+-+ OncE UPoN'-'a MaN +-+ รักนะ.. คนอ่าน เข้ามาดู.. โดนใจ ออกไป.. อย่าลืมกัน
Summary for Best of the Year 2012 ..Please CLICK!!

“Departures” ... เสียดายคนตาย..ไม่ได้ดู



ด้วยการการันตีจากออสการ์ ในฐานะหนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม แห่งปี 2008 ที่เพิ่งผ่านพ้น ..มันก็คงเป็นเรื่องที่ไม่แปลก ที่จะทำให้ใครต่อใครหลายคนจะรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ต้องมีของดีอยู่ในตัวของมัน

แต่ที่น่าแปลกใจ และชวนให้สงสัย เป็นอย่างยิ่ง ในส่วนตัวของผม เกี่ยวกับรางวัลที่ว่านี้ ในครั้งนี้ ..ก็คือ ความไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่า หนังจากผืนแผ่นทวีปเอเชียเดียวกัน อันเป็นของแดนอาทิตย์อุทัย ...จะมาได้ไกลถึงขั้นหยิบชิ้นปลามันกลับบ้านไปเสีย ในขณะที่หนังจากยุโรปที่เขาว่าเก็งหนักเก็งหนามาตลอด ก็ทำได้แต่เกร็ง(ลุ้นว่าจะได้) และสุดท้ายก็มองตาปริบๆ ด้วยความผิดหวัง

โดยเฉพาะกับหนังจากฝรั่งเศสที่ชื่อว่า “The Class” ที่ใครๆก็เคยคาดการณ์ไว้ต้องได้รางวัลหนึ่งเดียวอันนี้กลับบ้านไปสักตัว ..ก็ยังมาไม่ถึงที่สุดของความสำเร็จกันซะอย่างงั้น

และด้วยเหตุที่ไม่คาดคิดมาก่อน(หรือกระทั่งจะรู้จักหนังก็หาไม่)ที่ว่านี้นี่เอง ก็ได้เป็นเหตุและผลที่ทำให้ผู้ได้รับรางวัลในครั้งนี้ไปเสีย ต้องตกกลายเป็นเป้าสายตาของผมในทันที ..ที่ชักจะอยากรู้ว่า หนังเรื่องที่ว่านี้ มันมีดีอะไรหรือ ถึงได้แย่งลุงออสไปจากหนังที่เขาว่ากันว่าเป็นเต็งหนึ่งกันได้ (และเมื่อหนังเข้าฉายในบ้านเรา หลังจากประกาศรางวัล ผมก็ไปพิสูจน์ และเห็นดีเห็นงามว่า ควรจะได้รางวัลกลับสู่อ้อมกอดแดนน้ำหอมไปจริงๆ)

เมื่อได้ลองทำความรู้จักกับหนังเรื่องนี้ จากเนื้อเรื่องโดยย่อ ก็ทำให้ทราบว่า ..มันเป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องของความตายของคน ที่เกี่ยวพันกับคนในอาชีพๆหนึ่งที่ ใครๆเขาก็มองว่า มันเป็นงานที่สกปรก และไร้เกียรติ ซึ่งเป็นอาชีพเดียวกันกับที่แถวบ้านเรา เขาเรียกกันติดปากว่า “สัปเหร่อ” ...ในขณะที่ ญี่ปุ่น เขามีชื่อเรียกแทนมันว่า “โนคังฉิ”



หลังจากที่ต้องใจสลาย เมื่องานในความฝันแต่ครั้งเยาว์วัย ไม่สามารถสานสืบได้อีกต่อไป และชีวิตที่เหลือ ก็ยังไร้ซึ่งจุดหมายปลายทางที่วาดหวังไว้ .. “ไดโงะ” ชายหนุ่มนักเชลโล่คนบ้านนอก ผู้ที่เคยเข้าเมืองโตเกียว เพื่ออยากมาทำงานอันทรงเกียรติในวงออร์เคสต้า ขอเลือกที่จะหลีกหนีความช้ำอันไม่น่าอภิรมย์(เนื่องจากวงตนตรีที่เขาเล่นอยู่ ถูกยุบทิ้ง) ด้วยการเดินทางกลับบ้านเกิด ที่เขาไม่เคยกลับมานานแสนนาน พร้อมยังแบกความหวัง ที่คาดว่าจะมาตายเอาดาบหน้า โดยหางานง่ายๆ เงินดีๆ ที่พอจะถูๆไถๆให้ชีวิตของเขา กับ “มิกะ” ผู้เป็นภรรยาที่ติดสอยห้อยตาม ได้พอสุขสบายกันอยู่บ้าง

จนเมื่อ ไดโงะ ได้เปิดเจอโฆษณาสมัครงานในหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ที่แปะหราด้วยคำว่า “Departures” ..อันทำให้เขาเข้าใจว่ามันคงเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว นั่นจึงทำให้เขาไม่รีรอที่จะรีบตรงปรี่ไปยังบริษัทที่ว่านี้ และก็ต้องพบกับความน่าแปลกใจอย่างงุนงง เมื่อ ท่านประธาน “ซาซากิ” ผู้เป็นเจ้าของ ยินดีที่จะรับเขาและให้เริ่มงานได้เลยทันที โดยที่แทบจะไม่ทันได้สัมภาษณ์อะไรเป็นชิ้นเป็นอันด้วยซ้ำ



แต่แล้วความงุนงงที่เคยว่าอึ้ง ในเมื่อวันแรกเจอเจ้านายของเขา ก็เลือนหายเป็นปลิดทิ้งในทันที เมื่อเขาได้รู้และพบกับความจริงของ อาชีพที่ว่าด้วย “Departures” ในวันเริ่มต้นทำงานเป็นครั้งแรก ...ที่แท้แล้ว คำๆนี้ มันไม่ได้หมายถึง การท่องเที่ยว ใดๆเลย แต่มันกลับคือคำที่(มีอีกความหมายหนึ่ง)ว่าด้วย การจากลาไปสู่อีกภพหนึ่งของคน หรือที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่า ความตาย นั่นแล

หนังที่เกี่ยวข้องกับ ความตาย ..มันอาจจะฟังดูแล้วชวนให้คิดฟุ้งซ่านไปไกล ว่า คงจะเป็นหนังดรามา จิตตกหดหู่ ที่อาจทำเอาเราเครียด และมิวายต้องปลงไปกับเหตุการณ์ที่วนเวียนกับศพ เป็นไปทั้งเรื่องกันแหง

หากแต่เอาเข้าจริงแล้ว หนังที่ชื่อว่า “Departures” เรื่องนี้ ...กลับเลือกจะประพฤติตัวเอง ในแนวทางที่แตกต่างไปจากหนังอื่นๆที่วกๆวนๆกับความตาย ด้วยการนำเสนอเรื่องน่าเศร้าเหล่านี้ ให้เปลี่ยนผันออกมาในโทนของหนังดรามาที่แฝงความอบอุ่น อบอวลไปด้วยอารมณ์ขันชวนให้ยิ้ม ..หรือให้พูดง่ายๆกว่านี้ มันก็คือ หนัง ฟีลกู้ด แบบฉบับพี่ยุ่น ที่เราเคยเห็นโดยทั่วๆไป ดีๆนี่เอง

ซึ่งที่น่าสงสัย และน่าให้คิดในกรณีนี้ ..คือ ความแปลกใจ ที่หนังญี่ปุ่นอันมีจริตจก้านแบบเฉพาะตัว ที่ไม่น่าไปกันได้กับแนวทางของกรรมการผู้ตัดสินออสการ์ (เห็นปกติ ต้องเน้นหนังที่เครียด ขึงขัง และเข้มข้นเข้าว่า) กลับสามารถมาเหนือ เอาชนะหนังอีก 4 เรื่องที่ล้วนแต่เข้าทางแน่ๆไปได้ ...ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ประการหนึ่ง



แต่อีกประการที่ดูว่ามันจะยิ่งกว่าน่าอัศจรรย์ไปแล้วใหญ่ ..ก็คือ ความที่ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า หนังออสการ์เรื่องนี้ ดูง๊าย..ง่าย จนน่าใจหาย

ซึ่งมันก็อาจจะเกี่ยวๆกับ ที่ว่าปีนี้ ออสการ์ คงพยายามสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตัวเอง ด้วยการปล่าวประกาศเหล่าหนังฟีลกู้ด ดูสบายๆ ให้รู้ตัวว่า ตัวเองก็มีสิทธิ์จะได้ใจกรรมการได้เหมือนกัน ไม่ใช่แค่ต้องเครียดถึงจะได้รางวัลกลับบ้านเสียเสมอไป ...ดังที่ดูได้จาก กรณีที่ Slumdog Millionaire กลายเป็นผู้ได้รับผลส้มหล่นไปเต็มๆ ก็เห็นชัดเจน

แต่ถ้าไม่มองในแง่ดีจนเกินไปขนาดนั้นแล้ว ...Departures ก็คงไม่ได้รับอานิสงส์จากใครเขาหรอก แต่มันเป็นเพราะตัวหนังของมันต่างหาก ที่ทำออกมา โดน! ได้จริงๆ

ด้วยความที่หนังมาพร้อมความเรียบง่ายในการเล่าเรื่อง ไม่ต้องมีพิธีรีตอง หรือพยายามทำตัวให้มีเงื่อนไขอะไรมากมาย อย่างเช่นที่หนังออสการ์ต่างประเทศหลายๆเรื่องพึงกระทำกัน ...คงอาจจะทำให้คนดูที่หวังจะดูหนังแบบที่เข้มไปด้วยประเด็นหลายหลาก เผื่อจะช่วยทำให้สมองได้แล่น ต้องผิดหวัง

แต่ในความเรียบง่ายที่ว่ามา หากใช้ส่วนของจิตใจสัมผัสมากกว่าอวัยวะส่วนใดในร่างกาย ก็คงจะเข้าใจได้เลยว่า หนังเรื่อง ที่เล่าออกมาง๊าย..ง่ายแบบนี้นั้น ความเป็นจริงแล้ว การจะทำให้มันเป็นหนังที่ดีได้ ไม่ใช่เรื่องง๊าย..ง่ายเลย

ซึ่งเอาแค่ ความพยายามจะให้ Departures เป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องของความตายอันน่ารันทด แต่ยังดูเอาสนุกได้อย่างน่าอภิรมย์ ...ก็ถือเป็นโจทย์หลักๆที่ยากมากแล้ว

โดยนี่ยังไม่ทันต้องรวมกับองค์ประกอบอื่นๆ อีกที่เป็นของยิบย่อย แต่รวมๆกันแล้วก็ล้วนแต่มีความสำคัญเหมือนกัน เช่นว่า ..หนังเรื่องนี้ จะทำอย่างไรให้คนดูรู้สึกผูกพันกับตัวละครในหนัง หรือกระทั่ง จะทำอย่างไรให้คนดูรู้สึกว่า อาชีพ โนคังฉิ เป็นอาชีพที่มีเกียรติ ทั้งๆที่ก่อนหน้า เราก็รู้ๆกันอยู่ว่าคนจำพวกนี้ ทำได้แค่ปิดทองหลังพระ แต่ก็มิวายโดนรังเกียจจากสังคมรอบข้างอยู่ดี

นั่นจึงถือเป็นการบ้านที่หนักมากๆสำหรับผู้กำกับหนัง ที่ต้องสามารถผนวกทุกความพยายามผสมรวมให้กลายเป็นความลงตัว เพื่อที่จะทำให้คนดูรู้สึกร่วมไปกับหนังให้ได้ ..ซึ่งเอาแค่อย่างน้อยๆ ก็ขอให้คนดูไม่รู้สึกรังเกียจใน อาชีพที่หากินกับคนตายเช่นนี้ จนเป็นอันไม่สบายอกสบายใจไปทั้งเรื่อง ก็นับว่าเพียงพอ



หากแต่เอาเข้าจริง หนังเรื่องนี้ที่อยู่ในมือของผู้กำกับ “โยจิโร่ ทากิตะ” ..ก็ไม่ได้ทำออกมาไหลลื่น เพียงแค่ให้คนดูเกิดรู้สึกดีๆ ไปกับตัวละครที่เป็นสัปเหร่อในหนัง ...แต่ที่ให้ได้มากกว่านั้น ก็คือ การที่หนังสักเรื่องได้ทำให้เราเกิดความสุข อบอุ่นใจ ไปได้ในเวลาเดียวกันกับการเกิดเหตุการณ์ตรงหน้าที่ดูเศร้าสลดหดหู่เหลือแสน ..ซึ่งย่อมถือเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกันมาแต่ไหนแต่ไร แต่ดันเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยใน Departures เรื่องนี้เสียอย่างงั้น

การที่สองสิ่ง มันต่างมี Contrast ซึ่งกันและกัน แล้วต้องดำเนินให้เกิดขึ้นมาเป็นเหตุการณ์อันเดียวกัน ..ถือเป็นศาสตร์ศิลปะในการทำหนังอย่างหนึ่ง ที่ในบรรดาคนทำหนังด้วยกัน ต่างก็บอกว่ามันช่างยากช่างเย็นเหลือเกิน ที่จะสอดประสานให้มันต่างสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ..แต่ถ้าเกิดได้ลองว่าคนทำหนังสักคน ดันมีของดีอยู่ในตัวเอง แล้วสามารถนำของที่ว่ามาใช้ให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพด้วยแล้ว นั่นก็จัดเป็นเรื่องที่ยิ่งกว่าโชคเข้าข้าง



และการที่ออสการ์เข้าข้างให้หนังเรื่องนี้ได้รับโชค ..ก็คงไม่ใช่แค่เพราะตัวหนังที่ทำออกมาได้ดีอย่างเดียว แต่ยังจะต้องยกผลประโยชน์อีกอย่างให้กับของดีอีกสิ่ง ที่เรียกว่า บทหนัง ...ซึ่งสามารถทำให้สิ่งที่มันเคย Contrast กันมาตลอด กลายเป็นความลงตัวได้อย่างล้ำลึก

เมื่อบทดี มาอยู่บนมือผู้กำกับที่ทำความดีที่ว่านี้ออกมาได้ถึง ยังมาพร้อมๆกับการใส่ใจในรายละเอียดรอบข้างที่ประกอบเป็นหนังทั้งเรื่องด้วยกันแล้ว... ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่า Departures เรื่องนี้ มีความเหมาะสมต่อออสการ์ตัวเดียวที่ได้ชิงและได้มาอย่างสมควร เพราะถ้าลองว่าหากมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งดูไม่เข้ากัน ไม่ว่าจะจาก การแสดงที่ไม่เป็นธรรมชาติ ดนตรีประกอบไม่เพราะจนเสียดแทงใจ หรือกระทั่งว่างานโปรดักชั่นดูไม่งามประณีตด้วยแล้ว ...ผมว่า หนังคงไม่อาจจะมาไกลได้ขนาดนี้ก็เป็นได้



ซึ่งหากแม้โดยส่วนตัวแล้ว จะอาจยังไม่ได้ปลาบปลื้มกับพลังการแสดงของนักแสดงในหนังผู้ใดเป็นพิเศษ ...แต่ถ้ามองในแง่ของความโดดเด่น แต่ละตัวละครก็ล้วนมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้คนดูอยากจดจำแทบทั้งนั้น ..โดยเฉพาะกับคาแรกเตอร์ ท่านประธาน ที่มาพร้อมความสุขุม นุ่ม ลึก มีมาดในเบื้องหน้า แต่ในบางมุม ก็ยังดูเป็นคนอัธยาศัยดี ที่น่ารัก น่านับถือ จนน่าให้เชื่อว่าคนอย่างเขา มีความสามารถพอจะเปลี่ยนทัศนคติของพระเอกที่มีต่อ โนคังฉิ ได้ในที่สุด ..หรือกับตัวพระเอกเอง ที่ก็ดูว่าเล่นน้อย แต่สามารถจะให้ได้มาก จนอาจดูขัดๆกับภาพพระเอกหนังญี่ปุ่นเรื่องอื่นๆ ที่มักจะชอบเล่นให้มากเข้าว่า (แต่กลับทำให้ได้มากจริงๆ ก็มีไม่กี่รายหรอก)

ดนตรีประกอบ จัดว่าเป็นอีกสิ่งที่โดดเด่นอย่างมากในหนังเรื่องนี้ (สำหรับผม) ..เพราะถ้าวัดในแง่ของความติดหู ก็ถือว่า Departures สัมฤทธิ์ผลที่จะทำให้คนเกิดความตกหลุมรักในเสียงเชลโล่ อันเป็นพระเอกที่เด่นกว่าเครื่องดนตรีใดๆในหนัง (ต้องให้มันสมกับการเป็นของเคียงคู่ตัวละครพระเอกด้วยสินะ) ...เราจะได้ยินว่า เสียงเสียดสีของมัน ทั้งบาดลึก และดูทรงพลังในที หากแต่ถ้าฟังกันแบบเพลินๆ ชิลๆไปกับตัวหนัง ก็จะยังสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวล มีอ่อนมีหวาน พร้อมๆกันไป

ยิ่งเมื่อเอาตัวดนตรีที่งามงด มาบวกกับตัวภาพในหนังที่ถ่ายออกมาได้งดงาม ด้วยแล้ว ...มันเลยช่วยส่งผลบวกให้ Departures ทำเอาเราเคลิ้มกันได้ง๊าย..ง่ายเช่นนี้


แต่ถึงกระนั้นจะทำผมเคลิ้มได้ และหลายๆอย่างที่เห็นในหนัง ก็มักออกมาในรูปของความประทับใจเสียซะมาก ..หากจะต้องให้ถามใจกันจริงๆ เอาอย่างลึกๆ ด้วยแล้ว ...ส่วนตัวก็ยังไม่ใคร่ปลาบปลื้มใน Departures อย่างสุดตัว

ซึ่งมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับว่าหนังเรื่องนี้ ยังมีปัญหาใดๆ ในการทำให้เราไม่เชื่อได้สนิทใจอะไรหรอก ..แต่มันเกิดเนื่องมาจาก จริตส่วนตัวของผมล้วนๆ ที่ยังไม่อาจทำใจ ให้จับต้องกับจริตบางอย่างในหนังเรื่องนี้ ได้จนสนิท

ซึ่งเรื่องที่ว่าไม่ต้องจริตของผม ก็อยู่ในช่วงของฉากจบแทบทั้งหมด ..อันเป็นเพราะ ความที่โดยส่วนตัว ยังรู้สึกไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่ ที่หนังเลือกจะจบเรื่องจบราว ด้วยความจงใจน้ำเน่าไป(ไม่)นิดเช่นนี้

และแถมท้ายอีกอย่าง ...ผมว่า ประเด็น ความสัมพันธ์บนความขัดแย้งของครอบครัว ในหนังญี่ปุ่น มันมีออกมาเฝือ มีให้ผมได้ดูบ่อยเกินไปแล้ว

คือ ถ้าเพียง Departures ออกมาให้ผมได้เห็นกันเร็วกว่านี้ สัก 3-4 ปี ...ผมเชื่อเลยว่า มันคงอาจจะเข้าไปนั่งในหัวใจผมได้สนิทแนบแน่นมากกว่าที่เป็นอยู่นี้ได้แน่นอน

แต่ถ้าตัดเรื่องไม่ใคร่ชอบเหล่านั้นไปกันจริงๆ ...ผมก็ยังคงชอบหนังเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ในฐานะที่มันเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่เล่นกับเรื่องของความเป็นความตายได้น่าสนใจ ..แล้วยังจะให้เรารู้สึกด้วยอีกว่า การตายจากไปแล้วยังคงมีความสุขบนสัมปรายภพได้ มันจะเป็นเช่นไร?? ...ซึ่งมันก็คงจะเป็นอย่างที่หนังเรื่องนี้พยายามนำเสนอตลอดเวลา สองชั่วโมงกว่าๆ นั่นเอง

ถ้าเพียงเราได้ลาลับโลกนี้ไป แล้วยังคงมีใครเฝ้าอาลัยร่ำไห้ร่ำหา อีกยังคิดถึงแต่ภาพดีๆในอดีตวันวานที่น่าจดจำ พร้อมยังจะพยายามทำให้เราดูดีได้เหมือนวันนั้นที่เราเคยเป็น ...นั่นก็เท่ากับว่า เรายังคงได้รับเกียรติ จากคนที่รักเราเสมอ คนที่เขาไม่เคยลืมว่าเรา เคยเป็นใคร และเคยสำคัญขนาดไหน เมื่อตอนที่เรายังมีลมหายใจอยู่

แล้วมันจะไม่ให้สุขใจได้อย่างไรไหว ...ในเมื่อวันที่ เราจะได้อยู่บนผืนโลกเป็นวันสุดท้าย เราจะยังคงได้รับโอกาสได้แต่งชุดตัวเก่ง เสื้อผ้าที่เคยนิยมชมชอบ อีกยังจะได้หล่อสวยสมใจปรารถนา ...แม้กระทั่งว่าเราจะไม่สามารถขยับร่างกายทำได้ด้วยตัวเองอีกต่อไป ก็ยังอุตส่าห์มีใครบางคนทำให้เราได้สมหวังในที่สุด

ซึ่งนั่นก็คงต้องยกความดีความชอบทั้งหมดให้กับคนที่เราเรียกว่า สัปเหร่อ ...คนๆเดียว ที่กล้าจะทำในอาชีพที่คนทั่วไปเขามองว่า มันคือการหากินกับคนตาย มันคืออะไรที่น่าหัวเราะเยาะ ชวนอับอาย สำหรับคนนอก และมันยังเป็นเรื่องของการปิดทองหลังพระที่ไม่น่าอภิรมย์ที่สุดในโลกใบนี้อีกต่างหาก

แต่มันจะไปมีความหมายอะไรเล่า กับคำพูดดูถูกค่อนขอดต่างๆ ...หากใจของคนอื่นๆ ไม่เคยได้โอกาสลึกซึ้งกับสิ่งที่เขาทำมันด้วยใจและความมีเกียรติ มาก่อนเลย

เพราะฉะนั้นหากคุณอยากลองรู้จัก สัปเหร่อ อย่างจริงๆจังๆ ..ก็ขอแนะนำให้คุณมาดู มาซึ้งกับหนังเรื่องนี้ อย่างจำเป็นในเวลานี้

เพราะ หากถึงคราที่ว่าคุณได้ตายจากโลกนี้ไปโดยไม่ทันได้เข้าใจความเป็นจริง ...ก็คงจะแต่ต้องเสียดายกับโอกาสที่เคยมี ที่เพิ่งได้มารับรู้อีกที ในวันที่ร่างของคุณไร้วิญญาณ และไม่อาจกล่าวคำขอบคุณใดๆให้เขาคนเหล่านั้นได้ยินอีกต่อไป

เพราะเช่นนี้นี่เอง คำว่า เสียดายคนตาย..ไม่ได้ดู (ที่อยู่บนหัวข้อ) จึงเหมาะสมกับหนังเรื่องนี้เป็นที่สุด!!!



ขอแนะนำ...ครับ

ฉายเฉพาะที่.. "APEX Siam Square" และ "HOUSE RCA"


เกรด A- ... {}




ปล. แต่ถึงอย่างไร โดยส่วนตัวผม ตอนนี้ก็ยังยกให้ "The Class" เป็นหนังที่ได้ชิงรางวัลออสการ์หนังต่างประเทศ (ของปีล่าสุด)ที่ผมชอบมากที่สุด (ขณะที่ยังไม่มีโอกาสได้ดู "Waltz With Bashir" ที่ใครๆแถวนี้เลื่องลือมากกว่า) ...นี่คือ หนังที่ค่อนข้างจะทำตัวเป็นสารดคีอยู่พอสมควร แต่ถ้าใครสามารถทานทนกับหนังที่พูด พูด พูด และพูด กันทั้งเรื่อง แบบแทบไม่หยุดพักเช่นนี้ได้ ...ขอบอกว่าหนังเรื่องนี้ เสียด และสี สังคมการศึกษาโลก ได้โดนหนักๆ ถึงที่คันของคุณแน่นอน ..สามารถตามหาหนังเรื่องนี้ได้ในรูปแบบดีวีดี และวีซีดี (ที่คงจะมีมาให้เห็นปรากฏในเร็วๆนี้ ..หรือถ้าขี้เกียจรอ ก็บิดขี้เกียจกันหน่อยละกัน )




ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว-แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว)-ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน

ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ


ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน
ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ




 

Create Date : 07 กรกฎาคม 2552
3 comments
Last Update : 7 กรกฎาคม 2552 0:31:44 น.
Counter : 2466 Pageviews.

 

ไปดูเพราะสงสัยเหมือนกันค่ะว่าทำไมถึงได้รางวัล แต่ดูจบแล้วก็คิดว่าสมควรให้เขาล่ะค่ะ

 

โดย: mococo (pjayc ) 7 กรกฎาคม 2552 0:36:53 น.  

 

+ หนังเรื่องนี้มันเล่นกับความรู้สึก ดังนั้นจึงต้องใช้ "ใจ" ดู (สงสัยใช้มาตรฐานเดียวกับ Slumdog) มากกว่าใช้สมอง ก็เลยทำให้ดูเหมือนกับว่ายังมีจุดบอดบางประการอยู่ ... ซึ่งสำหรับตัวพี่ มีอยู่ 2 สิ่ง ก็คือ
1. พระเอกแสดงคาแรคเตอร์ของเขาให้ออกมาเป็นอารมณ์การ์ตูนญี่ปุ่นมากไปหน่อย ทำให้ดูขัดๆ กับเรื่องราวอย่างไรพิกล

2. เกี่ยวกับ "2 ความตายสุดท้าย" (อันหนึ่ง ก็คือที่นัทไม่ชอบด้วยนั่นแล) ที่ดูจะเป็นภาคบังคับที่จงใจเมโลดราม่ามากเกินไป (แต่ก็คงต้องใส่เข้ามา ไม่งั้นจะจบหนังไม่ลง และอาจไม่ประทับใจเท่านี้)

+ แต่โดยรวมๆ ถือว่านี่เป็นหนังอีกเรื่องของปีนี้ที่กินใจ อิ่มอุ่น (ต้องแอบปาดน้ำตาป้อยๆ อยู่หลายที) เอามากๆ ครับ ... ฉากที่ประทับใจสุดๆ ก็คือตอนที่พระเอกเริ่มอินกับการเป็นโนคังฺฉิ แล้วไปทำพิธีให้แก่ครอบครัวต่างๆ ดูแล้วน้ำตาแทบไหลเป็นสาย เมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนในครอบครัวเหล่านั้นอ่ะครับ

 

โดย: บลูยอชท์ 12 กรกฎาคม 2552 22:53:40 น.  

 

ผมกลับรู้สึกแตกต่าง นี่คือหนัง ที่ผมร้องไห้มากที่สุด (ดีที่เลือกที่นั่งห่างจากชาวบ้าน) มันมาหลายระลอกเลยจนดูเสร็จแสบตาเลย หนังบางเรื่องจะมีไคลแมกซ์ที่ทะลักไม่กี่ครั้งในเเนวของพี่ยุ่นก้อคงแบบ love letter หรือ heaven children ,cinema pradiso
แต่นี่มันมาเรื่อยๆ ดีที่สุดในรอบปีเลยน่ะแม้จะดูแบบละครตอนหัวค่ำ ผมว่าถ้า slumdog คืองานที่เด่นแง่เทคนิคการเล่าเรื่อง เรื่องนี้ มันใช้อารมณ์เล่าเรื่องล้วนๆๆ
งานศพที่ดีที่สุด ผมว่าน่าจะเป็นงานแรกที่มาสายโดนด่า ว่าเป็นพวกหากินกับศพ น่ะครับมันเปลี่ยนความคิดของตัวเอกได้เลย ส่วนป้าโรงอาบน้ำนี่เดาตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องเปนงานที่ เรียกกการยอมรับจากเพื่อนและเมีย
ไปดูเหอะครับ slumdog ผมดูสามรอบ เรื่องนี้ ต้องซื้อเก็บมาดูหลายๆๆรอบแบบ love lettter or c hildren heaven? (เอ ยังไงถูกแน่)

 

โดย: tan812 IP: 192.168.50.231, 125.24.34.22 16 กรกฎาคม 2552 19:23:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


OncE UPoN'-'a MaN
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์

คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี
พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ
พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา
พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!)

ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว

ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก

ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ

once_upon.a.man@hotmail.com


My @ http://twitter.com/once_upon_a_man

ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่าน

ผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย

ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน

ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ

OncE UPoN'-'a MaN on Facebook
Blog ใหม่ล่าสด..สด
"VieTrio & Friends" ... เพื่อนร้อง พี่น้องเล่น เป็นเพลงเพราะเสนาะหู
"Lady Antebellum : Need You Now" ... ลูกทุ่งแบบมะกัน แต่สีสันระดับโลก
"The Social Network" ... วันนี้ คุณรู้จัก Facebook ดีพอแล้วหรือยัง?
"Harry Potter and the Deathly Hallows : Part I" ... ฉันต้องเปิด เพื่อจะปิด!
"Scrubb : Kid" ... คำตอบของเพลงอินดี้ที่ฟังง่าย อยู่ในอัลบั้มนี้แล้ว
"Due Date" ... รวมกันเราต้องอยู่ (กรุณา)อย่าทิ้งตูเป็นอันขาด!!?
"B.o.B. Presents: The Adventures of Bobby Ray" ... อาจเป็นฮิปฮอปหน้าใหม่ แต่ไม่ขอยึดติดความฮิป
"RED" ... โตอย่างสมวัย แก่อย่างมีคุณภาพ และจงระห่ำอย่างไม่เหลืออะไรจะเสีย!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... (หนังสั้น)แบบตัวเต็ม ที่ไม่มีอะไรมากมาย แต่ก็ยังมีความจริงใจ!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... กับตัวอย่างน้ำจิ้ม ของหนังสั้นที่คงจะมีอะไรๆอยู่ในนั้น
"อินทรีแดง" ... สมศักดิ์ศรีที่ได้กลับมา ..วีรบุรุษที่หนังไทยต้องการ!
"ชั่วฟ้าดินสลาย" ... เมื่อคำ “รัก” มีค่าเท่าคำว่า “ร้าย” คงทำลายคนทั้งหลายให้วายวอด
"Resident Evil : Afterlife" ... สงครามยังไม่จบ ยังต้องนับศพซอมบี้จนเบื่อกันไปข้าง!!
"Lula : Twist" ... เพลงฟังชวนเพลิน จากคนเพลินๆ ที่ชื่อ 'ลุลา'
"Piranha 3D" ... กัดกระจุย เลือดกระจาย สามมิติกระเจิง!!!
"CHARICE" ... เพชรน้ำงามเม็ดเล็กแห่ง ‘เอเชีย’ ที่คู่ควรกับการเจียระไนโดย ‘อเมริกา’
"กวน มึน โฮ" ... ความรัก อาจแพ้บ้างอะไรบ้าง แต่ ความ ‘เห็นแก่ตัว’ เอาชนะได้ทุกสิ่ง!
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
7 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add OncE UPoN'-'a MaN's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.