จับแนวทางการลงทุนในสภาวะฝุ่นตลบ ผมลงทุนในตลาดหุ้นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว และช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นกำลังฝุ่นตลบ มองไม่เห็นทางว่าจะขึ้นหรือลงกันแน่.. ผมพยายามทำตามกฏเหล็กของผมเอง แต่หลายครั้งผมก็มักจะพ่ายแพ้ความอยากที่จะเอาชนะของตัวผมเองอยู่เป็นประจำ.. ลองคำนวณดูว่าคุณจะได้เงินคืนกลับมาเท่าไร? บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นจะมีหลากหลายรูปแบบ มีทั้งแบบค่อยๆ เติบโตไปตามกาลเวลา เติบโตอย่างรวดเร็ว เติบโตอย่างบ้าคลั่ง หรือหดตัวลง เมื่อเราต้องเจอกับรูปแบบที่มากมายในการลงทุน อะไรที่จะเป็นหลักประกันให้กับการลงทุนของเราได้บ้าง? สำหรับผมถ้าต้องการลงทุนในบริษัทที่เติบโตไปตามกาลเวลาอย่างยั่งยืน เราก็ต้องลองคำนวณดูว่าเราจะได้เงินคืนกลับมาเท่าไร? โดยผมจะเอา "หนี้" เป็นตัวตั้งเพราะหนี้จะเป็นตัวบอกว่าบริษัทเหล่านั้นลงทุนเกินตัวหรือไม่ หรืออาจเป็นการลงทุนที่มีประสิทธิภาพก็ได้ เมื่อเราเอาหนี้ลบด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น แล้วนำมาหารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด เราก็จะได้ตัวเลขที่จะบอกเราได้ว่าถ้าบริษัท "ล้ม" เราจะได้เงินคืนกลับมาเท่าไร.. ถ้าการลงทุนของเราเป็นแบบ "ปลอดภัยไว้ก่อน" เราก็ควรจะหลีกเลี่ยงบริษัทที่มีค่าการคำนวณออกมาติดลบ แต่ถ้าเรามั่นใจว่าการก่อหนี้ของบริษัทนั้นๆ จะสามารถสร้างผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าได้ในอนาคต เราก็อาจเลือกลงทุนต่อไปได้.. ยังมีปัจจัยอีกมากมายที่จะช่วยให้เราพิจารณาการลงทุนในรูปแบบที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด สำหรับผมแล้วผมสามารถเอาชนะความอยากในใจได้แล้ว ทำให้การลงทุนครั้งต่อๆ ไปของผม จะเป็นการลงทุนที่เน้นคุณค่า และยั่งยืนได้อย่างแน่นอน.. มาบริหารความมั่งคั่งกันดีกว่า //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=greenpluss&month=05-2011&date=29&group=34&gblog=1 อาหารพืชชีวภาพ "กรีนพลัส" สุขภาพดี ที่เลือกได้ //green-generation-plus.blogspot.com/   Create Date : 08 มิถุนายน 2554 3 comments Last Update : 8 มิถุนายน 2554 8:46:45 น. Counter : 1039 Pageviews. Share Tweet

เราต้องเลือกบริษัทที่มี cash flow ที่แน่นอน และต้นทุนของบริษัทไม่ผันผวนมากนัก ดังนั้นหุ้นของผมเวลาฟื้นตัวจากราคาตกต่ำจะไปแรงกว่าคนอื่นเสมอ เพราะจริงๆแล้วระหว่างที่ปัจจัยจิตวิทยามากระทบต่อตลาดนั้น การดำเนินงานของบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปโดยนัยยะสำคัญเลย บริษัทยังเก็บกระแสเงินสดได้ตลอดเหมือนกับ kzm ที่เก็บกระแสเงินได้ทุกวันยังไงอย่างนั้นเลย อ่อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เราไม่จำเป็นต้องเก็บส่วนต่างของราคาหุ้นในตอนแรกก็ได้ กระแสเงินสดที่สม่ำเสมอที่บริษัททำได้ก็จะเปรียบเสมือนเช่นเดียวกัน หากบริษัทไม่มีต้นทุนที่ผันแปรมากนัก ดังนั้นเมื่อผมถูกส่งเข้าไปแข่ง nasdaq competitions โดยห้ามเทรดดิ้งแล้ว โอเค ผมก็เล็งหาบริษัทที่มีเรทผลตอบแทนจาก cash flow ไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี ในช่วงที่ตลาดมีปัจจัยแย่มากๆ สุดท้ายผมจบลงด้วยที่ 15 จากเทรดเดอร์ทั้งหมด 370 คนมั้ง โดยแทบไม่ได้ซื้อขายเลย ระหว่างที่คนอื่นซื้อขายกันยิกๆ   โดย: นายแว่นธรรมดา 10 มิถุนายน 2554 14:30:53 น.

หนังสือคู่มือเทรดเดอร์ที่ดีที่สุด ก็คือหนังสือ พุทธธรรม ของมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย เล่มใหญ่ ของ ท่านพระธรรมปิฏก ป.อ. ปยุตโต หลายคนสงสัยทำไมผมถึงชอบแนะนำหนังสือเล่มนี้ จริงๆหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่จะเรียกได้ว่าถอดเนื้อหาตามหลักที่สำคัญของพระไตรปิฏกมาหมดก็ว่าได้ เรียกได้ว่าพุทธรรม คือ หนังสือที่ว่าด้วย กฎความจริงของธรรมชาตินั่นเอง ดังนั้น มนุษย์ซึ่งเป็นซับเซ็ตของธรรมชาติ ก็ย่อมหลีกหนีกฎเกณฑ์ความจริงเหล่านี้ไม่พ้นเช่นกัน การที่เราเข้าใจความจริงของธรรมชาติ + สมาธิ แล้ว ย่อมสามารถทำให้มนุษย์สามารถพัฒนาเจริญปัญญาและจิตใจจนถึงขั้นมากที่สุดเท่าที่ธรรมชาติจะมอบสิ่งนั้นให้เราได้ เพื่อที่ภายในอนาคตเราจะสามามารถช่วยเหลือผู้คนได้อีกมากมายในเส้นทางที่เราจะเลือกเดินไม่ว่าจะทางธรรม ทางโลก หรือ แม้แต่ทางสายวัตถุ หรือ จิตใจ ก็ตาม   โดย: นายแว่นธรรมดา 10 มิถุนายน 2554 14:35:18 น.

อย่าลืมตัวว่าเก่งแล้วรุ้แล้วเด็ดขาด (อันนี้สำคัญมาก อย่าเป็นเหมือนพี่) สมองของมนุษย์เนี่ยมันทำงานตามความเชื่อและความคิดของเรา มันเป็นโปรแกรมอัติโนมัติ โดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะมันเป็นธรรมชาติของร่างกายที่มันออกแบบมาอย่างนั้น มันจะทำให้เราหยุดการเรียนรุ้และพัฒนาอย่างทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เทรดเดอร์หลายคนหยุดพัฒนาการลงไป ให้น้องๆพยามนึกถึงว่าเมื่อก่อนเราเป็นเช่นไร เราเรียนรุ้มาอย่างไร ถึงได้พัฒนาตัวเองได้ แน่นอนอาการลืมตัวจะค่อยๆหมดไปถ้าเราฝึกสมาธิได้ในระดับที่ดีมากๆแล้วเพราะเราจะเริ่มเรียนรุ้ความจริงของธรรมชาติเองว่าตัวเรานั้นเป็นอย่างไร แต่ก่อนที่เราจะมีสมาธิในระดับที่ดีแล้วก็ห้ามลืมกฏข้อนี้ครับ   โดย: นายแว่นธรรมดา 10 มิถุนายน 2554 14:36:30 น.