"The Bourne Ultimatum" ... หมากเกมนี้ ฉันก็รู้ ว่าจะต้องลงเอยอย่างไร
ก่อนหน้าที่ผมจะได้รู้จัก "เจสัน บอร์น" ...ผมรู้จักหนังสายลับ ว่าต้องเป็นหนังในแบบที่พระเอกคือฮีโร่ผู้ที่จะกอบกู้โลกจากจอมวายร้ายที่หมายว่าทุกสิ่งต้องตกเป็นของเขา ตอนที่ผมได้รู้จักกับ "เจสัน บอร์น" ใน "The Bourne Identity" ...ผมยักไม่ถูกจริตในสายลับคนนี้ อาจเพราะเขาไม่ได้เป็นพระเอกฮีโร่ที่หมายจะกอบกู้โลกจากจอมวายร้ายหากเป็นการกอบกู้ความทรงจำที่หายไป จากการโดนหักหลัง ...ก็จริงอยู่ที่หนังภาคแรก(กำกับโดย "ดั้ก ลิแมน") เดินเรื่องได้สนุก เพลินๆ แต่ผมก็ไม่ค่อยจะมีหน่วยความจำว่างเว้นเอาไว้เก็บสายลับคนนี้ไว้ในใจสักเท่าไหร่ อันเพราะเขาไม่ใช่สายลับอย่างที่ผมถูกใจ (ตอนนั้นมันก็ยังเด็กอยู่แหละนะ ...คิดแต่ว่าพระเอกแอ๊คชั่นต้องกู้โลกมันอย่างนั้น) ตอนที่ผมได้รู้จักกับ "เจสัน บอร์น" ใน "The Bourne Supremacy" ...ด้วยภาวะเติบโตในการดูหนังมันมีมากขึ้น ทำให้ผมเริ่มคิดออก และเข้าใจในสิ่งที่ เจสัน บอร์น ทำมากขึ้น ...ภาคสอง เล่าได้สนุกกว่าเดิม ฉากบู๊ก็อัดแน่นเนื้อๆกว่าเดิม แต่เพราะผู้กำกับที่ไม่เหมือนเดิม กับการถ่ายภาพที่เน้นความส่ายไหว ทำให้ผมรับไม่ไหว และพาลส่ายหน้าออกจากโรงอย่างมึนๆ ก่อนที่ผมจะได้กลับมาเจอกับ "เจสัน บอร์น" ใน "The Bourne Ultimatum" ...ผมได้ดูหนังเรื่องถัดมา(จาก บอร์น ภาคสอง) และก่อนหน้า ของ ผู้กำกับ "พอล กรีนกลาส" และก็เป็นเพราะหนังเรื่องนั้นนั่นเองที่ทำให้ผมกล้าจะรู้สึกว่า ภาคสาม ของ เจสัน บอร์น ต้องเป็นอะไรที่เยี่ยมแน่ๆ หนังเรื่องนั้นที่ผมว่า ก็คือ "United 93" ...อันดับ 1 แห่งหนังยอดเยี่ยมในดวงใจผม เมื่อปีที่แล้ว นั่นเอง แล้วผมก็ไม่ผิดหวังจริงๆ อย่างที่ผมสู้คาดหวัง ...แถมยังจะทำให้รู้สึกดีมากๆ จนถือได้อีกว่า "นี่คือหนังซัมเมอร์ที่ดีที่สุดแห่งปี 2007" ในความคิดของผม"The Bourne Ultimatum" ... การกลับมาสางแค้นให้เสร็จสิ้นของ "เจสัน บอร์น" กับภารกิจที่มีตัวเขาเองเป็นผู้ออกคำสั่งทุกการกระทำ เพื่อค้นหาความเป็นจริงเกี่ยวกับชีวิตของเขาก่อนหน้าที่จะสูญเสียความทรงจำ ...บอร์นได้พยายามตามสืบเสาะจนใกล้เข้าถึงต้นตอของเรื่องราวทั้งหมดไปทุกทีๆ และเขาก็ได้พบ(ข้อมูลจากนักข่าว)ว่า องค์กร CIA ได้ทำการซุ่มจัดตั้งปฏิบัติการ "แบล็คไบรอา" ขึ้นมาอย่างลับๆ ซึ่งมันก็โยงใยไปถึงตัวของบอร์น ที่เคยเป็นนักฆ่าของปฏิบัติการ "เทรดสโตน" ...และทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว แบล็คไบรอาร์ ก็คือ เทรดสโตน ในเวอร์ชั่นสังคายนาใหม่นั่นเอง พลอตหลักๆของ บอร์น ในภาคสาม ...ยังว่ากันในเรื่องที่ยังคงค้างคาในใจของบอร์น มากันตั้งแต่ภาคแรก ว่าเขาคือใคร เขาเคยเป็นอะไร และเขามาจากไหน ...ซึ่งในภาคนี้ ก็ถึงทีที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะได้สรุป และปรากฏออกมาให้บอร์นรู้ และคนดูเห็น ไปพร้อมๆกัน การกลับมาในหน้าที่ผู้กำกับหนที่สอง ของ "พอล กรีนกลาส" ...ถ้ามองในแง่ของประสบการณ์ ก็ดูจะเข้าที่เข้าทางมากกว่าเดิม หากแต่มองในแง่ของความมีฝืมือ การกำกับเรื่องราวในภาคสามก็ยังคงความเข้มข้นในชั้นเชิง แหลมคมในการเดินเรื่อง ได้ประมาณเดียวกันกับภาคก่อน ผกก. กรีนกลาส มีความสามารถที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในหนังของเขา (แม้จะเว้อจะเว่อร์ แสนยากจะpossible) มีความเสมือนว่ามันคือเหตุการณ์จริงที่กำลังอยู่ตรงหน้าของเรา ...(ยิ่งถ้าใครได้ดู United 93 มาแล้วด้วย ก็ยิ่งต้องยอมรับและเห็นด้วย อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง) ความสามารถที่เด่นชัดข้อนี้ สามารถเอามายกเป็นตัวอย่างได้ ในฉากแอ๊คชั่นใหญ่ๆ 3 ฉาก ของบอร์น ภาคสาม ...ถ้ามองถึงความเป็นจริง และด้วยสายตาที่ดูออกว่ามันเป็นแค่หนังแล้ว ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะแทนตัวเราไปอยู่ตรงนั้น แล้วจะทำอะไรต่อมิอะไรได้อย่างตัวละครในหนัง (ดีไม่ดี ถ้าขืนต้องทำ ก็ยากที่จะเราจะเอาตัวรอดออกมาได้) ...หาก ผกก. กรีนกลาส ก็ทำให้เราได้เห็นและได้อินว่า สิ่งที่เราที่นั่งมองดู เหมือนว่ามันกำลังเป็นจริงขึ้นมาต่อสองตาคู่นี้ได้ ส่วนข้อด้อยใหญ่ๆ (กล้องแฮนด์เฮลด์ที่สั่นไหว) ที่เคยทำให้ภาคสอง กลายเป็นหนัง(หมด)สนุก ...มาในภาคนี้ ผมกลับชอบใจในความน่าตื่นเต้น (แม้กระทั่งในฉากที่ไม่มีอะไรสลักสำคัญ ก็ยังทำให้ตื่นเต้นได้) และก็หมดไปซึ่งความรู้สึกที่ว่ามันเป็นข้อด้อยในหนังบอร์นของ กรีนกลาส (ซึ่งถ้าได้ดู United 93 มาก่อน ผมก็ขอให้ความรับรองได้เลยว่า ภาคสามของบอร์น เป็นการไหวในระดับน้อยๆ ริกเตอร์ไปเลย) การกลับมาในหน้าที่การแสดงเป็น "เจสัน บอร์น" หนที่สาม(และเจ้าตัวก็ยืนยันว่าเป็นหนสุดท้ายจริงๆแล้ว) ของ "แมทท์ เดมอน" ...ยังคงความยอดเยี่ยมในการสวมบทบาท ที่ทำให้เราเชื่อว่าเขาคือ เจสัน บอร์น กับสีหน้าที่เรียบเฉย คล้ายด้านชา แต่ภายในสองลูกตากลับแฝงไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกหลายหลากคละเคล้าให้ฟุ้งซ่าน ...ผมเชื่อในสิ่งที่ผมได้เห็น และเหนือกว่านั้น ผมก็ได้เชื่ออย่างมั่นใจว่า จะมีแค่ แมทท์ เดมอน คนนี้คนเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถเป็น เจสัน บอร์น คนนี้เพียงคนเดียว ขณะเดียวกันที่ เดมอน กำลังโดดเด่น โดดเด้งเหนือใครๆ ...บทบาทการสวมคาแรกเตอร์ของดาราตัวประกอบฝีมือเยี่ยมคนอื่นๆ (เดวิด สแตรเธอร์น , จูเลีย สไตล์ส , โจล อัลเลน , อัลเบิร์ต ฟินนี่ย์) ก็เป็นอีกส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างสีสัน และใส่ความเข้มแข็ง ให้กับเรื่องราวของหนังให้ข้นคลั่กกว่าที่บทมันกำลังพาไป บทหนังของ "โทนี่ กิลรอย" ยังคงมีความฉลาดในทุกๆบรรทัดตัวหนังสือ การกระทำทุกอย่างของตัวละครล้วนแต่มีที่มาที่ไป ไม่ได้ยึดให้มีอะไรมาสำคัญกว่าเหตุและผล ...หากความเว่อร์เกินจริงในบางฉาก จะทำให้เกิดมีข้อติด่างพร้อยอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่ใช่อะไรที่ต้องจำเอามาต่อว่า ...แค่ทำให้หนังมันสนุก น่าติดตาม และเร้าใจ ด้วยบทฉลาดๆเช่นนี้ ก็มีเหตุมีผลอันจำเป็นที่จะลืมๆความเกินๆไปซะ ...หรือถ้าคิดจะมองมันเป็นอาหาร ก็คิดว่าแต่ว่ามันเป็นสเต็กปลาที่อร่อยมากมาย ซึ่งในขณะที่ บทหนังของบอร์นภาคสาม เปรียบได้กับ เนื้อปลาที่ทำให้เราคนดูกินแล้วฉลาด ...ขณะเดียวกันนั้น ความมันส์ของฉากแอ๊คชั่น ก็คือเครื่องปรุงชั้นดี ช่วยเสริมรสชาติให้สเต็กจานนี้ มีความคุ้มค่าที่เราได้กิน ... ถึงฉากแอ๊คชั่นใหญ่ๆ 3 ฉากนั้น อาจจะดูเป็นอะไรที่มันก็คือ หนังซัมเมอร์ เรื่องหนึ่ง หากแต่ทั้ง 3 ฉากนั้นก็สนุกมันส์หยด ต่างล้วนมีอะไรให้น่าประทับใจกันโดยหมด (ถ้าให้เลือกที่ดีที่สุดมาเพียงฉากเดียว ผมก็ขอตัดสินยกให้ ฉากที่บอร์นต้องตามประกบช่วยเหลือนักข่าวทุกๆฝีก้าว ...เป็นอะไรที่ต้องลุ้นกันสุดกู่ทุกๆวินาที) ดนตรีประกอบของ "จอห์น เพาเวลล์" ยังคงซื่อสัตย์ต่อการสร้างความตื่นเต้นทุกวินาทีให้กับหนังสายลับตระกูลบอร์น ...ส่วนเพลงประกอบในเครดิตท้ายเรื่อง "Extreme Ways" ของ Moby ก็มีส่วนเล็กๆทำให้ฉากจบของบอร์น ภาค(ที่น่าจะ)สุดท้ายนี้ เป็นอะไรที่ใจมากๆ จบใจ ไม่ใจ เป็นอย่างไร คนไม่ได้ดูไม่ควรรู้ ...ผมอยากจะให้รู้แค่เพียงว่า ผมใจกับมันมาก จนถึงต้องปรบมือให้กับความฉลาดล้ำลึก ในการสรุปเรื่องราวเพียงสั้นๆ ของ "เจสัน บอร์น" ที่สมบูรณ์แบบอย่างที่ใจผมต้องการ ... หากแม้มันอาจจะเป็นอย่างที่ผมเดาไว้ก่อนหน้า และรู้ดีว่าหมากเกมนี้จะต้องจบอย่างไร ...แต่มันก็ลงเอยในจุดสุดท้ายได้ยอดเยี่ยมเป็นที่สุดในความคิดของผมแล้ว"The Bourne Ultimatum" ... อย่างที่ผมบอกไปแต่ต้นว่า "นี่คือหนังซัมเมอร์ที่ดีที่สุดแห่งปี 2007" ก็คงพอจะรับรองได้ว่า บอร์นภาคสามนี้ เป็นอะไรที่คุณต้องสนุก มันส์ และใจกันเป็นแน่นอน นี่คือ บอร์นภาคที่ดีที่สุดในไตรภาค ...นี่คือ หนังแอ็คชั่นที่(น่าจะ)ดีที่สุดแห่งปี ...และนี่คือ หนึ่งในสิบ หนังยอดเยี่ยมในดวงใจผม ประจำปีนี้ ...ขอเชียร์ออกนอกหน้า และช่วยตอกย้ำว่า ห้ามพลาด!!! ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง ...ครับเกรด A ... { } ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว -แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว) -ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน"Extreme Ways" โดย "Moby" ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 20 สิงหาคม 2550
Last Update : 20 สิงหาคม 2550 0:59:54 น.
4 comments
Counter : 5817 Pageviews.
แสดงให้เห็นว่า Paul Greengrass เป็นเจ้าพ่อการตัดต่อจริงๆ แต่ว่าใน Ultimatum พี่แกมันมือเหลือเกินทั้งตัดทั้งเหวี่ยง เล่นเอาผมเมากล้องไปเลย
ส่วนเนื้อเรื่อง เล่าเฉยๆละกัน
ว่าหนัง กับ หนังสือ แม่งไม่เหมือนกันเลย เหมือนกันแต่ชื่อตัวละคร กับ CIA แค่นั้น 55+
ถือว่าเป็นการดัดแปลงวรรณกรรมที่เรียกว่าโคตรแห่งการพลิกบท
ประมาณว่าถ้าอ่านในหนังสือนี่เป็นคนละเรื่องไปเลย
เพราะในหนังสือ บอร์นจะกลายเป็นคนสองบุคลิกหลังรู้ว่าตัวจริงตัวเองคือใคร แล้วเมียของบอร์นก็ยังอยู่จนภาคสามเน่อ