Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
29 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 
แม่สื่อจอมจุ้น วุ่นรักอลวน บทที่4



บทที่ ๔

อินทัชละสายตาจากเอกสาร มองสินีย์ที่เดินเข้ามาพร้อมกลิ่นหอมๆของกาแฟ เลขาสาววางถ้วยกาแฟไว้ตรงที่ประจำของมัน ก่อนยิ้มให้เจ้านายหนุ่ม

“เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอคะ”

เธอถามขณะรับเอกสารจากเขา แปลกใจที่เห็นเจ้านายหนุ่มนั่งหาวหวอดๆอยู่หลายครั้ง

แล้วเธอเองก็ไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน เพราะอินทัชมักจะตื่นตัวกระฉับกระเฉงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในเวลางาน

“ตื่นเช้าไปหน่อยน่ะ”

อินทัชตอบเลี่ยงๆ หากเล่าเรื่องเมื่อคืน สินีย์ต้องมองว่าเขาตาขาวหรือไม่ก็คิดมากจนฟุ้งซ่าน

“อ๋อค่ะ...”

เธอขานรับรู้ พลางขยับออกห่างจากโต๊ะทำงานของเจ้านายเล็กน้อย และรอจังหวะถามเรื่องงานที่ยังรอคำตอบจากเขาอยู่


อินทัชเลื่อนกองเอกสารตรงหน้าออกห่างตัว หันมาหยิบถ้วยกาแฟเข้ามาใกล้ๆ จับช้อนสีทองคนกาแฟเบาๆ สองสามครั้ง แล้ววางช้อนไว้บนจานรอง ก่อนที่จะพาร่างสูงใหญ่พร้อมถ้วยกาแฟที่ถือติดมือลุกเดินไปหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงผนังที่เป็นกระจกยาวตลอดทั้งแถบ

สายตาคมเข้ม ยืนมองวิวทิวทัศน์ภายนอก ที่เป็นสิ่งปลูกสร้างรูปทรงต่างๆ พลางถอนใจ ที่เบื้องล่างท้องถนนแทบทุกสาย เต็มไปด้วยรถราหลายรุ่นหลายยี่ห้อวิ่งพลุกพล่าน

ในเมืองหลวงที่มีแต่เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ นั้นมักจะแตกต่างจากจิตใจของผู้อยู่อาศัย ที่นับวันจะเสื่อมทรามลง เพราะต้องแกร่งแย่งแข่งขันกันอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ตัวเองอยู่รอดหรืออยู่อย่างสุขสบายในเมืองใหญ่แห่งนี้

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

อินทัชเอ่ยถาม เมื่อสินีย์ยังยืนอยู่ และยิ้มแห้งๆ ตอบมา

“เอ่อ...คุณอินทัชจะให้คำตอบกับคุณวรชิตว่ายังไงคะ เรื่องงานที่คุณวรชิตรับปากไปแล้วน่ะค่ะ”

สินีย์ถามเสียงเบา พลางสังเกตสีหน้าเจ้านาย แล้วก็พบว่า คิ้วเข้มของเขาขมวดเล็กน้อย และไม่นานเสียงถอนหายใจก็ดังตามมาด้วย

“คือคุณวรชิต โทรมาถามสินีย์น่ะค่ะว่า คุณอินทัชว่ายังไงบ้าง สินีย์ก็ไม่รู้ว่าจะตอบไปยังไง เพราะว่า...”

เลขาสาวพูดค้างไว้แค่นั้น เมื่อเห็นอินทัชยกมือส่งสัญญาให้หยุด แล้วร่างสูงใหญ่ก็เดินกลับมานั่งที่เดิมเขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ขณะมองหน้าสินีย์

“ผมจะคุยกับวรชิตเอง”

“แต่ว่า...”

“ครับ...บอกเขาตามนี้ก็แล้วกัน”

เขาพูดแทรก เพราะไม่ต้องการอธิบายให้ยืดยาว อินทัชรู้ว่าวรชิตขอร้องให้สินีย์มาช่วยพูดให้เขารับงานนี้


หลังจากสินีย์ออกไปจากห้องแล้ว อินทัชก็หมุนเก้าอี้หันหน้าเข้าหาผนังกระจก ปรับเก้าอี้ให้อยู่ในระดับครึ่งนั่งครึ่งนอน เขากอดอกไว้หลวมๆ พร้อมหลับตาลง

“จะคิดมากไปทำไม งานมีก็ทำๆไปเหอะ...”

เสียงพูดกึ่งประชดที่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มทะลึ่งพรวดเหลียวมองไปรอบๆห้อง ซึ่งทุกอย่างที่เห็นก็ยังคงเป็นปกติดี


เขาถอนหายใจดังเฮือก ขำที่ไม่เพี้ยนก็ต้องหูฝาดไปอีกครั้งแน่ๆ เสียงของคนแก่ที่ไหนจะมาอยู่ในห้องทำงานของเขา ขณะคิด จู่ๆดวงหน้ารูปไข่ก็โผล่เข้ามาในห้วงความคำนึงของเขาอีกจนได้


เก้าอี้ที่ถูกหมุนกลับเข้าหาโต๊ะ อินทัชสะสางงานที่ค้างไว้ได้ไม่นาน เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางข้างๆก็ดังขึ้น

เขากดรับโทรศัพท์แล้วพูดสองสามคำ ก็รีบคว้ากุญแจรถเดินตัวปลิวออกจากห้องทำงานไป โดยไม่ยอมเสียเวลาหันกลับมาตอบคำถามของสินีย์

เลขาสาวทำหน้านิ่ว เมื่ออินทัชเดินผ่านเธอหน้าตาเฉยด้วยท่าทางที่รีบร้อน และเหมือนจะไม่ได้ยินสิ่งที่เธอถาม

สินีย์ส่ายหน้า เดินกลับมาที่โต๊ะทำงานของตัวเอง มองเอกสารที่จัดเตรียมไว้ รอลายเซ็นอยู่หลายฉบับอย่างหน่ายๆ



เมื่อหาที่จอดรถได้แล้ว ร่างสูงใหญ่ก็ตรงดิ่งไปยังจุดหมายทันที เสียงผลักบานประตู ทำให้คนที่อยู่ในห้องต่างหันมามองผู้มาเยือนพร้อมกัน

“เป็นยังไงบ้าง” เขาถามขึ้นทันที โดยไม่เสียเวลาทักทาย

“ยังไม่รู้เลย คุณหมอบอกว่าให้อยู่รอดูอาการก่อน”

วรชิตตอบพร้อมหันกลับมามองภรรยาสาว ที่นอนทำหน้าบิดเบี้ยวอยู่บนเตียงด้วยความเจ็บปวด

“จู่ๆ เป็นอย่างนี้ได้ยังไง”

อินทัชถามต่อเพราะรู้ว่า มันยังไม่ถึงเวลาที่นารีจะคลอด

“ยังไม่รู้เลย อยู่ดีๆก็ร้องวี๊ดว้ายขึ้นมาเฉยๆ ดีนะว่าฉันวิ่งเข้ามารับทัน ไม่อย่างนั้นไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น ก็เพราะแบบนี้ไง ฉันถึงต้องรีบโทรหาแก”

วรชิตรีบเข้าประเด็นทันที


“เออก็ได้ แต่ยังไงฉันก็ยังไม่รับปากทำงานนี้นะ แค่ไปประชุมแทนน่ะพอไหว ส่วนเรื่องอื่นๆแกหาทางสานต่อเอาเองก็แล้วกัน”

อินทัชพูดขณะมองหน้ายุ่งๆของวรชิต

“ก็ยังดีขอบใจนะ”

วรชิตหันมาตบไหล่อินทัชแล้วค่อยยิ้มออกอย่างโล่งใจ

“ฉันไม่อยากให้เสียงานเสียคำพูด เดี๋ยวคุณสุนทรจะมองว่าฉันไม่น่าเชื่อถือ ทีนี้ล่ะ งานอื่นๆก็อดพอดี แล้วลูกกับเมียฉันจะกินอะไร”

“เออๆ ไม่ต้องมาพร่ำพรรณนา” อินทัชดักคออย่างรู้ทัน “ยังไงฉันก็ไม่ใจอ่อนหรอก”

“โธ่เอ้ย! ไอ้ทัชคนเดิมไปไหนวะ ทำไมใจแข็งนักนะตื้อยากตื้อเย็นจริงๆ”

วรชิตพูดบ่นแล้วเดินเข้ามาหาภรรยาที่นอนมองอยู่บนเตียง

“ฉันต้องเจียดเวลามาคอยดูแลนารีแกเห็นมั้ย”

“เห็นสิ...” อินทัชพูดยวนๆพลางเดินเข้ามาหานารี “ปวดท้องมากเลยเหรอ”

นารีพยักหน้าและขยับจะลุกนั่ง

อินทัชยืนอยู่ใกล้ๆ จึงช่วยประคองและจับหมอนมารองหนุนหลังให้เพื่อน ส่วนวรชิตก็รีบปรับยกหัวเตียงขึ้นให้พอดีกับที่นารีได้นั่งในท่าที่สบายๆ

“จะลุกนั่งทำไม” วรชิตถามพลางหยิบหมอนมาหนุนหลังให้ภรรยาสุดที่รัก

“คุณชิต” นารีเอ่ยเรียกสามีเสียงแผ่ว “อย่าไปคาดคั้นทัชเลย นารีไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ อยู่ใกล้หมอแล้วคุณก็ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ นารีดูแลตัวเองได้”


“ได้ยังไงล่ะนารี” วรชิตมองจ้องหน้าภรรยา “เมื่อกี้คุณหมอก็บอกแล้วว่า ผมต้องดูแลคุณให้ดีๆ เพราะคุณน่ะร่างหายอ่อนแอ”

“ฉันรู้ค่ะ...แต่งานก็สำคัญนี่คะ”

เธอพูดและฝืนยิ้มให้สามี เพราะยังรู้สึกปวดหน่วงๆที่ท้องอยู่ตลอดเวลา


“เอาล่ะๆ ไม่ต้องเถียงกัน”

อินทัชขัดขึ้น เพราะดูท่าแล้วคงจะคุยเรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ

“เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันเข้าประชุมแทนนาย ส่วนนาย ระหว่างที่อยู่ดูแลนารี ก็คิดหาคนมารับงานนี้ด้วยก็แล้วกัน ส่วนผลประชุมเป็นยังไงฉันจะมารายงายด้วยตัวเอง โอเคมั้ยครับเจ้านาย”


ประโยคสุดท้ายอินทัชพูดเชิงประชด เมื่อเห็นวรชิตยิ้มตอบมาอย่างพอใจ

“เออขอบใจเพื่อน ได้แค่นี้ก็ยังดีวะ”

วรชิตพูดอย่างปลงๆ เพราะไม่รู้จะเกลี่ยกล่อมให้อินทัชรับงานนี้ได้อย่างไร


ยายปิ่นนั่งชันเข่าอยู่บนโซฟาสีน้ำตาลเข้ม ภายในบ้านหลังใหญ่ของอินทัช คิ้วขาวขุ่นขมวดยุ่ง

คิดถึงสิ่งที่ทำลงไปเมื่อรู้สึกผิด โดยมีเม้น นั่งจ้องหน้านางด้วย

“ยายเป็นอะไร นั่งเงียบเชียว”

“เอ็งว่าเราทำเกินไปมั้ย”

แทนที่จะตอบยายปิ่นกลับเอ่ยขึ้นพร้อมหันมามองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

“อะไรเหรอยาย”เด็กชายถามด้วยความสงสัย

นางขยับหันหน้ามาทางเม้นตรงๆ พร้อมเปลี่ยนท่านั่ง

“ก็ที่ไปหลอกให้คนท้องตกใจนะสิวะ”

“แต่เราไม่ได้ทำอะไรนี่นา แค่โผล่หน้าไปให้เขาดูเฉยๆ”

“เออ...ก็นั่นแหละ เพราะโผล่หน้าให้เขาเห็นนะสิ เขาถึงได้ตกอกตกใจจนท้องไส้ปั่นป่วนกระทบกระเทือนถึงเด็กในท้องไง”

“โธ่!ยาย...แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ”

“ข้าแค่ให้เอ็งไปโผล่หน้าเฉยๆ แต่ไม่ได้ให้ไป โผล่ตรงนั้น ตรงนี้นี่หว่า”

“แล้วมันต่างหันตรงไหนล่ะยาย”

“ต่างสิวะ...แบบนั้นเขาเรียกว่าหลอกโว้ย...แต่ที่ให้ไปทำน่ะ แค่หลอนๆ น่ะเอ็งเข้าใจมั้ยแค่หลอนๆ”

คำพูดกำกวมของยายปิ่น ทำให้เม่นต้องขมวดคิ้วตามยายปิ่นไปด้วยอีกคน เพราะความไม่เข้าใจในคำพูดของผู้ใหญ่

“ตายไปจะตกนรกมั้ยวะเราสองคน”

“อ้าว! เราสองคนตายไปแล้วนะ” เม้นพูดพร้อมเกาหัวแกร็กๆ

“เออ จริงสิ...ข้าลืมไปเลยว่าเราสองคนตายไปแล้ว”

ยายปิ่นพูดแล้วถอนหายใจ “ถ้าเขาเป็นอะไรมากกว่านี้ เราจะทำยังไงกันดีนะ”

“เขาไม่เป็นอะไรหรอกยาย...หนูตามไปดูแล้ว อีกอย่างหนูก็น่ารักซะขนาดนี้”

เด็กชายพูดพลางยิ้ม

“เขาเห็นหน้าหนูไป รับรองลูกเขาออกมาต้องน่ารักเหมือนหนูแน่นอน”

ยายปิ่นจับหัวเม่นโยกไปมาด้วยความหมั่นไส้

“น่ารักตายล่ะเอ็งน่ะ...แล้วรู้ได้ยังไงว่าเห็นหน้าเอ็งแล้วลูกเขาจะต้องหน้าตาเหมือนเอ็ง”

“อ้าว...ก็ตอนที่แม่ท้องน้องหนูนะยาย แม่เอารูปหนูมาแขวนไว้เต็มบ้านเลย แล้วแม่ก็บอกว่า ดูรูปหนูบ่อยๆน้องออกมาจะได้น่ารักเหมือนหนู”

“แล้วทำไมไม่ดูหน้าเอ็งไปเลยล่ะ จะมัวดูรูปถ่ายทำไม”

“หนูไม่ค่อยได้อยู่บ้าน จะนอนอยู่ที่โรงพยาบาลมากกว่าที่บ้านอีก”

เด็กชายพูดเสียงอ่อยๆ เบื่อตัวเองที่ต้องเกิดมาเป็นคนขี้โรคอ่อนแอแต่ตอนนี้ แม่คงลืมหนูไปแล้วล่ะยาย”

เม่นพูดพร้อมใบหน้าที่เศร้าสลดเมื่อนึกถึงแม่

“เอาน่า แม่เขาไม่ลืมลูกตัวเองหรอก เรื่องของเรามันก็ผ่านไปแล้ว เอ็งอย่าไปคิดถึงมันเลย”

ยายปิ่นพูดปลอบ เพราะเห็นเพื่อนตัวน้อยมีสีหน้าเศร้าลงไปถนัดตา

“ถ้าเขาไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วนะ เราสองคนจะได้ไม่บาปหนักขึ้นไปอีกเอ็งว่าอย่างยายมั้ย”

ยายปิ่นวกกลับมาคุยเรื่องเดิม เพื่อไม่ให้เม่นต้องหวนไปคิดถึงแม่อีก แล้วพาเศร้าใจอีก แล้วนางก็แอบยิ้มพอใจ ที่เห็นเม่นเปลี่ยนอารมณ์ได้ตามที่หวัง

“ไม่เป็นอะไรหรอกน่า เชื่อมือไอ้เม้นเถอะยาย”

เม่นหัวเราะคิกคักขระพูด

“เออ...เชื่อก็เชื่อวะ” ยายปิ่นส่ายหน้า กับอารมณ์ใหม่ของเด็กชาย

โธ่เอ้ย...เด็กหนอเด็ก

หลังจากคุยกับวรชิตและรับฟังคำบอกเล่าที่ไม่น่าเชื่อของนารีได้สักครู่ใหญ่ๆ อินทัชก็ขอตัว แต่แทนที่จะกลับไปสะสางงานต่อ เขาตัดสินใจหักพวงมาลัยเลี้ยวไปยังเส้นทางกลับบ้านเมื่อรู้สึกเพลียๆ

ชายหนุ่มเผลอยิ้มกับตัวเอง เมื่อนึกถึงภาพของวรชิต ที่คอยเอาอกเอาใจภรรยาจนออกนอกหน้า

อินทัชกับวรชิตและนารี เป็นเพื่อนสนิทที่รู้ใจกันมามากกว่าสิบปี ต่างรู้นิสัยซึ่งกันและกันดี และมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ

และเพราะเหตุนี้ อินทัชจึงต้องคอยตอบคำถามใครๆที่ส่วนใหญ่จะถามถึงคู่ควงของเขาและคำตอบของเขาก็มีเพียงรอยยิ้มเท่านั้น

ก็จะให้ตอบว่าอย่างไร เขาคิด ในเมื่อคู่นั้นไม่มี โดยส่วนตัวเขาเองก็ยังไม่เคยคิดที่จะหาคู่ควงเสียสิ!


รถชะลอความเร็วลงขณะที่วิ่งเข้ามาถึงป้อมยามหน้าหมู่บ้าน

อินทัชพยักหน้าพร้อมยิ้มให้ยามที่เข้ามาทำความเคารพก่อนจะไปกดปุ่มยกไม้กั้นขึ้นเพื่อเปิดให้รถของเขาได้วิ่งผ่านเข้าไป

ถนนสองข้างทางของหมู่บ้านในยามเย็นร่มรื่นไปด้วยต้นใหญ่ที่ปลูกยาวไปตลอดแนว เสมือนเป็นผู้นำทางให้เข้าไปสู่ความรื่นรม

ชวนให้เขาต้องเลื่อนกระจกรถลงเพื่อเปิดโอกาสให้สายลมเย็นๆได้พัดผ่านเข้ามา

ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วค่อยๆผ่อนลมออกเบาๆ รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้น

เขาขับรถเข้ามาช้าๆ มองไปที่ฟุตบาตทางเท้าที่ปูทับคอนกรีตด้วยตัวหนอนสีแดงสลับเหลือง มันเต็มไปด้วยผู้คนที่ต่างพากันมาวิ่งออกกำลัง

ส่วนคนที่ดูอายุมากหน่อยก็จะเดินไปเรื่อยๆ ภายใต้ความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกเรียงยาวตามแนวถนน

อินทัชไม่ค่อยได้เจอกับบรรยากาศยามเย็นแบบนี้ในหมู่บ้านเขาสักเท่าไหร่นัก เพราะกว่าที่จะกลับถึงบ้าน ก็มืดค่ำจนหลายๆคนต่างพากันนอนพักผ่อนไปจนหมด

เขาเลือกซื้อบ้านที่นี่ เพราะชอบในความสงบร่มเย็นของที่นี่ แต่โดยส่วนตัวแล้ว ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ อินทัชก็เพิ่งจะได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้ แบบที่เขาต้องการ

อินทัชผ่อนลมหายใจอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่า วันเวลาที่ผ่านมา ชีวิตของเขานั้นมีแต่งานจนลืมบางสิ่งบางอย่างไปแล้วจริงๆ

“สวัสดีค่ะคุณทัช วันนี้กลับบ้านเร็วนะคะ”

เสียงร้องถามดังผ่านรั้วสีขาวที่สูงเพียงไหล่ ทำให้อินทัชหยุดเดินแล้วหันมายิ้มให้เพื่อนบ้านวัยกลางคน ซึ่งนางได้ยิ้มให้เขาอยู่ก่อนแล้ว

“สวัสดีครับคุณป้า พอดีวันนี้ว่างๆน่ะครับก็เลยกลับบ้านเร็วไปหน่อย”

เขาตอบพลางยิ้ม

“เป็นห่วงคุณยายที่อยู่เฝ้าบ้านเหรอคะ”

อินทัชมองสบตาเพื่อนบ้านพร้อมคิ้วเข้มขมวดยุ่ง เขารีบถามกลับทันทีเพราะความแปลกใจ หรือเพื่อให้แน่ใจว่าตนนั้นอาจจะหูฝาดไปกับสิ่งที่ได้ยิน

“คุณยายไหนครับป้า”

“อ้าว!ก็คุณยายที่มาอยู่กับคุณทัชนะสิคะ...วันนี้ป้าได้ยินเสียงพูดคุยกันทั้งวันเลยล่ะค่ะ ท่าทางคุณยายจะเป็นคนอารมณ์ดีมากเชียวค่ะ ได้ยินเสียงหัวเราะของท่านทั้งวัน”

อินทัชยิ้มให้นางก่อนตอบ “ที่บ้านไม่มีใครหรอกครับนอกจากผม”

“มีสิคะ...”

หญิงวัยกลางคนยื่นหน้ามายืนยันคำพูดของตัวเอง นางเล่าสิ่งที่เจอให้อินทัชฟังด้วยความมั่นใจ

ส่วนอินทัชก็ได้แต่ยิ้มให้นางไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบข้อซักถามอะไรอีก แต่คำพูดของนางทำให้เขาต้องเก็บเอามาคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาของตัวเอง

“เมื่อคืนนี้ ป้ายังเห็นคุณยายท่านเดินไปมาอยู่ที่หน้าบ้านเลยนะคะ สงสัยท่านจะยังไม่ชินที่ เลยทำให้นอนไม่หลับ คนแก่ก็อย่างนี้ล่ะค่ะคุณทัช อยู่ไปสักพักก็คงจะไปชินเอง”


ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาอย่างอ่อนแรง ปล่อยสมองคิดทบทวนไปตามที่เพื่อนบ้านวัยกลางคนเล่าให้ฟัง

หากเป็นจริงอย่างที่นางเล่า ก็อาจจะเป็นคุณยายปิ่นที่ตามเขามา แต่หากเป็นอย่างนั้นจริงทำไมคุณยายถึงไม่ยอมปรากฏตัวให้เขาเห็น แล้วนางจะตามเขามาทำไม

ในเมื่อสิ่งที่นางเป็นห่วงนักหนาคือหลานสาวคนดีของนาง แล้วเขากับยายปิ่นก็ไม่ได้มีอะไรผูกพันกันจนขนาดที่นางจะต้องตามมาถึงนี่ แต่สิ่งที่เขาเจอเมื่อคืนนี้ล่ะ ถึงจะไม่เคยเชื่อเรื่องผีสาง


แต่เหตุการณ์เมื่อคืนมันก็เป็นเรื่องที่หน้าแปลกใจสำหรับเขาไม่น้อยเลย แล้วก็ยังหาคำตอบกับมันไม่ได้ด้วย


ชายหนุ่มขยับตัวนั่งหลังตรง ปรายตามองไปรอบบ้าน ถึงเขาจะไม่เคยคิดเชื่อเรื่องผีสาว ไม่คิดกลัวผี แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาเจอะเจอหรืออยู่ด้วยกันได้

“คุณยาย...คุณยายปิ่นครับ”

อินทัชเตรียมใจและพร้อมรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น เขาตัดสินใจเรียกให้ยายปิ่นออกมา

ทั้งๆที่รู้ว่า หากนางออกมาจริงๆ เขาก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำอย่างไรดีกับสิ่งที่เจอและคาดไม่ถึงนี้

“คุณยาย...ยังอยู่หรือเปล่า คุณยายปิ่นครับ”

อินทัชร้องเรียกยายปิ่นอีกครั้ง และเมื่อเห็นว่าทุกอย่างยังคงสงบนิ่งเงียบเช่นเดิม เขาจึงส่ายหน้าก่อนลุกเดินขึ้นไปบนชั้นสอง พร้อมใบหน้าที่อ่อนล้าเต็มที


“ยาย...คุณคนนั้นเขาเรียกแล้ว ทำไมยายไม่ออกไปหาเขาล่ะ”

เม่นถามเมื่ออินทัชหายเข้าห้องไปแล้ว

“ข้าจะออกไปบอกเขายังไง ไอ้เรื่องที่เราตามเขามาจนถึงบ้านเนี่ย”

“อ้าว...ก็บอกไปสิว่ายายตามเขามาทำไม”

เม่นพูดไป ทั้งที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้เลยว่า ความจริงแล้ว ยายปิ่นชวนเขาตามผู้ชายคนนี้มาจนถึงนี่เพราะอะไร

“เอ...แล้วยายจะตามเขามาทำไมล่ะ”

คำถามตามประสาเด็กของเม่นทำให้ยายปิ่นต้องหันมามองค้อนอยู่หลายตลบ

โธ่เอ้ย...ไอ้เจ้าเม่น เอ็งจะให้ยายบอกเขาไปได้ยังไง ว่ายายอยากได้เขามาเป็นหลานเขยน่ะ ประเดี๋ยวยายพิมพ์จะถูกมองว่าไม่มีน้ำยาจะว่ายังไง…ขายขี้หน้าแย่ เฮ้อ...จะจับคู่ให้หลานทั้งที ทำไมมันยากเย็นอย่างนี้นะ

ยายปิ่นทำปากขมุบขมิบบ่นพึมพำอยู่คนเดียวขณะแหงนมองขึ้นไปที่ชั้นสอง โดยมีเม่น ซึ่งยืนมองหน้ายายปิ่นอยู่ข้างๆด้วยความสงสัย

“เฮ้อ...ทำไมผู้ใหญ่ชอบทำอะไรซับซ้อน พาให้เราสงสัยอย่างนี้นะ”

คำบ่นของเม่น ถึงแม้จะพูดเบาๆ แต่มันก็ทำให้เขาโดนยายปิ่นเขกหัวเข้าจนได้ด้วยความหมั่นไส้

เด็กชายเกาหัวพร้อมทำหน้ายุ่งมองยายปิ่นที่ยืนหน้านิ่วขณะมองไปยังห้องนอนของอินทัช













Create Date : 29 มิถุนายน 2552
Last Update : 10 มีนาคม 2559 20:08:51 น. 4 comments
Counter : 794 Pageviews.

 
กร๊าก อินทัชกล้ามากๆ เลยครับ อุตส่าห์เรียกคุณยายซะด้วย

คราวนี้คุณยายจิ จะหลบยังไงน้า เล่นเอาคุณป้าข้างบ้านเห็นไปซะแล้ว


โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:20:42:32 น.  

 
คุณยายน่ารัก เจ้าเม่นก็น่าเอ็นดู อิอิ น่าอ่านค่ะเรื่องนี้


โดย: Tukta21 วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:22:20:12 น.  

 
สวัสดีคุณพลอยค่ะ


โดย: ปณาลี วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:22:44:02 น.  

 
คุณป้าข้างบ้านนี่น่าจัดให้เป็นคู่หูคุณยายนะคะพี่พีท
ไหนๆก็เห็นกันไปแล้วนี่เนาะ (??)

***********
มอลลี่ เดี๋ยวเรียกเจ้าของนิยายมารับคำชมค่า
^ ^

***********
ดีจ้าคุณตูน
วันนี้เดินเล่นไกลจริงๆหนอ คริคริ





โดย: ploy666 IP: 124.157.237.104 วันที่: 30 มิถุนายน 2552 เวลา:4:46:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ploy666
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




หนังสือที่มีวางจำหน่ายเฉพาะในบล็อก
https://ploy666.bloggang.com




ชื่อเรื่อง : เศวตธามัน (บัลลังก์ศศิธรา)
นามปากกา : สิตาปางค์
ประเภท : จินตนิยาย , โรแมนติก
รูปเล่ม : ขนาด 700 หน้า A5
ออกแบบปก : Little thing

ราคา : 850.- บาท
สินค้าหมด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ploy666&group=28

สั่งซื้อที่ : .........

หมายเหตุ : งดใส่ลายเซ็นนักเขียนทุกกรณีค่ะ

** ***********************************



ชื่อเรื่อง : เงาบรรณ
นามปากกา : ลายน้ำ
ราคา : 259.- บาท
สั่งซื้อที่ (ยุติการสั่งซื้อ)

สินค้าหมดค่ะ



****************

นิยายที่อัพล่าสุดคือเรื่อง

รอยทรายบนลายรัก
...และ...
กระต่ายในใจจันทร์



***********

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า
ทนไม่ไหวแล้ว...
จงเรียนรู้ ที่จะขอความช่วยเหลือ

โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก
ผู้คน ก็ไม่ได้ใจร้ายไปซะทั้งหมด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ...


Ploy666.



************

หมายเหตุสักนิดค่ะ...

ถ้าเป็นไปได้ งดการแปะรูปใส่คอมเม้นท์นะคะ
เจ้าของบล็อกเข้าหน้าจอไม่ได้จ้า เน็ตห่วยมากมาย

ขอบคุณคนใจดีทั้งหลายล่วงหน้าค่ะ


**************

เนื้อหาต่างๆที่อัพในบล็อก
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


Friends' blogs
[Add ploy666's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.