1 2 3 4 5 6 7
8 9 10 11 12 13 14
15 16 17 18 19 20 21
22 23 24 25 26 27 28
29 30 31
ลูกรถไฟ ๘ ...โทรทัศน์เครื่องแรก และ อาชีพใหม่ของแม่
โทรทัศน์เครื่องแรกแต่ก่อนบ้านเราไม่มีโทรทัศน์ เพราะหนึ่ง แม่เราไม่มีเงินซื้อ สอง แม่ไม่ชอบให้ลูกๆ ใช้เวลาดูทีวีมากกว่าอ่านหนังสือและทำการบ้าน เวลาอยากดูหนังทีวี เราต้องคอยไปพร้อมพี่สาวไปขอดูที่บ้านคนแถวนั้น บางครั้งเราไปคนเดียวเขาจะไม่อยากเปิดประตูให้ แต่ถ้าพี่เราไปด้วยเขาถึงจะมาเปิดให้เข้าไปดู เพราะว่าเกรงใจพี่สาวเราที่เป็นเพื่อนบ้านกันนั่นเอง หนังที่ดูสมัยนั้นก็เป็นหนังญี่ปุ่น อุลต้าแมน ปลาบู่ทอง หนังญี่ปุ่นที่นางเอกเป็นแชมป์ตีเทนนิส ขำชื่อไม่ได้เสียแล้ว ๆ ก็ซามูไรพ่อลูกอ่อน ฯลฯ หนังจะมีประมาณ ๕ โมงเย็นเป็นต้นไป ตอนนั้นหากเป็นเรื่องที่ชอบมากๆ เป็นอันต้องเดินเร็วๆ ให้ไปถึงก่อน จะน่าเบื่อก็ตรงโฆษณานั่นแหละ นานจัง ต่อมาหลังจากแม่เริ่มค้าขาย พอมีเงินบ้างพ่อเลยขอให้แม่ซื้อทีวีเพราะสงสารลูกๆ ที่ต้องไปยืนรอเขาเปิดประตูทุกคืน แม่เราเป็นคนใจใหญ่ ถ้าไม่มีก็คือไม่มีแต่ถ้าจะซื้อต้องเอาที่ดีที่สุด ตกลงบ้านเราเลยมีทีวีโก้ที่สุดเพราะใส่ในตู้ไม้อย่างดี ยี่ห้อต้าถุงของเกาหลี เป็นทีวี ขาว ดำ แถมยังมีที่เลื่อนปิด-เปิด มีกุญแจใส่อีกด้วย หารู้ไม่ว่าแม่เขาจะได้ล็อคเวลาที่พวกเราไม่ยอมทำการบ้านให้เสร็จก่อน พอมีทีวีใหม่เลยเปลี่ยนจากไปยืนเคาะประตูให้เขาเปิดประตูรับ มาเป็นคนคอยเปิดประตูรับเด็กๆ ที่มาขอดูทีวีใหม่ แต่ที่บ้านเราแม่และพี่สาวเป็นคนสะอาดมากๆ ใครจะขึ้นบ้านเราถ้าเท้าดำเป็นอันหมดสิทธิ์ ต้องล้างจนขาวจั๊วถึงจะขึ้นบ้านได้ ตอนที่ไม่มีทีวี บางวันเราก็ฟังละครวิทยุกับพี่สาวเราคนที่คิดเลขเก่งๆ จำได้ว่าติดละครวิทยุคณะ นิลลิกานนท์เอามากๆ บ่าย 4 โมงตรงเป๋งจะมีละคร ที่ได้ยินแต่เสียง เวลาเติมถ่านก้อนใหม่เสียงจะใสมาก แต่เวลาถ่านใกล้หมดต้องเอาหูไปแนบคนละด้านกับพี่ บางทีถ่านใกล้หมดต้องลุ้นกันน่าดูแล้วเวลาที่เรา 2 คนรอก็มาถึง ละครรักสาม สี่เศร้า เสียงพระเอก คุณวิเชียร นิลลิกานนท์ ดังลอดลำโพงผ่านวิทยุราคาไม่กี่ร้อย เสียงนางเอกก็เพราะจนคิดว่าตัวจริงเขาจะคงต้องสวยมาก ๆ เหมือนคุณเพชรา เชาวราษฎร์ แน่ ๆ ไม่รู้จนบัดนี้ว่าตัวจริงของ 2 คนนี้เป็นอย่างไร เวลาที่ผ่านไป 30 นาทีช่างรวดเร็วจริง ๆ แถมยังมีโฆษณาคั่นอีก ต้องรอวันต่อไป บางทีไปเที่ยวเล่นจนเพลินลืมฟังละครตอนต่อไปก็มี เวลาอารมณ์ดีพี่เขาก็เล่าให้ฟัง พอฟังละครจบก็ได้เวลาไปซื้อกับข้าวที่ตลาด เดินไปมั่ง พี่สาวถีบจักรยานให้เราซ้อนมั่งสมัยเป็นเด็กตัวเบาๆ กระโดดขึ้นได้ ตอนนี้ไม่ไหวแล้ว พี่เขาจะให้ไปตลาดไปช่วยถือกับข้าว ซึ่งเป็นกิจกรรมประจำที่เราชอบมากๆ เพราะได้ไปเห็นอะไรแปลกๆ ได้เห็นความมีชีวิตชีวาของตลาด บอกไม่ถูก จนทุกวันนี้ก็ยังชอบไปตลาดมากๆ และไปเดินได้นานๆ ทุกครั้งที่มีโอกาส หลังจากนั้นก็จะรีบเตรียมล้าง หั่น ผัก ต่างๆ เอาไว้ให้พี่เขามาทำและปรุงอีกที เราเลยได้เรียนรู้การทำอาหารตั้งแต่อายุ 10 กว่าขวบ และไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของตัวเองจนถึงทุกวันนี้ ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ เป็นอีกกิจกรรมที่ขาดไม่ได้เพราะเป็นละครผี เล่นตอน 2 ทุ่ม หลังข่าวจบ เวลาฟัง เราจะเตรียมเครื่องมือพร้อม อันได้แก่ ฟูกเก่าๆ ของเรา กับหมอน และผ้าห่ม เอามากางปูนอนใกล้ๆ พี่ แล้วเอาหูแนบวิทยุคนละด้านอีกตามเคย ไมรู้ว่าคนเขียนเขาเขียนยังไง รู้แต่ว่าคนที่เอามาเล่าออกอากาศทำได้ดีมากๆ เพราะเรากลัวจนขี้ขึ้นสมองเหมือนกุ้งเลย ขนาดปวดฉี่ยังอั้นไว้ เพราะไม่อยากลุกไปคนเดียว ละครจบแล้วบางทียังเอาไปฝันต่อ วิ่งหนีผีทั้งคืนก็เคย จะเอาอะไรกับจินตนาการในสมองกลวงๆ ของเรา แม่เราชอบพูดว่า กินมาก เล่นมาก นอนยังละเมอพูดคนเดียว เป็นเอามาก ตอนเรามาอยู่เมืองนอกใหม่ๆ เราไม่รู้ว่าตัวเองกดดันเรื่องปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่ และอะไร ๆ อีกหลายอย่าง บางคืนสามีเราตกใจเพราะเราร้องเสียงดังกลางดึก บางทีก็ฝันเห็นแม่แล้วร้องไห้ออกมาจริงๆ เป็นแบบนี้อยู่หลายเดือน แต่ตอนนี้เราดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว ไม่งั้นคงต้องแยกห้องไปนอนฝันคนเดียวแน่เลย ดีอยู่อีกอย่างที่ไม่นอนละเมอเดินไปตกบันไดบ้าน ไม่งั้นอาจเป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ต่างประเทศไปก็ได้อาชีพใหม่ของแม่เราจำไม่ได้แน่นอนว่าแม่เริ่มค้าขายตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าแม่ไม่ยอมงอมืองอเท้าให้พ่อทำงานคนเดียวเพื่อหาเลี้ยงทั้งครอบครัว อีกอย่างพอลูกๆ เริ่มโตก็ต้องไปโรงเรียนมีค่าใช้จ่ายจิปาถะตามมา ทั้งค่าเทอม ค่าชุดนักเรียน ฯลฯ รวมทั้งเงินที่ต้องให้ไว้ซื้อข้าวกินตอนเที่ยงด้วย แม่ไปค้าขาย ทั้งผ้าไหม และของกินต่างๆ ที่ต่างจังหวัด เช่น ที่โคราช ที่ๆ เราไปเกิด เพราะคิดว่าจะมีรายได้ดีกว่า บางทีก็ไปทีละหลายๆ วัน แม่ไปกับเพื่อนที่ค้าขายด้วยกัน ดีที่ไม่ต้องเสียค่ารถไฟ ใช้ใบเบิกทาง เลยไม่ต้องชักเนื้อมาก พ่อบอกว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งเราร้องไห้หาแม่ตั้งแต่หัวค่ำยันเช้าจะกินนม จนพ่อไม่ได้นอนเพราะต้องปลอบเราทั้งคืนทำเอาปั่นป่วนกันไปทั้งบ้าน ถ้าเป็นสมัยนี้ก็แค่เอานมกระป๋องใส่ขวดให้กินก็ได้แล้ว แต่เพราะตอนนั้นบ้านเราจน แม่เลยไม่สามารถซื้อนมกระป๋องแบบนั้นได้ น้องคนถัดมาแม่พอจะมีเงินบ้างเลยซื้อนมกระป๋องไว้แก้ปัญหาเวลาไม่อยู่ จนถึงน้องคนสุดท้องแม่ก็ยังเป็นนักเดินทางค้าขายทางรถไฟตัวยง บางครั้งน้องต้องไปอาศัยกินนมคนข้างบ้านที่เขามีลูกเยอะเหมือนกันเพราะนมกระป๋องหมด จำได้ว่ายี่ห้อตราหมีเป็นนมผงใส่ในกระป๋องอลูมิเนียมสีตะกั่ว เราเองแอบกินบ่อยๆ เพราะมัน ๆ หวานๆ อร่อยดี ดูเหมือนครีมตราคอฟฟี่เมตสมัยนี้เลย บางทีก็กินกล้วยบดที่แม่เคี้ยวจนละเอียดแล้วเอาใส่ใบตองหมกไฟให้สุกแล้วก็เอามาป้อนอร่อยกันไปอีกแบบ เติบโตกันมาได้จนทุกวันนี้ สมัยนี้คงไม่ค่อยทำกันแล้วต่อมาแม่ก็เปลี่ยนมาขายกับข้าวหรือเรียกอีกอย่างว่า ข้าวแกง ให้พนักงานรถไฟ คนถีบรถสามล้อรับจ้าง หรือคนที่มารอรถไฟ ที่หน้าสถานีรถไฟ พ่อขออนุญาตนายทำเป็นเพิงไม่ใหญ่มาก มีโต๊ะและเก้าอี้ที่พ่อทำเองนั่งทานอาหารได้ 4-5 คน นอกนั้นก็ยืนบ้าง นั่งตามขอบรั้วเหล็กบ้าง แล้วแต่สะดวกกันเอง แม่ต้องตื่นตั้งแต่ตี 3 ไปตลาดไทยอิสาน ซึ่งจนทุกวันนี้ก็ยังเปิดขายอยู่เหมือนเดิม ตลาดนี้จะเป็นตลาดเช้าที่เขาเรียกกัน และจะมีชาวบ้าน ชาวสวนที่ปลูกผักกันเองนำมาขายในราคาขายส่งซึ่งถูกกว่าทั่วๆ ไป แม่ต้องซื้อผัก และเนื้อสัตว์ต่างๆ เป็นจำนวนมากเลยต้องตื่นแต่เช้าจะได้ประหยัดต้นทุน ให้พอมีกำไรเหลือบ้าง ราวตี 4 กว่าๆ แม่ก็จะกลับมาถึงบ้าน พวกเราต้องตื่นแต่เช้ามาช่วยล้างผัก หั่นเนื้อ เตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องใช้ให้พร้อม เรามีหน้าที่ล้าง หั่นผักทุกๆ อย่าง แล้วก็หั่นหนังหมูที่แม่จะใส่ผสมลงในลาบหมู ที่แม่ทำได้อร่อยมากๆ บางครั้งแม่ก็ทำลาบเลือดสดๆ ด้วยเนื้อหมู หรือด้วยเนื้อวัว ก่อนที่จะใส่เลือดสดๆ พ่อจะไปตัดใบตะไคร้ที่ปลูกไว้หน้าบ้านมากำมือใหญ่ แล้วล้างจนดินออกหมด สมัยก่อนที่บ้านเราปลูกตามธรรมชาติไม่ได้ฉีดยาฆ่าแมลงเลยไม่ต้องกลัวเรื่องสารเคมี แล้วแม่ก็จะเอาใบตะไคร้มาใส่ในกะละมังที่ใส่เลือดแล้วลงมือขยำไปมาจนเลือดเริ่มมีฟอง แม่บอกว่าที่ทำแบบนี้เพราะต้องการนวดให้เลือดไม่มีกลิ่นคาวโดยใช้ตะไคร้ดับกลิ่นคาว เราเองเคยได้ทดลองชิมเพียงครั้งเดียวแล้วก็ไม่เคยแตะต้องอีกเลย หลังจากนั้นมาเรา ก็ไม่กินเนื้อวัวอีกเลยมาร่วม 20 กว่าปีแล้ว พูดถึงการหั่นหนังหมูที่เราและพี่ๆ มีความเชี่ยวชาญในการหั่นได้บางเฉียบและรวดเร็วเพราะต้องทำงานแข่งกับเวลาทุกๆ วัน ตอนมาเรียนเกี่ยวกับอาหารและการหั่นผักในแบบต่างๆ ที่โรงเรียนสอนทำอาหารที่นี่เราเลยทำคะแนนนำลิ่ว เพราะทั้งเร็ว และได้ตามแบบที่ครูต้องการไม่ว่าจะแบบจูเลี่ยน ที่หั่นแบบบางยาวประมาณ 3 นิ้ว หรือหั่นแบบลูกเต๋า เรียกว่าขอให้บอกจัดให้ได้ตามสั่ง เราไม่รู้หรอกว่าความรู้ที่เราได้มาตอนที่ต้องช่วยแม่ ช่วยพี่ ๆ อยู่หน้าเตาทำอาหารนั้นมันจะฝั่งรากลึกอยู่ในหัวเรา และเราก็ได้ใช้ประโยชน์จากประสบการณนั้น นำมาหากินอยู่ในตอนนี้อีกด้วยเมื่อตอนเรียนมหาวิทยาลัยปีที่ 2 แม่ไม่มีเงินพอที่จะส่งให้รียนต่อได้อีก เพราะเหนื่อยมากแล้ว เราเลยต้องตื่นตี 3 แทนเพื่อทำงานหาเงิน มีน้องที่ถัดจากเราขับมอเตอร์ไซค์ไปตลาดด้วยกัน เพื่อไปซื้อแตงโมที่ตลาดมาตัดขายเป็นชิ้นๆ ให้กับนักเรียนในโรงเรียนประถมที่พี่สาวคนแรกเราสอนอยู่ เราถึงได้มองเห็นความอดทน และความลำบากของแม่ที่บางครั้งต้องตากฝน ต้องหนาวสั่นจนฟันกระทบกัน และการอดหลับอดนอนเพื่อตื่นแต่เช้าทำมาหากินเพื่อลูกๆ หลังจากนั้นพอมาอยู่กรุงเทพฯ เราก็ทำงานขายของที่ระลึกให้ฝรั่งที่ห้างนารายณ์ภัณฑ์ พร้อมกับเรียนที่มหาวิทยาลัยไปด้วย เงินพิเศษรายเดือนแบ่งจากกำไรที่เขาให้เราก็เอาไปเรียนภาษาอังกฤษที่ เอยูเอ จนเรียนจบมาด้วยความลำบาก และความอดทนทั้ง 2 แห่ง ส่วนพี่สาวเราคนที่ 4 เขาออกจากโรงเรียนตอนเรียน ป.4 เพราะอายเพื่อนๆ ที่เขาพูดไม่ชัด เพราะเขาเป็นโรคเพดานปากโหว่ สมัยนั้นพ่อกับแม่ไม่มีเงินจะพาเขาไปผ่าตัดได้ เลยว่าเขาไม่ได้ที่ไม่ยอมไปโรงเรียน ต่อมามีหมอใจดีไปพบเลยผ่าตัดให้ฟรี แต่ก็สายเกินกว่าจะไปตั้งต้นเรียนกับเด็กๆ แล้ว แต่พี่เขาเป็นคนฉลาด อ่านหนังสือได้เหมือนคนเรียนจบมัธยม แถมยังลายมือสวยจนคนเรียนสูงๆ อาย เรื่องคิดเลขก็เจ็งอย่าบอกใคร เพราะเคยซื้อหวยใต้ดิน บางทีคำนวณเองหมดสมุดไปหลายเล่ม เลขออกมาตรงเผ็ง เล่นเอามีลูกค้าประจำมารอถามหวยเด็ดแทบทุกงวด สมัยนั้นพี่เขาต้องช่วยหาบของที่หนักเป็น 20 กิโล ข้ามจากบ้านไปหน้าสถานีรถไฟทุกวัน เพราะคนอื่นๆ ไปโรงเรียนกันหมด ทุกวันนี้เขาก็เลยไม่ค่อยแข็งแรงเพราะเป็นโรคปวดหลัง แต่พวกเราก็ดูแลเขาอย่างดี ตอบแทนที่เขาทำงานหนักเพื่อพวกเรามานาน ต่อมาไม่นานนักแม่ก็ต้องหยุดขายเพราะขาดทุน คนที่รู้จักกันเวลามากินข้าว เขาไม่เคยบอกว่าไม่มีเงิน กินเสร็จถึงบอกขอติดไว้ก่อน สิ้นเดือนค่อยให้กัน คนเดียวไม่เป็นไรแต่ยิ่งขาย นานวันเข้าก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ปิ่นโตที่รับทำออยู่ 2 -3 คน ก็จ่ายบ้างติดเงินบ้าง สุดท้ายแม่เลยขอลาเพราะไม่มีเงินลงทุน แต่จนทุกวันนี้บางคนก็ยังไม่คืนเงินแม่เราเลย แม่เองก็ไม่ถามให้เปลืองน้ำลาย ( สำนวนของแม่ ) เพราะถามไปเขาก็เฉย เสียเวลาทำมาหากินอย่างอื่น แม่เราเป็นคนใจนักเลงแบบนี้แหละถึงได้ไม่รวยเสียที อ่านต่อตอนต่อไป
Create Date : 16 มีนาคม 2558
22 comments
Last Update : 30 กันยายน 2563 12:36:27 น.
Counter : 2459 Pageviews.
โดย: เนินน้ำ 16 มีนาคม 2558 9:11:03 น.
โดย: moresaw 16 มีนาคม 2558 9:31:18 น.
โดย: phunsud 16 มีนาคม 2558 12:46:11 น.
โดย: ก้อนเงิน 16 มีนาคม 2558 20:19:21 น.
โดย: ALDI 20 มีนาคม 2558 4:54:34 น.
โดย: ก้อนเงิน 20 มีนาคม 2558 20:52:57 น.
โดย: เนินน้ำ 21 มีนาคม 2558 11:31:53 น.
Location :
กรุงเทพฯ Belgium
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 87 คน [? ]
แม่บุญ..เป็นหญิงไทยอายุเลยวัยรุ่นไปไกล จับพลัดจับพลูได้สามีเป็นฝรั่งแล้วก็หอบผ้าตามกันไปอยู่เมืองนอกเมืองนา พอได้เวลาหยุดงานก็กระเตงกันไปเที่ยวตามประสาตายาย ไม่มีลูกกวนตัวกวนใจ แม่บุญนั้นชอบเขียน ชอบเล่า ชอบถ่ายรูป เป็นที่สุด จะเก็บไว้คนเดียวก็กระไรอยู่ เอามาแบ่งบันกันให้ลูก ๆ หลาน ๆ ได้อ่าน ได้ดูกันดีกว่า ส่วนฝีมือด้านอื่น ๆ นั้นก็พอจะมีอยู่บ้าง เช่น ทำอาหาร ก็เอามาแบ่งปันกันอีกนั่นแหละ ค่อย ๆ รู้จักกันไป รู้จักกันแล้วก็อย่าลืมเข้ามาคุยกันนะ ปล....รูปภาพต่าง ๆ หากต้องการนำไปใช้ช่วยบอกที่มาที่ไปด้วยนะคะ เป็นการให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งสังคมไทยเราค่อนข้างมองข้ามในเรื่องนี้ค่ะ
คุณแม่ ขยันมากค่ะ ..
คุณพี่สาว ก็ มุมานะ ..
น่านิยม ค่ะ ..
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
AppleWi Beauty Blog ดู Blog
Maeboon Diarist ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น