูง่ายใช่เล่น
ญี่ปุ่น
19. Goatboy – Japanese City Nights เพลงบรรเลง ฟังแล้วน่าหลับ
แคมเมอรูน
20. Spirit Spine – Field Way (Song For Cameroon) ชูเกสแบบแอฟริกา!


กลุ่มเอฟ
อิตาลี
21. Le Man Avec Les Lunettes – Don’t Get Fooled By The Football Players’ Summery Outfit แหม่! วงเขาเป็นอิตาลี แต่ชื่อวงเป็นฝรั่งเศส และร้องเพลงเป็นอังกฤษ เอากะมันสิ! แต่เพลงนี้มัน twee น่ารักคิกขุ เลี่ยนดีจริงๆ (หมายถึง “เลี่ยน” แบบจะอ้วกนะ ไม่ใช่เลี่ยนแบบอิตาเลียน)
ปารากวัย
22. Harry Bird – Pesadilla No.7 โฟล์คแบบน้องๆ ไซมอน แอนด์ การ์ฟังเคิลที่พยายามร้องเพลงลุงบ็อบ ดีแลน
นิวซีแลนด์
23. Adam & Darcie – Aotearoa ฟังสบายๆ ไพเราะเพราะพริ้งไม่หยอก แถมท่อนคอรัสงดงามดีมาก
สโลวาเกีย
24. Escape Act – Slovakia เนื้อร้องขำๆ ทำนองเพลิดเพลินคึกคัก


กลุ่มจี
บราซิล
25. Someone Still Loves You Boris Yeltsin – Back To You ยังไม่ได้รู้สึกกลิ่นดนตรีแซมบ้าดี เพลงก็รีบจบลงอย่างรวดเร็วซะงั้น
เกาหลีเหนือ
26. Francis Bacon’s Ghost – Kim Jung II กีต้าร์ครืดคราดไปมารกรุงรัง แถมเสียงร้องยังห่วยแตก
ไอวอรี่โคสต์
27. Storkboy Choons – Côte d’Ivoire ช้างดำได้เพลงบรรเลงลอยๆ หลอนๆ ฟังดีจังนะ
โปรตุเกส
28. Tap Tap – Dry Dry Land ดนตรีและสำเนียงโคตตตตตตรจะอังกฤษ


กลุ่มเอช
สเปน
29. The Yellow Melodies – Vamos A Ganar El Mundial ฉันไม่เข้าใจสแปนิชหรอก แต่เพลงกิ๊วก๊าวเข้าท่าดี
สวิตเซอร์แลนด์
30. Candy Claws – Alp Sway Snow Team ดรีมพ็อพแบบที่ฟังแล้วนึกถึงบรรยากาศสวิสๆ
ฮอนดูรัส
31. My Brother Woody – Carlos Dreams of World Cup Glory ลองไม่ขำกับความพิลึกของทั้งทำนองและเนื้อร้องได้หรือ
ชิลี
32. Manwomanchild – Chile La Roja อาจเป็นไปได้ว่าชิลีเขาก็มีดนตรีการาจโจ๊ะจ๊ะแบบนี้ก็ได้


ข้อมูลเพิ่มเติมไปดูได้ที่ //www.indiecater.com/fast-forward-an-indie-music-companion-to-south-africa-2010/


ฟังเพลงปลุกอารมณ์แล้วก็เตรียมร่างกายให้พร้อม...สู้ศึกบอลโลกกันต่อไป!




 

Create Date : 06 มิถุนายน 2553    
Last Update : 7 มิถุนายน 2553 0:40:09 น.
Counter : 1884 Pageviews.  

สาบานได้ว่าเกลียด Muse

Neutron Star Collision (Love Is Forever) เพลงของ Muse ซาวน์ดแทร็คหนังที่คุณก็รู้ว่าเรื่องอะไร (ไม่กล้าเอามาลงบล็อก)

แน่ใจนะว่าเพลงนี้ตั้งใจแต่งแบบสุดๆ แล้ว หรือว่าไปเอาเพลงเก่าๆ มาแปะต่อกัน?


รวยไม่พอ อยากได้ตังค์อีก จึงต้องทำเพลงให้มันต่อไป?
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


แต่... ช้าก่อน! ฉันมีวิธีรับมือกับเหตุการณ์นี้


วิธีการคือ ให้เดินไปตรงผนังบ้าน (ขอแบบเป็นปูนแข็งๆ ยิ่งดี) ยืนตรง เอามือสองข้างไขว้หลัง ก่อนเอาศีรษะเอนไปข้างหลังเล็กน้อย ทำมุมให้ตั้งฉาก 90 องศากับระนาบพื้น แล้วบรรจงจรดหน้าผาก หรือถ้าจะให้ดีเอาทั้งใบหน้าเลยก็ได้ ให้มันกระทบใส่ผนังเป็นจังหวะจะโคนที่ไพเราะสม่ำเสมอ เว้นช่วงห่างให้สัมพันธ์กับแรงกระเพื่อมและความสั่นสะเทือนที่สมองข้างในรู้สึก ทำต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะลืมหรือเสแสร้งไม่รับรู้ความเป็นจริงอีกต่อไป หากมีเลือดออกให้รีบเลียให้หมดก่อนที่แวมไพร์เอ็ดเวิร์ดผู้หล่อลากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก(ที่ส่องประกายวับๆ ได้) จะมาดูดเลือดไปซะ


อนึ่ง การเปิดเพลง Neutron Star Collision (Love Is Forever) ประกอบไปด้วยจะทำให้ได้อรรถรสยิ่งขึ้น


และเมื่อเห็นรายชื่อวง/ศิลปินของซาวน์ดแทร็คหนังดังกล่าวแล้ว


Metric – 'Eclipse (All Yours)'
Muse – 'Neutron Star Collision (Love Is Forever)'
The Bravery – 'Ours'
Florence And The Machine – 'Heavy In Your Arms'
Sia – 'My Love'
Fanfarlo – 'Atlas'
The Black Keys – 'Chop And Change'
The Dead Weather – 'Rolling In On A Burning Tire'
Beck And Bat For Lashes – 'Let’s Get Lost'
Vampire Weekend – 'Jonathan Low'
UNKLE (Featuring The Black Angels) – 'With You In My Head'
Eastern Conference Champions – 'A Million Miles An Hour'
Band Of Horses – 'Life On Earth'
Cee-Lo Green – 'What Part Of Forever'
Howard Shore – 'Jacob's Theme'


(จาก //www.nme.com/news/muse/51050 )


จงกลับไปปฏิบัติตามวิธีการข้างต้นต่อไป



บทสัมภาษณ์ Muse กับ Q ฉบับ 288 เดือนมิถุนายน ปก Muse VS U2 (แปลทุเรศๆ เพราะเกลียด Muse!)





Q: เราควรคาดหวังอะไรดีกับกลาสตันเบอร์รี่ปีนี้
แมตต์: ผมไม่อยากพูดถึงเผื่อว่ามันจะไม่เกิดขึ้นครับ แต่เราก็กำลังคิดกันอยู่ว่าจะขนออร์เคสตร้าเต็มวงไปเล่นกลาสตันเบอร์รี่เลย การจัดการวางแผนจะหนักหนาถึงลูกถึงคนเอาการล่ะ...เราจะคงรักษาให้มันเป็นตาม ปกติครับ


Q: กัญชาหรือว่ายาหลอนประสาท?
ดอม: ครั้งสุดท้ายที่ผมใช้ก็ตอนที่พวกเราอยู่ที่อัมสเตอร์ดัมกันน่ะครับ เราแบบว่า “เฮ้ ไปหาอะไรมาลองสักหน่อยเพื่อวันเวลาเก่าๆ เถอะ” แล้วผมก็ตื่นตัวหวาดระแวงเป็นบ้าเป็นหลัง วิ่งดิ่งกลับโรงแรม ครั้งสุดท้ายที่พี้เห็ดเมากันเราลงเอยด้วยการไปโผล่อยู่ในปราสาทยางกลางทะเล ทรายนอกลาส เวกัสซะงั้น [ตอนนั้นวงไปงานปาร์ตี้แฟนซี ดอมผู้ซึ่งแต่งตัวสมหน้ากากสุนัข หลังเล่นยาได้วิ่งไปทะเลทราย แมตต์จึงวิ่งตามเขาไป – ผู้แปล]


Q: คุณได้รับโอกาสให้ไปเล่นเปิดงานโอลิมปิค 2012 ที่ลอนดอน เงินไม่เป็นปัญหาอยู่แล้ว มันจะออกมาเป็นอย่างไร
แมตต์: เกี่ยวกับแม่เหล็กอะไรสักอย่างอ่ะครับ รู้จักป่ะ คือ ในเรื่อง Back To The Future II อ่ะ พวกเขาทำถนนเทียมด้วยแม่เหล็กเข้มๆ ขึ้นมาเพื่อจะได้ทำให้กระดานเหาะดูสมจริง คุณต้องใช้แม่เหล็กเป็นพันๆ ใส่ไปลงในพื้นที่ขนาดเท่าสนามฟุตบอลหนึ่งสนาม แล้วคุณก็ปรากฏตัวอยู่บนแผ่นจานที่ลอยออกมา นั่นคงน่าตื่นตาสุดยอดเลยล่ะครับ


Q: แมตต์ เบลลามี่กับลิลี่ อัลเลน เกิดอะไรขึ้นกันแน่เหรอ [แมตต์และลิลี่ได้สานสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนกันเมื่อคอนเสิร์ตบิ๊กเดย์เอ้าท์ ที่ออสเตรเลียเมื่อต้นปีที่ผ่านมา – ผู้แปล]
แมตต์: (หัวเราะเล็กน้อย) ไม่มีความเห็นฮะ... ก็ไปเที่ยวพักผ่อนกันสองสามวัน คุยกันเล็กน้อยเรื่องเพลง (ยิ้มเป็นนัยลึกลับ)


Q: ดอม คุณโดนกีต้าร์แมตต์ลอยใส่มาแล้วหลายครั้ง อะไรคือวิธีการที่คุณใช้เพื่อปกป้องตัวคุณเองจากอาการอินจัดสุดเหวี่ยงของเขาเหรอ
ดอม: ปฏิกิริยาผมรวดเร็วขึ้นมากครับ ผมเย็บไปหลายเข็มตรงแถวๆ ตาหลังจากเขาทำมันซะเป็นแผล กับฉีดยากันบาดทะยักหนึ่งเข็มฮะ
แมตต์: ตรงก้นเขาอ่ะ เรากลับไปหลังเวทีแล้วเห็นดอมโก้งโค้งอยู่โต๊ะ ก้นโผล่ออกมาด้วย นั่นคือเหตุผลหลักที่ผมทำล่ะ เป็นข้ออ้างที่จะให้ทำดอมค้อมตัวแล้วถลกกางเกงเขาลงได้ฮะ


Q: เคยได้ยินทฤษฎีสมคบคิดสักทฤษฎีนึงแล้วคิดว่า “แหวะ โคตรไร้สาระเลย” บ้างหรือปล่าว
แมตตต์: ไอ้ที่ว่าน้ำมันจะหมดโลกไง มีกลไกหนึ่งอยู่แก่นกลางของโลกซึ่งโดยทั่วไปจะหลอมละลายอะไรบางอย่าง และบ่อน้ำมันทั้งหมดก็จะเต็มอีกครั้งอย่างสม่ำเสมอนะ แต่บริษัทน้ำมันกลับเสแสร้งเป็นว่าน้ำมันจะหมดเพื่อทำให้ราคาสูงขึ้น นี่เป็นหนึ่งในพวกทฤษฎีสมคบคิดบ้าๆ พวกนั้นที่ผมอยากจะให้เป็นจริงครับ
Q: แมตต์ คุณยังใช้เครื่องไอพ่นติดหลังอยู่หรือปล่าว
แมตต์: ผมไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ามันกลายเป็นเครื่องไอพ่นติดหลังได้ยังไง มันเป็นเครื่องพารามอเตอร์ขนาด 50 ซีซี กับใบพัดแล้วก็ร่มชูชีพ ผมไปเรียนขับแล้วล่ะ นั่นเป็นสิ่งที่ผมเคยจะทำถ้าหากวงเหลวเป๋วไม่เป็นท่า ผมมีคนรู้จักที่อยากจ้างผมไปบินในงานคอนเสิร์ตนึงของจามิโรไคว์ที่เวโรนา นี่เป็นวิธีง่ายๆ ที่จะได้ภาพฝูงชนจากทางอากาศเพราะมันถูกกฎหมายที่จะบินเหนือผู้ชมในคราว เดียว สิ่งเลวร้ายที่สุดซึ่งคุณทำได้คือหักคอคนไปสักสองคน ตราบใดที่ Muse จบตัวเองลง ผมจะตรงดิ่งกลับไปขับมันแน่ ไม่ใช่แค่ในตอนเสิร์ตนะ พวกงานกีฬาไรงั้นด้วยฮะ


Q: คุณเคยอ่านนิยายอิโรติคออนไลน์ที่เขียนเกี่ยวกับพวกคุณบ้างมั้ย
ดอม: ไม่ฮะ แต่ผมเห็นอะไรประหลาดๆ ในกระดานข้อความเราอยู่นะ พวกแฟนๆ ที่นั่นกระตือรือร้นกันเลยทีเดียว มีกระทู้อะไรประมาณ ภาพตัดต่อนู้ดของดอม แมตต์ คริสด้วยอ่ะ พวกเขาเริ่มด้วยการใช้รูปพวกเราตอนเล่นสดที่ทำหน้าบิดเบี้ยวแปลกๆ คล้ายมีเซ็กซ์อ่ะฮะ เป็นหน้าตอนถึงจุดสุดยอดของพวกเราดีๆ นั่นเอง คนพวกนี้ประหลาดกันจริงๆ นะ


Q: สำหรับดอมและคริส คุณว่าอะไรคือสิ่งที่แมตต์ใส่แล้วน่าขายหน้ามากที่สุด
ดอม: คืนนึงเราไปเที่ยวบาร์แห่งหนึ่งแล้วเจอร็อด สจ๊วต ซึ่งแมตต์ดันบังเอิญใส่ชุดแบบเดียวกันกับร็อดเป๊ะเลยฮะ กางเกงปักหมุดลายยาวสีดำ แจ็คเก็ตสีเทากับเสื้อกั๊ก
คริส: ตอนที่แมตต์มางานคิว อวอร์ดสแล้วเข้าบ้านตัวเองไม่ได้ เขาเลยมาปรากฏตัวด้วยชุดยิมครับ


Q: ตอนนี้คุณมีชื่อเสียงมากขึ้นแล้ว คุณคิดว่าคุณจะมีโอกาสมากขึ้นที่จะถูกเอเลี่ยนลักพาตัวหรือปล่าว
แมตต์: ดอมเคยถูกเอเลี่ยนลักพาตัวจริงๆ นะ แต่เขาทำวิจัยและค้นพบว่าอันที่จริงมันก็คือการเป็นอัมพาตตอนนอน
ดอม: มันเกิดตอนคุณเหนื่อยสุดขีด เข้านอนแล้วหลับเป็นตาย แต่ทันใดนั้นคุณคิดว่าตัวเองตื่นแล้วขยับไม่ได้ คุณโดนทำให้เป็นอัมพาตอยู่บนเตียง สิ่งที่มักควบคู่มาบ่อยๆก็คือการปรากฏของอะไรแปลกๆ ในห้องครับ
แมตต์: เล่าเรื่องก็อบลินน้อยให้เขาฟังหน่อยสิ
ดอม: ผมเห็นพวกก็อบลินน้อยวิ่งอยู่รอบๆ ปลายเตียงผม ผมถูกลากจากเตียงไปอ่ะครับ คือมันมีกรณีแบบสุดโต่งที่คนคิดจริงๆ ว่าพวกเขาถูกเอเลี่ยนลักพาตัว ซึ่งจริงๆ พวกเขาก็แค่ทุกข์ทรมานจากการเป็นอัมพาตตอนนอน ส่วนผมอ่ะ แน่ใจได้เลยว่าผมเจอมาจริงๆ แล้วครับ ดังนั้นผมเลยสบายใจว่ามันไม่ใช่การโดนเอเลี่ยนลักพาตัว ผมไม่ได้ตื่นมาพร้อมกับปวดก้นด้วยนะ
แมตต์: (ท่าทางตื่นเต้น) ผมดีใจจังที่มีคนแบบนี้อยู่ในวง ผมหวังว่าคุณจะรู้ว่าตอนนี้ผมไม่ใช่คนเพี้ยนอะไร


Q: เคยเจอประสบการณ์เฉียดตายบ้างหรือปล่าว
คริส: สองสามวันก่อนนี่เองฮะ เจอเที่ยวบินระทึกขวัญไปแอลเอ อากาศแย่เลยล่ะ ผมคิดว่ามันซี้แหงแก๋ไปแล้วด้วยตอนนึง เราดูเหมือนจะลดระดับไปหนึ่งพันฟิตโดยฉับพลันอ่ะครับ
แมตต์: ถ้าเครื่องกระตุกไปมากกว่านี้ล่ะก็ ดอมคงก้าวออกมาและประกาศว่า “กรูเป็นเกย์” แล้วล่ะ


Q: การสะสมเสบียงเตรียมรับมือกับสงครามอาร์มะเกดอนเป็นไงแล้วบ้าง ฆ่าไก่ไปเยอะมั้ย
แมตต์: ไม่ฮะ แต่คัดเตรียมเอาไว้สองสามตัวแล้วล่ะ ผมซื้ออาหารอบแห้งไว้เยอะแยะเผื่อไว้อีก 25 ปีได้เลย ที่คุณทำก็แค่เติมน้ำร้อน แค่นี้ก็ได้สปาร์เก็ตตี้โบโลนเนส ลาซานญ่า แกงกะหรี่ เสบียงสำหรับสองปีและเมนูหลากหลาย คือ จริงๆ ก็น่าจะเป็นได้แค่เสบียงปีนึงถ้าเอาอาหารพวกนี้ออกมาตลอด


Q: ในฐานะเด็กจากทีนมัธ ลองแนะนำที่ที่แจ่มสุดสำหรับกินชาเดเวินหน่อยสิ [cream tea หรือ Devon cream tea เป็นอาหารว่างตอนบ่ายของคนอังกฤษ ไม่ได้หมายถึงชาใส่ครีม แต่จะมีชาเสิร์ฟพร้อมขนมแป้งอบกลมๆ หรือ scone กับคล้อตครีมและแยม – ผู้แปล]
แมตต์: ผมจะไปที่บีชคอมเมอร์ฮะ (The Beachcomber) ที่นั่นไม่ใช่ที่ที่เต็มไปด้วยพวกชั้นสูงหรูหรา มันคือร้านติดชายทะเลแบบเก่าดั้งเดิมที่เหมาะเจาะเลยล่ะครับ


Q: เลียมหรือโนล กัลลาเกอร์?
คริส: ผมมีเรื่องทะเลาะกันนิดหน่อยกับการ์ดรักษาความปลอดภัยของเลียมที่งานเทศกาล หนึ่งที่เบลเยียม เขาไม่ชอบที่ผมเตะบอล เขาก็เลยเกือบเตะเข้าที่หัวผมแน่ะ
ดอม: ก็เพราะว่านายดันเตะบอลไปโดนห้องแต่งตัวพวกเขานี่หว่า แต่จริงๆ คือเลียมไม่มีลูกฟุตบอลและโผล่ออกมาบอกนายด้วยตัวเองอ่ะนะ


Q: เดวิด เอ็ค [นักเขียนและนักพูดชื่อดังชาวอังกฤษ] เชิญไปดื่มชาและกินขนมปังด้วยกันหรือยัง
แมตต์: ยังรออยู่เนี้ย เราเล่นที่ไอล์ออฟไวท์ (Isle Of Wight) แล้วเขาก็อาศัยอยู่นั่นนะ ผมคิดว่าเขาจะมาคุยอะไรด้วยสักหน่อย แต่ผมอยากเจอเขาสักครั้งนึง เขาทัวร์ไปทุกแห่งพร้อมกับการรวมตัวกันของความอัจฉริยะและการพูดจาบ้าบอ ผมพูดได้ว่า 80% คืออัจฉริยะ ส่วนอีก 20% คือความบ้าเต็มขั้น นั่นอาจดูเป็นพวกแมงดาหน่อย แต่ 80% ที่ว่าวิจัยมาอย่างดีแล้วนะ เขาเป็นพวกในกรณีนั้นเลยแหละฮะ


Q: แมตต์ คุณเป็นเพื่อนบ้านกับจอร์จ คลูนีย์ที่เลค โคโม เคยชวนเขามาทานอาหารค่ำที่บ้านหรือเปล่าล่ะ
แมตต์: โชคไม่ดีที่ยังอ่ะครับ ผมเห็นเขาขี่จักรยานไปมา เขาชอบจักรยานของเขาฮะ ผมหวังว่าจะได้รับคำเชิญไปเล่นโป๊กเกอร์ ผมจะต้อนเขา เหลือดวลกันแค่เขากับผม เดิมพันครั้งละหมื่นนึงเลยเอ้า ผมเล่นโป๊กเกอร์เก่งพอดูที่จะต่อกรกับคนอย่างเขาได้ หรือเขาจะมาเยี่ยมผมที่บ้าน กินโบโลญเนสก็ได้นะ


Q: คุณเคยเล่นกีต้าร์ฮีโร่เพลงตัวเองมั้ย
แมตต์: ผมเล่นกีต้าร์ฮีโร่ได้โคตรห่วยเลย หัวผมตามมันไม่ทันอ่ะ ผมไม่เข้าใจไอ้พวกการทำงานกันของปุ่มและทุกอย่าง ดอมและคริสนี่เล่นเก่งมากๆ ฮะ ถึงงั้นผมก็พยายามเล่น Livin’ On A Prayer นะ และผมชอบ On The Road Again ของวิลลี่ เนลสันครับ


Q: นานแค่ไหนกว่า Muse จะได้เป็นวงดนตรีวงแรกที่ได้เล่นบนดวงจันทร์
แมตต์: ยี่สิบปีครับ เราทำงานกันในชั้นอวกาศกันเป็นพวกแรกแล้วนะ มีทั้งหมดสองมุมด้วยกัน ผ่านทางเวอร์จิ้นกาแลคติคและอีกบริษัทหนึ่ง ผมคิดว่าริชาร์ด แบรนสัน [เจ้าของเวอร์จิ้นกาแล็คติค] อยากใช้เพลงของเราเพลงนึงไปใส่โฆษณาโทรทัศน์ นั่นมันก็เป็นหนึ่งในมุมที่เราทำด้วย มีโอกาสที่เราอาจจะทำสำเร็จในอีกห้าปีครับ


Q: ในฐานะวงเสือผู้หญิง ใครคือบุคคลมีชื่อเสียงที่สุดที่คุณเคยตามจีบ
ดอม: เจน ฟอนด้าฮะ เธออายุ 72 แล้ว ผมชอบหญิงแก่ๆ กว่านี้ คุณเข้าใจนะ เธอเคยลัลลากับร็อด สจ๊วตด้วยครั้งนึง ดูเหมือนเป็นคนดีทีเดียว เธออ่ะ แต่ผมพลาดไปซะฉิบ ผมไม่ต้องตาต้องใจเธอเท่าไหร่


Q: คำแนะนำที่ดีที่สุดที่โบโนมอบให้ตอนที่พวกคุณเล่นสนับสนุน U2 เมื่อต้นปีคืออะไร
ดอม: ผมคุยกับเขาตอนเมาหน่อยๆ ไปสองครั้งนะ เขาพูดเกี่ยวกับว่ามันดีมากแค่ไหนในการเป็นวงเล่นสนับสนุน เขาว่า “โอ้ววว วิเศษเลยนะที่เป็นวงสนับสนุนน่ะ คุณแค่สนุกสนานกับตัวเอง เล่นคอนเสิร์ตสั้นๆ แล้วมีคืนที่สุดเหวี่ยงกันทั้งคืน” เป็นวาทะที่แหล่มอ่ะ ผมว่า ก็หนุกหนานกับมันขณะที่ทำอยู่ตอนนั้นอ่ะครับ
Q: แมตต์ คุณเคยทำงานเป็นช่างทาสีและตกแต่งบ้าน ถ้าผมจะจ้างคุณไปทำห้องนั่งเล่นให้สักหน่อย คุณจะคิดเท่าไหร่
แมตต์: ชั่วโมงละสิบปอนด์ฮะ ผมจะทำงานวันละเก้าชั่วโมง แล้วพักชั่วโมงนึง ผมคงจะยิ่งกว่ามีความสุขที่ได้ทำเลยล่ะ จริงๆ นะ ช่วงเวลาดีที่สุดตอนนึงที่ผมมีก็ตอนทาสีอยู่เนี่ยแหละ แต่ตอนที่แย่สุดคือตอนที่เราต้องทาสีคอกลา วันหนึ่งลาดันทะลึ่งหนีไป ผมกับเจคเพื่อนผมเลยวิ่งบ้าไปรอบทุ่งในชุดทาสี พยายามจับลาเข้าคอกก่อนที่ชาวนาเขาจะกลับ บางทีนั่นอาจเป็นที่มาของ Knights of Cydonia ก็ได้ครับ


Q: ใครในพวกคุณที่มักจะเป็นพวกไปเที่ยวบาร์ตอนกลางคืนอยู่เสมอ
แมตต์: พวกเราจัดการเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนไปกันด้วยล่ะ คือ เราต้องแน่ใจว่าเราไปกับคนที่จะซื้อเครื่องดื่มให้เรา ไม่ก็ไปที่บาร์ซึ่งเจ้าของเขาเตรียมอะไรที่ไม่ต้องจ่ายตังค์ไว้ให้ทั้งหมด


Q: ตอนไหนที่เราจะได้เห็นอัลบั้มเดี่ยวของคริส โวลสเทนโฮล์ม
คริส: ไม่รู้ฮะ ไม่มีเวลาที่เราจะทำอะไรแบบนั้นกันหรอก เรามักจะตรงดิ่งไปบันทึกเสียงเลยหลังจากออกทัวร์เสร็จ อาจจะสักวันนึงล่ะมั้งฮะ ผมมีอะไรๆ จะทำอยู่สองสามอย่าง แนวไหนดีล่ะ ผมมั่นใจว่ามันจะยังอยู่ในขอบเขตของร็อคอยู่ฮะ


Q: พ่อของแมตต์ [จอร์จ เบลลามี] เป็นมือกีต้าร์ให้ The Tornados นี่ เมื่อไหร่คุณจะเชิญเขามาเล่นร่วมเวทีด้วยกันล่ะ
แมตต์: เราให้เขามาเล่น Knights of Cydonia ด้วยก็ได้นะ จังหวะเพลงนี้ค่อนข้างได้อิทธิพลจากเพลงที่เขาทำเลยทีเดียว หลายเพลงของ The Tornados มีจังหวะแบบนั้นครับ


Q: แมตต์ ไปทำบ้าบอยังไงถึงได้ผอมตลอดอย่างนั้นน่ะ
แมตต์: ผมไม่รู้ ผมกินเยอะเลยนะ พาสต้างี้ ผมซัดไม่ยั้งเลย บางทีผมอาจเสียพลังงานไปบ้างบนเวที ผมไม่ใช่คนชอบออกกำลังกายอะไรด้วย ผมอาจมีกระบวนการเผาผลาญอาหารที่รวดเร็วล่ะมั้ง ครั้งนึงที่อิตาลีผมเกือบเป็นปกติแล้วนะ แต่หลังจากนั้นผมก็ล้มเลิกไปอีกครั้ง


Q: ใครจะเป็นผู้ชนะการขับเคี่ยวกันในฐานะวงเฮดไลน์ที่กลาสตันเบอร์รี่ ระหว่างพวกคุณกับ U2
แมตต์: ยากเลยล่ะ เรากำลังพนันกันว่า U2 จะเล่นซะเกินคุ้ม จนถึงจุดที่ผู้คนเป็นแบบว่า “นี่แหละกลาสตันเบอร์รี่ นี่คือสุดยอดการแสดงของ U2” เราคิดว่าบางทีกลาสตันเบอร์รี่อาจนึกว่านั่นดูท่าจะรับไม่ได้เท่าไหร่ ดังนั้นเราก็เลยจะทำในทางตรงข้าม คือเราจะทำแบบโล-ไฟ แล้วก็...ทำให้เพราะๆ ไปเลย พวกเราจะใช้เงินเราจ้างวงออร์เคสตร้ามาวงนึงเพื่องานโปรดัคชั่นโดยเฉพาะ เรามุ่งมั่นทำเพื่อดนตรีครับ
ดอม: แต่ในการสู้กันจริงๆ เนี่ย U2 เขาตัวเล็กๆ กันหมดอย่างน่าประหลาดเลยแฮะ
แมตต์: แล้วผมกับดอมคิดว่าเราก็เตี้ยกันแล้วนะ ถ้ามีการสู้กันจริงๆ ของงานโปรดัคชั่น  พวกเราจะมีนักดนตรี 50 ชีวิต ดังนั้นตราบใดที่เรามีวงออร์เคสตร้าอยู่ข้างเรา มันก็เท่ากับ 60 ต่อ 4 แล้วฮะ



เพลงที่ชอบช่วงนี้




และชอบบบบบบบ Flashover ของ Klaxons




ป.ล. เป็นการอัพฯ บล็อกแบบทุเรศ ขี้เกียจ อุบาทว์ สิ้นคิด และเหียกเหมือนประเทศไทยช่วงนี้ แถมไม่ต้องใช้สมองคิดมาก ฮ่าๆๆ (อย่างกับว่าปกติเคยใช้สมองเขียนบล็อก?)




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 26 พฤษภาคม 2553 14:51:42 น.
Counter : 1558 Pageviews.  

คุณค่าแห่งการอวยที่คู่ควร "MGMT – Congratulations" / Placebo and Kings of Convenience live in BKK

     MGMT ไม่ได้อุบาทว์ หรือ Oracular Spectacular ห่วยแตกสุดยอดจนฟังแล้วไข้ขึ้นหูหรอกนะ แต่สองปีที่แล้ว OS ได้โดนอคติของฉันเข้าบดบังเสียจนไม่อาจเอามันมายัดเข้ากรุอัลบั้มที่ชื่นชอบลำดับต้นๆ แห่งปีได้ ทั้งๆ ที่ตอนช่วงแรกที่อัลบั้มออกมา ฉันมีอาการที่เรียกว่า “คลั่ง” วงนี้ในระดับไม่ธรรมดา หรือฟัง Time To Pretend ไปเป็นล้านๆ รอบ


อธิบายได้ว่า ช่วงท้ายปี 2008 ได้เกิดการเพิ่มขึ้นมาของค่าปริมาณความอิจฉาริษยาของฉันที่เห็น OS ไปเสนอหน้าอยู่ในอัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปีของสถาบันต่างๆ ในลำดับสูงเกินกว่าที่ควร ขณะที่สำนักชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งไม่ขอเอ่ยนาม แสดงออกถึงความชื่นชอบเต็มที่ด้วยการสมนาคุณรางวัลอัลบั้มแห่งปีและซิงเกิ้ลแห่งปี “อันดับหนึ่ง” ให้ เหล่านี้ได้ทำปฏิกิริยากับความเบื่อหน่ายในความโด่งดังเป็นผลุแตกของเพลง Kids และ Time to Pretend ที่คุณสามารถได้ยินมันในทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะในภาพยนตร์ ตัวอย่างภาพยนตร์ ซีรี่ส์ แบ็กกราวน์รายการโทรทัศน์ โฆษณา เกมส์ ผับบาร์ ได้ยินตามวิทยุอีกวันละสิบห้าแสนรอบ ฯลฯ ยังให้เกิดผลลัพธ์เป็นความหมั่นไส้ในร่างกาย แปรเป็นอคติและการไม่ชอบหน้าเท่าใดนัก


     แต่หากได้ยินใครบอกว่า MGMT ทำเพลงไม่ได้เรื่อง อนุญาตให้เดินไปตบบ้องหูคนนั้นห้าครั้ง กระชากคอเสื้อมันขึ้นมา ก่อนเอาซีดี OS ปาใส่หน้าแล้วกระชิบเบาๆ ข้างรูหูว่า “กรูให้มรึงฟรีๆ เอาไปกระแทกหูซะ!”


OS เป็นอัลบั้มที่ดี ฉันยอมรับ
ฉะนั้นอย่ามาตบบ้องหูจขบ. เพราะฉันไม่ได้บอกว่ามันห่วย แค่รู้สึกรับไม่ได้ที่โดนอวยในระดับเทพขนาดนั้น
นั่นคือ “การอวย” ที่ฉันไม่ชอบใจกับ MGMT ครั้งกระโน้น


     แต่คราวนี้ฉันจะมาทำหน้าที่มาอวยมันแทน เนื่องจาก Congratulations อัลบั้มที่สองของดูโอจากนิวยอร์คได้สร้างแรงสั่นสะเทือนทั้งความรู้สึกและจิตใจฉันให้ฉันไปเอาอารมณ์คลั่งเมื่อครั้งได้ฟัง OS ครั้งแรกกลับมาอีกครั้ง ทั้งยังพลันจะหลงใหลได้ปลื้มจนเกือบจะละทิ้งความหมั่นไส้วงนี้ไปซะ


     มันรู้สึกประหนึ่งว่า Andrew และ Ben เดินเข้ามาขย้ำคอฉัน และปาอัลบั้มนี้ใส่หน้า พร้อมตะคอกว่า “อยากจะหมั่นไส้ต่อไปมะ ฮึ?”




     ภายใต้การโปรดิวซ์ของ Peter Kember (สมาชิกผู้ก่อตั้ง Spaceman 3) และวงเอง จงดีใจเถิดที่คนฟังจะได้เห็นพวกเขาในทางใหม่ขึ้นกว่าเดิมมาก แถมสิ่งที่จะเคยสร้างความหมั่นไส้ในความดังก็ถูกขจัดไป เมื่อวงบอกว่าจะไม่ปล่อยเพลงใดเป็นซิงเกิ้ลทั้งนั้น
(ไม่รู้คณะกรรมการ Grammy Awards จะอกแตกตายหรือปล่าว เพราะนั่นอาจทำให้ MGMT ไม่มีเพลงที่โด่งดัง พ็อพๆ และเป็นที่รู้จักเท่า Kids จนไปเข้าหูพวกเขาและเสนอชื่อวงเข้าชิง Best New Artist หลังเวลาผ่านไปสองล้านห้าแสนปีแบบนั้นก็ได้)


     แม้ Congratulations จะประกอบไปด้วยความแปลกประหลาดเมื่อได้ฟัง แต่สิ่งที่เร้าหูให้ติดหนึบ เพลงติดหูง่ายๆ ก็มีอยู่เช่นกัน เพียงแต่มันอาจไม่ใช่อัลบั้มที่จะถูกใจผู้รักใคร่เพลงแบบ Time To Pretend, Kids และหวังจะให้มีแบบนั้นอีก ใครที่หวังเช่นนั้น หูคุณจะกลับโดน Congratulations ข่มขืนด้วยเพลงที่น่าอุทานว่า “อะไรของมันฟะ!”


     กลิ่นไซคีเดลลิคในสไตล์อคูสติค บรรยากาศยุค 60’s เพลงที่ส่วนใหญ่ไม่มีท่อนฮุคติดหู และปราศจากอารมณ์อิเล็กโทรเข้มๆ ให้ครึกครื้น นั่นต่างหากคือสิ่งที่จะมาแทนที่อยู่ในงานชุดนี้


      It’s Working คือเพลงเปิดอัลบั้ม ความจริงอินโทรขึ้นมาก็เร้าใจใช่เล่น แต่เพลงมีการเปลี่ยนแปลงจังหวะ มีช่วงเร็วขึ้นมา และกลับมาช้า ให้ความรู้สึกลอยๆ ไซคีเดลลิค ช่วงนึงได้ความรู้สึกเรโทรและยุค 60’s สองอารมณ์สลับไปมา เสียงเครื่องเคาะจังหวะ กระทบกันกับซินธ์ฟุ้งๆ เริ่มได้กลิ่นความเปลี่ยนแปลงมาแล้ว!


     A Song for Dan Treacy คือเพลงกลิ่นเซิร์ฟ ร็อคแบบที่วงเคยบอกว่าจะปรากฏในอัลบั้ม ซึ่งนอกจากจะแปลกแล้ว ยังเป็น MGMT ในแนวใหม่ไฉไลกว่าเดิม น่ารักลัลลาและเหมาะกับซัมเมอร์ ขณะที่เพลงดำเนินไปก็ยังสอดแทรกเสียงซินธ์แหน่วๆ ดื๊อๆ ไปด้วย ได้ยินเสียงเคาะกรุ๊งกร๊งดังมาเบาๆ จากแบ็กกราวน์ ฟังเพลงนี้เริ่มต้นมาคล้าย The Drums แต่พอฟังจบแล้วนึกว่า Black Kids


     Someone’s Missing ก่อร่างสร้างท่วงทำนองด้วยความเชื่องช้า เสียง Andrew ร้องแบบหอนๆ คลอไปกับเครื่องดนตรีน้อยชิ้น ก่อนที่ตอนใกล้จบจะประสานเสียงกระหึ่มขึ้นมา


     Flash Delirium กับการสรรหาความบ้าบอแบบใหม่  ช่วงแรกๆ ของเพลงยังดูเป็นผู้เป็นคน เสียงแทรกประหลาดๆ มากมายปะปนอยู่ทั่วแทร็ค ประกอบกับจังหวะที่ปรับเปลี่ยนไปมา เสียงร้องซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นการร้องเพลงหรือสวดมนตร์ สไตล์ที่มืดหม่นขึ้น กลิ่นไซคีเดลลิคกระจาย ช่วงท้ายแปลกแบบกู่ไม่กลับ คือรุนแรงไปฮาร์ดคอร์โน่นเลย นี่เป็นเพลงแรกจากอัลบั้มที่ฉันได้ยิน และการฟังจบครั้งแรกของฉันไม่ต่างจากการเอาหัวไปจุ่มชักโครกที่ไม่ได้กดขณะกำลังเมาแอ๋ แต่เมื่อฟังหลายรอบเข้ากลับกลายเป็นความสนุกสนาน สดชื่น คล้ายอาการสร่างเมาแล้ว และเพิ่มความประทับใจที่มากกว่าเดิมในทุกครั้งที่ฟัง


     I Found A Whistle บรรยากาศลอย มีเครื่องดนตรีเรียบเรียงกันไปแบบเสียงหวีดๆ ลึกลับ และรำลึกกลับไปหาซาวนด์แบบชุดแรกได้ เพลงยังมีกลิ่นซินธ์อบอวลอยู่ในความฟุ้งแห่งอคูสติคกีต้าร์


     ความแปลกประหลาดและความยาวของ Siberian Breaks ก็ยังน่าดึงดูดใจอยู่ ด้วยอารมณ์ที่เปลี่ยนจังหวะ เปลี่ยนเนื้อหา เปลี่ยนความเร็วไปตลอดทั้งความยาวสิบสองนาทีกว่าของแทร็ค เสมือนเอาเพลงหลายเพลงมายำแหลกเข้าด้วยกัน (ซึ่งมันควรจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ) ทั้งแบบกลิ่นโฟล์ค เคลิบเคลิ้มฟังสบาย ดรีมพ็อพ โปรเกรสซีฟร็อค บริทพ็อพ บางช่วงซินธ์กระหึ่มขึ้นมา ทำอะไรบ้าบอแบบนี้ แต่เชื่อไหมว่าวงดันทำออกมาดีเหลือเชื่อ นิยามได้น้ำเน่าเลียนแบบภาพยนตร์เรื่องนึงได้ว่า "surreal but nice"


     Brian Eno (เวลาเห็นโปรดอย่าสับสน นี่คือเพลงของ MGMT ที่ชื่อ Brian Eno ไม่ใช่เพลงของ Brian Eno ที่ชื่อ MGMT!) เรียกว่าถ้าไม่ฮาแตกก็แอบอมยิ้มเอาได้ในความน่ารักของเพลงทั้งเนื้อหา และจังหวะฮุคๆ ติดหูง่าย เด้งดึ๋ง ยักย้ายได้ไม่เลว หรือจะแหกปาก “บร้าย-อั่น อิ๊-โนๆๆๆ” ตามด้วยล่ะจะยิ่งได้อารมณ์


     Lady Dada’s Nightmare เพลงบรรเลงที่ไม่ใช่แค่น่าขนลุกแต่ชื่อ ตัวเพลงก็อ้อยสร้อย และเสียงกรีดร้องครวญครางยิ่งน่ากลัวไปใหญ่ เพลงน่าสนใจเมื่อเห็นชื่อ นึกว่าจะมีเนื้อร้องอะไร ผิดหวังเล็กน้อยที่ออกมาเป็นแบบนี้


     Congratulations ปิดตัวด้วยความอ่อนหวานนุ่มนวล ไม่ได้แปลกอะไร แต่เรียบง่ายที่สุดในอัลบั้ม  ที่แปลกก็น่าจะเป็นเพราะแปลกไม่เข้าพวกกับเพลงอื่นในอัลบั้มมากกว่า หวานแหววและละลายเกินกว่าที่จะคิดว่านี่คือ MGMT แต่ก็นี่ล่ะ พวกเขา! ฟังแล้วจะสลาย ละลายเป็นอากาศธาตุซะให้ได้


รายชื่อเพลง อัลบั้มวางขาย 13 เมษายนที่อเมริกา (MGMT ไม่เคยมีแผ่นลิขสิทธิ์ไทย ซึ่งโซนี่ มิวสิค ไทยแลนด์เคยทำแผ่นวงเทือกนี้บ่อยซะที่ไหน)
1. It's Working
2. Song For Dan Treacy
3. Someone's Missing
4. Flash Delirium 
5. I Found A Whistle
6. Siberian Breaks
7. Brian Eno
8. Lady Dada's Nightmare
9. Congratulations


เพลงแนะนำ: A Song for Dan Treacy
สามารถเข้าไปฟังเพลงทั้งหมดได้ที่เว็บวง
//www.whoismgmt.com/




     สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกดีกับวงนี้คือการอยู่และทำงานแบบเจียมเนื้อเจียมตัว คิดดูว่าวงระดับนี้ ซึ่งชุดแรกโด่งดัง พ็อพติดหู ขายได้และเป็นที่รู้จักมากมาย หากพวกเขาจะสานต่อความสำเร็จนั้นด้วยการเขียนเพลงพ็อพๆ ออกมาอีกก็ย่อมขายได้และยิ่งดังต่อไปอีกแน่ แต่ MGMT เลือกที่จะเหยียบย่ำหนทางนั้น ละทิ้งความตลาด แล้วกลับไปทดลองทางใหม่ หลีกหนีเมนสตรีม ทำเพลงที่ไม่คำนึงถึงแฟนๆ ด้วยซ้ำ (นั่นอาจทำให้วงเสียฐานแฟนบางส่วน) แถมไม่ปล่อยซิงเกิ้ลใดๆ วางขาย
     จะอธิบายว่ามันเป็นความอยากเท่หรือแนวของวงก็ใจร้ายไป แต่ฉันคิดว่านี่แหละคือความรู้สึกจริงใจแท้ๆ ของวง และพวกเขาก็เป็นแค่กลุ่มคนจากใต้ดินที่ไม่ได้อยากอยู่เป็นเป้าความเป็นซุเปอร์สตาร์ หรือทะเยอทะยานในเรื่องเกียรติยศชื่อเสียง เงินทอง ยอดขาย
     ลองอ่าน/ฟังบทสัมภาษณ์ต่างๆ ของวงดู  คงจะทราบ (ไม่นานนี้เห็นข่าวว่าพวกเขาเคยปฏิเสธเล่นเป็นวงสนับสนุนให้ U2 หรือ Coldplay) หรือกระทั่งทุกวันนี้เวลา Andrew เจอกล้องและโดนสัมภาษณ์ทีไร เขายังกระอักกระอ่วนและทำตัวไม่ค่อยถูกเลยในบางครั้ง


     นี่จะเป็นหนึ่งในอัลบั้มยอดเยี่ยมประจำปีของฉัน
     ตัดสินมันตั้งแต่ต้นปีนี่แหละ (ซึ่งคงไม่มีอะไรผิดพลาด หากผิดพลาดก็มีได้แค่ เช่น Coldplay เกิดบ้าออกอัลบั้มมาในปีนี้ 20 ชุด ฉันจะจำเป็นต้อง Congratulations ออกไป อะไรงั้น)
     ถ้าปลายปีนี้ไม่มี Congratulations กรุณาไปกระโดดถีบหน้าจขบ.ได้ :P
     ขอจบการอวยเพียงเท่านี้




มีคอนเสิร์ตสุดยอดสองงานติดๆ กันช่วงที่ผ่านมาในไทย เนื่องจากขี้เกียจ จึงคัดลอกจากที่โพสต์ไว้ในเฉลิมกรุงมาล่ะกัน


Placebo ในงาน Tiger Translate 2010 ณ หลังเอสพลานาด รัชดา วันที่ 20 มี.ค.
จากกระทู้ของคุณ merveillesxx
//www.pantip.com/cafe/chalermkrung/topic/C9016229/C9016229.html


Placebo สุดยอดดดดดดดดดด


อ๊ากกกกก อารมณ์ค้าง
คือว่า รู้สึก "เมา"และ" มันส์" จริงๆ 
ตั้งใจไปดูสุดขีด แค่นี้ก็คุ้มและ :)


Brian ผู้ซึ่งตัดผม (ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่) มีโชว์ร่องอกสุดเซ็กซี่ >_<
Stefan ไม่ค่อยสาวแฮะ แต่หุ่นเนี่ย ดีจริงๆ โอวว
ส่วน Steve Forrest ถึงจะไม่ค่อยชอบใจการเข้ามา แต่พี่แกตีมันส์ใช่เล่น และการถอดเสื้อเนี่ย แอบเห็นความเซ็กซี่เลยนะจ๊ะ
ว่าแต่ เขาเป็นเพศใดฤา? >_<”


setlist
1. For What It's Worth เปิดตัวมันส์และ
อลังการ
2. Ashtray Heart มี เซนีเซโรๆๆๆ อย่างเจ๋ง!
3. Battle For The Sun โคตรไ่ม่ชอบเพลงนี้ แต่พอเล่นสดแล้วโยกลืมตาย กับมีอิมโพรไวซ์มันส์ๆ ดี
4. Every You Every Me มันเล่นเร็วจริงๆ ด้วยอ่ะ ตั้งตัวไม่ทัน มาไวไปไว แต่ตั้งใจมาฟังมากกก
5. Breathe Underwater นี่ก็มันส์
6. The Never-Ending Why เออ Brian บอกว่ามันคือเพลงเกี่ยวกับชาวพุทธ งงเลย เพิ่งรู้
7. Meds เวอร์ชั่นสั้นไปหน่อย และไม่เร้าใจเท่าไหร่ แต่ก็โอเค
8. Song To Say Goodbye เสียงอุบาทว์อ่ะ
9. Special K ชอบโคตร เป็นเพลงที่โดดทั้งเพลงอ่ะ ทำไปได้ไงวะ
10. The Bitter End จำไม่ได้และ
11. Bright Lights จริงๆ ชอบเพลงนี้ แต่เกลียดเวอร์ชั่นที่ร้อง bright lights and blackholes เพิ่มมานี่
12. Trigger Happy ไม่คิดว่าจะเล่น
13. Infra-red เสียง Brian โดนกลบมาก ยิ่งตอนท่อนฮุค ไม่รู้เรื่อง
14. Taste In Men  โชว์ขูดกีต้าร์และเบสระทมหูสุดๆ แต่พลังเสียงกระชากใจ กระทั่งวงและนักดนตรีแอ็คอัพออกมาขอบคุณและจากไป


เล่นเพลงใหม่เยอะมาก
แอบอยากฟังเพลงเก่าหรืออันที่อยากมีโอกาสได้ฟัง อย่าง Where Is My Mind? หรือ Running Up That Hill ไรงั้น
ไม่ก็ Speak In Tongues หรือ Soul Mates (Sleeping With Ghosts) หรือ Follow The Cops Back Home ก็ได้



ยังไงก็ขอปรบมือให้สุดใจ และขอบคุณมากสำหรับความบันเทิงเริงใจ
ถึงจะเล่นแป็บเดียว (ความรู้สึกไปไว)


สงสัย Brian กะ Stefan คงรีบอยากไปพัฒน์พงษ์ 555



แต่มีเรื่องชวนเซ็งส่วนตัว


- ช่วงที่วงเล่น Song To Say Goodbye และ Trigger Happy เสียงทำไมโหยหวนและแตกเยี่ยงนั้น?


- วงพูดน้อยจริงๆ แต่ยังดีที่เล่นมันส์


- ไม่อยากเชื่อว่าจะไม่มีอังกอร์ ทั้งๆ ที่แฟนๆ แหกปากร้องไปไม่รู้กี่รอบ เลยแอบเสียดายเล็กน้อยที่ยังไม่ได้ฟังอีกหลายเพลง
คือ คุณพี่พิธีกรก็รีบออกมามาก crew ก็เหมือนกัน -*-


- crew ของวงจะหยิ่งไปไหนคะ ไปยืนอ้อนวอนขอ setlist ตั้งนาน ไม่ค่อยจะสนใจ แถมยังล้อเลียน แต่สุดท้ายพี่คนหัวโล้นเลยให้ผู้หญิงสองคนที่มาขอไป เราไปยืนอ้อนวอนอย่างสุภาพ จนแทบอยากจะด่าตั้งนาน แต่อด เลยยอมแพ้ ขี้เกียจรอแล้ว


- พิธีกรคนที่เป็นดีเจ พูดแนะนำวงว่าคือ “อินดี้” และ “อเมริกัน”  ได้ยินแล้วจะเป็นลมตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มดู


- การ์ดข้างหน้าเฮี้ยบมากและแอบกวน คนนึงเห็นเก็บปิ๊ก Stefan เอาไว้เอง


- ส่วนสตาฟฟ์หน้างานก็เข้มเหลือเกิน เพื่อนเข้าไม่ได้เพราะอายุยังไม่ถึง 20 โธ่! มันอีกไม่กี่วันก็ยี่สิบแล้ว >_<”


- มีคนได้บัตรฟรีเยอะมากกก รู้งี้ไม่ซื้อมันหรอกเนี่ย!


เอ้อ และเราในฐานะที่มางานนี้ปีแรก (เพราะอายุเพิ่งถึง) แต่ดันรู้สึกสังขารไม่เที่ยงเหลือเกิน นี่ตรูเริ่มแก่? -*- คงเพราะโดดมากเกินไป
จะไป KoC ไหวมะเนี่ย


ป.ล. ไม่รู้เรื่องวงอื่นๆ ที่เล่นเลย ได้แต่ไปยืนเอ๋อรับประทาน
แต่ส่วนตัวแอบประทับใจ Abuse the Youth เล่นมันส์มาก และนักร้องนำวง Flur มองด้านข้างแล้วเหมือน Tom Meigan ของ Kasabian เลยแฮะ



Kings of Convenience live in BKK ณ มูนสตาร์ สตูดิโอ 1 วันที่ 23 มี.ค. จากกระทู้นี้ //www.pantip.com/cafe/chalermkrung/topic/C9029580/C9029580.html


อะไรจะดีขนาดนี้ :)


เกิดมาไม่เคยดู คอนเสิร์ตที่ไม่เหนื่อยสักแอะขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต ทั้งความชิล ความสบาย และเงียบงัน (ในช่วงแรกๆ) และอะไรที่แสนจะเป็นกันเอง  ถึงจะไม่ได้รู้สึกว่าสนุกเร้าใจ  มันส์กระจาย แหกปากจนคอตีบ หรือมีลีลากระหึ่มอลังการ แสงสีเสียงตระการตาอะไร แต่เป็นความประทับใจแบบอบอุ่น รู้ซึ้งถึงความใกล้ชิดที่น้อยนักจะมีคอนเสิร์ตแบบนี้


ก่อนรอดูก็นั่งหาวไปสองแสนรอบ วงเปิดก็ทำหน้าที่ได้ดี เล่นจบคนดูก็รออีกสักหน่อย เราก็ได้ยล KoC กัน


วงเริ่มเปิดป่าช้ากับเพลง My Ship Isn’t Pretty  เป็นการเรียกผีที่ดีมาก ฟังไปก็อยากหาหมอนไป แต่อารมณ์ศร้ามากๆ T_T
พอจบได้ยินว่า “ขุบคุณครั่บ” (ถ้าเราหูไม่ฟาด) ไม่รู้สอนใครสอน Eirik  พูดเนี่ย เพี้ยนเลย 555 ไม่งั้นเขาก็พูดผิดเองล่ะ
ประมาณ ช่วงสามสี่เพลงแรก ดูจะเงี๊ยบ เงียบ และถึงจะมีการขอให้ไม่ถ่ายรูปช่วงสามสิบนาทีแรก แต่คนก็ยังแอบถ่ายเยอะอยู่ (อันนี้ขอตำหนิคนทำหน่อยดิ ก็เขาขอความร่วมมือแล้ว จะอยากถ่ายอะไรขนาดนั้น -*-)


วงเล่นเพลงใน DoD เยอะจริงๆ  24-25, Second To Numb, Renegade รวมถึงได้ “โอเค ไอ เก็ทททท อิทททฺ” ใน
Mrs. Cold หรือ Boat  Behind ที่ก่อนจะร้อง Erlend และ Eirik แบ่งแยกผู้ชมออกเป็นสองกลุ่ม ให้คนดูร้อง “โอ้ววววววว โอวๆๆๆ อ๊า อา” หนุกหนานกันเลยทีเดียวช่วงนี้
ส่วน Rule My World เพลงที่ดูเหมือนจะเข้ากับสถานการณ์บ้านเมืองไทยในตอนนี้ วงเลยมอบให้พวกเราซะเลย
ใครถูก ใครผิดล่ะ? -*-
Erlend ยังบอกว่าที่พวกเขามาไทยก็เพื่ออยากมาดูสถานการณ์ ณ ขณะนี้ด้วยตัวเอง ว่าเป็นไง หลังดูจาก CNN แล้วงงเหลือเกิน ไม่รู้ว่าพอมาเห็นจริงๆ แล้วจะคิดยังไง


เพลงเก่าๆ ก็มี I Don’t Know What I Can Save You From, Singing Softly To Me, The Girl of Back Then และยังเล่นเพลงที่วงไม่ได้เล่นมาหลายปีแล้ว แต่เล่นตามคำเรียกร้องมาอย่าง Failure


Erlend น่าจะมีปัญหาเรื่องซาวน์ดหรืออะไรสักอย่าง เลยแอบมีโมโหแบบฮาๆ บอก “we’re doing this for you, okay?”
อ๊ายยย แอบโหด เค้ากลัวววว
นอกจากแอบโหดยังมีงอนด้วย
และพ่อคุณมุขเยอะดีจริงๆ แฮะ แถมมีลีลาท่าเล่นกีต้าร์ตอนจบเพลงแบบกวนๆ ดูแล้วน่ารักและขำดี ไม่เนิร์ดมากอย่างที่คิดด้วย


แอบได้ยิน Erlend คุยกะ Eirik เป็นนอร์วีเจี้ยนตลอด 
หรือบอก sound engineer อะไรนั้นอีก ตอนที่พูดมาทีแรกคนเลยงงกันใหญ่ว่า Erlend พล่ามอะไรออกมา  -*-


Erlend ยังจะให้ขยับเข้ามาใกล้เวทีขึ้น นี่ยิ่งโคตรใกล้ชิดเข้าไปสุดๆ เราเองก็เลยได้กอดกับขอบเวทีมันซะ
น่ารักกว่านั้นคือมีถ่ายรูปกับแฟนๆ โอวววว


ที่ ดีอีกอย่างคือวงนิสัยดีที่สุดในโลกกว้าง เพราะไม่ให้รออังกอร์นาน ยังไม่ทันได้กรี๊ดกร๊าดจนคอแหบ ทั้งคู่ก็กลับมาอังกอร์ตามเสียงเชียร์อย่างทันท่วงที


Erlend พล่ามๆ ความหลังที่มาในการแต่งเพลงที่กำลังจะเล่นนี้ ก่อนที่จะได้ฟัง Homesick สมใจในที่สุด เป็นอีกเพลงที่รอ
และจบลงด้วย Know How ที่ลุ้นๆ อยู่ว่าจะเล่นไหม แต่ดันเป็นเพลงสุดท้ายนี่สิ
จบซะแล้วหรือ! รู้สึกไวเกินไป


เออ มีตอนนึงคนนี่แหละบอกว่าแบบนี้คงจะต้องกลับมาไทยอีก – ก็เอาให้มันแน่เหอะ ฮ่า ก็พูดแบบนี้กันทุกวง
แต่พนันได้ว่าวงคงประทับใจแฟนๆ ที่นี่แบบคาดไม่ถึงมาก่อนแน่นอน เช่นเดียวกับที่บัตรมัน sold out อย่างนั้น


setlist
My Ship Isn’t Pretty
24-25
Me In You
นับจากนี้ไปไม่เรียงเพราะจำไม่ค่อยได้
I Don’t Know What I Can Save You From
Mrs. Cold
Singing Softly To Me
Misread
The Girl of Back Then
Second To Numb
Boat Behind
Failure
Renegade
Rule My World
Cayman Islands
Peacetime Resistance
I’d Rather Dance With You


encore:
Homesick
Know How


ลืมอะไรไหม?


มี เพลง encore น้อยกว่าที่หวังไว้ จริงๆ อยากฟัง Toxic Girl, Stay Out Of Trouble, Little Kids ที่ดันเก็งไว้นึกว่าจะเล่นด้วย แต่ดันไม่มีซะนี่
แต่ก็เอาเถอะ
ขอบคุณวง
ขอบคุณผู้จัดที่น่ารักมากกก :)


ภาพจากคุณ เต็งเช็งเหลียง
กระดาษ OOOH ตอนเพลง Me In You นี่ทำไปคุ้มจริงๆ ได้จับแขนและจั๊กกะแร้ Eirik ด้วย!





ป.ล. ซื้อดีวีดี No Distance Left To Run มาดองไว้ประมาณชาตินึงได้ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ดู
ไม่ทราบเป็นแมวน้ำอะไรของมัน! คงยังไม่อยากดูให้ช้ำใจว่าอิ Damon คงไม่กลับมาทำ Blur อีกแล้วจริงๆ






 

Create Date : 25 มีนาคม 2553    
Last Update : 26 มีนาคม 2553 2:45:01 น.
Counter : 9858 Pageviews.  

ดิ้นไปกับ Two Door Cinema Club – Tourist History: อัลบั้มสำหรับคนไม่ขี้เบื่อ

      ปัญหาหนึ่งของคุณคนฟังเพลงทั้งหลายที่อาจจะเจอในบางครั้งก็คือ การปรากฏขึ้นอย่างดารดาษ ผุดเป็นดอกเห็ดของวงที่มีดนตรีในสำเนียงแนวคล้ายๆ กัน
      บางทีมันช่างสร้างความสับสนจนจำไม่ได้ว่าวงไหน เป็นวงไหน
ทำไมวงนั้นมันคล้ายวงนี้ ฟังแล้วช่างย้ำเตือนจิต จินตนาการไปวงนั่น วงโน่นมามีอิทธิพลเข้าให้แน่ๆ
      บางทีคุณอาจผิดหวังเมื่อได้ฟัง เพราะพวกเขาไม่ได้มีอะไรสร้างสรรค์ แปลกใหม่ ไม่แสดงความเป็นผู้ก้าวล้ำ ล้ำๆๆๆ เพราะดนตรีที่ดีคือดนตรีที่ล้ำๆ และอาร์ตแตกตามทัศนะของพวกนักฟังเพลงอินดี้หัวสูงบางคน
      หรือถ้าถึงขึ้นคิดมากๆ เข้า คุณอาจจะแอบสงสัยว่ามันริป ลอกเขามาหรือเปล่า พาลแอบไปเทียบโน้ต เทียบคอร์ด หรือถึงขึ้นอยากให้ไปฟ้องศาลกันไปเลยก็ดีนะเออ เพราะตอนนี้กำลังเป็นแฟชั่นฮิตกันอยู่


       แต่ถ้าคุณเป็นพวกไม่คิดมาก อยู่สงบๆ ของตัวเอง อยู่ง่าย ฟังง่าย ชอบฟังเพลงของศิลปิน/วงที่มีแนวใกล้เคียงกัน เพราะมันก็ดีไปอีกแบบ มีหลายตัวเลือกให้คุณเลือกฟัง ถึงจะไปซ้ำแนวกับวงนั้นนี้บ้าง แต่คุณก็คิดว่ามันคืออิทธิพล และเป็นสีสัน ความคึกคักในวงการดนตรี
อาจเป็นไปได้ว่าคุณเข้าใจว่าปัจจุบันสิ่งที่เป็นออริจินัลในวงการดนตรีก็หายากพอๆ กับนักการเมืองที่ไม่เลวในประเทศหนึ่งแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
 
       แล้วก็ อาจเป็นไปได้ว่าคุณเป็นคนหูไม่ขี้เบื่อ
       เปรียบเหมือนคุณชอบกินกะเพราไก่ไข่ดาว เวลาไปร้านอาหารตามสั่ง เมื่อคิดอะไรไม่ออก คุณก็จะบอกว่าเอากะเพราไก่ไว้ก่อน แต่คุณก็ได้ชิมรสมือกะเพราไก่มาหลายเจ้า ได้ความอร่อยในตัวไปคนละแบบ


       ในอารมณ์ที่หูฉันไม่ขี้เบื่อเช่นนี้ ฉันก็ค้นพบว่าตัวเองประทับใจกับวงดาดๆ ทั่วไปอยู่ประจำเป็นอาจินต์
ก็คนมันชอบนี่หว่า
       จะมีวงคัฟเวอร์ The Beatles หรือ The Strokes เกิดขึ้นในโลกใบนี้อีกสักกี่พันวง ฉันก็ยังอยากฟังเพลงพวกเขาอยู่ดี แต่ในเงื่อนไขว่ามันต้องไม่ห่วยจนน่าเกลียดนะจ๊ะ


       ฉะนั้น ในกรณีนี้ฉันใคร่อยากจะนำเสนอหนึ่งในอัลบั้มที่น่าตื่นตะลึงตรึงใจประจำปีนี้ไว้สำหรับคนที่หูไม่ขี้เบื่อ



       Two Door Cinema Club คือวงเดจาวู ชนิดที่ลองบอกว่าวงนี้ไม่ใช่วงหน้าใหม่ แต่โกหกว่าเป็นเพลงของวงนั้น วงนี้ คุณอาจจะหลงเชื่อเอาถ้าไม่ไตร่ตรองหรือได้ฟังไปแค่แบบผิวเผิน


อาการที่คุณอาจจะเป็นเมื่อได้ฟัง TDCC เช่น
- กรี๊ดดดดดด Bloc Patry ซาวดน์แบบแรกที่คิดถึงหายมาอยู่นี่เอง
- นี่มัน Foals ชัดๆ
- อ๊ายยยยย Phoenix ออกชุดใหม่ไวจัง ไหนว่าหนีไปเลี้ยงลูก
- อ้าวว Ben Gibbard มาทำ side project ที่ห้าสิบเก้าหรอกหรือ คราวนี้คึกคักและซินธ์กระจุยกระจายเชียว
- Late of the Pier ไม่น่าเป็นอย่างนี้นี่นา
- โอ้ ไม่นะ  We Are Scientists กลับมาแล้ว
- Bombay Bicycle Club เปลี่ยนมาอิเล็กโทรไวจัง
- Franz Ferdinand มาลองทำแนวนี้ก็เจ๋งดีนิ
- อ๊ะ เพลงนี้ The Futureheads ดีๆ นี่เอง
ฯลฯ


       ผลงานของ TDCC วงอิเล็กโทรซึ่งประกอบด้วยสามชีวิตที่ซุกหัวนอนอยู่ ณ แบงกอร์ ไอร์แลนด์เหนือ
หลังจากปล่อย EP มาสองชุด คือ Four Words To Stand On และ I Can Talk กลายมาเป็นอัลบั้มเต็มชุดแรกชื่อว่า Tourist History อัลบั้มที่ควรเตรียมขาและร่างกายไว้ให้พร้อมก่อนฟัง และก่อนฟังจบก็ต้องเตรียมทำใจ เพราะมันจบไวเหลือเกิน
      ข้อสำคัญคืออัลบั้มมันช่าง พ็อพ พ็อพ และพ็อพ และติดหูได้ง่ายประหนึ่งว่าเอากาวตราช้างมาโปะหู แล้วราดคอนกรีตทับซ้ำแปดรอบ เคลือบด้วยคาราเมลและเกล็ดขนมปัง
       และเพลงในเวอร์ชั่นอัลบั้มนี้ ไม่เพียงแต่เสียงที่คุณภาพใสแจ๋วขึ้น แต่ซาวดน์ก็สะอาดสะอ้าน และมีการปรับเปลี่ยนการมิกซ์เสียงบางส่วนซึ่งฟังแล้วดูดีขึ้นด้วยกว่าที่เคยใน EP ด้วย


        


       แค่เพลงแรก Cigarettes In The Theatre ก็คือประโยชน์สำหรับคนที่คิดถึงซาวน์ดแบบเดิมๆ ของ Bloc Party (เมื่อฟังเพลงนี้มันจะย้ำเตือนคุณว่า Silent Alarm เคยยอดเยี่ยมแค่ไหน) แต่คราวนี้ดูเหมือนจับเอา Foals มา feat. ด้วยยังไงยังงั้น  แถมด้วยเสียงกีต้าร์จัดจ้านยังตามมาสบทบความมันส์ตอนท้ายอย่างสะใจ


      Come Back Home ท่อนคอรัสกินขาด เหมือน The Rifles เวอร์ชั่นอิเล็กโทร


      Do You Want It All ที่แม้จะเริ่มต้นมาแบบจังหวะช้าๆ อารมณ์นุ้งนิ้งนิดๆ แต่กระทั่งได้สัมผัสกับความเร้าใจของท่อนฮุค และส่วนช่วงครึ่งหลังของเพลงที่เอฟเฟ็กต์ฟุ้งกับการร้องแหกปากซ้ำๆ ไปจนจบ นั่นก็คือรสชาติสุดยอดของเพลงคุณภาพอีกหนึ่ง


      This Is The Life  ท่อนริฟ ท่อนฮุค วิเศษ และ Bombay Bicycle Club คงอยากมองค้อนเอานิดๆ


      Something Good Can Work พ็อพมาก พ็อพมากก และพ็อพที่สุด ฟังเพลินๆ เหมาะกับอารมณ์ชายหาดและซัมเมอร์ 


      I Can Talk ไม่ต้องสงสัย เราได้ Bloc Party กลับมาแล้วแน่ๆ ต่างก็แค่ Ben Gibbard มาร้องแทน
ฟังแล้วอยากจะเต้น เต้น เต้น เต้น ระเบิดร่างกายให้ครึกครื้นกับเพลงคึกคัก


      Undercover Martyn  แสดงให้เห็นสิ่งที่ประเสริฐในเพลงซึ่งไม่จำเป็นต้องซับซ้อน ยุ่งยาก เพลงก็ดีได้แบบง่ายๆ
ท่อน “ทู เดอะ เบสเมนต์ พีเพิ้ล ทู เดอะ เบสเมนต์” เย้ายวนใจจนอ่อนระทวย
ท่อนคอรัสที่ร้องกี่รอบก็สดใหม่ สำหรับวงอื่นๆ บางวง ถ้าจะมาแต่งเนื้อเพลงอยู่ไม่กี่บรรทัด เพราะปากกาดันหมดหมึกก่อนเลยต้องเอาเนื้อแค่นั้นมาร้องซ้ำ วนไปวนมาประกอบกับท่อนริฟทั้งเพลง อาจดูแล้วอุบาทว์และน่าเกลียด แต่ TDCC มีอะไรบางอย่างพิเศษอยู่ในตัวชนิดที่ฉันไม่สามารถอธิบายได้ (เพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร– ฮาาาาาาา)


      Undercover Martyn  เป็นเพลงที่วงจะเลือกเป็นซิงเกิ้ลสำหรับอัลบั้มนี้ นี่คือเอ็มวีของเพลง



      What You Know อารมณ์สุดจะสำเริงเริงรื่น เหมือนเพลงรำวงแบบฝรั่ง ผสมด้วยบีทครื้นเครง


       Eat That Up, It’s Not Good For You พูดได้แค่ว่า “น่ารัก” ที่สุดในอัลบั้ม และอีกครั้งกับการเพิ่มความร้อนแรงของเครื่องดนตรีในตอนท้าย


      You’re Not Stubborn แม้จะยังอารมณ์ค้างกับการโลดแล่นตีลังกาหน้ายิ้มแป้นอยู่กลางฟลอร์เต้นรำ แต่เพลงก็ทำหน้าที่เป็นแทร็กปิดท้ายได้อย่างไม่เสียหายอะไร



Tourist History  จะวางขายวันที่ 1 มีนาคมนี้ ที่สหราชอาณาจักร
รายชื่อเพลง
1.Cigarettes In The Theatre
2. Come Back Home
3. Do You Want It All
4. This Is The Life
5. Something Good Can Work
6. I Can Talk
7. Undercover Martyn
8. What You Know
9. Eat That Up It's Good For You
10. You're Not Stubborn


      ถ้าคุณเป็นพวกหูเบื่อง่าย ชินชากับวงในสไตล์อย่างที่เอ่ยถึงไปแล้วทั้งหมดนั้น การฟังอัลบั้มนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการกินข้าวกะเพราไก่สามมื้อเป็นอาหาร น่าเบื่อ จืดชืด ก็ช่างหัวมันเถอะ ปล่อยวงนี้ไว้อย่างนั้นแหละ
      แต่ถ้าหูไม่เบื่อก็ลองฟังเถอะ น่าจะชอบ
      อย่างไรก็ตาม ในเมื่อ Tourist History ฟังแล้วติดหูเร็ว จนลุ่มหลงทันใดได้ขนาดนี้ และมีอิทธิพลของวงอะไรๆ มากมาย ต้องรอดูว่าพวกเขาจะเป็นอย่างไรในอนาคต
      เวลาจะเป็นตัวพิสูจน์ TDCC ว่าพวกเขาคือของจริงหรือของเลียนทำเหมือน
      รอดูกันไป...
      แต่สำหรับฉันตอนนี้ ก็ยังมีความรู้สึกชอบกินกะเพราไก่อยู่ดี


อัลบั้มอื่นๆ ที่กำลังฟังและชอบ
Vampire Weekend – Contra 9.5/10
Los Campesinos! – Romance Is Boring 8/10
Hot Chip – One Life Stand 7.5/10
The Soft Pack – The Soft Pack 8/10
Broken Bells – Broken Bells 8.2/10
Apparatjik – We Are Here 7/10
Surfer Blood – Astrocoast 7.5/10
The Magnetic Fields – Realism 6.2/10
Rogue Wave – Permalight 8/10
These New Puritans – Hidden 8.4/10
Delphic – Acolyte 7.9/10


ไม่ชอบ
The Sunshine Underground – Nobody's Coming To Save You 5.5/10
Good Shoes – No Hope, No Future 4/10
Errors – Come Down With Me 5.6/10
OK Go - Of The Blue Colour Of The Sky 4/10


ยังไม่รู้
Yeasayer – Odd Blood
Chew Lips – Unicorn
Spoon – Transference
Codeine Velvet Club – Codeine Velvet Club
Ocean Colour Scene – Saturday
Midlake - The Courage Of Others
The Idyllists – The Idyllists
Lightspeed Champion - Life Is Sweet! Nice To Meet You


                    

ป.ล. เป็นเอนทรี้ที่อุบาทว์และผักชีมาก เพราะกำลังจะเข้าขุมนรกสอบปลายภาค แต่มาอัพฯ ตามแรงกดดันของคนบางคน-ฮ่าาาาาาาาาาาา (และจากนี้คงดองยาวววววว)
ป.ล. 2 ฝาก Apparatjik อัลบั้มแรกด้วย We Are Here ออกมาแล้ว
ป.ล. 3 เรื่อง British Sea Power มาไทยที่เคยบอกไป ฉันสอบถามไปอีกที ได้ความว่าเลื่อนกำหนดไปแล้ว ขอแก้ไขข้อมูลว่าวงจะมาเดือนพฤษภา เหตุผลก็คือวงหาเครื่องเปลี่ยนมาลงที่นี่ไม่ทัน
ป.ล. 4 เดือนหน้า Kings of Convenience!!!






 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2553 3:43:54 น.
Counter : 4565 Pageviews.  

My Top 12 Albums of the Year & All My Faves of 2009

My Top 12 Albums of 2009



อันดับ 12  Julian Casablancas - Phrazes For The Young 


เพื่อไม่ให้น้อยหน้าเพื่อนฝูงและยืดเวลาทรมานแฟนๆ ที่รอคอยฟัง The Strokes ชุดใหม่ต่อไป Julian ผู้มีสุนัขและเจ๊ Oscar Wilde เข้ามาร่วมวงด้วยใน Phrazes For The Young จึงได้สร้างผลิตผลแห่งความครื้นเครงให้ฟลอร์เต้นรำมาอีกหนึ่งอัลบั้ม  แม้ทั้งหมดทั้งปวงจะไม่ใช่งานแบบที่วงของเขาเคยทำมา แต่ก็ใช่ว่าจะห่างไกลเกินกว่าที่คนซึ่งคุ้นเคยกับสำเนียง Strokes หรือไลน์เบสและกีตาร์แบบนี้ (คงไม่จำเป็นต้องพูดถึงเสียงร้อง) จะไม่คุ้นหูเอาได้ สิ่งที่เจ๋งขึ้นคือการสร้างความเด้งดึ๋งโสตประสาทหูอย่างคึกคักของจังหวะซินธ์ สำเนียงอิเล็กโทร หรือดรัม แมชีนที่ทำหน้าที่แทนสองมือของ Fab  แต่เชื่อเถอะว่าฟังเผินๆ ก็แยกความต่างไม่ค่อยออก อย่างน้อยเพลงแรก Out Of The Blue เราก็ได้พบกับ Last Nite ภาค 2 ที่หลุดเข้าไปในโลกแห่งซินธ์และซุกไซ้เข้ากับอุ่นไอดิสโก้ ขณะที่ใน 11th Dimension คือเพลงน่าทึ่งซึ่งคงกลิ่นอายยุค 80’s แต่โปะรวมอารมณ์แห่งยุคใหม่เอาไว้ได้อย่างลงตัว


*****************************


 อันดับ 11  White  Lies – To Lose My Life
เขียนถึงแล้วที่นี่


*****************************

อันดับ 10  Bombay Bicycle Club - I Had The Blues But I Shook Them Loose



ชุดแรกแต่เป็นความก้าวหน้าและก้าวล้ำของวงดนตรีที่น่าจะจับตามองจากลอนดอน  Bombay Bicycle Club  เป็นวงที่ไม่แปลกอะไรจากวงสำเนียงดาดๆ ที่มีอยู่ทั่วเกาะอังกฤษ แม้เอกลักษณ์ที่เสียงร้องก้องกังวานอย่างเมาๆ บางที ของ Jack Steadman ยังฟังแล้วละม้ายคล้ายคลึงกับเสียง Brian Molko แห่ง Placebo ไม่มีผิด และสำหรับอัลบั้มนี้ฟังเผินๆ ก็คงผ่านหูไปเลยและไม่ได้มีอะไรส่งผลกระชากใจในทันทีทันใด แต่หากลองให้ะโอกาสหลายๆ ครั้งแล้ว เพลงหลายเพลงมีสิทธิไปนั่งอยู่ในใจ  ตั้งแต่ Lamplight จังหวะน่าโยกหัว ขาไปด้วย ขณะที่เสียงกีต้าร์ก็เท่ขึ้น โดยเฉพาะความครึกครื้นในท่อนฮุค และความมันส์ตัดสลับกับจังหวะหยุดกึกของเพลง ฟังจบแล้วจึงเหมือนอารมณ์ค้าง Always Like This ที่คุ้มค่ากับการเปิดซ้ำไปซ้ำมา Dust On The Ground ก็เช่นเดียวกัน ตัวเพลงเหมาะเหม็งกับเสียงร้องยวนๆ แบบนี้ ไม่เพียงแต่เพลงร็อคจังหวะสนุกสนาน เพลงหวานๆ อคูสติคใน I Had The Blues But I Shook Them Loose ก็รื่มรมย์ใจได้ไม่แพ้กัน


*****************************


อันดับ 9  Manic Street Preachers - Journal For Plague Lovers
ได้เขียนไว้ในนี้


*****************************

อันดับ 8  Muse - The Resistance
อวยไปแล้วตรงนี้


*****************************

อันดับ 7  The Big Pink - A Brief History Of Love



ไม่ต้องสงสัยว่าความสามารถในการสร้างท่อนคอรัสที่ระเบิดปะทุขึ้นมาอย่างฮึกเหิม “โด๊หมิโน่สฺ โด๊หมิโน่สฺ โด๊หมิโน่สฺ โด๊หมิโน่สฺ” ใน Dominos ได้เฉียบขาดและติดหูผู้คนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ The Big Pink  แทบจะครอบครองพื้นที่ความเป็นสุดยอดวงอิเล็กโทรร็อคที่โดดเด่นประจำปี รวมถึงการเป็นน้องใหม่ยังส่งเสริมให้ตัวอัลบั้มได้รับการกล่าวขวัญถึง  ผลบุญอันน่ามหัศจรรรย์นี้จะไม่สมบูรณ์แบบ หากว่าภาพรวมอัลบั้มทั้งหมดของพวกเขาทำออกมาได้ไม่ดี แต่ A Brief History Of Love ก็คืองานที่ควรค่ากับการกล่าวคำว่า “จับจิต” หรือ “น่าทึ่ง” ได้เหมือนกัน ชื่ออัลบั้มที่ดูเหมือนจะเกี่ยวพันกับความรัก แต่ภาพรวมก็เป็นความรักที่เพ้อรำพันไปในทางเศร้าโศก น่าอนาถ เจ็บใจ ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า เปล่าเปลี่ยว อารมณ์เพลงแม้จะพอถูไถไว้เต้นแร้งเต้นกาตามสไตล์อิเล็กโทรบวกซินธ์ที่จัดจ้าน เมายากริ่มๆ และเคลิ้มกับกลิ่นไซคีเดลลิคได้ แต่ความหวานโศกของท่วงทำนองในบางเพลงก็เร้าความรู้สึกเงียบสงัด  เพลงอย่าง Too Young To Love แสดงการฟาดฟันของซินธ์ได้ดิบสะเด่า Tonight  เร้าใจด้วยการขยี้กันของเสียงเบสและท่อนร้องซ้ำไปมา  กระทั่ง Velvet  ก็กระชากอารมณ์ที่ไม่รู้จะเศร้าหรือจะมีความสุขในสไตล์ชูเกสได้แจ่มแจ๋ว


*****************************


อันดับ 6  Brakes – Touchdown



ถ้าไม่ใช่เพราะ Eamon Hamilton ดังแล้วแยกวง เราคงไม่ได้ฟังวงพันธมิตรใหม่ทางดนตรีของ British Sea Power และ Electric Soft Parade ที่น่ารักจากไบรท์ตันวงนี้ แม้อัลบั้มจะรวบรวมแนวเพลงที่หลากหลายเอาไว้ แต่ความกลมกลืนทำให้รู้สึกยากเกินกว่าที่จะข้ามแทร็กใดแทร็กหนึ่งไป เพราะแต่ละก้าวของอัลบั้มคือขั้นกว่าของเพลงที่สมดุลกันยิ่งขึ้นนั่นเอง ลองไล่ฟังตั้งแต่ Two Shocks ที่เปิดตัวความเป็น Brakes ดั้งเดิม  และอาจเพราะวงเห็นความหลอนและผลลัพธ์จากการที่ Brandon Flowers ถูกเอเลี่ยนลักพาตัว Brakes ไม่อยากโดนบ้างเลยว่าอ้อนวอนเอาในเพลง Don’t Take Me To Space (Man) หนกขูกระตุ้นขี้หูกับ Red Rag ด้วยเสียงกระหึ่มแรงขึ้นของกลองกับกีต้าร์ ตามติดกันมาอย่างเพลงอื่นๆ อยู่ระดับฟังเพลินๆ แอบไว้ด้วยกลิ่นอายคันทรี่ในแนวพ็อพๆ ไปจนถึงแทร็กกระชากความมันส์ หรือเพลงที่จะทำให้คิดถึง Pixies (Crush On You)  ขณะที่ Worry About It Later ก็ฟังติดหูได้แทบจะในทันทีด้วยท่วงทำนองน่ารัก กระทั่งแทร็กปิดท้าย Leaving England เสียง Eamon ในอารมณ์นุ่มนิ่มเสนาะหูกับเสียงเครื่องดนตรีเคาะจังหวะสัมพันธ์กันนุ้งนิ้ง  ยัน  hidden track อย่าง First Dance ก็ยังฟังแล้วเข้าที ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของ Touchdown คือมันสั้นและจบเร็วเกินไปเท่านั้นเอง 


*****************************


อันดับ 5  Idlewild - Post Electric Blues



ใครบอกว่า Idlewild เป็นวงดีที่โลกลืมฉันก็พร้อมจะสนับสนุนและยัดเอา Post Electric Blues ความพยายามครั้งที่หกของพวกเขามาเป็นอัลบั้มสุดโปรดประจำปีเป็นกำลังใจและความชมเชยให้กับวง ไม่สำคัญที่การช่างน้ำหนักอัลบั้มนี้ไปที่อารมณ์ก้ำกึ่งของความเป็นร็อคหรือโฟล์ค หรือการใส่ใจความสก็อตติชที่พยายามอเมริกันของพวกเขา เพราะถึงอย่างไรก็ตาม Post Electric Blues ยังมีเพลงเด่นๆ และมีเสน่ห์มากมายให้ลิ้มรส Younger Than America เก๋ไก๋ด้วยไวโอลิน  โดดเด่นกับบรรยากาศคันทรี่ หรือ Readers & Writers ก็เป็นแทร็กน่าหลงใหลแทบจะในทันทีที่ได้ฟัง เพราะลีลาทรัมเป็ต เสียงน่ารักกรุ๊งกริ๊ง จังหวะจะโคนที่ยังร็อคได้ผนวกด้วยกีต้าร์ที่เร้าหู การสร้างความตรึงหูอีกครั้งด้วย City Hall ที่ท่อนคอรัสกินอกกินใจ  แทร็กโฟล์คๆ เช่น (The Night Will) Bring You Back To Life แม้จะให้อารมณ์ประหนึ่ง Roddy Woomble แอบเอา side project มายัดใส่ แต่ก็กลมกลืนได้ไม่น้อยกับอัลบั้ม พวกเขายังมีจังหวะกีต้าร์ริฟหนักอยู่หลายจังหวะ ดังนั้นอย่ามองข้ามบรรยากาศเก่าๆ หรือคิดไปว่าอารมณ์ดิบๆ ที่วงเคยมีมาจะถูกละทิ้งไปทั้งหมด Idlewild ยังแทรกความกลมกล่อมแบบนั้นไว้ในอัลบั้มกลิ่นโฟล์คได้อย่างลงตัว


*****************************


อันดับ 4 The Twilight Sad - Forget The Night Ahead



อัลบั้มที่สองของ The Twilight Sad ยังคงสำรอกสำเนียงสก็อตติชเยี่ยงคนลิ้นไก่สั้นอย่างแน่นหนักและฟังไม่ออก ที่ต่างขึ้นมากคือการก้าวเข้าสู่อาณาจักรอันมืดหม่น และความเข้มข้นของเสียงกีต้าร์ซึ่งดูจะได้รับการเน้นในทุกเพลง กับ James Graham ที่ยังเอาเสียงร้องซึ่งทุ้ม ลากเลื้อยอย่างเยียบเย็นผ่านบทเพลงซึ่งในบางอารมณ์อาจรู้สึกสบายใจ แน่นิ่ง ไปจนถึงหดหู่ซึมเศร้า และพาลเกลียดชังโลก  Forget the Night Ahead จึงให้ความรู้สึกเสมือนหนึ่งคุณถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว โดดเดี่ยวจนหวาดกลัว รอคอยให้ความมืดมิดแห่งค่ำคืนคลืบคลานเข้ามากัดกินจิตใจ พวกเขาขมขื่นหูคุณด้วยเพลงอมทุกข์อย่าง Scissors, Floorboards Under the Bed หรือ Reflections of the Television  ท่อนฮุคอันทรงพลังในเพลงเสียดสีแรงๆ ของ I Became a Prostitute ซึ่งเหมือนกับว่าการร้อง “bleed you dry” ได้สาปคนฟังให้ลืมหายใจไปชั่วขณะ อัลบั้มยังเพิ่มรสชาติด้วยความเข้มข้นของเบสไลน์ใน Reflections of the Television เสียงเปียโนที่วิ่งเข้าหาความสลด มืดมนใน At the Burnside หรือ The Room  สิ่งสำคัญคือในความเป็นวงชูเกสที่ดีของ The Twilight Sad พวกเขาได้สร้างสรรค์สไตล์อันมีเอกลักษณ์ของตัวเองในแบบที่วงอื่นยากจะทำได้


*****************************


อันดับ 3 Arctic Monkeys – Humbug
เขียนไปแล้ว ขี้เกียจพิมพ์อีก


*****************************

อันดับ 2  Kasabian - West Ryder Pauper Lunatic Asylum
        ดูที่เขียนไปแล้วที่นี่



And the winner is….





***Wild Beasts – Two Dancers***


ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เมื่อฉันได้ฟัง Two Dancers แล้วถูกอัลบั้มนี้เล้าโลมให้เคลิบเคลิ้มใหลหลง จนแทบอยากไปสู่ขออัลบั้มนี้มาเป็นคู่ตุนาหงันถ้าหากเป็นไปได้  ไม่ว่าจะเป็นความนิ่มนวล สละสวย งดงามหมดจด อิ่มเอิบ สุขุมหยาดย้อย เสียงร้องสูงเย็นยะเยือกกินใจซึ่งบางทีก็หลอน น่าขนลุกของ Hayden Thorpe ผู้มีเสียงเหมือนผีกะเทยฝรั่ง  แต่เพลงที่เขาร้องดันสร้างความสุขด้วยกลิ่นดรีมพ็อพฟุ้งๆ บรรยากาศลอยๆ เย็นซ่านเข้าไปในจิตใจ และบำบัดอารมณ์ให้เทียบเท่ากับประทับอยู่ ณ สรวงสวรรค์อันบรรเจิด อัลบั้มมีการเปิดตัวอย่างงามสง่าด้วย The Fun Powder Plot ที่จังหวะสวยงามสราญอารมณ์ให้องค์ประกอบที่ขัดกันเล็กน้อยกับเพลงที่รำพึงรำพันเนื้อร้องอย่าง “disowned us daddies like the poopers of the party” หรือ “my boot up your arse hole!” ในเพลงยั่วยวนอย่าง Hooting & Howling นั้นก็สวยงามยิ่งกว่าฝัน จะเปิดฟังสักหมื่นรอบ และแหกปาก “ฮูทฺทิ้งงงงงๆ แอนด์ เฮาวววววลิ้งงงง” สักแสนรอบก็คงไม่เบื่อง่ายๆ หรือ All The King’s Men ก็เป็นแทร็กคุณภาพซึ่งต้องยกประโยชน์ให้ตั้งแต่จังหวะคึกอารมณ์ คอรัสโฮ โฮวว โฮ่ และเสียงร้องโหยหวนตรงแบ็กกราวน์ Two Dancers บรรจุเพลงเข้มๆ อารมณ์หนักแน่น และสลับฉากแบบหวานๆ ปล่อยห้วงคำนึงให้ละเมอฝัน  ข้อสรุปที่ได้จากอัลบั้มนี้ก็คือ Wild Beasts นับเป็นผลิตผลอันสมบูรณ์แบบที่ลีดส์ควรพึงสงวนไว้ให้ยั่งยืนนาน



 



 


 


My Own Private Lists


My Most-listened Album of 2009: Muse – The Resistance


My Favourite Breakthrough Band: Dinosaur Pile-up


Best Comeback Album: Kasabian – West Ryder Pauper Lunatic Asylum


Album That Was a Lot Better Than Expected: Jason Lytle - Yours Truly, the Commuter


Most Disappointing Album: Editors - In This Light And On This Evening


My Brightest Hope: Dinosaur Pile-up


My Favourite Soundtrack: Karen O and the Kids - Where the Wild Things Are OST


Album That Just Isn’t My Thing: The Horrors – Primary Colours


My Favourite Compilation: Danger Mouse and Sparklehorse - Dark Night of the Soul


Best Album Artwork: Muse - The Resistance


My Top 10 EPs
1. Animal Collective - Fall Be Kind
2. Dinosaur Pile-up - The Most Powerful EP In the Universe!!!
3. Take to the Seas - It's Science EP
4. Free Energy - Free Energy
5. The Sunshine Underground - Everything, Right Now EP
6. Two Door Cinema Club - Four Words To Stand On
7. Modest Mouse - No One's First, and You're Next
8. Bon Iver - Blood Bank
9. The Drums - I Felt Stupid
10. Deerhunter - Rainwater Cassette Exchange



My Top 10 Music Videos


1. Coldplay – Strawberry Swing




2. Coldplay – Life In Technicolor ii




3. Yeasayer - Ambling Amp


4. MGMT – Kids


5. Oren Lavie - Her Morning Elegance


6. Passion Pit – The Reeling


7. The Twilight Sad – Seven Years of Letters


8. Grizzly Bear - Two Weeks


9. Charlotte Gainsbourg (ft. Beck) – Heaven Can Wait


10. Oasis - Falling Down




My Top 20 Tracks of the Year
1. The Twilight Sad – I Became a Prostitute
2. Animal Collective – What Would I Want? Sky
3. Wild Beasts - Hooting & Howling
4. Kasabian – Underdog
5. Phoenix – 1901
6. The Big Pink – Dominos
7. The Rifles- The Great Escape
8. The Veils – The House She Lived In
9. The Cribs – Victim of Mass Production
10. Arctic Monkeys – Cornerstone
11.  Muse – Resistance
12.  Brakes – Worry About It Later
13. White Lies – Unfinished Business
14.  Bombay Bicycle Club – Always Like This
15. Idlewild – Readers & Writers
16. Take to the Seas – Take to the Seas
17.  Manic Street Preachers - Jackie Collins Existential Question Time
18.  Dinosaur Pile-up – Summer Hit Single
19. Julian Casablancas – Out Of The Blue
20.  The Kissaway Trail – SDP


 


My playlist ของปี 2009 เนื่องจากขี้เกียจลิสต์ทั้งหมด จึงก็อปเอามาคร่าวๆ จากชาร์ตใน last.fm แล้วกัน ซึ่งอันนี้มันจะนับเอาเฉพาะที่ scrobble ไว้ ดังนั้นจะได้เฉพาะสถิติของส่วนที่ฉันเปิดเพลงฟังจากคอมพิวเตอร์


อันดับอัลบั้มประจำปี 2009 (ที่มีจุดสีแดงคืออัลบั้มที่วางขายปี 2009)






อันดับแทร็กประจำปี 2009 ((ที่มีจุดสีแดงคือเพลงจากปี 2009)






New Bands/Artists to Watch
- Dinosaur Pile-up
- Take to the Seas
- Free Energy
- Goldheart Assembly
- Darwin Deez
- The Drums
- 4 Or 5 Magicians
- Chapel Club
- Delphic
- Two Door Cinema Club



My Top 10 Favourite Films of 2009
1. A Prophet
ถึงกับสละเวลาไปดูสองรอบเมื่อตอน BKK International Film Fest ปีก่อน ด้วยเหตุผลนึงก็คือ อยากดูฉากที่มีเพลง Gobbledigook ของ Sigur Ros!!!
2. Inglorious Basterds
3. Antichrist
4. Slumdog Millionaire
5. I Killed My Mother
6. 35 Shots of Rum
7. Pineapple Express
8. Synecdoche, New York
9. Star Trek
10. Le Donk & Scor-zay-zee






 

Create Date : 19 มกราคม 2553    
Last Update : 20 มกราคม 2553 20:03:26 น.
Counter : 7779 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

Lucy in the sky with diamonds
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]







New Comments
Friends' blogs
[Add Lucy in the sky with diamonds's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.