Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
26 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 
แม่สื่อจอมจุ้น วุ่นรักอลวน บทที่6




บทที่๖

อินทัชคลายความสงสัยยายปิ่นลง เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในห้องประชุม แล้วพบเจ้าของดวงหน้าเรียวซึ่งนั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือคุณสุนทร

เจ้าของกิจการโรงแรมชื่อดังและเจ้าของโครงการใหม่ที่วรชิตคะยั้นคะยออยากให้เขารับทำงานนักหนาก็เข้าใจทันทีว่า ที่ยายปิ่นต้องตามเขามาถึงนี่ ก็คงเพราะอาจเจอหลานสาวของนาง

แต่ก็น่าแปลกใจ หากอยากเจอจริงๆ ทำไมนางไม่ไปหาหลานสาวคนดีของนางที่บ้านเสียเลยล่ะ ไม่จำเป็นต้องตามเขามาถึงที่นี่ ถึงจะไม่เข้าใจในการกระทำของหญิงชรานัก แต่ก็ไม่อยากที่จะถาม

เพราะบางครั้งยายปิ่นดูไม่ได้มีลับลมคมในอะไร และบางทีนางก็ดูเหงาๆเศร้าๆ เหมือนมีอะไรในใจ แต่คงไม่มีเรื่องอะไรมาฉุดใจนางได้เท่ากับเรื่องราวของหลานสาวคนดีคนนี้แน่นอน

เมื่อมาถึงโรงแรมอินทัชได้ขอร้องไม่ให้ยายปิ่นตามเข้ามาในห้องประชุมด้วย เพราะขืนนางตามเข้ามาแล้วบังเอิญไปก่อความยุ่งยากอีก

เขาคงไม่มีสมาธิแน่ๆ หรืออาจจะทำให้คนในห้องประชุมมองว่าเขาเพี้ยนได้ง่ายๆ หากเผลอพูดกับนาง ด้วยความเคยชิน

ซึ่งก็เป็นอยู่บ่อยๆ เพราะคิดและมองยายปิ่นว่าเหมือนกับคนทั่วๆไป ไม่ได้รู้สึกว่านางเป็นผีอย่างที่นางเป็นเลย อาจเพราะอยู่ด้วยกันจนคุ้นเคย จึงทำให้ลืมตัว

ชายหนุ่มไม่ได้เอะใจกับคำรับปากที่ง่ายดายของยายปิ่น เพราะต้องรีบเข้าประชุมด้วยจึงไม่ได้เน้นย้ำเท่าไหร่นัก เขาปล่อยให้ยายปิ่นกับเม่นรออยู่ที่รถ ส่วนตัวเองนั้นก็รีบตรงดิ่งเข้าไปในโรงแรมทันที

“โรงแรมนี้ใหญ่โตดีนะยาย”

“แน่ละสิ โรงแรมใหญ่นี่นา...ข้างในสวยมากด้วยนะ”

“ยายเคยเข้าไปเหรอ”

“โอ้ย...ยายไม่เคยเข้าไปหรอก แต่พี่พิมพ์เขาเล่าถึงที่ทำงานให้ฟังยายฟังบ่อยๆ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าข้างในสวย”

“ยายนี่เก่งจังนะ รู้ไปหมด”

น้ำเสียงประชดของเม่นทำให้ยายปิ่นหันมามองค้อน ก่อนที่จะมีรอยยิ้มบางๆ ก็ค่อยผุดขึ้นบนใบหน้าของคนเจ้าเล่ห์ ขณะที่มองไปยังประตูทางเข้า

“เอ็งพร้อมหรือยังล่ะ”

“พร้อม...ลุย!”

เม่นตอบหนักแน่นพร้อมก้าวเท้าไปข้างหน้า แต่ก็ถูกยายปิ่นดึงไว้จนเสื้อที่ใส่นั้นยืดได้สมชื่อจริงๆ เด็กชายจึงหันมามองหน้ายายปิ่น พร้อมคิ้วขมวดมุ่น

“อะไรอีกล่ะยาย”

“จะไปไหน...”

เด็กชายยืนเกาหัวขณะมองยายปิ่น

“ก็ยายมาถามว่าพร้อมหรือยัง...นี่ไงพร้อมแล้ว ลุยเลย ก็ตกลงกันไว้นี่ยาย แค่นี้ทำเป็นลืม”

ยายปิ่นละมือจากคอเสื้อเม่นมาเท้าสะเอวแทน

“ไม่ได้ลืม ลุยน่ะใช่...แต่ไม่ใช่ี่ประตูใหญ่ข้าขี้เกียจเดิน...นู่น ไปทางนู้น”

นิ้วอวบๆของยายปิ่นชี้ไปที่ประตูเล็กด้านข้างโรงแรม

“โธ่เอ้ย! คิดว่าเรื่องอะไร”

เม่นถอนหายใจ เด็กชายหันมามองยายปิ่นพร้อมทำเสียงเข้ม

“ยาย...”


“อื้อ...เรียกทำไม”

“เราเป็นอะไร”

“ก็ผีนะสิ ถามมาได้ เอ้อ...นอกจากจะขี้โรคแล้วยังความจำสั้นอีกนะเอ็ง” นางพูดพร้อมเอาจิ้มนิ้วชี้ไปที่หน้าผากเด็กชาย

หน้าเล็กๆ หงายไปตามแรงจิ้มของยายปิ่น เม่นขยับตั้งหลักแล้วยืนกอดอกยืดตัวตรง

“เราเป็นผีใช่มั้ย...แล้วผีจะเดินทำไมให้เมื่อยตุ้มล่ะยาย”

“อะไรของเอ็งวะ ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้งง”

“ก็อย่างนี้ไงยาย ไปล่ะนะคอยดูนะ”

พอพูดจบ ร่างผอมบางของเม่นก็เลือนหายไป ทำให้ยายปิ่นยืนตะลึงอยู่พักหนึ่งแล้วนางก็ตะโกนเรียกเม่นเสียงดัง

“เฮ้อ!เจ้าเม่น...ทำให้ตกอกตกใจอยู่เรื่อย”ยายปิ่นบ่นพึมพำ ก่อนที่จะหายตัวตามเม่นไป


ขณะประชุม อินทัชลอบสังเกตพิมพ์ญาดาเมื่อมีโอกาส จากการสังเกต ทำให้รู้ว่า หลานสาวของยายปิ่นคนนี้ได้รับความไว้วางใจจากคุณสุนทร ซึ่งเป็นเจ้านายของเธอ

ทุกครั้งที่เห็น แทบทุกครั้งที่คุณสุนทรเจ้านายของเธอหันมาถามอะไร เธอก็จะตอบคำถามได้ดีเป็นที่น่าพอใจ และดูคุณสุนทรจะให้ความเป็นกันเองกับพิมพ์ญาดาอย่างมาก

ดูจากการพูดคุยระหว่างเจ้านายกับลูกน้องที่ดูสบายๆกันเอง ซึ่งต่างกับพัสวีลูกสาวคนเดียวของคุณสุนทร ที่ดูจะเย่อหยิ่งพอสมควร

เพราะตั้งแต่ก้าวแรกที่เธอเข้ามาในห้องประชุมนี้จนกระทั่งแนะนำตัวเสร็จ เขาก็เห็นลูกสาวของคุณสุนทร นั่งวางมาดนิ่ง เธอแทบจะไม่ได้ชายตาแลผู้ที่เข้าร่วมประชุมกับเธอในครั้งนี้เลยด้วยซ้ำไป

แต่หลายครั้งที่อินทัชเห็นพัสวีพยายามแย้งความเห็นของผู้เป็นพ่อ แต่ความคิดของเธอก็ไม่ได้รับความสนใจจากคุณสุนทรเท่าไรนัก คงเหตุนี้จึงทำให้ได้เห็นสีหน้าที่แสดงอารมณ์หงุดหงิดของพัสวีอย่าง

พัสวีได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการนี้ทั้งหมด ดูเธอพอใจกับผลสรุปนี้ แต่ก็ยิ้มได้ไม่นาน หน้าสวยๆก็ต้องงอง้ำ พร้อมมีแววตาขุ่นเคืองมาทางผู้เป็นบิดา เมื่อคุณสุนทรประกาศแต่งตั้งให้พิมพ์ญาดาเข้ามาเป็นผู้ช่วยพัสวี

จากข่าวที่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ ว่าลูกสาวคนเดียวของคุณสุนทรไม่ประสีประสาเรื่องการทำงานสักเท่าไหร่

และหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ งานนี้ พิมพ์ญาดาต้องรับบทหนักอย่างมากเลยทีเดียว นี้กระมังคุณสุนทรจึงต้องการให้พิมพ์ญาดามาเป็นผู้ช่วยลูกสาวที่ไม่เคยผ่านงานอะไรเลยอย่างพัสวี

ดูพัสวีจะไม่ชอบใจกับคำประกาศของพ่อ แต่คงขัดอะไรไม่ได้ เขาจึงเห็นเธอเอาแต่นิ่งเงียบ ทั้งที่มีสีหน้าแสดงออกถึงความไม่พอใจ



ขณะที่กำลังฟังผลสรุปในการเข้าประชุมครั้งนี้ จู่ๆอินทัชก็รู้สึกร้อนวูบไปทั้งตัว รู้สึกร้อนทั้งๆที่นั่งอยู่ในห้องแอร์เย็นเฉียบ แล้วไม่นานก็มีอาการมึนงงแทรกเข้ามา ทำให้รู้สึกหนักศีรษะ จนไม่สามารถรับรู้รับฟังผลสรุปของการประชุมในครั้งนี้ได้ชัดแจ้งนัก

อินทัชสะบัดหน้าแรง ต้องการให้ความมึนงงที่มีได้หายไป แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เพราะดวงตาที่เคยฉายชัดดกลับดูเลือนราง

เขาพยายามเพ่งสายตามองภาพตรงหน้าที่ค่อยๆขยับเข้ามาหา จนกระทั่งได้ยินเสียงทักทาย จึงได้รู้ว่าเป็นคุณสุนทรที่เข้ามาเรียกให้ไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน นั่นล่ะเขาจึงรู้ว่า การประชุมได้สิ้นสุดลงแล้ว

“ขอบคุณนะครับคุณอินทัช ผมยินดีมากที่มีคุณมาร่วมงานด้วย ผมวางใจในฝีมือของคุณนะ”

“เอ่อ...ครับ ขอบคุณครับ”

แม้จะไม่ค่อยเข้าใจในคำพูดของคุณสุนทร แต่อินทัชรับคำไปทั้งที่ยังงงๆ เวลานี้ เขายังไม่อยากจะคิดจะพูดอะไร ทั้งๆที่หัวสมองยังเบลอๆ

ชายวัยกลางคน ทาบมือลงบนบ่าของอินทัชพลางยิ้ม

“ไปทานข้าวด้วยกันเถอะ”

ชายหนุ่มอ่อนวัยกว่าก้มศีรษะตอบรับคำเชิญ เขารอให้คุณสุนทรเดินนำหน้าไปก่อน แล้วจึงค่อยตามหลังไป ในขณะนั้นความมึนงงที่มีอยู่ก็ค่อยจางหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ใจ กับอาการที่เป็นเมื่อครู่นี้

อินทัชเหลียวกลับไปมองรอบห้องประชุมอีกครั้งจนแน่ใจว่าในเวลานี้ ไม่มีใครหลงเหลืออยู่ในห้องนั้นอีก ทุกคนน่าจะไปรวมตัวกันอยู่ที่ห้องรับประทานอาหารตามคำเชิญของเจ้าของโรงแรม

ยายปิ่นมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการของด้วยหรือเปล่า ชายหนุ่มคิดและถอนหายใจยาว ที่ไม่พบร่องรอยของยายปิ่นกับเม่นเช่นกัน

“ความเสียใจด้วยนะครับคุณพิมพ์ เรื่อง...คุณยาย” เขาเอ่ยกับพิมพ์ญาดาเมื่อมีโอกาส

พิมพ์ญาดาเงยหน้ามองชายหนุ่มที่เข้ามาทัก พร้อมกับความแปลกใจ เพราะความที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เขารู้ได้อย่างไรว่าเธอเพิ่งจะสูญเสียยายที่รักไป

พิมพ์ญาดาหันมาตอบรับเขาพร้อมกับงุนงง “คุณรู้...”

“ครับ...ผมรู้จักกับท่านที่โรงพยาบาล เราเคยคุยกันครับ”

“ค่ะก่อนที่ยายจะจากไป ยายเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ แต่ก่อนที่ยายจะไป ฉันยัง...”

พิมพ์ญาดาหยุดคำพูดไว้เพราะรู้สึกจุกอยู่แค่ลำคอจนทำให้พูดไม่ออก

“ท่านไปสบายแล้วล่ะครับ” อินทัชพูดเสียงต่ำ รู้ เข้าใจว่าในความรู้สึกของการสูญเสีย “อย่าทำให้ท่านเป็นห่วงเราน่าจะดีที่สุดครับ...”

“ค่ะ...ฉันเข้าใจ ขอบคุณนะคะ”

หญิงสาวฝืนยิ้มให้เขาอีกครั้ง แล้วก็ต้องขอตัว เมื่อพนักงานเข้ามากระซิบให้ไปพบคุณสุนทร



อีกมุมหนึ่งภายในห้องรับประทานอาหารสุดหรู คู่หูต่างวัยยืนฉีกยิ้มพอใจกับสิ่งภาพที่เห็น

“ถูกใจละสิยาย ยิ้มโชว์เหงือกซะเต็มที่เชียว”

“เอ็งอย่าแซวนักได้มั้ยห๊ะ...” ยายปิ่นมองค้อนเด็กชาย

“ใครๆ เขาก็อยากให้หลานสาวตัวเองเจอกับคนดีๆทั้งนั้นแหละ แล้วมันผิดเหรอไอ้เจ้าเม่น...มันผิดตรงไหน”

“ผิดสิ...ผิดที่เราเจอกันช้าไป ไม่มีทางจะมารักกัน”

เม่นร้องออกมาเป็นเพลงแทนคำพูด ทำให้ยายปิ่นหันมามองตาเขียวใส่

“เพลงอะไรของเอ็งวะ ไม่เห็นเคยได้ยิน”

“ยายนี่เช้ยเชย...เพลงเขาออกจะดัง”

“ความเป็นความตายใครห้ามได้ ไม่ต้องมาย้ำ เอ็งน่ะพูดกรอกหูข้ามาตั้งแต่อยู่ที่บ้านแล้วนะ”

“แหมๆ ขนาดกรอกหูมาเยอะแล้วนะเนี่ย...” เม่นลากเสียงประชดอีกครั้ง

“ยายว่านะ พ่อหนุ่มกับยายพิมพ์สองคนนี้ต้องมีวาสนาต่อกัน ไม่อย่างงั้นพ่อทัชจะได้มาเจอมารู้จักกับยายก่อนได้ยังไง เอ็งว่ามั้ย”

“โธ่ยาย! เขาต้องเจอกับพี่พิมม์สิ ไม่ใช่มาเจอยาย ถ้ามีวาสนาต่อกันอย่างที่ยายว่าจริงๆน่ะ”

“ไอ้เจ้าเม่น!”

ยายปิ่นตะคอก เมื่อถูกเด็กชายพูดขัด

“เอ็งนี่ชอบพูดขัดให้อารมณ์เสียจริงๆเชียว”

“แหม...แค่ล้อเล่นเอง อย่าโกรธเลยน่า นะๆ”

“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี...ไม่น่าเล้ย ยายชวนเอ็งมาคอยขัดคอแท้ๆ”

ยายปิ่นบ่น และมองเด็กชายด้วยหางตา เมื่อเห็นเขาทำปากขมุบขมิบเชิงบ่นอยู่เช่นกัน

ขณะที่กำลังพึมพำ ยายก็ต้องหยุด เมื่อเห็นพิมพ์ญาดาลุกเดินออกจากห้องรับประทานอาหาร ยายปิ่นกับเม่นคู่หูต่างวัยทั้งสอง หันมาเผชิญหน้ากันโดยไม่นัดหมาย แล้วทั้งคู่ก็รีบสาวเท้าตามพิมพ์ญาดาออกไปทันที

“พี่พิมพ์จะไปไหนของเขานะยาย” เม่นหันมากระซิบพร้อมเร่งฝีเท้าตามไปติดๆ

“ใครจะรู้ ก็ยืนอยู่ด้วยกัน...สงสัยกลับบ้านมั้ง” ยายปิ่นคาดคะเนจากเวลา

“จะทำยังไงดีล่ะยาย พี่ทัชยังไม่ออกมาเลย”

“เออน่า เห็นแล้ว...” ยายปิ่นตอบมาพร้อมกับอารมณ์หงุดหงิด “เดี๋ยวขอใช้ความคิดก่อน จะเอายังไงดีว้า...”

เม่นถอนหายใจ แล้วถามยายปิ่นกลับเมื่อเห็นนางเงียบไป “จะคิดอีกนานมั้ยล่ะยาย...”

“เอ็งก็อย่ามากวนสมาธิสิวะ ก็เพราะคำถามนู่นนี่ของเอ็งนี่แหละ ยายถึงคิดไม่ออกสักที”

เม่นแอบเบ้หน้าใส่ยายปิ่น แล้วก็บ่นพึมพำเบาๆ ขณะหันไปมองพิมพ์ญาดาที่กำลังเดินห่างออกไปทุกที

“เฮ้อ...จะทันมั้ยนี่ กว่าจะคิดได้”

คำพูดลอยๆของเม่น ทำให้ยายปิ่นหันมาดุ

“ไม่ต้องมาทำเป็นถอนหายใจ ยู่ว่างๆก็รีบๆช่วยกันคิดสิ!”

“โธ่เอ้ย! คิดไม่ออกก็บอกมาตรงๆก็ด๊ายย...”

คำเยาะของเม่นทำให้ยายปิ่นต้องหันกลับมาทางเม่นอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่นางจะทำอะไร นางก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ที่เห็นเม่นไปลากกระถางต้นไม้มาวางขวางเท้าพิมพ์ญาดา ทำให้เธอต้องสะดุดและล้มลงไปนั่งอยู่ที่พื้น

“ไอ้เม่น!” ยายปิ่นพูดรอดไรฟัน นึกโมโหที่เม่นทำรุนแรงถึงขั้นเจ็บเนื้อเจ็บตัว

และเสียงร้องของหลานสาวทำให้ยายปิ่นแทบถลันจะเข้าไปรับ แต่นางกลับถูกเม่นดึงไว้ แล้วเม่นก็เข้ามายืนขวางทางยายปิ่นอีกที

หญิงชรามองเด็กชายพลางขมวดคิ้วมุ่น และอดไม่ได้ที่จะต่อว่าเม่น

“ทำไมต้องทำรุนแรงแบบนี้ด้วย พี่พิมพ์ก็เจ็บตัวนะสิ แล้วเอ็งมาดึงไว้ทำไม ยายจะเข้าไปดูพี่พิมพ์ จะเป็นอะไรมากหรือเปล่าก็ไม่รู้เนี่ย โธ่หลานยาย...”

ยายปิ่นขยับออกจะเข้าไปหาพิมพ์ญาดา แต่นางก็ต้องหันมามองตาขวางใส่เด็กชายแทน เมื่อเขาขยับตามขวางเอาไว้

“เอ็งจะมายืนขวางยายทำไมห๊ะ!” นางตะคอกเสียงดัง

“โธ่ยาย...ใจเย็นๆหน่อยสิ” เม่นลากเสียง “ดูให้ดีซะก่อน แล้วคิดดูก่อน ว่ายังอยากจะเข้าไปหาพี่พิมพ์อีกมั้ย”

ยายปิ่นมองตามที่เด็กชายชี้นิ้ว ไปที่อินทัชซึ่งกำลังสาวเท้าตรงไปที่พิมพ์ญาดา

“ก็ไม่เห็นต้องรุนแรงขนาดนี้นี่นา” เสียงยายปิ่นอ่อนลง

เม่นหลบสายตายายปิ่น ไม่ได้ตอบคำถามนาง แต่ที่เขาต้องทำแบบนี้ เพราะแลเห็นอินทัชกำลังเดินออกมาจากประตูโรงแรมพอดี หากมัวรอให้ยายปิ่นคิดแผนการออก ป่านนี้ทั้งคู่ก็คงจะต่างคนต่างไปคนละทิศละทางแล้วแน่ๆ

“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับคุณพิมพ์”

ขณะที่พิมพ์ญาดากำลังจะพยุงตัวลุกยืน อินทัชจึงช่วยประคอง พาเธอหลบมานั่งที่ ก้อนหินก้อนโต ที่จัดวางตกแต่งสวนหย่อมริมทางเข้าออกโรงแรม

“ขอบคุณค่ะ...ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอก” เธอตอบพลางคลำข้อเท้าตัวเอง

พิมพ์ญาดาเตรียมลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แต่ข้อเท้าที่พลิกแพลง จนเริ่มรู้สึกปวดหนึบๆ จึงทำให้การยืนทรงตัวของเธอไม่เป็นปกตินัก และเมื่ออินทัชเข้ามาช่วย พิมพ์ญาดาจึงยอมที่จะอยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้เขาช่วยพยุงเธอลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

“ขอบคุณค่ะ”

คุณพิมพ์จะไปไหนต่อเหรอครับ”

“ฉันจะกลับบ้านน่ะค่ะ”

“จะกลับยังไงล่ะครับ แค่ยืนเฉยๆก็ยังจะไม่ไหวแล้ว”

อินทัชพูดและปล่อยพิมพ์ญาดาเป็นอิสระ เมื่อรู้ว่าเธอพยายามเบี่ยงตัวออกห่าง

หญิงสาวฝืนยืนแล้วยิ้มขณะตอบ “เดี๋ยวเรียกแท็กซี่ที่หน้าโรงแรมแค่นี้เองค่ะ”

“จะใจร้ายใจดำ ปล่อยให้กลับบ้านไปเองเชียวหรือ...”

เสียงค่อนแคะของยายปิ่นทำให้อินทัชชำเลืองมองแล้วแอบยิ้ม

“มีอะไรหรือคะ”

“อ่อ...เปล่าครับ ไม่มีอะไร”

อินทัชรีบปฏิเสธ เมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะทำอะไรเปิ่นๆให้เธอเห็น แต่ถึงจะบอกความจริงไปว่าขำท่าทางของยายปิ่นแล้วเล่าเรื่องราวของยายปิ่น เธอก็คงไม่เชื่อแน่นอน

“คุณพิมพ์แน่ใจเหรอครับว่าจะกลับบ้านได้เอง”

“ได้สิคะ เชิญคุณอินทัชตามสบายเลยนะคะ ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”

คำตอบของพิมพ์ญาดา ทำให้อินทัชไม่กล้าเสนอตัวไปส่ง แต่เสียงยายปิ่นที่พูดกรอกหูเขาในเชิงตำหนิมานี่สิ

ที่ทำให้ไม่สบายใจและยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น เมื่อเห็นหญิงชรายืนทำหน้าละห้อยขณะมองไปหลานสาวที่เดินกระเผลกๆไปเรียกรถแท๊กซี่

“นั่งรถแท็กซี่ไป ก็ต้องเดินเข้าไปอีก”

เสียงพึมพำของยายปิ่นทำให้ชายหนุ่มต้องถอนหายใจ ขณะมองพิมพ์ญาดาที่กำลังฝืนสังขารเดินขากะเผลกไปเรียกรถแท็กซี่

แต่เขายืนมองตามหลังเธออยู่ไม่นานก็รีบเดินตามไป หลังจากหันมาพบสายตาวิงวอนของหญิงชราอีกครั้ง

“คุณพิมพ์” ชายหนุ่มเรียกขณะเดินเข้ามาให้ “ให้ผมไปส่งเถอะ...นะครับ เท้าเจ็บอย่างนี้ เดินมากๆไม่ดีแน่ครับ”

“ขอบคุณนะคะ แต่ฉันเรียกแท็กซี่แค่นี้เองค่ะ”

คำปฏิเสธของพิมพ์ญาดา แม้เธอจะปรับเสียงเรียบ คงกลัวว่าเขาจะเสียน้ำใจ อินทัชก็พอจะเข้าใจและเดาความคิดเธอได้

คงไม่มีใครที่ไหน ไว้ใจให้คนที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน ไปส่งถึงที่บ้านง่ายๆ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเขาจะทำอย่างไรให้เธอไว้ใจเขา ยายปิ่นจะได้สบายใจขึ้นสักที

“ไว้ใจผมเถอะครับ คุณยายของคุณยังไว้ใจผมเลยนะ”

อินทัชพูดพลางชำเลืองไปทางยายปิ่นที่มีสีหน้าแช่มชื้นขึ้นจนเห็นได้ชัด เอาเถอะ...อย่างน้อยก็ทำเพื่อยายปิ่นสักครั้ง เพื่อนความสบายใจของนาง

“คุณรู้จักกับยายของฉันดีขนาดนั้นเลยเหรอคะ ถึงรู้ว่ายายฉันจะยอมไว้ใจคุณ”

อินทัชเห็นเธอขมวดคิ้วเรียวขณะถาม เขาก็พอจะเข้าใจ ก็น่าแปลกใจอยู่หรอกที่จู่ๆจะมีคนมาบอกว่ารู้จักกับยายเธอจนถึงขนาดรู้ใจ

เพราะมันไม่น่าเป็นไปได้ ในเมื่อเธอกับเขายังไม่เคยรู้จักหรือพบกันมาก่อนเลยสักครั้งเดียว แล้วเธอจะเชื่อได้อย่างไรในสิ่งที่เขาพูด

“ใช่ครับ...ผมกับคุณยายของคุณ เรารู้จักกันดี”

เขายิ้ม และก่อนย้ำเจตนาเดิมอีกครั้ง “ให้ผมไปส่งดีกว่านะครับ คุณเดินมากๆมันจะอักเสบนะ”

“บอกยัยพิมพ์ไปเลยว่า จริงๆแล้วยายไม่ชอบให้มีผู้ชายไปหาที่บ้าน แต่ครั้งนี้อนุโลมได้”

ยายปิ่นเข้ามากระซิบกับอินทัช

“คุณยายครับ...” ชายหนุ่มรีบดึงยายปิ่นขยับห่างจากจุดที่พิมพ์ญาดายืน “เดี๋ยวคุณพิมพ์เธอจะซักผมจนแต้มนะครับ”

“เอาน่า พูดอย่างที่ยายบอกนี่แหละ ยายชอบอะไรๆที่พ่อหนุ่มรู้น่ะก็บอกไปเลย พูดไปเถอะ”

“ผมเข้าใจครับว่าปกติ คุณยายคุณจะหวงหลานสาวมาก แต่ครั้งนี้คุณเจ็บนะ ท่านไม่ว่าอะไรหรอกถ้าจะมีคนไปส่งที่บ้านน่ะครับ เจ้าน้ำหวานสบายดีมั้ยครับ มันคงคิดถึงคุณยายน่าดูเลยนะ”


“คุณรู้”

“ครับ...ก็คุณยายบอกมา”

คำพูดตรงๆของเขาทำให้ยายปิ่นยิ้ม “ให้ผมไปส่งที่บ้านนะครับ”

“แต่ว่า”

“อย่าปฏิเสธเลยนะ....ทางนี้ครับ”

อินทัชผายมือนำทางไปที่รถ ส่วนเม่นกับยายปิ่นก็รีบตามเข้าไปนั่งที่เบาะหลังรอเรียบร้อยแล้ว

พิมพ์ญาดา ซึ่งอยากจะปฏิเสธคำเชิญของเขา แต่ที่ต้องชั่งใจ เพราะเวลานี้เธอแทบพยุงตัวเองให้ยืนอยู่ได้นั้นก็จะไม่ไหวแล้ว และสิ่งที่เขาพูดมา มันก็คือความจริง หรือเขาอาจจะรู้จักยายปิ่นจริงๆอย่างที่เขาพูดมาก็เป็นไปได้

ขณะขับรถไปตามเส้นทางที่พิมพ์ญาดาบอก อินทัชก็ทำตัวสบายๆ และพยายามหาเรื่องมาคุย เพื่อให้คนที่ไว้ใจนั่งรถมากับเขาได้รู้สึกคลายความกังวลลงบ้าง

อินทัชดูออกว่าพิมพ์ญาดายังไม่ไว้ใจเขาเท่าไหร่ เพราะเวลาพูดคุยกัน เขาถามคำเธอตอบคำ บางครั้งคำตอบของเธอก็จะเลี่ยงๆออกไป เพราะเธอขีดกั้นความเป็นตัวของตัวเองอยู่มาก เธอไม่ได้ทำตัวสบายๆเหมือนอย่างที่เขาทำ

ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาเขาเห็นพิมพ์ญาดานั่งตัวเกร็งลีบอยู่ในรถ ราวเป็นหุ่น ซึ่งต่างกับยายของเธอ ที่ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ นึกแล้วก็น่าเห็นใจเธอ

จะมีใครที่ไหนไว้ใจคนที่เพื่อจะรู้จักกันได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ถ้าหากเธอไม่เจ็บหรือกลับบ้านด้วยตัวเองได้ เธอก็คงไม่ยอมนั่งรถมากับเขาง่ายๆแน่

อินทัชอยากจะบอกความจริงกับเธอจริงๆว่ายายปิ่นก็นั่งมาในรถคันนี้ด้วย เธอจะได้เลิกระแวงเขาเสียที แต่พูดไปแล้วจะทำให้เชื่อได้ก็คงยาก

ในเมื่อเหตุการณ์แบบนี้ มันยากที่จะเชื่อจริงๆ เผลอๆเธอจะมองว่าเขาบ้าบอหรือเป็นติงต๊องไปเลยก็เป็นได้

เสียงยายปิ่นที่พูดแทรกเข้ามาเป็นระยะๆ จนเขาเกือบพลั้งปากพูดกับนางก็หลายครั้ง แต่ยังดีที่ไหวตัวทัน

และหลายครั้งที่เขาก็ลอบมองกระจกหลังบ่อยๆจนคนนั่งข้างๆต้องหันมามองหน้า

“มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“แถวนี้รถไม่ติดเลย ดีจริงๆนะครับ”

เขาแสร้งพูดเฉไฉไปเรื่องอื่น เพื่อดึงความสนใจของเธอ

“ถนนเส้นนี้รถไม่ค่อยมีหรอกค่ะ ก็อย่างที่คุณเห็น”

“เวลาคุณพิมพ์กลับบ้านมืดค่ำอันตรายเหมือนกันนะครับ”

อินทัชหันมามองใบหน้าเนียนที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางที่ดูสดใสอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้แต่งเติมจนดูหนาเตอะเหมือนผู้หญิงอีกหลายๆคนที่เขามักพบเจอโดยส่วนใหญ่

ชายหนุ่มลอบถอนหายใจแล้วหันกลับไปยังท้องถนนถนนเบื้องหน้าเช่นเดิม

“ลำบากหน่อยนะครับ”

“ค่ะ ชินแล้วล่ะ ช่วงที่ยายยังมีชีวิตอยู่ ดึกๆเราสองคนก็พากันออกมาเรียกแท็กซี่บ่อยไปค่ะ เพราะบางทียายต้องเข้าโรงพยาบาลกะทันหัน”

ใบหน้าสวยที่ดูซึมเศร้าของเธออีกครั้ง ยามที่พูดถึงยาย ดวงตาคมนั้น บ่งบอกถึงความเศร้าที่มีมากมายภายในอย่างชัดเจน

ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามปกปิดมันแต่เขาดูออก และก็เช่นกัน เมื่อชายหนุ่มแลเลยสายตาไปมองที่กระจกหลัง

เขาก็เห็นยายปิ่นที่ดูจะซึมเศร้าลงไปถนัดตา ส่วนเม่นซึ่งนั่งซบไหล่ยายปิ่นอยู่นั้น ก็พลอยทำหน้าละห้อยเศร้าสร้อยไปด้วยเช่นกัน

ทำไมหนอ...ชีวิตคนเรา มีพบแล้วก็ต้องมีจาก ต้องพลัดพรากกันไป

ทำให้บางคนต้องคอยอาลัยหา การที่เขามาพบกับความรักของยายหลานคู่นี้

คิดแล้วก็ทำให้รู้สึกหดหู่ใจ สงสารทั้งยายและหลาน อีกทั้งเม่น เด็กชายวัยสิบขวบที่ต้องจากครอบครัวตั้งแต่อายุเพียงน้อยนิด ทุกชีวิต เลือกไม่ได้ตั้งแต่เริ่มต้นเกิดขึ้นมาเลยจริงๆ

อินทัชได้แต่แอบคิดอยู่ในใจ และเลี้ยวรถไปตามเส้นทางที่เธอบอก ถนนทางเข้าหมู่บ้านเริ่มแคบลงพอแค่รถวิ่งสวนทางกันได้

ชายหนุ่มไม่ได้ชวนเธอพูดคุยอีก เพราะเข้าใจในอารมณ์ความรู้สึกของเธอยามนี้ ทุกคนในรถจึงนั่งเงียบกริบรวมทั้งยายปิ่นกับเม่นด้วย จนกระทั่งรถวิ่งเข้ามาจนถึงปลายทาง


*** ขอบคุณกำลังใจจาก เพื่อนๆ ทุกๆคนนะคะ ***







Create Date : 26 กรกฎาคม 2552
Last Update : 10 มีนาคม 2559 20:11:40 น. 6 comments
Counter : 693 Pageviews.

 
หวาดดี ๆ แวะมาทักทาย ว่าง ๆ ดูภาพที่ บล็อค เราด้วยน่ะ เรา วาดภาพ กะทำกรอบรูป ที่ภูเก็ต


โดย: may (may-momo ) วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:14:24:39 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณ may
ว่างๆจะแวะไปดูค่ะ...ขอบคุณที่มาเยี่ยมบล็อกจ้า


โดย: ploy666 IP: 124.157.185.154 วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:19:26 น.  

 
มาทักทายค่ะ สบายดีนะคะ


โดย: teansri วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:17:31 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณเทียนศรี
ขอให้มีความสุขกับวันอากาศดีๆด้วยเช่นกันค่ะ...


โดย: ploy666 IP: 124.157.185.233 วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:00:54 น.  

 
ตามมาให้กำลังใจยายปิ่นคร้าาาาาา


โดย: นาวาไม่ไหลกลับ วันที่: 28 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:16:13 น.  

 
รอยายปิ่นสักนิสสสน๊า


โดย: ปาย่า (ploy666 ) วันที่: 5 กรกฎาคม 2553 เวลา:13:20:25 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ploy666
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




หนังสือที่มีวางจำหน่ายเฉพาะในบล็อก
https://ploy666.bloggang.com




ชื่อเรื่อง : เศวตธามัน (บัลลังก์ศศิธรา)
นามปากกา : สิตาปางค์
ประเภท : จินตนิยาย , โรแมนติก
รูปเล่ม : ขนาด 700 หน้า A5
ออกแบบปก : Little thing

ราคา : 850.- บาท
สินค้าหมด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ploy666&group=28

สั่งซื้อที่ : .........

หมายเหตุ : งดใส่ลายเซ็นนักเขียนทุกกรณีค่ะ

** ***********************************



ชื่อเรื่อง : เงาบรรณ
นามปากกา : ลายน้ำ
ราคา : 259.- บาท
สั่งซื้อที่ (ยุติการสั่งซื้อ)

สินค้าหมดค่ะ



****************

นิยายที่อัพล่าสุดคือเรื่อง

รอยทรายบนลายรัก
...และ...
กระต่ายในใจจันทร์



***********

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า
ทนไม่ไหวแล้ว...
จงเรียนรู้ ที่จะขอความช่วยเหลือ

โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก
ผู้คน ก็ไม่ได้ใจร้ายไปซะทั้งหมด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ...


Ploy666.



************

หมายเหตุสักนิดค่ะ...

ถ้าเป็นไปได้ งดการแปะรูปใส่คอมเม้นท์นะคะ
เจ้าของบล็อกเข้าหน้าจอไม่ได้จ้า เน็ตห่วยมากมาย

ขอบคุณคนใจดีทั้งหลายล่วงหน้าค่ะ


**************

เนื้อหาต่างๆที่อัพในบล็อก
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


Friends' blogs
[Add ploy666's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.