+-+ OncE UPoN'-'a MaN +-+ รักนะ.. คนอ่าน เข้ามาดู.. โดนใจ ออกไป.. อย่าลืมกัน
Summary for Best of the Year 2012 ..Please CLICK!!
ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ {The Best of 2009} : “10 หนังดี ..in Cinema” ...ที่สุดแห่งความประทับใจของผม



ขอสวัสดีปีใหม่ 2553… และยินดีต้อนรับ ทุกๆท่านเข้าสู่การสรุปทุกความรู้สึกของผม OncE UPoN'-'a MaN ที่มีต่อเรื่องราวของภาพยนตร์ ใน 365 รอบวันที่ผ่านมา ในปี 2552 ที่เพิ่งพ้นไป ...กับ "ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์" {The Best of 2009} นะครับ...



{The Best of 2009} ที่ผ่านพ้นมาแล้ว.. ขอชวนย้อนกลับไปอ่านกันได้ โดยคลิกที่แบนเนอร์ข้างล่างนี้เลยครับผม















แล้วก็ถึงเวลาที่ผมจะสรุปความเป็นที่สุดของที่สุดของปี 2009 ในสาขาที่ใหญ่ที่สุดสักที ..และทีนี้ ก็จะมาว่ากันเฉพาะเรื่องของความชอบ ประทับใจ หรือสุดๆก็คือ รักแล้วรักเลย

สำหรับในปีที่ผ่านมานี้ ผมได้ดูหนังในโรงหนังไปด้วยจำนวนทั้งหมดทั้งสิ้น 84 เรื่อง ..และเมื่อแบ่งออกมาเป็นหนังที่ได้รับเกรด A (ที่ไม่มีเครื่องหมายลบห้อยท้าย..นั่นคือความหมายว่า ชอบ แต่ยังไม่ถึงสุดๆ) โดยเฉพาะแล้ว ก็จะเหลือให้นับเพียง 18 เรื่อง ด้วยกัน

แต่กระนั้น เมื่อบอกว่าแต่หัวบล็อกว่ามีได้แค่ 10 ก็ต้องทำยังไงก็ได้ให้เหลือแค่ 10 จริงๆ ..ฉะนั้น 8 เรื่องที่จะไม่ได้ไปต่อในจุดๆนี้ มันก็ควรจะยังได้รับการสรรเสริญด้วยการประกาศชื่อออกมา เป็นเกียรติ เป็นศรี อยู่ดี

แม้ว่า มันจะยังมีอะไรเล็กๆน้อยๆ เป็นก้างที่ขวางกั้น หนังเหล่านี้ ไม่ให้เดินเข้าหัวใจของผม ไปถึงสุดทาง แต่ถึงอย่างไร 8 เรื่องต่อไปนี้ ก็คือหนังที่ผมจริงจังจะมอบเกรด A ให้ด้วยใจจริง ...เพราะอย่างน้อยๆ มันก็ส่งผมออกจากโรงมาได้ด้วยความสุข ความบันเทิง หรือมองเห็นสาระ จากการที่ได้ดู...





“Doubt” ...คิดว่า ดูการแสดง(รวมดาวดังคับคุณภาพ) อย่างเดียว ก็ต้องจัดว่าคุ้มแล้วจริงๆ ..แต่ที่มากไปกว่านั้น หนังเรื่องนี้ ยังมีอะไรที่ชวนให้กลับมาคิดสะท้อนใจ ชวนให้สะอึก ...ซึ่งมันก็จริงก็อย่างที่ในหนังเขาเปรียบไว้กับหมอนขนเป็ดนั่นแหละ ..เมื่อเรากรีดมันแล้ว ขนปลิวว่อนไปทั่ว ถึงเวลาจะให้ตามเก็บมันไม่มีทางทำได้หรอก ..สำหรับ คนที่ขี้ปากเหม็นจนต้องแพร่(เรื่อง)ความเน่าออกมาบอกต่อ ขอให้รีบหาหนังเรื่องนี้มาดูโดยด่วน!







“Milk” ...การแสดงของ “ฌอน เพนน์” อาจจะคือ สิ่งที่ต้องได้เห็นที่สุด สำหรับหนังเรื่องนี้ก็จริงอยู่ ..แต่ถ้าใครอยากคิดเข้าใจใน ชาวสีม่วง อย่างแท้จริง (ไม่ว่าคุณจะมีอคติกับเขาหรือไม่ก็ตาม) นี่คือ หนังต้องดู ..เพราะเมื่อดูจบ คุณจะรู้เลยว่า การต้องมาเป็นคน(ที่สังคมไม่เข้าใจ)อย่างนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และย่อมไม่ใช่เรื่องที่สนุกเลยจริงๆ







“The Class” ...นี่คือ หนังที่ทำและเล่าออกมาในอารมณ์สารคดีอย่างเนียนๆ แต่มีบทเดินเรื่องที่เฉียบ น่าติดตาม และยังสามารถสะท้อนปัญหาสังคม การศึกษา ของคนทั้งโลกได้อย่างถึงกึ๋น ..จนควรจะถือให้หนังเรื่องนี้ เป็นหนึ่งในหนังต้องดู สำหรับผู้ที่ทำงานทางด้านการศึกษา ไม่ว่า คุณจะเป็นคุณครู ผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่ หรือกระทั่งรัฐมนตรีกระทรวงฯ ...ดูแล้ว ขอให้คิด คิดแล้ว ก็ขอให้เปลี่ยน!







“Star Trek” ...แม้จะไม่ใช่เทรคกี้ตัวยง แต่คนดูหนังหวังสนุกทั่วๆไป ก็ควรจะได้ดู ..เพราะ สตาร์ เทรค ภาคนี้ คือ การเปิดตำนานทางอวกาศบทใหม่ ที่กล้า และทำอย่างแตกต่าง ..หนำซ้ำ สิ่งที่ “เจ.เจ. แอบรามส์” ทำกับหนัง(ชุดสุดอมตะ)ที่เขารัก ก็ต้องถือว่าน่ายกย่อง ใกล้ๆเคียงๆกับ สิ่งที่ “คริสโตเฟอร์ โนแลน” เคยทำเอาไว้กับ มนุษย์ค้างคาว ...เรียกได้ว่า ถ้าจะมีภาคต่อไป ก็จำเป็นต้องมีผู้กำกับที่ชื่อเป็นตัวอักษรซ้ำกันผู้นี้ มานั่งคุมยานเอ็นเตอร์ไพรซ์ ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น







“Last Chance Harvey” ...ถึงว่าตัวหนังจะเล่าเรื่องได้ซิมเปิลๆ และตัวพลอตก็ยังดูเดิมๆ ไม่แปลกอะไร ..แต่ถ้ายังคงคิดถึง หนังดรามา โรแมนติก ที่มีนักแสดงคุณภาพระดับตัวพ่อ ตัวแม่ (และอาจต้องพ่วงว่าเป็นบุคคล ‘อาวุโส’) ได้ที โดดลงกลับมาเล่นเป็นตัวพระ ตัวนาง ตัวหลัก แล้วละก็ ..นี่คือ เรื่องที่ ห้ามพลาด!







“Let the Right One In” ...แวมไพร์กระหายรักที่หน่อมแน้มแบบ “Twilight” จงหลบไป แล้วเปิดทางให้กับ แวมไพร์กระหายรักแบบเลือดสาด ที่ระทึกสุดอารมณ์ ให้ถูกใจพระเดชพระคุณผู้นิยม หนังดาร์กๆ หม่นๆ แต่ก็ยังกล้าแอบผสมความอ่อนหวาน ลงไปได้อย่างอ่อนโยน.. ทำให้หนังแวมไพร์แบบเด็กๆ ดูโตเกินตัว เป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดมากกว่า หนังแวมไพร์ของผู้ใหญ่(ใจเด็ก)บางเรื่องเขาพึงเป็นกันเสียอีก







“รถไฟฟ้ามาหานะเธอ” ...แม้จะไม่ได้ดีเลิศเลออะไรนัก และก็ไม่ได้มีเรื่องที่โดนใจเต็มๆ แบบ “เพื่อนสนิท” หรือว่า “แฟนฉัน” ..แต่ถ้าดูเอาความน่ารักแล้ว หนังเรื่องนี้ คงต้องให้คะแนนเต็มๆ อย่างไม่มีข้อแม้ ..เป็นหนึ่งในหนังของ GTH เพียงไม่กี่เรื่อง ที่จะให้ดูอีกสักกี่ครั้ง กี่ที ก็ทำให้ผมอมยิ้มปนซึ้งได้ตลอดศก







“Julie & Julia” ...ตอนแรก ก็แค่อยากจะดูการปล่อยของ ของเจ้าป้าที่รัก เพียงเท่านั้น ไปๆมาๆ ดันตกหลุมรักให้หนังพลังหญิงเรื่องนี้เข้าเต็มๆ ..ที่เป็นอย่างนั้น อาจจะเกี่ยวเพราะผมเป็นคนรักอาหารเช่น จูเลีย หรือว่าเกี่ยวที่ผมหลงรักการทำบล็อกแบบ จูลี่ ก็คงได้ ..แต่ที่เกี่ยวเป็นที่สุด นี่คือ หนังที่น่ารักมากๆ อีกเรื่อง เป็นประเภทดูแล้วก็อยากดูอีก ชวนอิ่มสุขได้เสมอๆ





จบสิ้น กับการบอกลาที(แต่ไม่ลาขาด)หนังดีที่ผมต้องคัดออก ..ก็ได้เข้ามาสู่ 10 เรื่องสุดท้าย ที่ผมไม่อาจรับประกันว่า มันจะตรงกับใจใครหลายๆคน ทุกๆเรื่อง ...เพราะแน่นอนว่านี่คือความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ

แต่กระนั้นผมก็มั่นใจแล้วที่จะบอกกล่าว กับหนังที่ผมเลือกมาต่อไปนี้ ..และเหล่านี้ คือ ที่สุดแห่งปี ที่ผมแสนจะภูมิใจนำเสนอ




The Best of Movie ..in Cinema
หนังที่เป็นสุดแห่งความประทับใจ..ในโรง





++++++++++++++++++ อันดับที่ 10 ++++++++++++++++++


หลังจากทิ้งไปกำกับหนังซูเปอร์ฮีโร่พ่นใย กันได้นานเสียนาน จนก่อร่างสร้างตัวให้ดังระดับซูเปอร์คับโลกไปเรียบร้อย.. แล้วเขาก็คืนกลับมาสู่รากเหง้าที่เคยคุ้น แต่ขณะเดียวกันบางคนอาจไม่ค่อยคุ้นเคย

ยกตัวอย่างเช่น ผมที่เพิ่งจะได้ดูการทำหนังสยองของเขาเป็นเรื่องแรก ..อาจด้วยอารมณ์ที่คล้ายคลึงกับคิดว่า นี่คือ การพลิกมาทำหนังแนวใหม่ ...แต่ หากใครได้รู้จัก “แซม ไรมี่” มานานแล้วจริงๆ ก็คงต้องเคยดูและซูฮกใน หนังผีลืมหลุม ตระกูล “Evil Dead” ทั้งหลายแหล่

ด้วยความที่ผมไม่เคยได้ดู Evil Dead มาก่อน ก็เลยไม่อาจมีตัวเปรียบเทียบใดๆ ในเรื่องของความสนุก.. แต่เมื่อคิดไปว่านี่เป็นหนังของ แซม ไรมี่ ที่อยากจะทำอะไรสนุกๆ แบบทางที่เป็นตัวตนของเขาจริงๆ ...ผมก็ได้พบว่า นี่คือ หนังที่แสดงให้เห็นเลยว่า อดีตผู้กำกับไอ้แมงมุมคนนี้ เมื่อเขาบ้าได้สุดตัว เขาก็โชว์ความหลุดโลกได้สนุกเป็นที่สุด

ดูแค่จากชื่อหนัง มันต้องการสื่อความน่าสยองขนาดไหน เท่านั้นก็คงเพียงพอ ..เพราะเมื่อเราดูที่เจตนาของตัวหนังแล้วจะพบว่า มันไม่ใช่แค่ตัวละครในเรื่องที่ต้องเจออย่างงี้หรอก หากต้องรวมกับคนดูหน้าซื่อๆ อย่างเราๆ ที่ถูกล่อลวงเสียตังค์ ให้มาโดนฉุดกระชากลงนรก กันแท้ๆ ...และด้วยเหตุนี้นี่เอง หลายต่อหลายคนที่หลวมตัว จึงจำใจต้องมามีความสนุกบนความทรมานทรกรรมของตัวเองกันสักเหลือเกิน รวมถึงผมที่พยายามหนีตายออกจากโรงอย่างเหนื่อยอ่อน เพื่อจะได้มาบอกว่า นี่คือ หนังสยองที่ดีที่สุดของปีนี้นี่เอง!






หนังเรื่องนั้นคือ... “Drag Me to Hell”





++++++++++++++++++ อันดับที่ 9 ++++++++++++++++++


แม้บางคนจะบอกว่า นี่คือ หนังซัมเมอร์ ที่อ่อนที่สุด ในเรื่องของความสนุก ..และเปี่ยมล้นไปด้วยความน่าผิดหวัง สำหรับหนังภาคต่ออีกเรื่องหนึ่ง ...แต่ผมไม่คิดเห็นอย่างนั้น หนำซ้ำยังรู้สึกว่า หนังภาคต่อชุดนี้ ได้เลือกจะมาถูกทางแล้ว

ซึ่งถึงผมจะเป็นแฟนหนังสือคนหนึ่ง และค่อนข้างจะหวั่นใจทุกทีที่หนังจากหนังสือชุดนี้ออกฉาย ด้วยความกลัวที่คาดว่า หนังจะทำออกมาได้ไม่ถึงที่หนังสือเล่าไว้อย่างน่าติดตาม ..แต่กระนั้น ผมก็ยังให้โอกาส และจนถึงล่าสุด ก็พบว่าโอกาสที่ผมได้ให้ไปในครั้งใหม่นี้ ยังให้ผลตอบรับกลับมาอย่างดีที่สุด เท่าที่หนังชุดนี้ เคยทำมาเลยทีเดียว

แม้ในหนังจะดัดแปลงบางเรื่องบางราวไปอีกทาง หรือว่าตัดตอน ตัวละคร เหตุการณ์ แรงจูงใจ บางอย่างออกไป ...แต่ผมก็ไม่รู้สึกเสียดายเลยที่ ฉบับหนังจะเลือกทำอย่างนั้น แถมเมื่อเล่าออกมาด้วยภาษาภาพเช่นนี้ มันกลับดูลงตัว ไหลลื่น และประคองอารมณ์คนดูได้อยู่กับตัวหนังทั้งเรื่อง มากกว่าที่เคยเป็นในภาคก่อนๆเสียอีก

หลายๆคน อาจจะคิดว่า คนที่ไม่เคยคิดเป็นแฟนหนังสือ ก่อนจะได้มาทำหนังอย่าง “เดวิด เยตส์” จะไปรู้อะไรๆดีเท่า คนที่เป็นแฟน ได้เสียล่ะ ..แต่ผมกลับคิดว่า เรื่องบางเรื่อง ถ้าให้คนที่เก่งศิลปะการทำหนัง มาเล่าในมุมของเขา ดีไม่ดี มันอาจจะออกมาสวยกว่าที่เราเคยจินตนาการไว้ก็เป็นได้ ..แล้วผมก็มองว่าหนังที่มีว่าด้วยเรื่องของพ่อมดน้อย ในภาคใหม่ ภาคนี้ เขาได้ทำสิ่งนั้นลงไปเรียบร้อยแล้ว ...และมันก็ทำให้คนที่คิดปลดเปลื้องสถานะแฟนหนังสือทิ้งไป คนนี้ อยากคิดจะจินตนาการไปนานาว่าภาคสุดท้าย คงจะมีอะไรที่เหนือ และเป็นที่สุดมากกว่าที่เคยๆเป็นมาด้วยอีกต่างหาก






หนังเรื่องนั้นคือ... “Harry Potter and the Half-Blood Prince”





++++++++++++++++++ อันดับที่ 8 ++++++++++++++++++


นี่คือ หนังที่อาจจะเข้ามาอยู่ในใจของผมด้วยความแปลกและประหลาด ที่มีมากไปกว่าเรื่องอื่นๆด้วยกัน ..และอาจทำให้หลายๆคนที่เคยได้ดูมันมา คงจะคิดว่าผมได้เพี้ยนไปแล้ว!

แต่ผมก็ไม่ยักกะแปลกใจในตัวเองจริงๆ ที่ยังจะเลือกหนังเรื่องนี้ให้ติดลิสต์ที่สุดแห่งปีมาด้วย ..ด้วยเหตุผลที่ว่า ผมรักในสิ่งที่หนังเรื่องนี้ต้องการจะสื่อสารกับคนดู ...ถึงต่อให้ใครบางคน จะไม่เข้าใจ อีกเห็นว่ามัน ดูบ้าบอ เลอะเทอะ และหลุดโลก ไปกันหมด

แต่ผมก็อยากให้คุณลองๆกลับมาคิดถึงมัน แบบปะติดปะต่อไปพร้อมกับเรื่องราวที่หนังเล่าไปเฉลยไปดูสักที ..ถ้าคุณมองเห็นหนังเรื่องนี้ เป็นเหมือนจิ๊กซอว์ ที่ต้องต่อให้ครบถึงจะเห็นภาพรวมทั้งหมดแล้วละก็ คุณก็คงจะรู้สึกคล้ายๆกับผม ที่มองว่า หนังเรื่องนี้ มีภาพความเป็นจริงที่แสน ‘อัปลักษณ์’ ของโลกใบนี้แสดงอยู่ ...มันไม่ได้มาแบบแค่แอบๆ ซ่อนเร้นอย่างเนียนๆ หากแต่เลือกจะโชว์หราอย่างใหญ่โต ต่อหน้าต่อตาเราตรงๆ ..เป็นผืนจิ๊กซอว์อันประกอบสมบูรณ์แบบ ที่แสนจะไม่น่ามอง แต่เราก็หมดทางเลี่ยงจะต้องพบ เมื่อคิดเสียว่า สิ่งที่เกิดในหนังเรื่องนี้ มันล้วนบังเอิญ เกิดได้จริงกับทุกๆคนที่มีชีวิตอาศัยอยู่บนดาวแสนประหลาดดวงนี้

ที่ก็ไม่แน่ ว่าในสักวัน มันอาจจะมีใครบางคน หยิบยื่นโชคมาให้เราถึงหน้าประตูบ้าน ..เพียงแต่ถึงจุดนี้ ก็ยังไม่อาจทราบได้ว่าจะเป็น โชคดี หรือ โชคร้าย กันแน่หว่า!!?






หนังเรื่องนั้นคือ... “The Box”





++++++++++++++++++ อันดับที่ 7 ++++++++++++++++++


โดยภาพรวม หนังเรื่องนี้ ย่อมไม่ใช่หนังที่จะต้องถูกยกย่องความยอดเยี่ยมได้เทียบเท่ากับ หนังที่เล่าเรื่องด้วยอารมณ์คล้ายๆกันอย่าง “Forrest Gump” ..มันไม่ได้กินใจสุดๆ มันไม่ได้มาพร้อมประโยคเด็ดที่ทำให้เราต้องจำจดจนวันตาย และมันก็ไม่ได้ทำให้เราต้องอมยิ้มอิ่มสุข เมื่อได้ดูจนจบ

แต่ถ้ามองว่า หนังเรื่องนี้ เน้นย้ำจะพูดถึงเรื่อง ความอนิจจัง ของมนุษย์ เป็นจุดหมายหลักแล้ว เราก็ไม่ควรจะยิ้มให้กับ มันหรอกนะ ...เพราะเอาเข้าจริง ความตาย ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ทำให้คนมีความสุขได้ เมื่อคิดถึงมัน

เพียงแต่อย่างไร ก็จงเข้าใจ ว่ามันไม่มีทางหนีพ้น! ..ไม่ว่าเราจะตายโหง ตายห่า หรือว่าตายอย่างสงบ สุดท้ายร่างกายของคน ก็เป็นสสารที่ถูกย่อยสลายลงผืนดินอยู่ดี ...และที่สำคัญยิ่งกว่า ก็ไม่มีใครในโลกนี้(อันคือสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งอย่าง) จะคงสภาพ สดาฟฟ์ตัวเอง ให้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ได้ตลอดไป ..ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับตัวละครในหนังเรื่องนี้ ...แม้จะมีคนที่ผ่าเหล่าผ่ากอ อย่างตัวละครที่เป็นเจ้าของชื่อหนัง ที่เกิดมา และตายไปไม่เหมือนคนอื่น แต่กระนั้น เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็น สิ่งมีชีวิต แล้วในวันหนึ่ง ชีวิตของเขาก็ต้องจบลงไปเหมือนคนอื่นๆอยู่ดี

หากถึงกระนั้น มันก็น่ายินดี มีสุข อยู่หนึ่งสิ่ง ที่เขาได้ตายลงในอ้อมกอดของคนที่เขารักที่สุดนี่แหละหนา ..ซึ่งนี่คือ สิ่งที่มันไม่อาจเกิดขึ้นกับเราได้ และอาจไม่ใช่ความโรแมนติกครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบในชีวิตนี้ ...อย่างเช่นที่หนังเรื่องนี้ ทำให้เรารู้สึกว่า การได้เกิดมามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เพียงเพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ มันมีคุณค่ากับเราได้มากมายขนาดไหน ..ผมอินกับหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆ ก็เพราะตรงนี้นี่แหละ






หนังเรื่องนั้นคือ... “The Curious Case of Benjamin Button”





++++++++++++++++++ อันดับที่ 6 ++++++++++++++++++


ดูจากเนื้อเรื่องของหนังที่จะว่าในอันดับนี้แล้ว คงจะรู้สึกไม่แตกต่างกับหนังดรามาอีกหลากเรื่อง ที่นำเสนอชีวิต กับการต่อสู้ของคน เพื่อจะทำให้ตัวเองอยู่รอด และเกิดมีความสุขได้ เมื่อถึงบั้นปลายตอนจบของเรื่องราวในห้วงนั้น(ที่หนังเล่า)แล้ว

แต่กระนั้น เมื่อมามองพินิจพิจารณา ที่ตัวหนังกันเป็นสำคัญไปแล้วละก็ ..คงจะพูดเพียวๆไม่ได้เลยว่า นี่มันก็แค่ หนังน้ำเน่า เรื่องหนึ่ง แต่ยังจะต้องเพิ่มลงท้ายไปด้วยว่า นี่มันเป็นหนังน้ำเน่า..‘ที่เปี่ยมล้นไปด้วยสีสันและเสน่ห์อย่างรุนแรง’ ...ต้องให้เป็นหนังที่จัดอยู่ในประเภท ไม่อาจเจอ(ใครทำ)ได้ ในบ้านเรา(ที่มีความน้ำเน่ากันดาษดื่น)เลยทีเดียว

คิดดูสิว่า คนไทยอย่างเราๆ เคยเจอหนัง(หรือละคร)น้ำเน่า เรื่องไหนบ้าง.. ที่เล่าเรื่องแบบมีลูกเล่น มีมุมมองที่แพรวพราว มีการตัดต่อที่เร็วว่อง ฉับไว มีการจับภาพที่ดูดิบ ให้อารมณ์ของคนที่แท้จริง ไม่แต่ง ไม่เฟค และจะมีเรื่องไหนอีกบ้าง ที่ทำให้เราต้องลุ้นกับชะตากรรมของตัวละครแต่แรกเริ่มเดินเหตุ ไปจนสุดทาง ทั้งๆที่ก็รู้เป็นแน่ว่า สุดท้าย เขาต้องประสบความสำเร็จในชีวิต กับทุกสิ่งทุกอย่างแน่นอน

แต่ถึงจุดนี้ ผมก็ไม่ได้กล่าวโทษโกรธเคืองความเป็นไทย ที่ไม่เคยไปถึงจุดที่หนังเรื่องนี้ไปได้ถึงหรอกนะ... เพียงแต่ คนไทยคนนี้ มันตื่นตาตื่นใจกับความน้ำเน่าของหนังระดับโลกเรื่องนี้ เหมือนอีกหลายหลากคนบนโลกนี้เขาพึงเป็น ..จนพาลทำให้รู้สึกอยากคะยั้นคะยอให้ มีใครสักคนในประเทศนี้ ได้ดูหนังเรื่องที่ว่า แล้วเริ่มคิดจะเล่าเรื่องน้ำเน่า แบบมีอะไรที่มี Sense และแปลกใหม่ เช่นนี้ดูบ้าง ...ถ้าอัพเกรดตัวเองได้ คน(ที่เบื่อหน่ายความเดิมๆ)คงกลับมาสนใจความเป็นไทยแบบนี้ กันอีกครั้ง เหมือนเมื่อครั้งยุคที่โกโบริ-อังศุมาริน ทำให้คนไทยนัดหยุดจะทำอะไรที่นอกบ้านพร้อมๆกัน โดยมิได้นัดหมาย ...หรือจะมองในกรณีของหนัง กับหนังเรื่องที่ผมว่า มันก็ได้สร้างปรากฎการณ์ให้คนแห่มาดูหนังกันคับโรง แทบจะเต็มความจุของ สกาลา อันใหญ่โตโอฬารเลยทีเดียวเชียว ..ทั้งๆที่ความจริง มันก็ไม่ใช่หนังที่มหึมาในทุนสร้าง และการโปรโมตเสียใหญ่โตด้วยนะนั่น






หนังเรื่องนั้นคือ... “Slumdog Millionaire”





++++++++++++++++++ อันดับที่ 5 ++++++++++++++++++


มาถึงตรงนี้ได้ คงต้องเรียกหนังเรื่องนี้ว่าเป็น สารคดีแห่งปี เลยทีเดียวล่ะ ..แม้ความเป็นจริง ผมจะได้ดูหนังสารคดีเรื่องนี้ เป็นเรื่องเดียวในปีนี้ก็ตามเถอะ

ที่เป็นเช่นนั้น มันไม่ใช่เพราะผมโดนใจ หรือกระทั่งต้องปวดอวัยวะกระแทกเครื่องใน กับอะไรใดๆในเนื้อหาที่หนังพูดถึง เช่นที่เคยเป็นใน “Fahrenheit 9/11” กับ “An Inconvenient Truth” หรอกนะ ...แต่เหตุผลที่ผมต้องรักหนังเรื่องนี้ เพียงเพราะ คนที่อยู่ในหนัง เขา(และเธอ)ช่างมีอะไรที่น่า(ให้ใครๆต้อง)รักเสียอย่างมากมาย

ไม่ว่าจะตรงที่เผินๆ พวกเขาก็คือคนชรา เป็นรุ่นปู่ย่าตายายของเราๆ ที่แสนจะน่าทะนุถนอมเหลือเกิน หรือว่าจะหลักๆก็เป็นตรงที่ พวกเขาคือ คนชราระดับทรงคุณค่าฝังเพชร ที่เลือกจะไม่ใช้ชีวิตไปวันๆ เพียงแค่การนั่งรอวันตาย หากใช้เวลาที่เหลือไม่นานปี หมดไปกับการเข้ามาเป็นสมาชิกวงนักร้องประสานเสียง ...และก็แสนจะไม่ธรรมดาเอาซะด้วยตรงที่ พวกเขาเหล่านี้ ต้องมาร้องเพลงร็อค รุ่นลูกรุ่นน้องกระชากอารมณ์ทั้งหลายแหล่ แทนที่จะแหล่กันแต่เพียงเพลงคลาสสิคให้สมวัย

ผมสนุกกับสารคดีเรื่องนี้ ก็ตรงที่ได้เห็นคุณปู่คุณย่าในหนัง ริทำอะไรแปลกๆ ที่คนชราทั่วๆไปเขาไม่ค่อยจะทำกัน ..ผมได้อมยิ้มกับลีลาการร้องเพลงของพวกเขา ที่อาจจะผิด จะเพี้ยน จะไม่เสมอกันในการไล่คีย์ แต่มันก็ดูเต็มที่ทุกที เท่าที่คนอย่างวัยเขาจะทำได้ถึง ..แล้วผมก็ยังเผลอซาบซึ้ง นั่งน้ำตาไหลป้อยๆ อีกต่างหาก เมื่อได้รับรู้ว่า มีใครบางคนต้องหายไปจากวงๆนี้ ทั้งๆที่ใจเขาไม่อยากไปเลย ...ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ นี่คือความรู้สึกที่ผมมีต่อการดูหนังเรื่องนี้ ทั้งที่ในความเป็นจริง ผมไม่ได้รู้จักมักจี่กับใครๆในหนังเลย ..แต่เมื่อผมดูจนจบ ผมก็ได้นับถือทุกๆคนให้เป็นปู่ย่าของผมไปหมด อีกรวมถึงผู้สร้างวง ที่ผมอยากเจอหน้าสักครั้ง แล้วเข้าไปยกมือไหว้ ขอบคุณ ที่ทำอะไรดีๆอย่างนี้ขึ้นมาบนโลกใบนี้ แล้วยังจะทำให้เกิดมีคนดีๆที่คิดเอาเรื่องราวของพวกเขา มาสร้างเป็นหนังอิ่มสุข สุด Feel Good เรื่องนี้ด้วยอีกต่างหาก






หนังเรื่องนั้นคือ... “Young@Heart”





++++++++++++++++++ อันดับที่ 4 ++++++++++++++++++


ก็ไม่คิดหรอกว่า หนังเรื่องนี้ จะมาได้ไกลขนาดที่เป็นอยู่นี้ ..ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นปรากฎการณ์ตอนนี้อยู่ หรือว่าความรู้สึกส่วนตัวโดยเฉพาะ ที่ตอนแรกก็แค่ต้องดู เพื่อจะได้รับรู้ในความต้องการจะเป็นหนึ่งในปรากฎการณ์แห่งโลกของหนังเรื่องนี้ก็เพียงเท่านั้นแหละ

แต่ถึง ณ จุดนี้แล้ว แม้จะมาได้ไกลที่สุดแค่อันดับที่ 4 ในที่นี้ สำหรับระดับความดีที่มีให้ใจจำกับปีนี้ ...แต่นับจากนี้ไป คงไม่อาจมีใครกล้าปฏิเสธได้จริงๆ ว่านี่คือ หนังที่ทำให้โลก(ของหนัง)ใบนี้ ต้องเปลี่ยนแปลงไป ขนาดมโหฬาร อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว

คือ ถ้าผมเลือกจะดูหนังเรื่องนี้ในระบบปกติทั่วไป ผมก็คงไม่รู้สึกถึงอะไรมากมายว่าหนังเรื่องเดียวเรื่องนี้ จะสามารถมีส่วนทำให้โลกของหนัง 2D อาจถึงเวลาใกล้อวสาน ..แต่เมื่อพอดีว่าอยากรับประสบการณ์ขั้นสุดไปเลยในจุดนั้น มาถึงในเวลาจุดนี้ ผมก็เริ่มคิดๆแบบเว่อร์ๆ แล้วว่า เราจะเหลือเวลาได้ดูหนังแบบ 2D อีกสักกี่ปีเชียวหว่า!!?

หากกระนั้นไม่ถือว่า เว่อร์ เกินเลยจริงๆ สำหรับความเป็น 3D กับการสร้างประสบการณ์ยิ่งใหญ่มโหระทึกขั้นสูงสุดครั้งหนึ่ง ให้กับคอหนังตัวน้อยๆคนหนึ่ง ..อีกนี่ก็ยังคือ หนังที่ทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่า ถ้าคนทำตั้งใจจะทำเทคนิคล้ำๆให้เจิด มันก็สามารถบังเกิด ความสุดยอดให้กับหนังโดยง่ายดาย ...แล้วมาถึงกระทั่ง ณ จุดนี้ มันก็ยังจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับใครๆที่เคยเข้าใจว่า หนังไม่อาจทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าเรายืนอยู่ตรงนั้นได้หรอก ..แต่เมื่อถึงในเวลาบัดนาว ความเป็นไปไม่ได้นั้น ก็ได้ถูกทำลายลงไป เพราะโลกนี้มีคนที่ชื่อ “เจมส์ คาเมรอน” เกิดขึ้นมานั่นเอง






หนังเรื่องนั้นคือ... “Avatar”





++++++++++++++++++ อันดับที่ 3 ++++++++++++++++++


ปีก่อน มี “The Dark Knight” เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่แห่งปี ..ส่วนปีนี้ ก็ต้องมีหนังซูเปอร์ฮีโร่แห่งปี เป็นเรื่องนี้ ...ถึงหลายๆคน อาจจะบอกปัดว่า นี่มันใช่หนังซูเปอร์ฮีโร่ซะที่ไหน

ก็ไม่ผิดหรอกที่หลายคนจะคิดแบบนี้ เพราะถ้าว่ากันด้วยเรื่องของความสนุกแล้ว นี่คือหนังซูเปอร์ฮีโร่ ที่มีฉากแอ๊คชั่น แทบจะนับจำนวนที่เกิดขึ้น ..แถมโดยการดำเนินเรื่อง ก็ยังออกแนวจะทำให้ ซูเปอร์ฮีโร่ ดูเหมือนคนเถื่อนไม่เชื่อกฎหมาย กลายกลับเป็นคนที่ไม่น่าคบหา ไม่ควรขอให้มาช่วยเหลือใครๆ ด้วยต่างหากอีกละนั่น

แต่ถ้าใครเคยเข้าใจไปแล้วว่า ซูเปอร์ฮีโร่ ก็มีลักษณะทั่วไป เป็นดั่งคนธรรมดาๆ ที่มีหัวใจ มีสมอง เหมือนๆกันนี่แหละ ..ก็คงไม่นึกแปลกใจ ที่ได้มารู้จัก ซูเปอร์ฮีโร่ ในหนังเรื่องนี้ แล้วจะรู้สึกว่า เขาก็ยังทุกข์เป็น กังวลเป็น และถึงที่สุด ก็เครียดจนเป็นบ้าเป็นบอกันไปหมด ..จนในที่สุด ก็ทำให้หนังเรื่องนี้ กลายมาเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ชวนซีเรียส ดูแล้วไม่คลายเครียด แต่อีเดียทไปกับโลกความจริง

ซึ่งแม้โลกความจริงในหนังเรื่องนี้ จะซ้อนทับกับจินตนาการสุดล้ำโลก (จนออกนอกขึ้นจักรวาลกันไปเลย) ผสมด้วยการบิดเบือนประวัติศาสตร์(อันคือเรื่องจริง)อย่างมันส์มือ ...แต่ถ้าไม่คิดเยอะ ให้มึนตึง ไม่พึงใจ ไปกับอะไรที่ดูไม่ใช่สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้น ก็คงจะเห็นๆอยู่ว่านี่คือ หนังที่ตีหน้าเศร้าเล่าความจริง ได้อย่างถึงกึ๋นถึง(สะ)ใจ อีกเรื่องหนึ่ง ..หากถึงในที่สุด จะไม่ได้ดูสนุกให้บันเทิงบ้างแบบ พี่อัศวินรัตติกาลผู้แสนอึมครึม ที่มาก่อน ..แต่ถ้าวัดกันที่ความเข้มข้นของสาระ เอาแล้วล่ะก็ ขอยกให้อีกหนึ่งตระกูล “D.C. Comics” ที่มาหลัง ได้ชัยชนะไปอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด






หนังเรื่องนั้นคือ... “Watchmen”





++++++++++++++++++ อันดับที่ 2 ++++++++++++++++++


ถ้าคุณเป็นคนที่เกลียดหนังอะไรไม่รู้ พูดพล่ามกันรัวเร็ว บวกด้วยการใส่ประเด็นอันมั่วซั่ว(ที่บางเรื่องไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อของหนังเลยด้วยซ้ำ) แล้วละก็ ..นี่คือหนังที่คุณไม่ควรได้ดู

แต่ถ้าคุณรับหนังแบบนี้ได้แล้ว และก็ไม่สนใจด้วยว่า นี่มันคือหนังที่ทำขึ้นมาเพื่อสนองนี้ดตัวเองของคุณผู้กำกับเขาโดยเฉพาะ ...นี่คือ หนังที่คุณมีสิทธิจะถูกจริตได้สูง

ยิ่งโดยเฉพาะกับคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคอหนัง รักหนังเป็นชีวิตจิตใจ และเห็นหนังเป็นเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกหนึ่งสิ่งของโลกนี้แล้ว ...นี่คือ หนังที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อยกย่องเชิดชู สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ภาพยนตร์ ที่สามารถเปลี่ยนโลกทั้งใบได้ แม้กระทั่งกับการใช้มันเพื่อฆ่าคนที่ร้ายที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลกได้ลงคอ

ใครได้ดูแล้ว คงรู้ว่า มันช่างสะใจเพียงใด ที่เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเรา ทำอะไรได้มากกว่าสร้างความบันเทิงเริงรมย์อย่างที่เคยๆเป็น.. แต่ก็คงไม่เท่าเทียมกับความสะใจที่เราได้รับจากความบ้าเต็มพิกัด กล้าเต็มขั้น ของคนที่ชื่อ “เควนติน ทาแรนติโน่” ผู้ที่สามารถฝากและฝัง(ใจ)ผลงานหนังเรื่องนี้ ให้เป็นดังอีกหนึ่งในมาสเตอร์พีซต้องจำของตัวเองไปอีกหน ตามหลังรอยสวยๆที่ “Pulp Fiction” และ “Kill Bill” เดินก่อนหน้า ไปอย่างแล้วเรียบร้อย โรงเรียนคนทำหนังขั้นบร๊ะเจ้า!






หนังเรื่องนั้นคือ... “Inglourious Basterds”





และก็มาถึง ที่สุดแห่งปี ในทุกๆด้าน ที่ผมต้องขอยกย่องให้เป็นดัง ที่สุดของหนังในดวงใจแห่งปี 2009 เรื่องนั้นที่ได้รับเกียรติ ก็ได้แก่...




++++++++++++++++++ อันดับที่ 1 ++++++++++++++++++


ต้องพูดก่อนเลยว่า นี่คือ หนังที่มีคุณค่าสำหรับผมอย่างมากมาย

ไม่ว่าจะเป็นในแง่ที่หนังเรื่องนี้ เปี่ยมล้นไปด้วยความสนุก ดูเอาบันเทิงได้ก็ดี ..หรือจะเป็นในแง่ที่หนังเรื่องนี้ สามารถสร้างความรู้สึกร่วม ทำให้ผมได้เกิดจะคิดอะไรต่อยอดหลังหนังจบ เสียอย่างมากมาย

คุณค่า ในที่นี้ ย่อมเป็นได้ทั้งคุณค่าทางอาหาร ที่ครบครัน(มีทุกรสชาติความเป็นหนัง) เต็มอิ่ม(อัดทุกรสเข้าไปได้อย่างเพลิดเพลิน) และเอร็ดอร่อย(จนอยากจะกินแล้วกินอีก) อีกทั้งยังจะเป็นการสร้างคุณค่าทางจิตใจให้กับใครๆก็ตามที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ให้นำมันกลับมาคิดต่อ แล้วย้อนดูตัวเอง ...ไม่ว่า อดีต ปัจจุบัน หรือว่าจะเป็นอนาคต ทุกสิ่งที่หนังเรื่องนี้พูดถึง มันล้วนกำหนดชะตาชีวิต ให้ลิขิตได้ด้วยตัวของเราเองทั้งนั้น

อย่าได้ฝังอยู่กับอดีตที่เจ็บปวด อย่าได้คิดโทษปัจจุบันว่าไม่มีใครที่คู่ควรจะอยู่เคียงข้าง ..หากที่สำคัญยิ่งไปกว่าสิ่งใดๆในเวลาเหล่านั้น คือการมองไปยังอนาคต เพื่อจะให้เห็นว่า ตัวเราใช่ตัวคนเดียวที่อยู่บนโลกใบนี้หรือเปล่า? แล้วเราควรจะทำอย่างไรดี เพื่อทำให้ชีวิตในห้วงระยะสุดท้าย มีความหมาย และเปี่ยมด้วยคุณค่าถึงที่สุดในชีวิต?

สำหรับคำถามสุดท้าย หนังเรื่องนี้ ได้ให้คำตอบไว้กับเราเรียบร้อย ...ใครอยากรู้ว่ามันจะตอบว่าอย่างไร ขอจงได้ดูหนังเรื่องนี้เสียเถิด แล้วคุณก็จะยังรู้ด้วยว่า ทำไมใครๆหลายคน เมื่อถึงเวลาตัดสินความชอบในรอบปี ถึงได้ล้วนเลือกที่จะหลงรักมัน อีกรวมทั้งผมคนหนึ่งที่รักมันมาก ถึงขั้นยกให้เป็นทั้งหนังที่ดีที่สุด จากค่ายผู้ผลิตที่ผมรัก ..เป็นหนังที่ชอบที่สุดในรอบปีนี้ ...และสุดๆไปเลย ก็คือการเป็นหนังการ์ตูนในดวงใจอันดับหนึ่ง ตลอดกาลของผม ที่ได้อัญเชิญ “Toy Story” ลงจากตำแหน่งที่เคยเป็นอยู่นี้อย่างสวยงาม






ขอแสดงความยินดีเป็นที่สุด กับ... “Up”





สำหรับบรรดาหนังโรงและหนังบ้านที่ผมได้ดูมาตลอดทั้งปี 2009 ...ผมก็ได้ทำการลิสต์เอาไว้ ครบหมด ไม่ขาดไม่เกิน ...ถ้าอยากรู้ว่าเรื่องนี้ เรื่องไหน เป็นอย่างไรสำหรับความในใจของผม ผมให้เกรดกับมันในระดับไหน ให้ติดตามกันที่ลิงค์นี้เลยครับ...
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=07-01-2009&group=11&gblog=4




และนี่ก็คือบทสรุปทั้งหมดทั้งมวลที่ผมมีต่อ การดูหนัง ในหนึ่งรอบปีที่ผ่านพ้นไป ซึ่งสำหรับผมแล้วก็มีทั้งเรื่องที่เป็นความประทับใจ/ชอบ/พอใช้/ผิดหวัง/แย่ คละเคล้ากันไป ตามแต่ความพอใจในความคุ้มค่าตั๋วและตัวหนังที่ออกมา ...แล้วคุณล่ะครับ รู้สึกอย่างไรกับการดูหนังของคุณในรอบปีที่ผ่านมาบ้าง ...คุณกับผมคิดเหมือนกันบ้างหรือเปล่า ?




แต่ถึงกระนั้น ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ ครั้งพิเศษ ที่ว่าด้วยเรื่องเยี่ยมๆของหนัง ในปีนี้ ก็ยังไม่ได้จบลงแต่เพียงเท่านี้หรอกนะ ..ขอให้ตั้งตารอชมอีกหนึ่งลิสต์รายชื่อที่ผมภูมิใจนำเสนอสุดๆ กับครั้งแรกของการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน จากหนังหลายๆร้อยเรื่องที่เคยผ่านตา ในรอบสิบปีที่ผ่านพ้น (นับจาก 2000 เป็นต้นมา จนถึง 2009 ล่าสุด) ...ผมจะทำให้มันเหลือเพียงแค่ 10 เรื่องสุดท้าย ที่เป็นที่สุดในดวงใจแห่งรอบทศวรรษ

ตอนนี้ ผมรู้แล้วล่ะว่า 10 เรื่องที่ผมจะว่าไปต่อไปมีอะไรบ้าง ..แต่ถึงจุดนี้ ผมคงไม่ขอบอกใบ้ใดๆทั้งสิ้นให้รู้ล่วงหน้า เพราะอยากให้ใครที่รัก(หนังนะ ..ตัวผมไม่ต้องรักก็ได้ ไม่ว่ากัน อิอิ)กันจริง ช่วยรอติดตามกันด้วยนะครับ


คราวหน้า คราวสุดท้ายจริงๆแล้ว ที่จะกลับมาปิดสกู๊ป ด้วยการรวบรวมความเป็นสุดยอด กับสาขาหนึ่งที่เกิดขึ้นได้แค่ในรอบ 10 ปีเท่านั้น สำหรับคนรักหนังทุกคน “10 หนังที่รัก ในรอบ 10 ปี” ..ห้ามพลาด ด้วยประการทั้งปวง!




ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ


ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน
ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ





Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2553 2:33:53 น. 5 comments
Counter : 2002 Pageviews.

 
คงต้องหาหนังเรื่อง Doubt มาดูแล้ว

เราเป็นคนดูหนังน้อยมาก ๆ หนังสิบเรื่องที่คุณชอบ เราดูอยู่ 2 เรื่อง คือ Up และ Avatar เราชอบเรื่องหลัง คงเพราะเป็นหนังที่เรารอคอยที่จะดูมานาน และคาดหวังพอสมควร พอได้ดูก็รู้สึกดีและถูกใจ

มีอีกเรื่องเพิ่งไปดูมาเมื่อวาน Fish Tank หนังจากอังกฤษ ที่มีรางวัลจากเมืองคานน์การันตี หนัก แต่ให้แง่คิดที่ดี


โดย: ostojska วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:5:49:58 น.  

 
ขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆครับ ชอบเรื่อง UP เหมือนกัน


โดย: บิ๊ก IP: 125.26.89.113 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:16:25:39 น.  

 
ชอบ Star trek รุ่นใหม่นี่สุดๆอ่ะค่ะ
ดูกี่รอบก็ไม่เบื่อ

ส่วน Drag me to hell นี่เหมือนว่าก่อนดูจะคาดหวังมากไปหน่อย พอไปดุจริงๆเลยไม่ถูกใจเท่าไหร่น่ะค่ะ


โดย: สะใภ้แห่งอาราธอร์น IP: 203.144.144.164 วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:15:22:22 น.  

 
thank you


โดย: yoichi IP: 203.144.144.164 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:0:49:35 น.  

 
ใน 10 เรื่อง ของคุณเราดูมา 6 เรื่องค่ะ
ขอบเรื่อง Up มากเหมือนกัน
อยากดู Young@heart มาก ไม่รู้ว่าจะหาได้จากที่ไหน


โดย: ป๋องแป้ง IP: 125.27.216.146 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:16:07:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

OncE UPoN'-'a MaN
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์

คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี
พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ
พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา
พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!)

ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว

ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก

ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ

once_upon.a.man@hotmail.com


My @ http://twitter.com/once_upon_a_man

ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่าน

ผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย

ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน

ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ

OncE UPoN'-'a MaN on Facebook
Blog ใหม่ล่าสด..สด
"VieTrio & Friends" ... เพื่อนร้อง พี่น้องเล่น เป็นเพลงเพราะเสนาะหู
"Lady Antebellum : Need You Now" ... ลูกทุ่งแบบมะกัน แต่สีสันระดับโลก
"The Social Network" ... วันนี้ คุณรู้จัก Facebook ดีพอแล้วหรือยัง?
"Harry Potter and the Deathly Hallows : Part I" ... ฉันต้องเปิด เพื่อจะปิด!
"Scrubb : Kid" ... คำตอบของเพลงอินดี้ที่ฟังง่าย อยู่ในอัลบั้มนี้แล้ว
"Due Date" ... รวมกันเราต้องอยู่ (กรุณา)อย่าทิ้งตูเป็นอันขาด!!?
"B.o.B. Presents: The Adventures of Bobby Ray" ... อาจเป็นฮิปฮอปหน้าใหม่ แต่ไม่ขอยึดติดความฮิป
"RED" ... โตอย่างสมวัย แก่อย่างมีคุณภาพ และจงระห่ำอย่างไม่เหลืออะไรจะเสีย!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... (หนังสั้น)แบบตัวเต็ม ที่ไม่มีอะไรมากมาย แต่ก็ยังมีความจริงใจ!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... กับตัวอย่างน้ำจิ้ม ของหนังสั้นที่คงจะมีอะไรๆอยู่ในนั้น
"อินทรีแดง" ... สมศักดิ์ศรีที่ได้กลับมา ..วีรบุรุษที่หนังไทยต้องการ!
"ชั่วฟ้าดินสลาย" ... เมื่อคำ “รัก” มีค่าเท่าคำว่า “ร้าย” คงทำลายคนทั้งหลายให้วายวอด
"Resident Evil : Afterlife" ... สงครามยังไม่จบ ยังต้องนับศพซอมบี้จนเบื่อกันไปข้าง!!
"Lula : Twist" ... เพลงฟังชวนเพลิน จากคนเพลินๆ ที่ชื่อ 'ลุลา'
"Piranha 3D" ... กัดกระจุย เลือดกระจาย สามมิติกระเจิง!!!
"CHARICE" ... เพชรน้ำงามเม็ดเล็กแห่ง ‘เอเชีย’ ที่คู่ควรกับการเจียระไนโดย ‘อเมริกา’
"กวน มึน โฮ" ... ความรัก อาจแพ้บ้างอะไรบ้าง แต่ ความ ‘เห็นแก่ตัว’ เอาชนะได้ทุกสิ่ง!
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28 
 
8 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add OncE UPoN'-'a MaN's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.