bloggang.com mainmenu search

 

เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยอ่านบทความเกี่ยวกับวิธีถนอมแบตเตอรี่ ยืดอายุการใช้งานมาจากหลายที่หลายแหล่ง ซึ่งข้อมูลแต่ละที่ก็เหมือนกันบ้างต่างกันบ้าง จนบางครั้งก็เริ่มสับสนว่าอันไหนถูกอันไหนผิดกันแน่ เราจึงได้พยายามค้นหาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือด้านแบตเตอรี่ เรียบเรียงและสรุปข้อมูลที่ถูกต้องพร้อมผลการทดลองที่ทำในแลป เพื่อหาคำตอบให้เพื่อนๆอ่านกันว่าอะไรคือ วิธีชาร์จแบต ใช้งานมือถือ ที่ถูกต้องกันแน่

ก่อนที่จะไปถึงเนื้อหา ที่บางคนอาจจะคิดว่า "ยาวไปไม่อ่าน" เราเลยขอสรุปแบบสั้นๆเอาไว้ให้ดังนี้

สรุปวิธีการใช้งานแบตเตอรี่ที่เป็น Li-Ion (ลิเธียมไอออน) หรือ Li-Po (ลิเธียมโพลิเมอร์)
เพื่อการถนอมแบตให้อยู่ไปนานๆ

ชาร์จให้บ่อย ไม่เต็มไม่เป็นไร อย่าใช้แบตหมดจนเครื่องดับ แต่ควรต้องใช้แบตให้หมดเกลี้ยง 1-3 เดือนครั้ง อย่าปล่อยให้เครื่องร้อน อยู่ในที่เย็นยิ่งดี เลี่ยงการใช้งานระหว่างชาร์จ สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไปเรื่อยๆได้แม้ไฟเต็ม อย่าอัดประจุเพิ่มด้วยที่ชาร์จไฟแรงๆ ไม่ต้องเสียเวลาชาร์จครั้งแรกนานๆก็ได้

ความเข้าใจผิดต่อแบตลิเธียม โดยนึกว่ามันจะเหมือนกับแบต Nickel (นิกเกิ้ลแคดเมียม)
ควรใช้ให้หมดก่อนแล้วค่อยชาร์จ ชาร์จตอนแบตยังไม่หมด จะสร้างความจำให้แบต ว่ามีความจุน้อยลง ชาร์จแล้วควรชาร์จให้เต็ม ชาร์จครั้งแรกต้องนาน 14-16 ชม.

ต้องเกริ่นสักเล็กน้อยว่าแบตเตอรี่ของอุปกรณ์พกพาในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นบนสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตหรือคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก จะเป็นแบตเตอรี่ประเภท Li-Ion หรือไม่ก็ Li-Po ซึ่งเจ้าแบตเตอรี่ 2 ประเภทนี้ต่างกันเล็กน้อยที่โครงสร้างของมัน แต่ในเชิงการใช้งานจริงๆ แล้วก็ไม่เห็นความ แตกต่างเท่าไรนัก

แบตเตอรี่เสื่อมเพราะอะไร ?

โดยปกติแล้วแบตเตอรี่จะเสื่อมสภาพตามเวลาอยู่แล้วแม้ว่าจะไม่ได้ใช้งานก็ตาม ดังนั้นเราควรซื้อแบตที่เพิ่งผลิตออกมาใหม่ๆ ไม่เอาที่เก่าเก็บมา แต่ในเชิงของการใช้งานแล้ว แบตเตอรี่จะมีสิ่งที่เรียกว่า "Charge cycle" คือ เลขประมาณรอบการใช้งานของแบตเตอรี่ก่อนที่แบตเตอรี่จะเริ่ม เสื่อมสภาพหรือหมดอายุ ทีนี้คือ "รอบ" ที่ว่านี่มันเป็นยังไง เสียบสายชาร์จแบตขึ้นไป 1% แล้วถอดนี่นับเป็นรอบรึยัง?

เชื่อมั้ยครับว่า "การนับรอบ" ของแบตเตอรี่นี่เป็นปัญหาระดับโลกเลยทีเดียว (ว่าไปนั่น) เพราะน้อยที่นักจะมีวิธีการนับ รอบที่คนทั่วไปสามารถอ่านเข้าใจได้และมีเกณฑ์ชัดเจน จนกระทั่งมีบริษัทชื่อคุ้นหูพวกเรานามว่า "แอปเปิล" ได้ อธิบายว่า 1 Charge cycle คือการใช้แบตเตอรี่ครบ 100% แต่ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นการใช้งานต่อเนื่องจนแบตเตอรี่หมดนะครับ ตัวอย่างเช่น ใช้บแบตเตอรี่จากเต็ม 100% ลดไปเหลือ 50% นำไปชาร์จเพิ่มจนเต็ม แล้วใช้ อีก 50% แบบนี้ถึงนับเป็น 1 Charge cycle ครับ

ผลการทดสอบแบตเตอรี่หลายๆก้อนที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อมีการใช้งานไปเรื่อยๆความจุจะค่อยๆน้อยลงไปซึ่งปกติจะลดลงเหลือราว 75% ของความจุจริงเมื่อผ่านไปประมาณ 1 ปี

แน่นอนว่าแบตเตอรี่ไม่ได้เสื่อมเพียงเพราะการใช้งานจนครบ Charge cycle อย่างเดียว ยังมีปัจจัยอีกหลายๆ อย่างที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควรหรือเรียกว่ามันไป "ลด Charge cycle" ของแบตเตอรี่ครับ ข้อมูลที่เราจะนำเสนอต่อไปนี้เป็นผลการทดลองที่ได้มาจากการทดสอบกับแบตเตอรี่ Li-Ion ครับ

จริงหรือไม่ที่ว่า "ไม่ควรปล่อยแบตหมดแล้วถึงชาร์จ" ?

Depth of discharge คือ ปริมาณแบตเตอรี่ที่ถูกใช้ไป เช่น Depth of discharge 100% เท่ากับแบตเตอรี่ถูกใช้งานเหลือ 0%, Depth of charge 10% เท่ากับ แบตเตอรี่เหลือ 90%)
Discharge cycles before the battery capacity drops to 70% คือ จำนวนรอบการใช้งาน/ชาร์จแบตเตอรี่ ก่อนที่ ความจุของแบตเตอรี่จะลดลงไปเหลือ 70% ของความจุเดิม

ตารางข้างบนนี้เป็นผลการทดลองว่าการชาร์จแบตเตอรี่ที่ระดับไฟต่างๆ ส่งผลต่อความจุของแบตเตอรี่ในระยะยาวอย่างไรการทดลองทำโดยการชาร์จแบตเตอรี่ Li-Ion ขนาดความจุเท่ากันแต่เริ่มชาร์จที่ระดับ Depth of discharge ต่างกันและบันทึกข้อมูลว่าสามารถชาร์จไปได้กี่รอบก่อนที่ความจุเต็มๆของแบตเตอรี่จะตกลงไปเหลือ 70% จากความจุเริ่มต้น

ผลการทดลองพบว่าถ้าเราใช้งานแบตเตอรี่จนเหลือ 0% แล้วจึงค่อยชาร์จ และทำเช่นนี้ไป 300 - 500 รอบก็จะพบว่า แบตเตอรี่มีความจุลดลงไปเป็น 70% จากของเดิมซะแล้ว ในขณะที่ถ้าเราชาร์จแบตเตอรี่ตอนที่เหลือมากกว่า 0% จะมีจำนวนรอบมากกว่า 4-8 เท่าก่อนที่แบตเตอรี่จะมีความจุลดลงเหลือ 70% เลยทีเดียว

ดังนั้นข้อมูลที่ว่า การชาร์จแบตเตอรี่เมื่อประจุ(เปอร์เซ็นต์)เหลือน้อยๆ นั้นทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว เป็นความจริงครับ

จริงหรือไม่ที่ว่า "ความร้อนทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว" ?

การทดลองนี้ทดสอบว่า "ความร้อน" และ "ประจุที่คงเหลือ" มีผลต่อการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่หรือไม่ โดยการปล่อยแบตเตอรี่ที่ไม่ถูกใช้งานให้อยู่ในอุณหภูมิที่แตกต่างกันเป็นเวลา 1 ปี โดยมีแบตเตอรี่ก้อนหนึ่ง ชาร์จไว้ที่ 40% มีแรงดันไฟฟ้า (Volt) ต่ำ กับแบตเตอรี่อีกก้อนหนึ่ง ที่ชาร์จไว้ที่ 100% หรือก็คือแบตเตอรี่ที่ชาร์จเต็ม มีแรงดันไฟฟ้า (Volt) ที่สูงกว่า

ผลการทดลองพบว่าที่อุณหภูมิยิ่งสูง ยิ่งร้อน แบตเตอรี่ยิ่งเสื่อมสภาพมากครับ ที่ 60 องศาเซลเซียส แบตเตอรี่ 40% ที่ ถูกทิ้งไว้มีความจุเมื่อชาร์จเต็มลดลงไป 75% จากเดิม ขณะที่แบตเตอรี่ 100% มีความจุเมื่อชาร์จเต็มลดไปเป็น 60% ภายในเวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้น! จะเห็นว่าแบตเตอรี่ที่มีแรงดันไฟฟ้าสูงกว่าก็จะเสื่อมเร็วกว่าด้วยครับ

ดังนั้นข้อมูลที่ว่า ความร้อนทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว เป็นความจริงครับ รวมถึงแบตเตอรี่ที่ถูกเก็บไว้โดยมีแรงดันไฟฟ้าสูง (เปอร์เซนต์เยอะๆ)ก็จะเสื่อมเร็วเช่นกัน

โอ๊ย! แบตเหลือน้อยก็ไม่ดี เครื่องร้อนก็ทำแบตเสื่อม แล้วเราจะทำยังไงกับมันดีล่ะ ?

ไม่ต้องห่วงครับ เราไม่ได้มาเล่าสู่กันฟังแค่สาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อม เราเตรียมคำแนะนำสำหรับการใช้งานและ การดูแลรักษาแบตเตอรี่เหมาะสมมาให้เพื่อนๆ อ่านกันด้วย จากคำแนะนำที่ได้สรุปไว้ข้างบนเราจะมาลงรายละเอียด กันว่าควรหรือไม่ควรทำเพราะอะไร ลองไปดูกันเลยครับ

how to charge smartphone properlyชาร์จไฟอย่างไรให้ถูกต้อง เดี๋ยวมาดูกัน

1. ชาร์จแบตบ่อยๆ ไม่เต็มก็ไม่เป็นไร

แบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนนั้นไม่จำที่จะต้องปล่อยชาร์จจนเต็ม ต่างกับแบตเตอรี่ยุคเก่าที่เป็นประเภทนิกเกิล- แคดเมียมที่การชาร์จไม่เต็มจะส่งผลต่อความจุของแบตเตอรี่ ดังนั้นการชาร์จแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนเพิ่มเล็กน้อย แล้วเลิกชาร์จไม่ส่งผลเสียต่อแบตเตอรี่แต่อย่างใดครับ

2. อย่าปล่อยแบตเหลือน้อย

แม้ว่าปัจจุบันสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์ที่ใช้แบตเตอรี่ส่วนใหญ่จะมีส่วนของซอฟท์แวร์ที่ปิดเครื่องเองเมื่อแบตเตอรี่ เหลือต่ำมากๆ แต่เราก็ควรจะใส่ใจปริมาณแบตเตอรี่ที่คงเหลือเช่นกัน เพราะจากการทดลองข้างต้นจะเห็นว่าถ้าเราชาร์จแบตเตอรี่เมื่อแบตเตอรี่เหลือน้อยๆ จะทำให้ตัวแบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็ว เพราะฉะนั้นการชาร์จบ่อยๆ จะช่วยลดปัญหานี้ได้ครับ

3. ใฃ้จนแบตหมดไปเลยบ้าง 1-3 เดือนครั้ง

เอ๊ะยังไง? ไหนข้อที่แล้วเพิ่งบอกว่าไม่ควรปล่อยให้แบตเหลือน้อยแล้วคราวนี้มาบอกให้ปล่อยแบตให้เหลือน้อยๆ มันมี สาเหตุครับ เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะเคยเจอเหตุการณ์ที่ดูเวลาที่ใช้งานได้ของแบตเตอรี่ว่าใช้ได้อีกกี่ชั่วโมง กี่นาที แว้บแรกเห็นชั่วโมงกว่าสบายใจ ไม่กี่นาทีบอกมาบอกเหลือไม่ถึงชั่วโมงซะอย่างงั้น การที่ระบบคำนวณเวลาใช้งาน แบตเตอรี่คลาดเคลื่อนเกิดจากการที่เราชาร์จเป็นช่วงสั้นๆ บ่อยเกินไปนั่นเอง วิธีป้องกันปัญหานี้คือปล่อยให้แบตเตอรี่เหลือน้อยๆ แล้วชาร์จให้เต็มสักครั้งนึงทุกๆ 1-3 เดือนครับ

4. อย่าปล่อยแบตร้อน จะลดทอนประสิทธิภาพ

การที่ให้แบตเตอรี่โดนความร้อนหรือทิ้งตัวเครื่องสมาร์ทโฟนไว้ในที่ร้อนนั้นไม่เป็นผลดีต่อแบตเตอรี่ครับ จากการทดลองที่ได้อ้างอิงไว้ข้างบน การที่แบตเตอรี่เจอความร้อนมากๆจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว ความจุของแบตเตอรี่ก็จะลดลงครับ ดังนั้นพยายามหลีกเลี่ยงการวางสมาร์ทโฟนไว้ในที่ร้อน กลางแดด หรือหลีกเลี่ยงการใช้งานหนักจนเกิด ความร้อนสูงครับ

สำหรับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กนั้น การถอดแบตเตอรี่ออกแล้วใช้การเสียบไฟเข้าโดยตรงก็เป็นวิธีการหนึ่ง แต่ก็มักจะพบปัญหาตามมาในกรณีที่ไฟฟ้าดับอาจจะส่งผลให้ข้อมูลหายหรือทำให้ฮาร์ดแวร์ขัดข้องได้ ทำให้การหลีกเลี่ยงความร้อนจากตัวเครื่องเป็นไปได้ยาก แต่ก็มีวิธีหนึ่งที่พอจะช่วยได้คือการหาอะไรมารองใต้ตัวเครื่องเพื่อให้ความร้อนระบายออกได้ดีขึ้นครับ

5. เลี่ยงการใช้งานระหว่างชาร์จ

ถ้าเป็นไปได้ควรจะปิดเครื่องขณะชาร์จครับ เพราะการที่เปิดเครื่องใช้งานอย่างต่อเนื่อง จะทำให้มีการทำงานที่อาศัยไฟจากแบตเตอรี่ เมื่อที่ชาร์จปล่อยไฟเข้ามาแล้วพบว่ามีการโดนแบ่งไฟไปก็จะเพิ่มปริมาณกระแสเพิ่ม การชาร์จไฟโดยที่มีกระแสไฟฟ้าสูงก็ จะส่งผลให้ทั้งที่ชาร์จและอุปกรณ์ที่ชาร์จร้อน ซึ่งทั้งกระแสไฟที่มากกว่าปกติและความร้อนที่เกิดขึ้นล้วนเป็นสาเหตุที่ ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วถ้าหากเราปิดเครื่องหรือหลีกเลี่ยงการใช้งาน ที่ชาร์จก็จะสามารถปล่อยไฟให้ที่ระดับปกติ กระแสไฟฟ้าไม่สูงเกินไปซึ่งทำ ให้เกิดความร้อนน้อยกว่าและปลอดภัยกว่าครับ

6. สามารถเสียบชาร์จค้างไว้ได้ ถ้าที่ชาร์จและแบตมีระบบตัดไฟ

ที่ชาร์จและแบตเตอรี่ของอุปกรณ์พกพาสมัยนี้ส่วนใหญ่จะมีระบบตัดไฟเมื่อชาร์จเต็มอยู่แล้วครับดังนั้นไม่ต้องห่วงว่า ชาร์จทิ้งไว้นานๆแล้วจะมีปัญหา แต่ในทางกลับถ้าหากที่ชาร์จหรือแบตเตอรี่ที่ใช้นั้นไม่ใช่ของแท้หรือไม่ได้มาตรฐานก็เสี่ยงอยู่ครับ เพราะมันอาจจะไม่มีระบบตัดไฟอยู่ภายในก็เป็นได้ เช่น ที่ชาร์จไม่มีระบบตัดไฟและคาดหวังให้แบตเตอรี่ตัดไฟเอง หรือ แบตเตอรี่ที่ไม่มีการตัดไฟหวังพึ่งให้ที่ชาร์จตัดไฟเอง ลองคิดดูสิครับว่าถ้าที่ชาร์จและ แบตเตอรี่คู่นี้มาเจอกันจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นควรจะหลีกเลี่ยงของที่ลอกเลียนแล้วหันมา ใช้แบตเตอรี่ของแท้ ที่ชาร์จ ของแท้จะดีที่สุดครับ ไม่งั้นอาจจะเกิดเหตุการณ์แบบ xphone ที่ระเบิดระหว่างชาร์จก็เป็นได้ Tongue

Charger Doctor indicates no power added after fully charged Charger Doctor (ตัววัดไฟเวลาชาร์จเข้าเครื่อง) แสดงผลให้เห็นว่าแบตเต็มแล้ว ก็แทบจะไม่มีการจ่ายไฟเข้าไปเพิ่มอีก

7. อย่าอัดประจุเพิ่มด้วยที่ชาร์จไฟแรงๆ

บางคนอาจจะเคยสังเกตว่า ถ้าหากเรานำเอา Charger ที่มีความต่างศักย์สูง (V สูงๆ) มาชาร์จไฟเข้าเครื่องเรา จะทำให้ใช้เครื่องใช้งานได้ยาวนานกว่าเดิม นั่นก็เป็นเพราะว่าเจ้าที่ชาร์จไฟเหล่านั้นสามารถอัดไฟได้แรงขึ้นและชาร์จไฟเข้าไปได้มากกว่า 100% ของที่เก็บนั่นเอง ถ้าเปรียบเทียบก็คงเหมือนเราสามารถยัดของลงถุงได้ถ้าเราออกแรงยัดมันเพิ่มอีกหน่อย แต่ก็ต้องอย่าลืมว่าถ้าเรายัดบ่อยๆจะถุงก็อาจจะเสียหายหรือเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ เช่นเดียวกับแบตเตอรี่ของเรานั่นเอง ฉะนั้นทางทีดีเลือกใช้ที่ชาร์จที่มากับเครื่องของเราเองเป็นดีที่สุดครับ

ไฟที่ชาร์จด้วยความต่างศักย์สูงๆจะทำให้ได้ประจุสูงกว่าความจุจริง แต่ลดรอบการใช้งานอย่างรวดเร็วเช่นกัน

8. ชาร์จครั้งแรก ไม่จำเป็นต้องนาน

ถ้าเป็นสมัยก่อนพวกเราเข้าใจกันว่าเวลาซื้อเครื่องอะไรสักอย่างมาแล้วมันทำงานด้วยแบตเตอรี่จะต้องเสียบชาร์จทิ้ง ไว้นานๆ ก่อนถึงจะดี ใช่ครับนั่นคือวิธีใช้งานที่ถูกต้อง แต่เป็นสำหรับแบตเตอรี่รุ่นเก่าประเภทนิกเกิลแคดเมียมครับ เนื่องจากแบตเตอรี่ลักษณะนี้มีจะพฤติกรรมที่เรียกว่า Memory Effect คือเมื่อถูกชาร์จไฟไประดับหนึ่งแล้วเลิกชาร์จตัวแบตเตอรี่จะเข้าใจว่า ณ จุดที่เลิกชาร์จคือจุดสูงสุดของความจุของมันและจะทำให้แบตเตอรี่ปรับความจุมาอยู่ที่ ระดับนั้นไม่สามารถทำให้ความจุสูงกว่านั้นได้ ทำให้การชาร์จแต่ละครั้งควรจะชาร์จให้เต็มๆ ไป แต่สำหรับแบตเตอรี่ ประเภทลิเธียมนั้นไม่มีพฤติกรรมลักษณะนี้ครับ ดังนั้นเราจะชาร์จแล้วเลิกชาร์จเมื่อไรก็ได้ครับ

วิธีการเก็บรักษาแบตเตอรี่ที่ไม่ได้ใช้งาน

แบตเตอรี่ที่ถูกชาร์จไว้เต็มนั้นจะมีแรงดันไฟฟ้าสูง ซึ่งเป็นสภาพที่ แบตเตอรี่มี "ความเครียด" (Stress) การที่แบตเตอรี่มี ความเครียดสูงนั้นจะส่งผลต่อการเสื่อมของแบตเตอรี่รวดเร็ว กว่าสภาพที่มีความเครียดต่ำ (ดังที่เห็นว่าเวลาซื้อเครื่องใหม่ ไฟในแบตจะชาร์จมาให้ไม่เต็ม เพื่อการถนอมแบตสูงสุดนั่นเอง) จากผลการทดลองระบุว่า ปริมาณแบตเตอรี่ที่ถือว่ามีความเครียดต่ำคือประมาณ 40% ของความจุ ดังนั้นถ้าจะปิดเครื่องทิ้งไว้ ก็ให้แบตเตอรี่ เหลือสักประมาณ 40% จะถือว่าดีต่อแบตเตอรี่ครับ

เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับคำแนะนำเหล่านี้ มีเพื่อนๆ คนไหนที่ทำอยู่แล้วบ้างหรือเปล่า หรือถ้าเพื่อนๆ คนไหนที่ไม่ เคยทราบมาก่อนก็น่าจะได้แนวทางนำไปใช้ได้ ถ้าหากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมหรือบทความมีข้อผิดพลาดประการใด้ สามารถแสดงความคิดเห็นไว้ได้เลยครับ แล้วจะมาช่วยแก้ไขข้อข้องใจให้ครับ


สำหรับที่มาของข้อมูลการทดลองต่างๆ รวมถึงคำแนะนำการใช้งานแบตเตอรี่ที่เราได้นำเสนอนั้น เราได้อ้างอิงจาก ทางเว็บไซต์ Battery University ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ตั้งขึ้นโดยบริษัท Cadex Electonics

บริษัทนี้เป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกในด้านการทดสอบประสิทธิภาพของแบตเตอรี่รวมทั้งยังผลิต อุปกรณ์ที่ใช้งานเกี่ยวกับแบตเตอรี่ไม่ว่าจะเป็น เครื่อง วิเคราะห์สภาพแบตเตอรี่, ที่ชาร์จแบตเตอรี่ หรือ อุปกรณ์เฝ้าสังเกตแบตเตอรี่ โดยเป้าหมายของการตั้งเว็บไซต์ขึ้นมานั้นก็เพื่อที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับแบตเตอรี่ แก่ผู้สนใจได้ศึกษาได้ฟรีครับ โดยเนื้อหาจะอ้างอิงจากหนังสื่อ "Batteries in a Portable World – A Handbook on Rechargeable Batteries for Non-Engineers" ที่เขียนโดยคุณ Isidor Buchmann ผู้ก่อตั้งบริษัทครับ

Create Date :18 มีนาคม 2558 Last Update :18 มีนาคม 2558 17:16:14 น. Counter : 1338 Pageviews. Comments :0