|
|||||||||
แปลเพลง - Freedom! '90 - Pitch Perfect 3 OST - ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากกรอบเดิมๆ เวลาที่เหมาะสมสำหรับเราที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็นคนที่เราอยากเป็น นั้นคือเมื่อไหร่ครับ? หรืออาจจะเปลี่ยนเป็นคำถามที่คล้ายๆกันว่า "เรามีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น เห็นภาพที่ตัวเองกลายเป็นคนที่ดีขึ้น ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ครับ?" คนบางคนอาจไม่เคยถามคำถามเหล่านี้กับตัวเองมาก่อนเลย ส่วนบางคนก็เคยถามแล้วแต่คำตอบไม่เคยชัดเจน บางคนวางใจแล้วว่าได้เคยพัฒนาตัวเองมาแล้ว อ.แมคกอนิกอลแห่ง Harward Business School เคยบอกไว้ว่ามนุษย์แตกต่างจากเพื่อนร่วมโลกสายพันธุ์อื่นตรงที่เรามองกระจกแล้วอาจจะเห็นถึงก้นบึ้งของจิตวิญญานของตัวเอง เพื่อนร่วมโลกสายพันธุ์อื่นใช้ชีวิตแบบ reactive ครับ คอยดูสภาพแวดล้อมแล้วใช้ชีวิตตอบสนองกับสภาพแวดล้อมเหล่านั้นในขณะที่การพัฒนาตนเองคือการเลือกใช้ชีวิตแบบ proactive คำถามก็คือ เราจะพัฒนาตัวเองตอนไหน? ที่ผ่านมานี้พัฒนามากี่ครั้งแล้ว? ยังต้องพัฒนาต่ออีกมั้ย? ต้องใช้เวลาพัฒนาขนาดไหน? ต้องพัฒนาต่ออีกกี่ครั้ง? หรือแม้แต่คำถามเริ่มต้นที่ว่า "ต้องพัฒนาตัวเองด้วยหรือ?" เพิ่งได้มีโอกาสดู Pitch Perfect 3 ครับ หนังภาคต่อที่นำเพลงเก่าๆตั้งแต่ยุค 80 มาโคฟเวอร์ใหม่ให้ฟังแบบร้องปากเปล่าไม่มีเครื่องดนตรี (ใช้ปากทำเสียงประสานหรือเลียนเสียงเครื่องดนตรีแทน) ผู้ฟังที่คุ้นเคยกับเพลงในยุค 80, 90 เป็นต้นมาก็จะฟินหน่อยๆครับ มีหลายเพลงที่เราลืมไปแล้วและเมื่อเค้าร้องออกมามันทำให้ยิ้มอย่างสบายอารมณ์ บางเพลงถึงกับร้องตามไปด้วยเลย ภาคนี้มีเอาลูปมาเล่นให้ดูครับ ทำให้ตอนจบของหนังไม่น่าเบื่อ และเพลงจบนี่แหล่ะครับที่ได้ฟังใหม่อีกครั้งแบบเวอชั่นปรับปรุงใหม่หลังจากที่ไม่ได้ฟังมานาน และคราวนี้ทำให้เราได้สังเกตและมองเห็นความหมายของมันที่ลึกซึ้งและควรค่าต่อการหยิบยกมาแปลให้อ่านกันครับ :) Source: Chayenne Chua Youtube Channel
อรรถาธิบาย
เมื่ออ่านคำแปลจบแล้วจะเห็นได้เลยถึงความเหมาะสมมากๆของหนังที่เลือกเอาเพลงนี้มาใช้ในตอนจบครับเพราะเป็นการร้องเพลงให้ทหารฟัง จากเด็กชายที่เคยชอบสนุกไปวันๆแต่ตอนนี้เป็นนักรบเพื่อชาติ มันเหมือนกับการเติบโตขึ้นมาเป็นคนจริงครับ อารมณ์เพลงของเพลงนื้มีสองนัย คุยกับเพื่อน หรือ คุยกับตัวเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นนัยไหนความหมายก็เหมือนกันครับ ส่วนตัวผมแล้วชอบให้มันเป็นการคุยกับตัวเองมากกว่า มันคือการสื่อสารกับตัวเอง มันคือการสร้างความชัดเจน มันคือการสร้างการตัดสินใจ ออกแบบตัวเองและจะใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองเห็นผลลัพธ์ของการกลายเป็นบุคคลที่ต้องการจะเป็น
Heaven knows เกริ่นเปิดตัวแบบรำพึงรำพันไม่มีความหมายอะไรนักกับเรื่องราว คล้ายๆกับ you know "นายก็รู้" แต่ heaven knows นี้เป็นที่นิยมใช้กันมากและเราจะได้เห็นอยู่บ่อยๆครับ นายรู้สวรรค์ก็รู้ตอนชั้นยังเด็กชั้นไม่รู้หรอกว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร จริงๆแล้วอยากเป็นคนแบบไหน ประมาณนั้นครับ
I was every little hungry school girl's pride and joy มันเป็นการผสมคำมาใช้ที่เท่ห์มาก ตอนนั้นชั้นก็แค่รู้สึกสนุกและอยากได้ความภาคภูมิใจจากสาวๆในโรงเรียน คำว่า every little hungry แสดงถึงจิตใจที่กระตือรือร้น (เพราะความหิว ถ้าแปลตรงตัวก็ประมาณว่าหิวเล็กๆทุกครั้งไป เป็นความอยากนั่นเอง) ต่อการชนะใจสาวๆแสนสวยในโรงเรียน (win the race a prettier face) เพราะการทำสิ่งนี้สำเร็จทำให้เค้าภาคภูมิใจและนำมาซึ่งความสนุก (และเป็นความสุขในท้ายที่สุดเพราะมีพูดถึง happy ด้วย) ซึ่งแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่ได้คิดอะไรมากมาย จีบสาวแข่งกัน ใส่เสื้อผ้าตามเทรนด์ที่เห็นในทีวีช่องดนตรี สมัยนั้น MTV เป็นช่องที่ฮิตมาก (rock and roll TV) นักร้องนักดนตรีก็จะแต่งตัวกันเต็มที่เป็นเทรนด์ของวัยรุ่นให้แต่งตัวตามอย่างอะไรแบบนั้น
big fat place เป็นการเอาลักษณะของ fat มาใช้สื่อความรู้สึกกับสถานที่ครับ มันจะรู้สึกได้ถึงสถานที่กว้างขวางที่ประดับตกแต่งเยอะแยะไปหมดมากเกินจำเป็นจน "อ้วน" ความหมายจึงคล้ายๆความ "หรู" ครับ แต่วันนี้วิถีชีวิตแนวทางที่ใช้มานี้คงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว การใช้คำว่าเกมมาสื่อ (the way I play the game) ทำให้มองได้ว่าเค้ามองชีวิตอย่างมีชีวามากๆ มันเข้ากับการรักสนุกของเด็กๆครับ
I think I'm gonna get me some happy คือตอนนี้มองเห็นแนวทางใหม่แล้วที่ไม่ใช่แค่แต่งตัวตามแฟชั่น จีบสาว เที่ยวเล่นสนุก แต่เป็นแนวทางที่มีความหมายและคุ้มค่าที่จะยอมเปลี่ยนตัวเอง (เห็นตัวเองในแบบที่ดีขึ้นและตัดสินใจว่านั่นแหล่ะคือคนที่ชั้นต้องไปเป็น (someone else I've got to be)) และคิดว่ามันน่าจะทำให้มีความสุขได้แน่
ท่อนที่เปิดเผยความในใจน่าสนใจมากครับ มีบางอย่างนะที่นายควรจะรู้ไว้ มันถึงเวลาที่ต้องบอกนายซะที คือเรารู้สึกแบบนี้มาได้ซักพักแล้วครับ เราเก็บมันไว้กับตัวตลอด รู้สึกอยู่ข้างในลึกๆมาตลอด แต่วันนี้มันถึงเวลาแล้ว ได้เวลาแล้วเก็บไว้ต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว ว่ามันยังมีคนอีกคนนึงที่อยู่ข้างในตัวชั้น ได้เวลาปลดปล่อยให้เค้าเป็นอิสระแล้ว (จริงๆแล้วเราก็คือ Incredible Hulk นี่เอง :D 55 ปล่อย Hulk ในตัวชั้นให้เป็นอิสระเถอะ ชื่อเพลงที่ว่า Freedom ก็คือความหมายตรงนี้เองครับ) เอาแนวทางเดิมของนายกลับไปใส่กรอบเถอะ (take back your picture in the frame) เรารู้สึกแบบไหนครับเราถึงจะเอารูปบางรูปไปใส่กรอบ? แนวทางเดิมเก่าๆไม่ใช่ไม่มีความหมายนะครับ มันทำให้เรากลายมาเป็นเราได้จนถึงระดับนึงด้วยซ้ำ เพียงแต่วันนี้เราตั้งใจจะไปต่อกับระดับใหม่เท่านั้น ดังนั้นจึงจะขอชะล้าง (ด้วยฝน) ความรู้สึกแบบเด็กๆเดิมๆเหล่านั้นไป (take back your singing in the rain) ที่แปลออกมาว่าความรู้สึกแบบเด็กๆก็เพราะเค้าใช้คำว่า singing นี่แหล่ะครับในการสื่อความหมาย เพราะเวลาที่เราร้องเพลงเราจะรู้สึกเพลินและสนุก และความรู้สึกเพลินและสนุกในเพลงนี้ที่กล่าวถึงมาตั้งแต่แรกก็คือตอนต้นเพลงในตอนเป็นเด็กนั่นเองเป็นจุดเชื่อมต่อความหมาย I just hope you understand that sometime the clothes do not make the man คือการตัดสินใจจะเริ่มมี action ที่จะทำให้เรากลายเป็น Hulk นั่นเอง (เป็นทหาร หากหมายถึงในหนัง Pitch Perfect)
Take these lies and make them true คือเค้ามองว่าแค่การใส่เสื้อผ้าสื่อความรู้สึกมันยังไม่ใช่ของจริงครับมันก็เหมือนกับเป็นการหลอกลวงเป็นการโกหก ฝรั่งเค้ามีคำว่า mind the uniform หมายถึง "เกรงใจเครื่องแบบบ้าง" หรือ "ทำตัวให้สมกับเครื่องแบบที่ใส่" ยกตัวอย่างพระสงฆ์ก็ได้ครับ พระที่เพิ่งบวชใหม่ๆนี่ในสมัยโบราณท่านยังไม่ให้เป็นพระแท้นะครับ ครูบาอาจารย์ท่านต้องให้ขอนิสัยก่อน 5 ปี เพราะยังไม่เคยเป็นพระมาก่อน ยังไม่รู้ว่าพระที่แท้จริงต้องทำตัวยังไงจึงต้องค่อยๆฝึกฝนตัวเองไปทุกวันๆเพื่อจะเป็นพระที่แท้จริง พอครบห้าปีท่านก็จะมาประเมินว่าเป็นพระแล้วรึยัง ถ้ายังก็ต้องขอนิสัยกันใหม่ นั่นคือผลจากการใช้เครื่องแต่งกายสร้างความรู้สึกและตัวตน บาตรและจีวรไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นพระนะครับ การปฏิบัติตนต่างหากที่ทำให้เรากลายเป็นพระ ในเพลงในหนังนี้ก็เหมือนกัน แค่ใส่ชุดทหารไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นทหาร แต่การฝึกฝนปฏิบัติตน (และสมัครเข้ารับราชการ) ต่างหากที่ทำให้เรากลายเป็นทหาร take these lies and make them true คือการกระทำอะไรซักอย่างเพื่อให้เรากลายเป็นคนแบบนั้นได้ (somehow) ดังนั้นหากเราจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่ได้เราต้องมองให้ออกให้ได้ว่า เราไม่ได้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของตัวตนเดิม (I don't belong to you) ที่จะพัฒนาไม่ได้และเราก็ไม่ปรารถนาที่จะไปแก้ไขอะไรในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว (you don't belong to me) เมื่อคิดได้แบบนี้แหล่ะครับมันคืออิสระภาพหลุดออกมาจากกันและกัน ปลดปล่อย Hulk ในตัวเองออกมา Freedom! '90 (ที่ต้องใส่ 90 ไว้ก็เพื่อบอกว่าเป็นเพลงใหม่ที่ไม่ซ้ำกับเพลงเก่าที่เคยออกไปแล้วก่อนหน้านี้)
Gotta have some faith in the sound ท่อนนี้ออกมาหลังจากพูดคำว่า freedom เสร็จ sound นั้นหมายถึงคำว่า freedomนั่นเอง จึงแปลว่าต้องเชื่อในคำคำนั้น ต้องเชื่อในอิสรภาพ what a kick - มันเป็นวลีแนวๆรำพึงรำพันครับ จะแปลว่า "เตะอะไรวะเนี่ย" ก็ดูจะแปลกๆไปหน่อย :D 555 what a dream ฝันอะไรวะเนี่ย what a story เรื่องอะไรแบบนี้วะเนี่ย what a mess มันเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย what a kick มันเตะอะไรวะเนี่ย - kick หมายถึงเรื่องที่ทำครับ เป็น action ท่อนนี้จึงหมายถึงสิ่งที่เค้าเคยทำในอดีตนั่นเอง
Big shot ก็มีความหมายนึง good time band ก็อีกอย่างนึง on the run ก็อีกอย่างนึง ยิงใหญ่ วงเวลาดี กำลังวิ่ง พอเอามาต่อรวมกันกลายเป็นแปลว่า "ตอนนั้นเราไม่เคยพลาดที่จะตามเทรนด์ของวงดังๆกัน" จริงๆแล้ว bigshot หมายถึงคนสำคัญครับ มาขยาย goodtime band เลยแปลว่าวงดนตรีดังๆ on the run คือกำลังหลบหนี พอดูลักษณะของการที่กำลังหลบหนี มันคือการเร่งรีบนั่นแหล่ะครับ เพราะวงดังๆนั้นมีหลายวง สรุปแล้วก็คือไล่ตามเทรนด์นั่นเอง brand new face คือเปลี่ยนหน้าใหม่ ก็คือโฉมใหม่
ว้าวววเพลงยาวมาก อธิบายจนเหนื่อย คนอ่านก็อ่านจนเหนื่อย :D สรุปเลยดีกว่าครับ จริงๆแล้วคำถามที่เป็น core message ของเพลงนี้คือ
"เราออกแบบตัวเองไว้ให้เป็นแบบไหนครับ?"
เมื่อคำถามผุดขึ้นมาชัดเจนแล้วคำตอบจะค่อยๆมาเองครับ
Happy free yourself krub :)
ไปเจอบทความนี้มาครับ กว่าจะมาเป็นฉากสุดท้ายใน Pitch Perfect 3 https://sfcinemacity.com/news-activity/news-630 โดย: Karz วันที่: 20 มิถุนายน 2561 เวลา:9:57:23 น.
ไม่รู้คนเขียนจะได้กลับมาเห็นมั้ย แต่คุณแปลได้ลึกมาก เห็นแก่นเพลงเลย อ่านแล้วได้แรงบันดาลใจ อยากพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีก
โดย: Yui IP: 115.87.201.128 วันที่: 18 สิงหาคม 2564 เวลา:23:18:01 น.
|
Karz
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 126 คน [?] สงวนลิขสิทธิ์ Group Blog All Blog
|
||||||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
กะว่าสอบติดอะไรก็เป็นแบบนั้น
และตอนนี้ก็ไม่ได้ออกแบบตัวเองให้เป็นอะไร
มันเป็นไปเองค่ะ
ขอบคุณสำหรับความหมายเพลงค่ะ