The Da Vinci Code ... ความระทึกที่หาไม่ได้จาก "หนังโรง"
ผมก็เหมือนเช่นกับคนที่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อนทุกคน.... ย่อมต้องตั้งความหวังเอาไว้สูง เมื่อมีคนกล้าที่จะหยิบ The Da Vinci Code หนึ่งพันกว่าหน้ามาสร้างเป็นภาพยนตร์ความยาวสองชั่วโมงครึ่ง
ด้วยความที่ภาษาหนังสือมันสนุก มันตื่นเต้น และมันมีความประทับใจมาก่อนแล้ว คนที่จะนำนวนิยายยอดขายอันดับหนึ่งทั่วโลก คนอ่านมีเป็นหลายล้านมาเล่าเป็นภาษาหนังแล้ว นับว่าเป็นภารกิจอันสูงส่งที่ต้องพร้อมน้อมรับทุกสถานการณ์ความคาดหวังของคนอ่าน มีทั้งให้ดูถูก (คิดว่า หนังจะต้องออกมาดีแน่ๆ) และดูแคลน (คิดว่า หนังคงแย่ หนังคงสนุกสู้หนังสือไม่ได้หรอก)
แต่ The Da Vinci Code กลับมีความแตกต่างจากนิยายขายดีอื่นๆอย่าง Harry Potter , The Chronicles of Narnia , The Lord of the Rings ...ในขณะที่นิยายอมตะพวกนี้ มีเพียงแค่สายานุศิษย์คอหนังสือพร้อมตอบสนองความดีความร้ายเท่านั้น ...DVC ยังมีคริสต์ศาสนิกชนบางกลุ่มบางก้อน ถือค้อนและตะปูเตรียมตอกฝาโลง ลงทัณฑ์หนังเรื่องนี้เลยทีเดียว
แม้หนังสือเล่มนี้มันจะไม่ใช่เรื่องจริงล้วนๆ เฉกเช่นนิยายปรัมปราทั่วๆไปแล้ว ... เพียงแต่ประเด็นที่หนังสือเล่มนี้ใช้เล่าเรื่องกับอ้างอิงไปถึงนั่น ดันเป็นประเด็นที่ลึกลับ เป็นทฤษฎีสมคบคิดที่ถูกขุดค้นมาจากเอกสารเก่าๆ ซึ่งมีความน่าเชื่อถือ หรือไม่ก็มีความเป็นไปได้อยู่ ...
ยิ่งเรื่องราวที่เป็นไปได้ทั้งหลายเหล่านี้ ต้องมาตกอยู่ในปลายปากกาของนักเขียนนิยายที่ชื่อว่า "แดน บราวน์" แล้ว ...ความสนุกมือที่เขาบรรเลงออกมาเป็นภาษาหนังสือ มันเลยกลายเป็นความอินของคนอ่านที่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขายกมาพูดผ่านหน้ากระดาษ เพียงถ้ามันไม่ใช่นิยายล้วนๆเท่านั้นเอง
ทฤษฎีสมคบคิดของบางกลุ่มคน อันเป็นข้ออ้างความหลอกลวงที่หนังสือนำมาใช้ในการเล่าเรื่อง เพียงถ้ามันไม่มีมูลความจริงบางอย่างที่น่าให้เชื่อถือ ... กับ หลักฐานในรูปเอกสารลับๆของกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าเป็น "ไพรเออรี่ ออฟ ไซออน" นั้นได้อ้างกล่าวว่า ..."แท้จริงแล้วองค์พระเยซู ได้มีการสมรสกันอย่างลับๆกับสตรีสาวนามว่า แมรี่ แมกดาลีน" ...ก็แค่เอกสารที่ดันมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ การกระทำของคนพวกนี้อาจเป็นแค่การตบตาประชาชนเท่านั้น แล้วทำไมความจอมปลอมที่ไม่มีเค้าชวนเชื่อนี้ถึงได้ทำให้ คริสตจักรทั่วโลกต้องเดือดร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ
รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นแค่นิยายล้วนๆแล้ว ...แต่ข้อความที่ แดน บราวน์ เขียนกลับสร้างความน่าเชื่อถือให้ทับถมลงไปบนตัวคนอ่านอย่างไม่รู้ตัว หน้าแล้วหน้าเล่า ที่หนังสือพยายามจะบอกพยายามจะกล่าวมันดูเป็นจริงไปเสียหมด ...ผลงานภาพดาวินชี , กลุ่มไพเออรี่ ออฟ ไซออน , เหล่าอัศวินเทมพลาร์ , โบสถ์ชื่อดังที่มีจริงในโลก ล้วนแต่ได้สร้างเหตุสร้างผลเชื่อมโยงเรื่องราวที่ไม่มีทางเป็นจริง ให้กลายเป็นความจริงได้
ยิ่งในเวลาที่คนอ่านต้องการความสุข ความสนุก ความผ่อนคลายแล้ว ...การเลือกหยิบหนังสือ DVC ขึ้นมาอ่าน ก็เหมือนเป็นการอ่านหนังสือสารคดีที่มีข้อมูลใหม่ๆน่าสนใจ ความรู้เหล่านั้นได้แทรกซึมเข้าสู่สมองอย่างไม่ทันตั้งตัว จนเมื่ออ่านจบคำกล่าวอ้างที่มีให้เห็นในทุกหน้ากระดาษ ถ้าไม่ลองเอามาขบคิดให้ดีๆว่านี่คือนิยายแล้ว ...ก็คงไม่มีข้อโต้แย้งโต้เถียงใดๆกล่าวอ้างว่า จุดจบของนิยายเล่มนี้ มันก็แค่โกหกทั้งเพ
ทัณฑ์บนที่ DVC กำลังได้รับอยู่ทุกทิศทุกทางทุกพื้นที่ที่หนังเรื่องนี้เดินไป ...มันเกิดมาจากความรู้สึกที่ไม่ชอบธรรมของสายานุศิษย์คริสตชนบางคน ที่คิดว่าหนังเรื่องนี้จะมาสร้างความบั่นทอน ความแตกแยกให้กับผู้ที่นับถือศาสนาที่พวกเขารัก แม้มันจะเป็นแค่เพียงหนังจากนิยายเล่มหนึ่ง ที่มีเอาไว้เพื่อสร้างความบันเทิงเริงใจ ...ในแง่ของการลบหลู่แล้ว มันก็ห้ามกันไม่ได้ที่หนังเรื่องนี้จะต้องโดนดีในทุกที่ที่หนังเรื่องนี้เข้าฉาย ต่อให้ประเทศนั้นไม่ใช่ประเทศแห่งศาสนาคริสต์แล้ว ก็ต้องมีคนบางกลุ่มที่นับถือ ยังออกโรงมาห้ามปรามไม่ให้คนศาสนาอื่น ได้รับรู้ข้อเท็จที่ไม่จริงไปด้วย
...ในรอบปีนี้ หนังเรื่องนี้ คือ หนังที่ผมอยากเห็นหน้าค่าตามากที่สุด อยากดูมากที่สุด ...มาตรฐานความสนุกที่หนังสือสร้างเอาไว้ ทำให้ผมคาดหวังกับมันไว้สูง ยิ่ง DVC ตกมาอยู่ในมือคุณภาพของ "รอน ฮาวเวิร์ด" แล้ว กับฐานะที่เขาเคยเป็นผู้กำกับใน "Cinderella Man" หนังที่ผมประทับใจมากที่สุดของรอบปีก่อน ในความคิดของผม มันจึงไม่ใช่แค่หนังที่สร้างมาจากสุดยอดหนังสือ แต่ ..."มันจะต้องเป็นสุดยอดหนังจากสุดยอดหนังสือ" เลยทีเดียว
ด้วยเพราะตั้งความหวังเอาไว้สูงมาก เมื่อประสบพบผิดหวังแล้วมันก็ย่อมต้องมากตามไปด้วย... กลายเป็นว่างานหนังที่ควรจะดีเรื่องนี้ ไม่น่ามาตกอยู่ในมือของผู้กำกับที่ดีคนนี้เลยจริงๆ
ผกก. ฮาวเวิร์ด ฝากเอาไว้ซึ่งความผิดหวังกับคอหนังสือทุกคน ...ความสนุกของ DVC ฉบับหนังโรง "แป้ก!!!" อย่างไม่น่าให้อภัย
สิ่งที่คนอ่านทุกคนต้องการ ก็คือ การได้เห็นภาพจินตนาการของตัวเองในมุมมองของคนทำหนัง ... แต่ก็กลายเป็นว่า คนอ่านกลับมารู้สึกดีกับภาพจินตนาการของตัวเองเสียมากกว่าภาพความคิดของคนทำหนังอีก ...
ตัวหนังโรงทำวิธีการยึดถือหลักดำเนินเรื่องของหนังสือเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นตลอดเวลาสองชั่วโมงครึ่ง ...ด้วยการพยายามรักษาภาพลักษณ์อย่างที่เคยสัมผัสได้จากตัวนิยาย ไม่มีส่วนความสนุกใดที่โดนกระทบกระเทือนให้เสียหายเลย (ก็ยังมีบางช่วงที่ดัดแปลงเปลี่ยนไปในตัวหนังบ้าง แต่ก็ต้องทำเพื่อคงความกระชับของหนังให้ดียิ่งขึ้น) อาจเพราะความตรงไปตรงมาในการพยายามรักษาต้นฉบับนั่นเอง ที่กลับให้ความรู้สึกทื่อๆ เฉยๆ มากกว่าจะสร้างความตื่นเต้น เร้าระทึกได้เฉกเช่นที่ตัวหนังสือเคยทำเอาไว้กับคนอ่าน
ช่วงแรกตั้งแต่เหตุการณ์ในลูฟร์ ไปจนถึงการกดรหัสเปิดเซฟในธนาคารสวิสฯ อุดมไปด้วยอารมณ์เรียบเรื่อย เปล่าเปื่อย สนุกงั้นๆ ไม่มีจุดตื่นเต้น ไม่มีการเร้าระทึกให้รู้สึกอยากเอาใจช่วย หนังเล่นง่ายๆ ปล่อยเวลาผ่านไปกับการเดินทางตามล่าความลับที่ดูเหมือนไม่มีช่องทางใดที่จะปิดกั้นความเก่งกาจของพระเอกนางเอกได้เลย ...ในขณะที่ฉบับหนังสือพยายามจะบิวต์อารมณ์คนอ่านอยู่เสียตลอด การจะไขปริศนาแต่ละเปราะก็เต็มไปด้วยความซับซ้อนระโยงระยางสร้างความไม่แน่ใจ และกดดันให้กับตัวละครอยู่เสมอ ...ตัวหนังกลับไม่รีรอ ไม่ใยดีกับอุปสรรคกีดขวางใดๆเลย เลือกที่จะทลายมันลงไป สร้างรูปแบบ การไขปริศนาที่เอาง่ายเข้าว่า โรเบิร์ต แลงดอน ใช้เวลาคิดน้อยลง โซฟี เนอเวอ ก็โต้แย้งได้น้อยลง รวมไปถึงความยาวของหนังก็น้อยลงไปด้วย เพราะหนังได้ขย่อนเอาช่วงเวลาความลึกล้ำนั้นออกไปแล้ว
มันอาจจะเป็นการดีอยู่ ที่หนังจะเปลืองเวลาน้อยลง คนดูก็ไม่จำเป็นต้องหงุดหงิดอึดอัดเพราะความนานไปด้วย ...แต่มันคือผลเสียโดยตรงกับคนอ่านหนังสือ ที่จะไม่เหลือซึ่งความรู้สึกทึ่ง ความรู้สึกเหลือเชื่ออย่างที่เคยมีมาก่อน อย่างในตอนที่อ่านหนังสืออยู่เลย ...และกับฉากบางฉากที่มีในหนังสือ แต่ไม่มีในหนังแล้วอีก ก็ยากจะให้อภัยแล้ว ...แม้ฉากเหล่านั้นจะสำคัญน้อย แต่ความสนุกก็ไม่ใช่น้อยๆเลยนะนั่น (เช่น ฉากที่โซฟีและแลงดอนจนมุมตำรวจ ต้องใช้ภาพวาดขู่กลับ)
การแปลงบทของ อกิว่า โกลด์สแมน ...ไม่ใช่ความร้ายกาจที่ ช่วยลดบั่นทอนความสนุกแต่อย่างใด ดันกลับกลายเป็นว่าหน้าที่ที่เขาได้รับยังหนักหน่วงน้อยกว่าผู้กำกับ และดูเหมือนเขาแทบไม่ต้องเหนื่อยหน่ายอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะกับแค่ต้นฉบับที่ แดน บราวน์ ทำเอาไว้ มันก็คือ บทหนังฉบับสมบูรณ์ในตัวมันแล้ว (เพียงแต่ถ้าจับมาเล่าทั้งหมดแล้วมันก็คงเป็นมหากาพย์หนังไตรภาคได้เลยทีเดียว) การดัดแปลงบางช่วงบางตอนเปลี่ยนแง่มุมไปบ้างเล็กน้อยก็ถือว่า ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดอะไร กลับดีเสียอีกที่ช่วยให้หนังรักษาความเร็วไว้ได้ดีขึ้น
งานคุณภาพที่ฮาวเวิร์ดเคยฝากเอาไว้มานั้น ไม่สามารถนำมาหักลบกลบหนี้กับสิ่งที่เขาทำไว้ใน DVC ได้เลย ... ตัวหนังสือที่เคยเข้มข้นล้นทะลักด้วยความมันส์ ฝากฝังไว้ซึ่งความประทับใจในหยดหมึกพิมพ์ ก็กลายเป็นได้แค่หนังจากนิยายที่ดูเอาเพลิน เรื่อยๆ ไปทื่อๆ มากกว่าจะรู้สึกอยากชอบอยากรักอย่างที่ฉบับหนังสือเคยทำไว้ได้
DVC ฉบับดัดแปลง ถือได้ว่า "สอบตก" คะแนนต่ำ ไปเป็นอันเรียบร้อย ... แต่ถ้าจะมองอย่างเป็นธรรมในแง่ของความเป็นหนังทริลเลอร์เรื่องหนึ่งแล้ว ก็ยังนับได้ว่า นี่ไม่ใช่ความเลวร้ายแต่อย่างใด ต้องถือว่ามีความ "ใช้ได้" อยู่พอตัว
ถ้ามองข้ามซึ่งช่วงแรกของหนังที่ไม่น่าติดตาม และน่าเบื่อแล้ว ...การเข้ามาของ เซอร์ ลีห์ ทีบบิง เป็นจุดเริ่มต้นของนาทีทองที่ช่วยให้หนังดึงความสนใจของคนดูกลับมาได้เสียที
การแฉเบื้องหลังภาพ "The Last Supper" ทำออกมาได้เจ๋งเป๋ง , หนังสั้นคั่นฉากที่ย้อนไปเล่าความเป็นมาในอดีต ก็ดูสนุก , การถกเถียงข้อเท็จจริง ของทีบบิง และแลงดอน แม้จะฟังไม่ทัน แต่ก็มันส์ในอารมณ์ดีอยู่ ...ฉากในชาโตวิแยต ถือว่าเป็นฉากที่ทำได้เข้าทีที่สุด อย่างที่คอหนังสือต้องการให้เป็น และอาจจะดีกว่าที่ผมคาดไว้ด้วยซ้ำ เพราะในหนังสือฉากนี้สิที่เรื่อยๆในอารมณ์ (เพราะมันยาวมากๆ อ่านไปผมก็เอียนกับเรื่องราวอันงงๆไปด้วย) ...มาจนถึงนาทีที่ตัวละครทั้งห้าในชาโตวิแยตทำการหนีแล้ว การเดินทางอันระทึกขวัญของ หนัง DVC ก็เริ่มต้นเสียที ถ้าตัดภาพความระทึกที่เคยระลึกถึงเมื่อครั้งที่อ่านหนังสือออกไปเสียแล้ว จะพบว่าครึ่งหลังของ DVC ฉบับหนังโรงนั้น สนุกใจได้อารมณ์พอควรเลย... จุดขัดใจมันก็ยังมีให้เห็นอยู่ตลอด แต่เมื่อเทียบกับครึ่งแรกที่งั้นๆแล้ว ครึ่งนี้มีความเข้มข้นที่น่าติดตามกว่า มีความเป็นทริลเลอร์แน่นเนื้อกว่า และแฝงซึ่งอารมณ์ดรามาที่ลึกซึ้งหัวใจคนดูอยู่เข้าที
ก็นับแต่วินาทีที่ เอียน แม็คเคลเลน ปรากฏขึ้นมาบนจอแล้ว... สีสันแห่งการเดินเรื่องที่สนุก และเร้าอารมณ์ก็มากขึ้นไปเรื่อยๆ ต้องให้เครดิตความดีกับ "แมกนีโตขาเป๋" คนนี้ ผู้ทำหน้าที่ขโมยซีนแย่งความเด่นบนจอทุกฉากได้อย่างชะงัดงัน บทจะตลก ก็เล่นได้ซะน่ารักขำขำ (ถ้าไม่ยอมหลีกก็ต้องมีใครสักคนตาย คุณตำรวจ ฆ่าเขาก่อนเลย!!?...ขำซะ) พอบทจะร้าย ก็ทำอำมหิตใส่ความจิตแตกอย่างสุดขั้ว ...เซอร์ ลีห์ ทีบบิงที่เคยจินตนาการในหนังสือ เอาไว้ยังสู้กับภาพ ท่าน เซอร์เอียน ในหนังโรงไม่ได้เลยทีเดียว
"สิลาส" ก็ถือเป็นอีกบทบาทหนึ่งที่น่าพอใจ ...แม้ว่าตัวจะล่ำซำไปสักหน่อย แต่ตัวละครบาทหลวงผิวเผือกที่ "พอล เบตตานี่" เล่นเอาไว้ ก็มีความใกล้เคียงเช่นภาพในจินตนาการ ...
ส่วนตัวละครอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรให้รู้สึกติดใจ หรือชอบใจ นับว่าไม่เป็นส่วนเกินของหนังก็ดีอยู่แล้ว ...นอกจาก ทอม แฮงค์ส คนเดียวเท่านั้น ที่ผมรู้สึกผิดหวังจริงๆ
กับความน่าผิดหวังในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการแสดงของเขาที่ยังคงพอไปได้ แม้จะตกจากมาตรฐานก็ยังถือว่าไม่ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ...แต่กับ บุคลิกภาพในการสวมบท โรเบิร์ต แลงดอน ของเขานั้น กลับไม่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้เลย ...ด้วยความที่ผมเชื่อใจการแสดงของ แฮงค์สเอาอย่างมาก และไม่เคยคิดต้องการ จะอยากได้ แฮริสัน ฟอร์ด มาเล่นตามใจบทประพันธ์ ...กลับกลายเป็นว่าที่คาดหวัง ก็ไม่ใช่อย่างที่คิด ดาราเจ้าบทบาทอย่าง ทอม แฮงค์ส ไม่ได้ยกระดับตัวเองให้ดูเสมือนเป็น โรเบิร์ต แลงดอน ตัวจริง ...ความฉลาด และทรงภูมิ ของแลงดอนใน DVC ไม่มีแววให้คนดูได้เห็น การแก้ปริศนาของแฮงค์สภายใต้สีหน้า ที่เก้อเขินของเขานั้น ไม่ได้ช่วยบ่งชี้ บอกว่าเขาคือ ศาสตราจารย์ สัญลักษณ์วิทยาแห่ง ฮาร์เวิร์ด เลยแม้แต่น้อย ...
ส่วนในด้านงานโปรดักชั่นต่างๆ ก็นับว่า ดีตรงตามมาตรฐานหนังฟอร์มใหญ่ ...การถ่ายภาพสถานที่ชื่อก้องโลกทั้งหลาย ทำออกมาได้สวย ชวนน่าเที่ยว แต่ถ้าถามว่าขลังมั้ย คงต้องตอบว่าไม่ ให้ไปเห็นของจริงคงน่าตะลึงตามากกว่านี้ , การตัดต่อหนังก็นับว่า คล่องแคล่ว ว่องไว ได้อารมณ์หนังระทึกขวัญ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ เกิดการกดดันในอารมณ์คนดูแต่อย่างใด , ดนตรีประกอบอาจช่วยเสริมอารมณ์ได้พอประมาณ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นอึกทึกครึกโครมจนน่าเร้าใจในเหตุการณ์หนัง
ความระทึกที่หาไม่ได้จาก "หนังโรง" ...The Da Vinci Code คงจะอมตะได้แค่ตัวหนังสือเท่านั้นเอง ความสนุกที่ผมต้องการ ไม่มีให้สัมผัสในนิยายฉบับดัดแปลงเรื่องนี้ แม้ว่ามันจะเป็นหนังจากหนังสือสุดเจ๋ง ที่แป้กไม่โดนใจก็ตามที ...แต่มันก็ยังเป็นหนังดูเอาเพลินฆ่าเวลา ที่ใช้ได้ ไม่ถึงขั้นย่ำแย่จนหาความดีไม่ได้ ... ไม่เสียดายตังค์นับว่าพอใจ แต่ก็ไม่มีอะไรให้คิดถึงอีก
ดู{ดี} วิธ มายเซลฟ์ : 1. การขโมยซีนของ เอียน แม็คเคลเลน 2. ช่วงเวลาในชาโตวิแยต น่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุด
ดู{ด้อย} วิธ มายเซลฟ์ : 1. การกำกับของ "รอน ฮาวเวิร์ด" 2. บุคลิกภาพ ของ "ทอม แฮงค์ส" ที่ไม่คลิก 3. ความ(มัก)ง่ายในการไขปริศนา และ ตัดฉากสำคัญที่หนังควรจะมีออกไป
เกรด B-
ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 02 มิถุนายน 2549 |
Last Update : 2 มิถุนายน 2549 16:06:30 น. |
|
6 comments
|
Counter : 2749 Pageviews. |
|
|
|
เสน่ห์หลายๆ อย่างก็หายไปเยอะด้วย
เราชอบหนังสือมากกว่าหนังค่ะสำหรับเรื่องนี้