Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องสั้น : ชานชาลาที่รัก

***ชานชาลาที่รัก***

ศิลป์ใจ ศิริกาลกุล


“ขบวนรถเที่ยวต่อไปเป็นขวนรถเที่ยวขึ้นขบวนที่ 301 กรุงเทพ-ลพบุรี ท่านผู้โดยสารที่รอรับการโดยสารกรุณาข้ามไปรอที่ชานชาลาที่สามครับ....”
“....ผู้ที่ข้ามผ่านไปมาชานชาลาที่สามโปรดระมัดระวังอันตรายจากขบวนรถเข้าเทียบ ขบวนรถเข้าเทียบชานชาลาที่สามเป็นขบวนรถที่ 301 จากสถานีกรุงเทพฯ ปลายทางสถานีลพบุรี เตรียมสิ่งของและสัมภาระเรียบร้อยแล้ว รอรับการโดยสารได้ที่ชานชาลาที่สามครับ...”
“....ที่นี่สถานีรังสิต ที่นี่สถานีรังสิต ท่านผู้โดยสารที่จะลงสถานีรังสิตโปรดตรวจสอบสัมภาระให้ถูกต้องครบถ้วนก่อนลงจากขบวนรถ ตามกำหนดเวลาขบวนรถเที่ยวนี้จะออกจากสถานีรังสิตเวลา สิบเจ็ดนาฬิกาสามสิบเจ็ดนาที การรถไฟแห่งประเทศไทยขอขอบคุณทุกท่านที่ใช้บริการมา ณ โอกาสนี้ครับ....”
“….ขบวนรถเที่ยวนี้หลังจากออกจากสถานีรังสิตไปแล้ว จะหยุดรับส่งผู้โดยสารที่ป้ายหยุดรถคลองหนึ่ง สถานีเชียงราก เชียงรากน้อย และทุกๆสถานีตลอดจนสถานีปลายทางครับ”

หลังจากสิ้นเสียงประโยคต่างๆเหล่านี้ ขบวนรถก็จะเคลื่อนที่ออกจากบ้านของผมไป ใครๆต่างเรียกบ้านผมกันติดปากว่า “สถานีรังสิต” ที่นี่เป็นทั้งบ้านและที่ทำงานในเวลาเดียวกัน เสียงหวูดรถไฟ เสียงล้อเหล็กที่บดราง หรือเสียงรอยต่อรางที่มันกระแทกกันเวลารถไฟวิ่งผ่าน มันผ่านหูผมมาเป็นเวลาหลายปี มันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ยังมีอีกเสียงหนึ่งที่รำคาญใจผู้คนที่มารับบริการที่นี่ จนบางครั้งพาผมรำคาญไปด้วย

“ท่านผู้โดยสารที่จะเดินทางไปกับขบวนรถชานมืองเที่ยวขึ้น ขบวนที่ 301 กรุงเทพฯ-ลพบุรี วันนี้ขบวนรถล่าช้ากว่ากำหนดเวลายี่สิบนาที ตามกำหนดเวลาแล้วขบวนรถเที่ยวนี้จะมาถึงสถานีรังสิตเวลาสิบเจ็ดนาฬิกาห้าสิบเจ็ดนาที การรถไฟแห่งประเทศไทยต้องขออภัย ในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้ครับ”

ประโยคนี้เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น สถานีรังสิตมันไม่ไกลจากสถานีกรุงเทพฯหรือที่เรียกกันติดปากว่า “หัวลำโพง” เท่าไรนัก คือพูดได้ว่าสถานีรังสิตเป็นสถานีต้นๆของเส้นทางเลยก็ว่าได้ แต่การที่รถเสียเวลาก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรผู้คนก็ต้องรอ เพราะสาเหตุที่คนใช้รถไฟก็คือ มันสะดวกสำหรับคนบ้านใกล้สถานี บางสถานที่ที่ไม่มีรถเมล์ไป และที่สำคัญอีกเหตุผลหนึ่งคือราคา “ถูกมากเลยครับ” นับไปเลยประมาณสถานีละหนึ่งบาท ขาดเกินก็นิดๆหน่อยๆ ราคานี้พูดกันแค่รถธรรมดา...

ผมอาศัยอยู่ที่นี่ทุกวัน ที่นี่เป็นบ้านของผม ผมไม่มีที่นอน-หมอน-มุ้ง ยามจะนอนก็หาเก้าอี้ว่างๆตามชานชาลา เสื้อผ้าก็ใส่อยู่เก่าๆชุดเดียว ไม่ว่าจะเป็นชุดทำงาน ชุดกิน ชุดนอน ชุดเที่ยว ผมใช้ชุดเดียวกัน ผมใส่มันจนเก่าบางครั้งขาดเลยก็มี พนักงานที่นี่เขาหมั่นไส้เมื่อไรเขาก็หามาให้เปลี่ยน คนที่นี่ใจดีทุกคน เขามีน้ำใจกับผม ผมก็มีน้ำใจให้เขา ที่สำคัญผมไม่เคยจ่ายค่าเช่าชานชาลาที่ผมใช้ซุกหัวนอนเลย เขาไม่ไล่ผมก็บุญหัวแล้วครับ

ทุกวันผมต้องนอนดึก เพราะกว่ารถระยะใกล้ๆจะหมดก็ปาเข้าไปสี่ห้าทุ่ม คนที่สถานีก็ยังเยอะอยู่ ขืนผมไปนอนมันเป็นภาพที่ไม่ดีเท่าไรนัก ครั้นตอนตื่นผมก็ต้องตื่นแต่เช้ามืด ที่สำคัญผมตื่นทุกครั้งที่มีเสียงล้อเหล็กบดรางเข้ามาจอดที่สถานี ผมจะฟังเวลาตามที่เจ้าหน้าที่สถานีประกาศ ประมาณตีสี่-ตีห้าผมก็ต้องตื่น หลังจากตื่นแล้วก็ได้เวลางาน มีของมากมายที่ผู้คนมาฝากส่งไปกับรถไฟ มันหนักมากเวลาขนขึ้น และรถไฟนั้นก็สูง เป็นไปด้วยความยากลำบากทุกครั้ง มันไม่ใช่หน้าที่ผม แต่ผมช่วยเขาทุกวัน น้ำใจเล็กๆน้อยๆที่ผมได้ตอบแทนก็คือข้าวกล่อง มันช่วยให้ผมประทังชีวิตได้อย่างดีเยี่ยม

ในเวลาที่รถเข้าเทียบชานชาลาผมจะช่วยดูทุกครั้งว่าปลอดภัยดีหรือเปล่า ช่วยนายสถานีสอดส่องดูแล ผมไม่มีธงเขียวธงแดงเหมือนนายสถานี แต่ผมมีใจอย่างเดียวที่อยากช่วย ครั้งแรกที่ผมทำงานนี้ ผมก็ถูกนายสถานีด่าครับ เขากลัวผมจะถูกรถไฟชน เพราะใครก็คิดว่าผมบ้า จริงๆแล้วผมไม่ได้บ้า เพราะว่าคน ไม่มีเสื้อผ้าดีๆใส่ มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนบ้าเสมอไป แค่ผมยาวปะบ่า เสื้อผ้ามอมแมม เท่านี้ผู้คนก็มองกันว่าบ้า แต่ไม่ว่าจะอย่างไรผมคิดว่าน้ำใจผมประเสริฐกว่าบางคนซะอีก แต่ทุกวันนี้ก็ไม่มีใครที่นี่ว่าผมบ้าแล้ว เพราะเขาบอกกับผมว่า “คนบ้า จะไม่รู้ตัวเอง ว่าเป็นบ้า” ผมก็เลยบอกกับเขาว่าให้เลิกว่าผมว่าบ้าได้แล้วเพราะผม “รู้ตัวเองดี ว่าไม่ได้เป็นบ้า” ผมพูดบอกตามความจริงเพราะ คนอื่นจะมารู้ดีกว่าตัวผมเองนั้นคงไม่มี

“วันนี้วันที่หนึ่งครับ” เป็นวันปีใหม่ ขบวนรถที่ 301 กรุงเทพฯ-ลพบุรี จะวิ่งเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดราชการเท่านั้น วันนี้เป็นวันอังคารแสดงว่าต้องเป็นวันหยุดราชการแน่นอน แต่ผมไม่ใช่ข้าราชการ งานก็เลยไม่หยุด และงานผมก็ไม่มีวันหยุดอยู่แล้ว ผมต้องทำงานทุกวันเพื่อแลกข้าวกล่องประทังชีวิต ไม่มีแม้วันหยุดประจำสัปดาห์ ยิ่งเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์แล้วผมยิ่งต้องทำงานหนัก เพราะงานผมเป็นงานบริการ ผู้คนมากมายต้องผ่านมาใช้บริการที่นี่นับไม่ถ้วน ผมเคยถามตัวเองว่ามันเหมือนโรงงานนรกหรือเปล่า ผมหาคำตอบอยู่หลายวัน หลายวันที่ผมมีชีวิตในการหาคำตอบนี้ก็เพราะข้าวกล่องที่ได้จากการทำงาน นั่นคงตอบผมได้อย่างชัดเจนว่า “โรงงานนรกแห่งนี้ให้ข้าวผมกินประทังชีวิตทุกวัน” แต่ไม่ว่าจะอย่างไรผมก็ได้ข้าวจากผู้ที่มีน้ำใจนั้นเพียงแค่วันละสองกล่อง มีบางวันก็กล่องเดียวก็มี ผมก็เข้าใจครับ คนพวกนี้เขาก็มีภาระต้องดูแลครอบครัวเหมือนกัน ฉะนั้นมื้อเย็นผมก็หากินเองครับ ผมไม่ได้พูดเล่น ผมต้องหากินเองจริงๆ หาตามถังขยะ ผมจะไปกับเพื่อนร่วมชานชาลาตัวหนึ่งมันชื่อไอ้ตูบ ผมเลี้ยงมันไว้เองครับ แต่จะว่าไปแล้วบางวันมันก็เลี้ยงผมเหมือนกัน บ่อยครั้งที่มันคาบไส้กรอกมาให้พวงยาว แต่ก่อนมันขนยาวหูตูบ แต่เดี๋ยวนี้มันไมมีขนแล้วเหลือแต่หูที่ยังตูบอยู่ ทุกครั้งที่ผมเดินเลี่ยงไปตามถังขยะ มันจะเข้ามาใกล้ วันนี้ข้าวก้อนแรกที่ผมเจอมันเละและมีกลิ่นเปรี้ยว ผมให้มันกินไปก่อน ส่วนของผมเป็นข้าวเหนียว แม้จะถูกลมโกรกจนแห้ง แต่มันก็กรอบนอกนุ่มในได้อรรถรสแห่งการกินที่เยี่ยมมื้อหนึ่งเลยล่ะครับ

ชีวิตผมดีพร้อมทุกอย่าง ที่นอนก็มีใหญ่โต มีสัตว์เลี้ยง มีงานทำ มีเพื่อนร่วมงานที่ใจดี... เกือบลืมไป ผมมีที่พักตากอากาศด้วย อยู่ที่ลพบุรี รู้สึกคนแถวนั้นจะเรียกว่า “สถานีลพบุรี” เวลาเดินทางไปผมก็ไม่เสียสตางค์ ผมจะไปกับขบวนรถไฟของเพื่อนผมที่รู้จักกัน...แม้บางครั้งเขาจะแกล้งมาขอตรวจตั๋ว แต่พอผมยิ้มให้ เขาก็ใจอ่อน “ยิ้มหวานจริงๆ” คำพูดนี้ผมได้ยินจนชินหู


Create Date : 19 มกราคม 2551
Last Update : 19 มกราคม 2551 2:11:11 น. 8 comments
Counter : 1057 Pageviews.

 
แหะๆๆ อ่านแล้วงงจังเลยค่ะ แต่จะพยายามอ่านให้เข้าใจค่ะ *-*


โดย: น้ำเต้าหู้ถุง IP: 125.24.145.230 วันที่: 19 มกราคม 2551 เวลา:3:23:22 น.  

 
กำลังพยายามเขียนให้เข้าใจอยู่จ้า.... ความจริงแค่อยากให้รู้ว่ามีคนคนหนึ่งอาศัยอยู่ที่สถานีรถไฟ เท่านั้นเอง
ขอบคุณมากสำหรับคอมเม้นท์ ว่างๆแวะมาเยี่ยมใหม่นะ..


โดย: ศิลป์ใจ (ศิลป์ใจ ) วันที่: 19 มกราคม 2551 เวลา:3:31:26 น.  

 



นู่แป้งเองค่ะ

อิอิ..อยากลองชิม "กรอบนอก นุ่มใน""



แต่บางช่วง นู่อ่านละ น้ำตาจะไหล
ทำมาย มะรุ้

อิอิ


โดย: แป้ง_ตรางู IP: 203.156.24.138 วันที่: 19 มกราคม 2551 เวลา:22:33:14 น.  

 
เรื่องนี้ เต็ม 10 ให้ 7 นะ
เนื่องจากเรื่องไม่มีไคล์แม็ก เป็นการเล่าเรื่อยๆ
เหมือนเป็นการบรรยายมากกว่า
ถ้าทำให้มีเรื่องราวเข้ามาก็จะดีกว่านี้
หรือถ้าจะบรรยายแบบนี้ น่าจะไม่ต้องบอกคนอ่านแต่ต้น
ว่าพระเอกนอนที่ชานชลาทุกวัน คือเก็บเป็นไคลแม็ก
แล้วตอนแรกก็บรรยายย่อหน้าสุดท้ายขึ้นก่อน
ชีวิตผมมีพร้อมทุกอย่าง............บรรยายไป แล้วมา
สรุปตอนจบว่าผมนอนอยู่ชานชลาทุกวัน


โดย: พูไทเกอร์ IP: 124.157.200.46 วันที่: 20 มกราคม 2551 เวลา:11:53:24 น.  

 
ขาประจำมาอีกแล้ว...
ขอบคุณมากจ้า...พี่พู
ทุกอย่างจะรับไว้พิจารณา (ปรับปรุง การเขียน)


โดย: ศิลป์ใจ (ศิลป์ใจ ) วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:1:29:52 น.  

 
แหมน่าอิจฉาจริง "มีใหญ่โต มีสัตว์เลี้ยง มีงานทำ มีเพื่อนร่วมงานที่ใจดี."
เจ็กสู้ๆๆ เจ็กสู้ๆๆ เจ็กสู้ๆๆ (วันนี้หมวยอาสาเป็นหน้าม้ามาเอง หุหุหุ)


โดย: หมวย IP: 125.25.9.39 วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:56:10 น.  

 
การพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ก็ยังใช้ได้กับบทความนี้
อย่างน้อย เค้าก็ภูมิใจที่ได้ทำงานเพื่อหาเลี้ยงตนเอง และยังมีเพื่อนที่จงรักภักดี คิดว่าทุกคนก็อาจจะอยากมีอย่างนี้บ้างเนาะ


โดย: จี IP: 114.128.27.117 วันที่: 12 กันยายน 2552 เวลา:23:40:29 น.  

 
อ่านเพลินค่ะ อ่านจนจบแล้วกัน
แต่เห็นด้วยกับคุณพูนะ ปรับให้มีแก๊กหักมุมอีกนิด
แหล่มเลยหละผู้ใหญ่จ้อย


แอมอร


โดย: peeamp วันที่: 25 ตุลาคม 2552 เวลา:21:18:25 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ศิลป์ใจ
Location :
สระบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




******###@###*****
...เรื่องราวมากมายผ่านเข้ามาในชีวิต แต่เลือกเรื่องเล็กๆที่เป็นช่องว่างของสังคม มา ตัด เสริม เติม แต่ง ซึ่งอาจเหลือความจริงเพียงน้อยนิด และเรื่องราวเหล่านี้อาจทำให้ใครหลายคนก้าวเข้าไปถึง ช่องว่างที่ใครหลายคนอาจไม่เคยเห็น...
*******************
*****###@###******
...งานเขียนใน Weblog นี้เป็นของ ศิลป์ใจ ศิริกาลกุล ได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗...
*******************
Friends' blogs
[Add ศิลป์ใจ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.