เตือนผู้ป่วย"ฝังเข็ม" ระวังโรคติดต่อจากเลือด
สธ. เร่งควบคุมมาตรฐานการ """"ฝังเข็ม"""" เผยในรอบ 9 ปีนี้ได้รับความนิยมจากคนไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยอัมพฤกษ์/อัมพาต ชี้อาจมีอันตรายได้รับเชื้อเอดส์-ไวรัสตับอักเสบหากผู้ให้บริการฝังเข็มไม่มีความรู้
น.พ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกรับรองให้การฝังเข็มสามารถใช้ในการรักษาโรคต่างๆ ได้ 28 กลุ่มอาการ เช่น อาการปวด อัมพฤกษ์/อัมพาต โดยช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ป่วย รวมทั้งกลุ่มโรคภูมิแพ้และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์พบว่า การฝังเข็มทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดรฟินออกฤทธิ์ระงับอาการปวดและอักเสบ กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายส่งเสริมให้นำการฝังเข็มมาใช้บริการประชาชนในสถานพยาบาลในสังกัดเพื่อเป็นแม่แบบพบว่า ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนั้น จากการสำรวจสถานพยาบาล ที่เปิดให้บริการการแพทย์แผนจีนพบว่า การฝังเข็มได้รับความนิยมสูงกว่าบริการอื่นๆ ในปี 2548 มีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยอัมพฤกษ์/อัมพาต และยังพบด้วยว่า สถานพยาบาลกว่าร้อยละ 40 ต้องการเปิดให้บริการด้วยการแพทย์ทางเลือกด้วย ขณะเดียวกันกระทรวงฯ ได้จัดทำมาตรฐานของสถานที่ให้บริการฝังเข็ม จะต้องเป็นสถานพยาบาล ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายเท่านั้น จนถึงขณะนี้มีสถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนได้รับใบอนุญาตเปิดให้บริการฝังเข็มแล้ว 200 แห่ง น.พ.ปราชญ์ เตือนว่า การฝังเข็มจะต้องระมัดระวังความสะอาดและการติดเชื้อ เข็มที่ใช้จะเป็นชนิดใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ไม่นำกลับมาใช้อีก เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ โรคเอดส์ และโรคอื่นๆ ที่ติดต่อได้จากเลือด และควรระวังที่จะให้บริการในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ โรคเลือดออกง่าย ผู้ที่ให้การรักษาจึงจำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และผ่านการอบรม ทั้งนี้ ผู้สนใจควรเลือกรับบริการเฉพาะอาการและโรคที่การฝังเข็มช่วยได้ และต้องบริการโดยแพทย์แผนปัจจุบัน ที่ผ่านการฝึกอบรมแล้ว หรือผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพ ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนจีนเท่านั้น
| ""