|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
|
|
|
|
|
|
|
ลูกรถไฟ ๖ ...รถขายโอ่ง คนขายตู้ และ ยายโก
เนื่องจากวันนี้เป็นวันครบรอบ ๑๐ ปี ที่แม่...ได้จากไป บุญกุศลใดๆ ที่จะบังเกิดขึ้นจากการเขียนเรื่องราวของแม่กับพ่อ ขออุทิศให้กับท่านทั้งสอง กราบเท้าแม่กับพ่อ ที่ได้ให้ชีวิต เลือดเนื้อ การศึกษา จนลูกๆ เติบโต เลี้ยงตัวเองได้มาจนถึงทุกวันนี้ พวกเราไม่เคยลืมพระคุณของแม่กับพ่อเลย ขออย่าได้เป็นห่วงพวดเรานะคะ
กราบเท้าด้วยความรักยิ่งชีวิต...ลูกๆ
รถขายโอ่ง
บ้านเรือนสมัยก่อนจะมีโอ่ง หรือตุ่มใส่น้ำวางเรียงเป็นแถวใช้เก็บน้ำฝนไว้ดื่ม โอ่งที่ซื้อไม่ได้ไปขนมาเองแต่อย่างใด เพราะบางวันจะมีรถ 6 ล้อ วิ่งมาไกล บางครั้งมีคนถาม เขาว่ามาจากราชบุรีก็มี โอ่งที่บรรทุกมามีมากมายหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กถึงใหญ่ แล้วแต่กำลังทรัพย์ของคนซื้อ จำไม่ได้ว่าราคาเท่าไหร่ ที่บ้านเรามีโอ่งมังกรไว้รองน้ำฝน 4-5 ใบ แล้วโอ่งดินเผาธรรมดาอีกหลายใบเหมือนกันเพราะครอบครัวใหญ่เลยใช้น้ำเยอะ
ในหน้าฝนพ่อมักจะรองน้ำฝนเอาไว้ใช้ บางทีก็ตักจากแท็งก์ที่น้ำฝนถูกเก็บไว้นานจนฝุ่นนอนก้นแท็งก์ จากนั้นพ่อจะใช้ถังพลาสติคผูกเชือกยาวๆ สาวน้ำจากแท็งก์ให้พวกเราช่วยกันหิ้วไปเทใส่โอ่งมังกรเอาไว้ใช้ดื่ม น้ำฝนสมัยก่อนไม่ได้มีสารเคมีผสมปนอยู่มากมายเหมือนสมัยนี้ น้ำฝนที่ตักจากตุ่มมาใส่กระติกไว้ดื่มเย็นชื่นใจโดยไม่ต้องใส่น้ำแข็งเลยก็ว่าได้
ส่วนหน้าแล้ง แน่นอนว่าน้ำประปาจะไม่ค่อยไหล ก็ได้อาศัยน้ำที่บึงหนองบัว พี่สาวเราต้องไปหาบ โดยใช้ปี๊บที่เขาใส่หน่อไม้ หรือ ขนมปังกรอบ เอามาเจาะเอาฝาออก แล้วเจาะรูสองด้าน เอาเชือกร้อย จากนั้นก็ใช้ไม้คานที่ทำจากไม้ไผ่เพราะยืดหยุ่นตัวได้ดี เอามาหาบน้ำใส่ตุ่มไว้ใช้ เราเห็นพี่สาวคนที่สี่หาบน้ำจนหลังแอ่นเวลาที่น้ำหนักมันมากๆ อดสงสารไม่ได้ แต่เราเด็กเกินกว่าจะหาบน้ำแบบนี้ได้ พี่คนอื่นๆ มักจะหิ้วกระป๋องน้ำแทนการหาบ พอหนักก็วางพักไปเรื่อยๆ กว่าจะถึงบ้านก็เล่นเอาเหงื่อตกไปตามๆ กัน
คนขายตู้
มีอีกพวกเป็นคนขายตู้สำหรับใส่เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์เล็กๆ น้อยๆ พวกโต๊ะ เก้าอี้ พวกนี้จะเดินทางมากับรถไฟบ้าง รถยนต์บ้างแล้วมาขออาศัยใต้ถุนบ้านพักเป็นที่นอน บางทีก็เอาตู้มากมายมาวางเรียงไว้ พวกเราก็จะใช้เป็นที่เล่นซ่อนหากัน ตอนกลางคืนหรือพลบค่ำจะไม่มีใครเล่น เพราะเชื่อว่าผีจะออกมาเล่นด้วย คนขายตู้ส่วนมากมาจากทางเหนือ เช่น เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน พอขายหมดก็กลับไป อีกหลายเดือนก็มาใหม่พร้อมกับตู้ คิดว่าเขาคงจะกลับไปทำตู้มาขายอีก พวกเราเลยได้เรียนรู้การพูดแบบทางเหนือไปด้วย พวกเขาพูดช้าแต่สำเนียงก็ไม่ต่างจากภาษาอิสานมากนัก เรียกว่าคุยกันรู้เรื่องกว่าคนขายโอ่งที่สำเนียงเหน่อไปทางราชบุรี เยอะเลย
แปลกเหมือนกันที่อาชีพเหล่านี้ คนอิสานไม่ค่อยทำ หรือไม่มีฝีมือ หรืออาจจะเป็นเพราะทางภาคเหนือมีป่าไม้เยอะกว่า ตอนเด็กๆ เราไม่ค่อยรู้เรื่อง เห็นพวกเขามาขออาศัย พนักงานที่บ้านพักแต่ละแถวก็ใจดีให้พักอาศัย ช่วยเหลือกันเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่พอจะช่วยได้ ด้วยเห็นใจว่าพวกเขาเดินทางมาไกลบ้าน ต่อมาพ่อเราก็เรียนรู้การทำตู้เสื้อผ้าจากคนเหล่านี้และมาเริ่มทำเองเวลาว่างเป็นงานอดิเรกที่ดี เพราะเรามีตู้ใหม่ใช้กันประหยัดเงินไป
ตู้เสื้อผ้าของพี่สาว ตู้โชว์เล็กๆ สำหรับใส่ของจุกจิก ชั้นวางรองเท้า ขั้นสำหรับวางเครื่องใช้ในครัว พ่อจะเป็นคนทำโดยทำไปวันละเล็กละน้อยหลังเลิกงาน เป็นงานที่พ่อชอบมาก ส่วนไม้ที่เอามาทำก็ขอจากเศษไม้ที่เขาทำตู้นั่นแหละ บางทีพ่อก็ไปซื้อมา..ที่จำได้ลาง ๆ มีแค่นี้แต่คงมีการขายอะไรอีกมากมาย
ยายโก
นอกจากอาชีพขายโอ่ง ขายตู้แล้ว ยังมีอีกอาชีพหนึ่งคือ การหาบของขายไม่ว่าจะเป็นอาหาร ขนม เป็นการบริการลูกค้าจนถึงหัวกระไดบ้านเลยก็ว่าได้ เกือบเที่ยงของทุกๆ วันจะมีผู้หญิงชาวญวนแก่ๆ ชื่อโก พวกเราเด็กๆ จะเรียกแกว่า ยายโก หาบขนมมาขายตามบ้านพักต่างๆ เริ่มตั้งแต่แถว 1 มาเรื่อยๆ ไม่มีใครรู้ว่า ยายโก เป็นใคร มาจากไหน อยู่ที่ไหน และทำไมลูกๆ ถึงไม่ดูแล อายุของยายโกอาจยังไม่มากนักแต่จากการที่ต้องลำบากหาบของหนักๆ เดินตากแดด ตากฝน ยายโกเลยดูแก่มาก ๆ และเดินหลังค่อมเพราะต้องหาบของหนักทุกวัน
ขนมที่ยายโกขายมีมากมายหลายชนิดมีทั้ง กาละแม กล้วยฉาบ ขนมขี้หนู ขนมกรอบเค็ม ขนมผิง ฯลฯ เวลามาถึงแถวที่พวกเราอยู่ ยายโกจะเหนื่อยมากกว่าเดิมเพราะมีเด็กมากกว่าแถวอื่นๆ ที่ผ่านมา หัวโจกลูกพี่ของพวกเราก็จะเริ่มแกล้งถามดึงความสนใจ อีกพวกก้อยู่อีกด้านคอยขโมยขนมเวลายายโก ก้มหาของที่ถามหา บางครั้งยายโกหันมาเห็นพอดี ก็จะเอะอะต่อว่าเสียงดัง พวกเราก็จะคืนให้แต่โดยดี แต่ 1 ต่อ 10 สายตาก็ไม่ดีหรือจะสู้เด็กแก่นๆ อย่างพวกเราได้อย่างไร คิด ๆ ก็สงสารยายโก ต้องเหนื่อยแล้วยังต้องขาดทุนอีก ...เรามาคิดตอนนี้ว่า ยายโก คงจะหนีภัยจากสงครามเวียดนามมาอาศัยอยู่ที่อุดรฯ เพราะจากเวียดนาม จะผ่านชายแดนลาว เข้ามาถึงเมืองไทยได้โดยไม่ต้องขึ้นเครื่องบิน
อีกเจ้า เป็นคนญวนเหมือนกันแต่เป็นผู้ชาย สมัยก่อนคนไทยจะเรียกคนญวนว่า แกว อาจเป็นเพราะมีผิวขาวเหมือนมันแกวหรือยังไงก็ไม่รู้ ลุงคนนี้จะมาอีกแบบ ลุงจะถีบจักรยานเก่า ๆ ที่อานด้านหลังจะมีกล่องไม้เป็นสี่เหลี่ยมแบ่งเป็น 2 ช่อง แล้วมีพลาสติกใสคลุมกันฝุ่นอีกที ในช่องสี่เหลี่ยมจะมีขนมตังเม สีขาวตุ่น ๆ ๆ ผสมกับถั่วลิสง เวลาขายจะใช้มือดึงเป็นเส้นยาว ๆ ขนาด 1 คืบ ใช้กรรไกรตัด ขายอันละ 25 สตางค์ หรือ 1 สลึง รสชาติจะหวาน ๆ มัน ๆ แต่ที่ติดเค็มมานิด ๆ คงมาจากขี้มือ ที่จับแฮนด์จักรยานปั่นไกล ๆ จนเหงื่อไหล ผสมกับเกาหัว-หู บ้าง เลยอร่อยคละกันไป ถ้าเป็นสมัยนี้แกคงขาดทุนย่อยยับเพราะ อย.ไม่รับรองเรื่องความสะอาด แต่เด็กๆ อย่างพวกเรากลับตั้งตารอขนมตังเมของแกทุกวัน ไม่รู้ป่านนี้ลุงกับยายโกไปอยู่สวรรค์ชั้นไหนแล้ว
อีกคนเป็นผู้หญิงไทยอายุสัก ๕๐ ปี หาบขนมจีนน้ำพริก น้ำยากะทิ น้ำยาป่า และมีของหวานอีก 1 อย่าง เช่น สาคูถั่วดำ เต้าส่วน ฯลฯ แล้วแต่วัน เขาจะหาบขายตามแถวต่าง ๆ บางทีไปถึงสถานีรถไฟถ้ายังมีของเหลือไปขายราคาถูกให้กลุ่มกรรมกรรับจ้าง ซึ่งก็หมดทุกที บางครั้งถ้าพอมีเงินเหลือบ้างแม่จะให้กินได้คนละอย่าง เราชอบกินขนมจีนน้ำพริกมาก แต่แปลกที่พอโตเรากลับชอบกินส้มตำ ไก่ย่างมากกว่า
..
ต่อมา แม่ของเรากับแม่ของเพื่อนซี้ ก็มาเริ่มทำอาชีพขายข้าวแกง แม่เรายึดทำเลหน้าโกดังสินค้า ขายข้าวแกงวันละไม่กี่อย่าง สับเปลี่ยนกันไปพอให้ได้เงินมาช่วยเหลือในครอบครัว ไม่ให้พ่อต้องทำงานคนเดียว แม่ของเพื่อนซี้ก็ทำ โดยการหาบไปขายตามแถวต่างๆ นึกถึงความยากลำบากในการเลี้ยงดูลุกๆ ของแต่ละครอบครัวแล้ว ต้องสำนึกในบุญคุณของท่านทั้งสองที่ให้ทั้งชีวิตที่เกิดมา เลี้ยงดูเราจนโต ให้การศึกษา ฯลฯ พระคุณนี้ทดแทนอย่างไรก็ไม่หมด
มีแม่ค้าขายส้มตำ ขนมจีน ข้าวราดแกงอยู่ก่อนเจ้าหนึ่ง ขายอยู่หน้าสถานีตำรวจรถไฟ เราชอบไปซื้อส้มตำมากินตอนเที่ยง ตอนนั้นแม่ยังไม่ได้ขายข้าวแกง เลยต้องมาซื้อเขากิน รู้สึกว่ามันอร่อยเป็นที่สุด กินกับข้าวเหนียวร้อนๆ บางครั้งได้เก็บผักกระถินข้างรั้ว ยอดมะยมอ่อนๆ มากินแกล้ม ตอนนั้นยังไม่มีสัมตำสารพัดอย่างเหมือนตอนนี้ เป็นแบบพื้นๆ ธรรมดา คนอิสานเรียกว่า ตำส้ม แล้วยังมีตำแตงกวา ตำถั่วฝักยาวเท่านั้นเอง
ห่างออกไปตรงข้ามโรงสีข้าว มีบริษัททำขนมปังสีขาว ใส่ถุงส่งขาย และยังทำขนมปังอบแห้งโรยมาการีน น้ำตาลทราย ใส่ปี๊บขาย และแบ่งขายเป็นถุงๆ อีกด้วย อย่างที่บอกสมัยนั้นมีสงครามเวียดนาม ทหารอเมริกันเข้ามาตั้งฐานทัพที่อุดรฯ มีเรด้าที่ทันสมัยที่สุดครอบคลุมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงตอนที่เขาถอนทัพกลับประเทศจึงมีเพียงสถานที่เก่าที่รกไปด้วยหญ้า เวลาผ่านไป กลับกลายเป็นเพียงประวัติศาสตร์ของเมืองอุดรฯ เท่านั้นเอง
ติดตามตอนต่อไปค่ะ
Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2558 |
|
20 comments |
Last Update : 30 กันยายน 2563 12:34:16 น. |
Counter : 2675 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ก้อนเงิน 27 กุมภาพันธ์ 2558 20:48:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: ไพศาล IP: 124.121.16.194 27 กุมภาพันธ์ 2558 21:31:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: ก้อนเงิน 28 กุมภาพันธ์ 2558 9:12:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: moresaw 28 กุมภาพันธ์ 2558 19:45:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: moresaw 28 กุมภาพันธ์ 2558 19:45:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนินน้ำ 3 มีนาคม 2558 19:34:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนินน้ำ 4 มีนาคม 2558 0:16:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: nulaw.m (คนบ้านป่า ) 4 มีนาคม 2558 10:07:57 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Belgium
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 87 คน [?]
|
แม่บุญ..เป็นหญิงไทยอายุเลยวัยรุ่นไปไกล จับพลัดจับพลูได้สามีเป็นฝรั่งแล้วก็หอบผ้าตามกันไปอยู่เมืองนอกเมืองนา พอได้เวลาหยุดงานก็กระเตงกันไปเที่ยวตามประสาตายาย ไม่มีลูกกวนตัวกวนใจ แม่บุญนั้นชอบเขียน ชอบเล่า ชอบถ่ายรูป เป็นที่สุด จะเก็บไว้คนเดียวก็กระไรอยู่ เอามาแบ่งบันกันให้ลูก ๆ หลาน ๆ ได้อ่าน ได้ดูกันดีกว่า ส่วนฝีมือด้านอื่น ๆ นั้นก็พอจะมีอยู่บ้าง เช่น ทำอาหาร ก็เอามาแบ่งปันกันอีกนั่นแหละ ค่อย ๆ รู้จักกันไป รู้จักกันแล้วก็อย่าลืมเข้ามาคุยกันนะ
ปล....รูปภาพต่าง ๆ หากต้องการนำไปใช้ช่วยบอกที่มาที่ไปด้วยนะคะ เป็นการให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งสังคมไทยเราค่อนข้างมองข้ามในเรื่องนี้ค่ะ
|
|
|
|
|
|
|
|
คุณพ่อของแม่บุญเก่งจังค่ะที่ท่านทำตู้ ทำชั้นเอง
อ่านเรื่องราวการขายของต่างๆแล้ว เห็นภาพตามไปด้วยค่ะ
ประทับใจยายโกด้วยค่ะ ที่อายุมากแล้วยังขยัน อดทนต่อความลำบาก
หาบของหนักๆเดินขายถึงหน้าบ้าน
ขอบคุณแม่บุญสำหรับเรื่องราวที่ถ่ายทอดให้อ่านนะคะ
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
Maeboon Diarist ดู Blog
------------------------
นอนหลับฝันดีคืนนี้ค่ะ