Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
24 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 

แม่สื่อจอมจุ้น วุ่นรักอลวน บทที่๑


24พ.ค. 52



สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านทุกท่าน
ปาย่าเข้ามาเป็นน้องใหม่ในที่นี้ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ
และก็ขอฝากผลงาน เรื่อง แม่สื่อจอมจุ้น วุ่นรักอลวน ไว้ ณ.โอกาสนี้ด้วยค่ะ


บทที่๑ ตอน ถูกใจเลย..ใช่เลย

ยายปิ่น หญิงชราผิวขาวร่างท้วมวัยเจ็ดสิบสองปี ลุกจากเตียงบิดตัวไปมาหลังจากที่นอนขยับไม่ได้อยู่บนเตียงมาหลายวัน วันนี้รู้สึกถึงร่างกายกระฉับกระเฉงคล่องตัว จึงอยากที่จะออกไปจากห้องสี่เหลี่ยมที่น่าอึดนี้เสียที และเมื่อกล้ามเนื้อคลายความเมื่อยล้าแล้ว หญิงชราก็เดินตัวปลิวออกจากห้องสี่เหลี่ยมที่น่าเบื่อมานั่งรับลมอยู่ริมระเบียง ตรงทางเดินเชื่อมผ่านไปยังตึกต่างๆภายในโรงพยาบาล

ยายปิ่นนั่งมองผู้คนที่เดินผ่านไปมาอย่างปลงๆ พร้อมมีใบหน้าที่เบื่อหน่ายกับสภาพแวดล้อมรอบตัวโดยเฉพาะกลิ่นของน้ำยาต่างๆที่โชยมาปะทะจมูกอยู่เป็นระยะ ยายปิ่นนั่งเหม่อมองไปเรื่อย แล้วนางก็ต้องถอนหายใจอีกครั้งเมื่อเห็นรถเก๋งคันหรูวิ่งเข้ามาจอดที่หน้าประตูสำหรับรับส่งผู้ป่วยฉุกเฉิน

หญิงชราวัยเจ็ดสิบสองมองตามชายหนุ่มผิวขาวรูปร่างสูงใหญ่ ที่กุลีกุจอลงจากรถมาเปิดประตูแล้วรีบเข้ามาช่วยบุรุษพยาบาลนำคนเจ็บขึ้นรถเข็นซึ่งมาจอดเทียบรออยู่ก่อนแล้ว

สายตาคนชรามองเลยไปยังคนป่วยบนรถเข็นเพราะเสียงร้องของเธอที่โอดครวญดังมาอย่างต่อเนื่องทำให้ชวนอยากรู้อยากเห็น แต่ด้วยสายตาที่ฝ้าฟางนางจึงเห็นแค่เพียงลางๆแต่รู้สึกคุ้นเคยกับน้ำเสียงที่ได้ยิน

“แม่คนนั้นเขาเป็นอะไรรึพ่อหนุ่ม ร้องครวญครางเชียว”

นางเอ่ยถามชายคนหนึ่งที่เพิ่งจะเดินผ่านหน้าคนป่วยรายใหม่มายืนตรงที่นางนั่งอยู่ แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา ทั้งยังไม่คิดที่จะหันมามองหน้าคนถามเสียด้วยซ้ำ เพราะชายคนนั้นเหมือนจะมองหาอะไรบางอย่างแล้วเขาก็เดินผ่านหน้ายายปิ่นไป หญิงชราทำหน้ามุ่ยเมื่อเขาทำเหมือนนางไม่มีตัว และนั่นมันทำให้หญิงชรารู้สึกไม่ชอบใจนัก

“เชอะ! ทำเป็นหยิ่ง อะไรกันนักกันหนานะ คนพวกนี้ ทำยังกับฉันจะสนใจ...”

หญิงชราเบ้ปากใส่ชายคนดังกล่าวก่อนลุกจากที่นั่งแล้วเดินไปยังช่องทำบัตรผู้ป่วย

ยายปิ่นซึ่งยังคงให้ความสนใจหญิงสาวที่อยู่บนรถเข็ญ ด้วยความอยากรู้ นางจึงเดินไปหา พอเข้ามาใกล้ๆ สายตาของคนชราก็ต้องเบิกกว้าง เมื่อคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นคือแก้วเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน แล้วคิ้วบางๆบนใบหน้าย่นก็ขมวดมุ่น เมื่อหันไปมองผู้ชายคนที่พาแก้วมาส่ง

เขาเป็นคนแปลกหน้าสำหรับนาง เพราะไม่เคยว่าชายผู้นี้จะเคยไปมาหาสู่กับแก้วมาก่อน ลักษณะการแต่งตัวและท่าทางที่สุภาพของเขาทำให้ยายปิ่นวางใจ อีกทั้งเห็นเขายังกุลีกุจอช่วยจัดการธุระให้แก้วอย่างดี มันยิ่งทำให้ยายปิ่นสนใจและแปลกใจชายหนุ่มคนนี้มากขึ้น


“ใครกันนะ” หญิงชราบ่นพึมพำเบาๆพร้อมเดินเข้าไปหาแก้ว “เป็นอะไรไปหึ! ไอ้แก้ว แหกปากร้องอยู่ได้”

เสียงที่ยายปิ่นถามดูเหมือนคนที่นั่งท้องโตอยู่บนรถเข็นจะไม่สนใจฟังเพราะเธอมัวแต่นั่งกุมท้องที่กลมโตบิดตัวไปมาพร้อมๆกับร้องครางอยู่ตลอดเวลา

“อะไรวะ ถามก็ไม่พูดนังคนนี้ เอ้อ!”

ยายปิ่นมองค้อนให้แก้วขณะพาร่างท้วมๆเดินเข้าไปหานางพยาบาลสาวซึ่งกำลังซักถามลงบันทึกประวัติคนไข้อยู่กับชายหนุ่มที่พาแก้วมาส่งโรงพยาบาล

“คนไข้คนนี้เป็นอะไรคะคุณพยาบาล”

ยายปิ่นถามพลางชี้นิ้วไปที่แก้ว แต่ทว่านางพยาบาลสาวไม่ได้สนใจหันมาตอบยายปิ่น เธอยังคงจ้องอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมกับจิ้มนิ้วลงแป้นตรงหน้าและขยับปากซักถามเจ้าของไข้

“ขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับญาติด้วยค่ะ” เธอยังคงทำตามหน้าที่ต่อไป

ยายปิ่นพ่นลมหายใจ และไม่อยากรอคำตอบ นางจึงหันมาถามคนที่พาแก้วมาส่งแทนที่จะรอคอยคำตอบจากนางพยาบาลคนเดิม

“ไอ้แก้วเป็นอะไรไปรึพ่อหนุ่ม จะคลอดลูกหรือไง แต่เอ... ท้องห้าหกเดือนเองมันยังไม่ถึงเวลานี่นา”

ชายแปลกหน้าร่างสูงใหญ่หันมามองยายปิ่นพร้อมส่งยิ้มมาให้

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับคุณยาย ต้องรอให้คุณหมอตรวจก่อนน่ะครับ” เขาตอบอย่างสุภาพ

“ขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อญาติคนไข้ด้วยค่ะ”

เสียงของพยาบาลสาวถามซ้ำอีกครั้งหนึ่ง เมื่อยังไม่ได้คำตอบเพราะต้องลงบันทึก แต่แล้วเธอต้องละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ เงยหน้าขึ้นมองผู้ที่กำลังให้ข้อมูล นางพยาบาลลอบถอนหายใจ ที่เห็นชายหนุ่มตรงหน้ากำลังสนใจสิ่งอื่นมากกว่าที่จะให้ข้อมูลคนไข้กับเธอ

“ขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับญาติคนไข้ด้วยนะคะ”

สิ้นเสียงของนางพยาบาล ยายปิ่นก็เห็นชายร่างสูงรีบล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบนามบัตรยื่นให้กับเธอ

“เบอร์โทรศัพท์ตามนามบัตรนี้เลยนะครับ มีอะไรก็ติดต่อมาได้เลยครับ ส่วนเรื่องอื่นๆ ต้องรอถามกับคนไข้นะครับ เพราะผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะติดต่อกับญาติของเธอได้ยังไง”

“อีฉันมีเบอร์โทรศัพท์ของสามีเขาค่ะคุณพยาบาล”

ยายปิ่นบอกเบอร์โทรศัพท์ของสามีแก้วให้กับนางพยาบาล ในขณะที่เธอกำลังรับนามบัตรจากชายหนุ่ม

"โทรไปที่เบอร์นี้เลยค่ะรับรองเจอแน่ๆ”

ยายปิ่นบอกเบอร์โทรศัพท์ของสามีแก้วกับนางพยาบาล แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจอีกเช่นเคย เพราะนางพยาบาลมัวแต่อ่านนามบัตรที่เพิ่งจะรับมา

“คุณ อินทัช โชคธนานนท์ คุณเป็นสถาปนิกของบริษัท โชคธนานนท์ หรือคะ”

“ใช่ครับ...ผมชื่อ อินทัช ผมขอรับเป็นเจ้าของคนไข้นะครับ ส่วนเรื่องติดต่อญาติๆของเธอ ผมรบกวนคุณพยาบาลช่วยติดตามเรื่องนี้ทีนะครับ”

“อ๋อค่ะๆ แล้วมาด้วยกันได้ยังไงล่ะคะเนี่ย ถ้าไม่รู้จักน่ะค่ะ” พยาบาลถามแต่ก็ยังไม่ทันได้คำตอบ เพราะมีคนไข้มาเข้าคิวรอทำบัตรอยู่อีกหลายราย

ยายปิ่นซึ่งยืนฟังอยู่ก็นึกรำคาญใจ เพราะนางบอกเบอร์โทรสามีของแก้วไปปาวๆ แต่นางพยาบาลกลับไม่สนใจ

“เอ๊ะ! คุณพยาบาลนี่ยังไงนะ ก็เบอร์ที่ฉันบอกอยู่นี่ไง เบอร์โทรศัพท์ของสามีเขาน่ะ คุณเอาแต่ถามๆๆ ทำไมไม่สนใจฟังกันบ้างเลยล่ะคะ”

หญิงชราอดไม่ได้ที่จะกระแทกเสียงดังใส่นางพยาบาลที่ยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้กับคำพูดของยายปิ่น

“ใจเย็นๆนะครับคุณยาย” อินทัชหันมาพูดกับยายปิ่นเมื่อเห็นนางแสดงความไม่พอใจ

“พ่อหนุ่มก็ดูคุณพยาบาลสิ เธอฟังยายซะที่ไหนล่ะ เห็นเราแก่แล้วนะสิ เลยไม่อยากจะคุยด้วยเชอะ!”

ยายปิ่นพูดพร้อมค้อนขวับให้พยาบาลสาว ที่กำลังจ้องหน้าอินทัชนิ่ง

“คุณอินทัช...คุณอินทัชคะ คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่า”นางพยาบาลสาวถามพร้อมสีหน้างุนงง ที่เห็นชายหนุ่มยืนพูดอยู่คนเดียว

อินทัชไม่เข้าใจในคำถามของนางพยาบาล แต่ขณะที่จะตอบเธอ เขาก็หันมาเห็นหญิงชราีที่่ยืนอยู่ข้างๆ และมีอารมณ์ฉุนเฉียวกำลังขยับตัวจะเข้ามาหานางพยาบาล ชายหนุ่มจึงรีบรั้งแขนนางไว้

ไม่มีอะไรครับ...ไม่มี” เขาบอกปัดไปเพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องราว

“อ่อค่ะ...” นางพยาบาลพยักหน้ารับรู้สีหน้างุนงง “ญาติคนไข้ไปรออยู่ที่ห้องตรวจทางด้านโน้นเลยนะคะ”

“ครับ”

อินทัชตอบและรีบจูงพาหญิงชราให้ออกห่างจากตรงนั้นเพราะไม่อยากให้นางต้องโมโหจนมีเรื่องมีราว


“คุณยายหนาวหรือเปล่าครับ ตัวคุณยายเย็นมากๆเลยนะครับ”

อินทัชถามขณะจูงยายปิ่นเดินไปรอใกล้ๆหน้าห้องตรวจคนไข้ เขาเลือกพาหญิงชรามานั่งที่โต๊ะชุดเล็กๆซึ่งทางโรงพยาบาลจัดเตรียมไว้

“ไม่หรอกพ่อหนุ่ม...จะมานงมาหนาวอะไรกับอากาศแบบนี้ เข้ามาบ่อยๆยายก็ชินกับแอร์เย็นๆของโรงพยาบาลซะแล้วล่ะ” ยายปิ่นตอบและยอมเดินตามอินทัชโดยดี

“ว่าแต่ว่าพ่อหนุ่มรีบดึงยายออกมาทำไม ยายยังคุยกับพยาบาลคนนั้นไม่รู้เรื่องเลยนะ”

“ใจเย็นๆนะครับคุณยาย ธุระของคนไข้เดี๋ยวผมจัดการเอง ส่วนคนไข้ให้คุณหมอกับคุณพยาบาลดูแลไปนะครับ”

อินทัชรั้งแขนยายปิ่นให้นั่งลงที่เก้าอี้

“เฮ้อ! แก่แล้วเนี่ยนี่ไม่มีอะไรดีเล้ย... พูดคุยกับใครก็ไม่มีใครสนใจ” ยายปิ่นถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ก็มีพ่อหนุ่มคนแรกนี่แหละที่ยอมคุยกับคนแก่ๆอย่างยาย”

“โธ่ อย่าคิดมากเลยสิครับคุณยาย” อินทัชปลอบใจเมื่อเห็นใบหน้าเศร้าของหญิงชรา “คุณยายป่วยเป็นอะไรครับ แล้วญาติๆทำอะไรอยู่ล่ะครับถึงปล่อยให้คุณยายออกมาข้างนอกคนเดียว”

ยายปิ่นถอนหายใจอีกครั้งกับคำถามที่ได้ยิน

“ยายก็มีแค่ยัยพิมพ์คนเดียวเท่านั่นล่ะ ญาติคนอื่นๆก็อยู่กันไกล ตายจากกันไปกันก็เยอะ แต่ยัยพิมพ์ก็ต้องทำงานทุกวันนี้ ยายก็สงสารเขานะ ทำงานหนักเกินตัว ก็เพราะต้องหาเงินมารักษายายที่เจ็บออดๆแอดๆเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ถ้าเขามัวแต่มาคอยเฝ้ายาย เราก็คงจะอดตายกันไปนานแล้วล่ะพ่อหนุ่ม”

ยายปิ่นตัดพ้อกับชีวิตของตัวเอง

“อ้าว...ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมากะทันหัน จะทำยังไงล่ะครับ”

“โอ้ย...ยายอยู่ได้ ชินซะแล้วล่ะพ่อหนุ่ม ที่โรงพยาบาลเนี่ยก็เหมือนบ้านอีกหลังของยายไปแล้ว”

หญิงชราตอบพร้อมหัวเราะ แล้วสีหน้าของนางก็แช่มชื้นขึ้นเมื่อนึกถึงหลานสาว

“เดี๋ยวยัยพิมพ์เขาก็จะมาหายาย ไอ้จุ้นมันบอกว่ายัยพิมพ์จะมาหายายเย็นนี้”

“อ๋อครับ...งานของเธอคงจะเยอะมากนะครับ” อินทัชชวนคุยเมื่อเห็นหญิงชรามีอารมณ์ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่

“เขาไปต่างจังหวัดกับเจ้านาย แต่จะกลับมาก่อนกำหนด เมื่อวานไอ้จุ้นมันบอกยายไว้อย่างนี้ ว่ายัยพิมพ์จะรีบมาหายายน่ะ”

หญิงชราพูดพลางยิ้มภูมิใจในความกตัญญูของหลานสาว

“แม่คนนี้งานเขาเยอะ ต้องทำงานงกๆก็เพราะยาย เฮ้อ! นึกแล้วก็สงสารหลาน”

“คุณยายก็รักษาสุขภาพให้แข็งแรงให้หายเร็วๆนะครับ อย่าคิดมาก คุณพิมพ์เขารักคุณยาย เขาก็ทำเพื่อคุณยายน่ะถูกแล้วครับ ก็เหลือแต่คุณยายที่ดูแลตัวเองให้ดีๆหายเร็วๆเพื่อคุณพิมพ์นะครับ”

หญิงชราเงยหน้ามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆพลางยิ้มตอบ

“ยายก็หวังว่าจะหายเร็วๆ จะได้กลับไปอยู่ที่บ้านเสียที นอนอยู่ที่นี่นานๆมันก็เบื่อน่ะ พูดคุยกับใครก็ไมมีใครสนใจ กลับไปเล่นกับไอ้น้ำหวานที่บ้านดีกว่า ป่านนี้ไอ้จุ้นเอาข้าวเอาปลาให้กินหรือยังก็ไม่รู้”

คุณยายปิ่นนึกถึงน้ำหวาน สุนัขคู่ใจที่นางเก็บมาเลี้ยงและอยู่เป็นเพื่อนกันมาหลายปี

“คุณยายได้กลับบ้านเร็วๆนี้แน่ครับ เพราะตอนนี้คุณยายดูก็แข็งแรงดีนะครับ”

หญิงชราหัวเราะชอบใจกับคำพูดของอินทัชที่เขามาพูดเอาใจนาง

“เอ่อ มัวแต่คุยเรื่องของยาย ลืมไปเลย ยายว่าจะถามอยู่พอดี พ่อหนุ่มไปเจอไอ้แก้วมันได้ยังไง เมื่อตะกี้เห็นบอกกับพยาบาลนี่นาว่าไม่รู้จักกันน่ะ”

“ครับคุณยาย เราไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ผมก็เพิ่งจะรู้ว่าเธอชื่อแก้วก็คุณยายเรียกนี่ล่ะครับ”

“อ่าวเหรอ” ยายปิ่นขมวดคิ้วพลางจ้องหน้าอินทัชรอคำตอบด้วยความสงสัย “แล้วไปเจอกันจนพามาส่งโรงพยาบาลนี้ได้ยังไงกันล่ะหึ”

อินทัชลอบถอนหายใจ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เขาพาแก้วมาส่งโรงพยาบาล

“ผมกำลังจะออกไปพบลูกค้านะครับ แล้วคุณแก้วบังเอิญมาเป็นลมอยู่ที่หน้าบริษัท ผมก็เลยพาเธอมาส่งอย่างที่คุณยายเห็นน่ะครับ”

“อ๋อ...”

ยายปิ่นพยักหน้ารับรู้ นึกชื่นชมในความมีน้ำใจของเขา

“ถือว่าเป็นบุญของไอ้แก้วมันนะ ที่มาเจอคนดีๆอย่างพ่อหนุ่ม ถ้าไม่อย่างนั้น ป่านนี้มันก็คงจะนอนเป็นลมไม่มีใครรู้แน่ๆ พ่อหนุ่มนี่เป็นคนดีจริงๆนะ”

ยายปิ่นชื่นชมด้วยความจริงใจ

อินทัชหัวเราะเมื่อเจอคำชมซึ่งหน้า “ไม่ได้ดีไปกว่าใครหรอกครับ คนอื่นเห็นก็ต้องทำแบบผมเหมือนกัน”

“โอ้ยย...คนสมัยนี้หาดีๆมีน้ำใจยาก” ยายปิ่นโบกไม้โบกมือ “คนเราเดี๋ยวนี้มันแร้งน้ำใจจะตายไป ถ้าไม่มีอะไรมาตอบแทนนะ ไม่ทำกันหรอก ยายน่ะเจอมานักต่อนักแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองก่อนทั้งนั้น ใครจะเป็นจะตายยังไงมันไม่สนใจหรอก...”

ยายปิ่นนึกถึงดิตถ์ เจ้าของอู่ซ่อมรถและเจ้าหนี้รายใหญ่ที่พิมพ์ญาดาต้องบากหน้าไปกู้หนี้ยืนสินคนแบบนี้มามารักษาอาการป่วยเรื้อรังของนาง และด้วยเหตุนี้ทำให้นายดิตถ์ซึ่งพึงใจในตัวพิมพ์ญาดาอยู่ก่อนแล้วมาคอยตามตอแยหลานสาวของนาง โดยอ้างถึงเงินก้อนที่พิมพ์ญาดายืมมา หากจะใช้หนี้ด้วยการแต่งงาน มันก็จะยกหนี้สินคืนให้ทั้งหมด ซึ่งนางยอมตายเสียดีกว่าที่จะให้หลานสาวไปแต่งงานกับคนแร้งน้ำใจอย่างนายดิตถ์ ถ้าหากนางรู้ก่อนหน้านั้น ก็จะไม่มีวันยอมให้พิมพ์ญาดาไปกู้เงินคนหน้าเลือดอย่างนายดิตถ์เด็ดขาด

“คุณยายกลุ้มใจเรื่องอะไรอยู่หรือเปล่าครับ” เขาถามเมื่อได้ยินเสียงยายปิ่นถอนหายใจหลายครั้ง

“เปล่าหรอกพ่อหนุ่ม ยายก็แค่ปลงๆชีวิตน่ะ เมื่อไหร่จะตายๆไปสักทีก็ไม่รู้ อยู่ไปก็มีแต่จะเป็นภาระให้ยัยพิมพ์ ถ้าไม่มียายสักคน เขาก็จะสบายกว่านี้”

“ถ้าคุณพิมพ์รู้ว่าคุณยายพูดแบบนี้เธอคงจะเสียใจนะครับ”

“ไม่ได้ๆถ้ายัยพิมพ์รู้ว่ายายบ่นแบบนี้นะ ยายก็โดนดุอีกนะสิ” ยายปิ่นรีบพูดสวน “ห้ามบอกยายพิมพ์เด็ดขาดเลยนะ”

อินทัชอมยิ้มนึกขำกับคำพูดของนาง “ครับคุณยาย” ชายหนุ่มตอบรับเพื่อให้หญิงชราได้สบายใจ และเขาเองก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกับพิมพ์ญาดาหลานสาวที่แสนดีของนาง

เสียงของนางพยาบาลที่มาเรียกหาญาติของแก้ว ทำให้อินทัชต้องลุกตามนางพยาบาลเข้าไปในห้องที่แก้วเข้าไปตรวจ ชายหนุ่มหายเข้าไปได้สักพักก็เดินกลับเข้ามาและนั่งลงข้างๆยายปิ่นที่ยังคงนั่งรออยู่ที่เดิม

“หมอเขาว่ายังไงมั่งล่ะ ไอ้แก้วมันเป็นอะไรรึพ่อหนุ่ม”

“คุณหมอบอกว่า ท้องของแก้วได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงน่ะครับคุณยาย คงต้องนอนให้คุณหมอดูแลอย่างใกล้ชิดอีกสักวันน่ะครับ ให้แน่ใจว่าปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก”

“เฮ้อ...แล้วมันไปทำอีท่าไหนให้เจ็บตัวได้อีกนะ ไอ้แก้วเอ้ย...”

“ก็คงจะเป็นตอนที่เธอเป็นลม ล้มอยู่ที่หน้าบริษัทของผมน่ะครับ”

“อืม...ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น” ยายปิ่นพยักหน้า “นี่ดีนะยังถือว่ามันโชคดีที่เจอกับพ่อหนุ่ม ไม่อย่างนั้นป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ยายว่าไอ้ชาติมันก็คงยังไม่รู้หรอกว่าเมียของมันนอนเจ็บอยู่ทีนี่”

“ผมเอาเบอร์โทรศัพท์ที่คุณยายบอกมา ให้คุณหมอไปแล้วครับยาย”

“เออๆดีแล้ว มันจะได้มาเฝ้าเมียมัน เดี๋ยวจู่ๆคิดว่าหายไปจะเที่ยวตามหากันให้วุ่น”

“ครับคุณยาย”


เมื่อเสร็จธุระของแก้วแล้วอินทัชก็นั่งคุยอยู่เป็นเพื่อนคอยรับฟังเรื่องราวต่างๆจากหญิงชรา ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะพูดถึงหลานสาวอันเป็นที่รักเสียส่วนใหญ่ ตลอดเวลาที่เขานั่งอยู่กับนาง ผู้คนที่เดินผ่านไปมาส่วนใหญ่ก็จะหันมามองพร้อมทำหน้าแปลกๆ แต่อินทัชไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่ารับฟังสิ่งที่นางเล่า

ชายหนุ่มดูนาฬิกาที่ข้อมือ ก่อนหันมาพูดกับยายปิ่น“ผมต้องขอตัวแล้วนะครับคุณยาย”

“อ้าว...ไม่อยู่ต่ออีกหน่อยเร๊อะ ประเดี๋ยวยัยพิมพ์ของยายก็มาแล้วนะ จะได้รู้จักกันไว้ยังไงล่ะ”

“พอดีมีงานรออยู่น่ะครับ พรุ่งนี้ผมจะมาเยี่ยมคุณยายนะครับ”เขาบอกพลางขยับลุก

“อ่อๆ มีงานก็ไปทำงานเถอะพ่อหนุ่ม ดูสิมาเสียเวลาอยู่กับคนแก่เสียตั้งนานสองนาน”

“ไม่ได้เสียเวลาอะไรหรอกครับ” เขารีบเข้ามาประคองขณะที่ยายปิ่นกำลังลุกขึ้นยืน “ผมไปส่งคุณยายที่ห้องก่อนดีกว่านะครับ”

“โอ้ย…ไม่ต้องหรอก รีบๆไปทำงานเถอะ ยายกลับห้องเองได้ แล้ววันหลังถ้าจะมาหายายก็ไปถามกับพยาบาลที่ตึกได้เลยนะ บอกว่ามาหายายปิ่น ยายน่ะเข้าๆออกๆที่นี่จนนางพยาบาลเขารู้จักยายกันเกือบหมดโรงพยาบาลแล้ว”

หญิงชราพูดพลางหัวเราะหึๆ

“หายเร็วๆนะครับ”

“ขอบใจนะ ไปดีมาดีเถอะนะพ่อหนุ่ม”

“ครับคุณยาย...ผมลานะครับ” อินทัชกล่าวลาพร้อมกับยกมือไหว้


ขณะอินทัชเดินออกไป ยายปิ่นก็ทิ้งตัวลงนั่งอยู่ที่เดิม นางมองผู้คนที่เดินสวนกันไปมา มีหลายคนที่เพิ่งจะเข้ามารักษาตัว แล้วก็อีกหลายคนที่กำลังเตรียมออกจากโรงพยาบาล นางเห็นสภาพตรงหน้าอย่างนี้อยู่ทุกวัน มันทำให้หญิงชรานึกปลงอนิจจังชีวิตของตัวเองที่ต้องเข้าๆออกๆโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการป่วยเรื้อรังที่เป็นมานมนาน

เมื่อใกล้ถึงเวลาที่พิมพ์ญาดาจะมาหา ยายปิ่นจึงเดินกลับมาที่ห้องเพื่อรอหลานสาว แต่ครั้นเข้ามาถึงนางก็ต้องมึนงงอยู่พักใหญ่ ที่เห็นคนผู้คนเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังอยู่กันเต็มห้องที่นางเข้าพักรักษาตัว และส่วนใหญ่ก็เป็นคนรู้จักที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน

ยายปิ่นเอ่ยทักทายด้วยความดีใจ ที่วันนี้มีคนมาเยี่ยมมากมาย แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจฟังหรือได้ยินคำสนทนาของนางเลยสักคน หญิงชราจึงละความสนใจจากคนอื่นมองหาหลานสาว แต่สายตาที่พร่ามัวก็เพ่งไปยังเสียงของคนที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นซึ่งมันดังมาจากเตียง แล้วนางก็ต้องแปลกใจอีกครั้งที่เห็นพิมพ์ญาดานั่งก้มหน้าร้องไห้อยู่ข้างเตียง

“ยัยพิมพ์!” ด้วยความตกใจนางจึงรีบตรงเข้ามาหาพิมพ์ญาดา “ร้องไห้ทำไม เป็นอะไร ใครทำอะไรพิมพ์ไหนบอกยายมาสิ!”

หญิงชราเข้ากอดหลานสาว แต่สิ่งที่นางได้รับคือความว่างเปล่า ยายปิ่นชะงัก ก่อนที่จะเข้ามากอดพิมพ์ญาดาอีกครั้ง แต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ยายปิ่นตกใจร้องเสียงหลง ที่จู่ๆหลานสาวของนางกลายเป็นธาตุอากาศที่จับต้องไปไม่ได้

“ยัยพิมพ์! เป็นอะไรไป ทำไมหลานถึงกลายเป็นแบบนี้”

ยายปิ่นถามเสียงดังอีกทั้งพยายามที่จะคว้าพิมพ์ญาดาเข้ามากอดให้ได้ และดูเหมือนหลานสาวกับทุกคนในห้องจะไม่มีใครรับรู้ว่า มีนางยืนอยู่ในห้องนี้ด้วยอีกคน

“อะไร... มันเกิดอะไรขึ้น”

หญิงชราวัยเจ็ดสิบสองปีผงะตกใจกับภาพที่เห็น เมื่อร่างของคนที่นอนอยู่บนเตียง คนที่พิมพ์ญาดากอดซบขณะร้องห่มร้องไห้มันเป็นร่างของนาง

“เฮ้ย...นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น!”

“โธ่เอ้ย! จะโวยวายทำไมกันล่ะยาย มันเรื่องธรรมดาอยู่แล้วนี่”

เสียงร้องทักที่ดังมาจากระเบียงทำให้ ยายปิ่นต้องหันไปมอง แล้วหญิงชราก็ตาค้างตกใจที่เห็นเด็กชายวัยสิบขวบนั่งไขว่ห้างอยู่บนราวระเบียงของตึกชั้นสาม

“เฮ้ยไอ้หนู! เอ็งไปนั่งอยู่ทำไมตรงนั้น ลงมาๆ เดี๋ยวก็ได้ตกลงไปตายกันพอดี ลงมาเร็วๆ” ด้วยความตกใจยายปิ่นรีบตรงไปหาเด็กชายที่ระเบียง โดนเดินผ่านประตูกระจกออกไปโดยไม่ทันได้รู้สึกตัว เพราะใจจดจ่ออยู่กับเด็กชาย

“อะไรกันล่ะยายจ๋า” เด็กชายต้องยอมลงมาจากราวระเบียงเพราะถูกยายปิ่นดึง

“เอ็งไปนั่งอยู่ตรงนั้นได้ยังไง เดี๋ยวตกลงไปข้างล่างจะว่ายังไง” ยายปิ่นดุเสียงดัง “ลูกเต้าเหล่าใครล่ะเอ็งน่ะ ทำไมยายไม่เคยเห็นหน้า”

“ยายจะเคยเห็นหน้าหนูได้ยังไง เราเพิ่งจะเจอกัน” เด็กชายตอบน้ำเสียงเสียงเบา

“เออจริงสิ...แล้วเข้ามาในนี้ทำไม มากับใครกันล่ะ”

ยายปิ่นถามด้วยความสงสัยขณะมองไปรอบห้อง ซึ่งส่วนใหญ่นางจะรู้จักและคุ้นเคยแทบทุกคน แต่เด็กชายที่กำลังยืนคุยด้วยนี่นางกลับไม่รู้จักเลยสักนิดเดียว

“หนูเข้ามาหายายน่ะแหละ” เด็กชายทำหน้าเศร้าหันหลังยืนเท้าคางกับราวระเบียง “หนูเหงา ไม่ชอบที่นี่ อยากกลับบ้าน”

“แล้วพ่อกับแม่ไปไหนเสียล่ะ”

“อยู่ทางนู้น” เขาพูดและชี้นิ้วไปพร้อมกัน

“กลับไปรอพ่อแม่ที่ห้องสิ เดี๋ยวเขาเข้ามาหาก็จะไม่เจอกันพอดี เที่ยวเล่นซนไปเรื่อย”ยายปิ่นถอนหายใจ เมื่อเห็นเด็กชายมองหน้านางพร้อมทำตาปริบๆ ราวกับจะร้องไห้“ก็แล้วทำไมไม่ไปหาพ่อแม่ล่ะมาทำอะไรตรงนี้”

หญิงชรามองสำรวจร่างกายของเด็กน้อย ขณะพูดจึงได้รู้ว่าเขานั้นอยู่ในชุดของคนป่วยที่ทางโรงพยาบาลจัดหามาให้เช่นเดียวกับนาง

“เอ็งไม่สบายหรือยังไง เป็นอะไรไปล่ะ...แต่ก็ดูแข็งแรงดีอยู่นี่นา”

“แล้วตอนนี้ยายว่าตัวยายแข็งแรงดีอยู่หรือเปล่า”

เสียงของเด็กชายย้อนถามมา ทำให้คิ้วสีขุ่นยายปิ่นขมวดยุ่ง

“อุบ๊ะ!ยังมีหน้ามาย้อนผู้ใหญ่อีกนะเอ็ง ยายก็แข็งแรงดี นี่ไงไม่เห็นเร๊อะ”

ยายปิ่นเดินไปมาด้วยท่าทางที่คล่องแคล่วให้เด็กชายดู “ยายน่ะหายแล้ว และกำลังจะกลับบ้าน คนมาหาเยอะแยะเนี่ยเห็นมั้ย”

“เขามารับน่ะใช่...” หนูน้อยวัยสิบขวบพูดทวนพร้อมหันหน้าเข้ามาหายายปิ่นพลางมองสบตากับหญิงชรานิ่ง “แต่ไม่ได้กลับบ้าน”

“โอ้ย...จะมาพายายไปไหน ยายไม่ไปไหนด้วยหรอก อยากกลับบ้านจะแย่แล้ว คิดถึงได้น้ำหวานมัน ป่านนี้มันนอนมองทางรอยายอยู่ทุกวันแน่ๆ”

“เขาจะมารับยายไปวัดต่างหากล่ะ” เด็กชายพูดเสียงดังฟังชัด “ไม่ใช่บ้านแต่เป็นที่วัด...ไปวัด”

“เขามาพายายไปวัดทำไม เอ็งก็พูดไปเอ้อ...”

“ยายตายแล้ว... เหมือนหนู คนตายแล้วก็ต้องไปวัด หนูได้ยินพ่อกับแม่บอกว่าจะพาหนูไปวัด”

เด็กชายซึ่งพยายามอดกลั้นอยู่นานก็ เปล่งเสียงร้องไห้โฮขณะที่พูด

ยายปิ่นมองเด็กชายพลางส่ายหน้า “ไอ้หนูเอ้ย...พูดเลอะเทอะใหญ่แล้วนะ ไปๆกลับห้อง ท่าทางจะป่วยหนักเพ้อไปเรื่อย อยู่ห้องไหนล่ะเดี๋ยวยายจะเดินไปส่ง”

“เราสองคนตายแล้วจริงๆ” เด็กชายยังยืนยันคำเดิม “ยายดูคนพวกนั้นสิพวกเขามองเห็นเราซะที่ไหน เราคุยกับเขาก็ไม่มีใครได้ยินเสียงของเรา ยายไม่สังเกตเลยหรือยังไง มีใครเห็นเราบ้าง ขนาดพ่อกับแม่หนูยังไม่เห็นหนูเลยนะยาย”

สิ้นคำพูดเด็กน้อยก็ส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น ทำให้ยายปิ่นได้ฉุกคิดและเริ่มสังเกตผู้คนรอบๆตัว ซึ่งมันก็เป็นไปอย่างที่เด็กชายวัยสิบขวบบอกมา

ด้วยความตื่นตระหนก เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะหมดลมหายใจโดยไม่ทันได้ล่ำลา หญิงชราเทียวเดินไปพูดคุยกับคนนั้นคนนี้จนทั่วห้อง แต่ก็ไม่มีใครได้ยินหรือมองเห็นนางเลยแม้แต่คนเดียว

ยายปิ่นหอบจนตัวโยนหมดแรงเข่าอ่อนฉับพลัน สองมือควานหาผนังห้อง เพื่อเอนตัวพิง กวาดตามองไปรอบห้อง แล้วสายตาของนางก็มาหยุดนิ่งงันอยู่ที่ภาพตรงหน้า

หญิงสาวคนเดียวที่นางรักยิ่งกว่าสิ่งใด กอดเขย่าร่างไร้วิญญาณ ส่งเสียงสะอื้นคร่ำครวญเรียกหา ราวกับว่าเสียงเรียกของเธอมันจะช่วยให้ยายปิ่นฟื้นขึ้นมามีชีวิตได้อีกครั้ง

“ยัยพิมพ์...ยัยพิมพ์ของยาย”

หญิงชราวัยเจ็ดสิบสอง ร้องครางเบาๆ ความเศร้าสลดใจ พาให้ร่างกายหมดเรี่ยวแรง ขณะที่มองหลานสาวคนเดียวด้วยความอาลัย











 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2552
9 comments
Last Update : 10 มีนาคม 2559 20:02:48 น.
Counter : 712 Pageviews.

 

กรู๊วววว และแล้วคุณปาย่า
ก็เอานิยายมาลง เอิ๊กๆๆ
นึกว่าจะไม่ทันซะแว้ววว หุหุ

.........................

 

โดย: รักดี IP: 118.172.70.175 24 พฤษภาคม 2552 16:47:57 น.  

 

ขออนุญาตเพิ่มขนาดตัวอักษรค่ะคุณปาย่า
อัพทีแรกตัวเล็กไป...กลัวมีปัญหาสำหรับผู้อ่านบางท่านไม่สะดวกจ้า

^o^

 

โดย: ploy666 (ploy666 ) 24 พฤษภาคม 2552 17:08:38 น.  

 

ขอบคุณจ้า

 

โดย: K.paya IP: 222.123.219.250 26 พฤษภาคม 2552 10:23:39 น.  

 

อ่ะ อ่ะ.. มาแอบอ่านนิดนึง.. จะติดตามตอนต่อไปค่ะ

 

โดย: หญิงแดง IP: 117.47.39.146 4 มิถุนายน 2552 21:34:01 น.  

 

ยินดีต้อนรับค่ะ

 

โดย: ploy666 (ploy666 ) 5 มิถุนายน 2552 15:29:12 น.  

 

หญิงแดงนิคุ้นๆ แหะ

/me ไปดีกว่า มาแอบอ่าน

 

โดย: ลิงปอนด์ IP: 61.19.52.106 22 มิถุนายน 2552 15:58:31 น.  

 

55+ คุ้นกันไปมาเยอะเชียวค่ะ

คุณลิงปอนด์แอบอ่านดีๆนะคะ เดี๋ยวพลอยเจอแล้วจะไปแปะโป้ง ^o^

 

โดย: ploy666 IP: 124.157.239.159 22 มิถุนายน 2552 18:54:20 น.  

 

แอบมาอ่านค่ะ

 

โดย: โต๊ะอู้ IP: 115.67.230.227 2 กรกฎาคม 2552 21:35:27 น.  

 

มาแอบอ่านด้วย ^ ^

 

โดย: หลินฮุ้ย IP: 10.30.5.140, 202.44.8.100 30 สิงหาคม 2552 1:58:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ploy666
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




หนังสือที่มีวางจำหน่ายเฉพาะในบล็อก
https://ploy666.bloggang.com




ชื่อเรื่อง : เศวตธามัน (บัลลังก์ศศิธรา)
นามปากกา : สิตาปางค์
ประเภท : จินตนิยาย , โรแมนติก
รูปเล่ม : ขนาด 700 หน้า A5
ออกแบบปก : Little thing

ราคา : 850.- บาท
สินค้าหมด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ploy666&group=28

สั่งซื้อที่ : .........

หมายเหตุ : งดใส่ลายเซ็นนักเขียนทุกกรณีค่ะ

** ***********************************



ชื่อเรื่อง : เงาบรรณ
นามปากกา : ลายน้ำ
ราคา : 259.- บาท
สั่งซื้อที่ (ยุติการสั่งซื้อ)

สินค้าหมดค่ะ



****************

นิยายที่อัพล่าสุดคือเรื่อง

รอยทรายบนลายรัก
...และ...
กระต่ายในใจจันทร์



***********

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า
ทนไม่ไหวแล้ว...
จงเรียนรู้ ที่จะขอความช่วยเหลือ

โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก
ผู้คน ก็ไม่ได้ใจร้ายไปซะทั้งหมด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ...


Ploy666.



************

หมายเหตุสักนิดค่ะ...

ถ้าเป็นไปได้ งดการแปะรูปใส่คอมเม้นท์นะคะ
เจ้าของบล็อกเข้าหน้าจอไม่ได้จ้า เน็ตห่วยมากมาย

ขอบคุณคนใจดีทั้งหลายล่วงหน้าค่ะ


**************

เนื้อหาต่างๆที่อัพในบล็อก
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


Friends' blogs
[Add ploy666's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.