"ความสามัคคีปรองดอง เป็นกำลังอย่างสูงสุดของชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ความสามัคคีของคนในชาติ จะทำให้บ้านเมืองผ่านพ้นอุปสรรค และทำให้สังคมไทย ร่มเย็นเป็นสุข" พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
สนใจลงโฆษณา ในพื้นที่ข้างบน ติดต่อ email : nana_sara1000@ymail.com
Home Lover’s Corner นานา สาระ๑๐๐๐ นานา สารพัด พระพุทธประวัติ ภาคพิเศษ
Travel Around the World Real Estate Buyer's Guide สุขภาพกาย สุขภาพใจ Pets & Animals
ปางพระพุทธรูปตามพุทธประวัติ Horoscope 12 ราศี พระพุทธศาสนา World of Beautiful Musics
ทรงให้เหล่าพระอรหันต์สาวกออกไปประกาศธรรม

ทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่สหายคฤหัสถ์
ของยสะกุลบุตร และประทานอุปสมบท


หลังจากพระพุทธองค์ทรงประทานเอหิภิกขุ อุปสัมปทาแก่พระยสะแล้ว สหายคฤหัสถ์ ๔ คนของท่านพระยสะ คือ วิมล สุพาหุ ปุณณชิ และควัมปติ ซึ่งเป็นบุตรของสกุลเศรษฐี ในพระนครพาราณสีนั้น ได้ทราบข่าวว่า ยสะกุลบุตรปลงผมและหนวด นุ่งห่มด้วยผ้ากาสายะ สละเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้ว ได้ดำริกันว่า ธรรมวินัยและบรรพชาที่ยสะกุลบุตร ปลงผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสายะออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตแล้วนั้น คงไม่ต่ำทรามแน่นอน ต่างจึงพากันเข้าไปหาท่านพระยสะ อภิวาทแล้วได้ยืนอยู่รออยู่ พระยสะจึงพาสหายคฤหัสถ์ทั้ง ๔ นั้น เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรนั้น แล้วกราบทูลว่า “พระพุทธเจ้าข้า สหายคฤหัสถ์ของข้าพระองค์ ๔ คนนี้ ชื่อ วิมล สุพาหุ ปุณณชิ และควัมปติ เป็นบุตรของสกุลเศรษฐี ในพระนครพาราณสี ขอพระผู้มีพระภาคโปรดประทานโอวาทสั่งสอนสหายของข้าพระองค์เหล่านี้


พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่พวกเขา คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถาสัคคกถา โทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลายและอานิสงส์ในความออกจากกาม เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า พวกเขามีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้า ทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดง ด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค


สหายคฤหัสถ์ ๔ จึงได้ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา แก่พวกเขา ณ ที่นั่งนั้นเอง สหายคฤหัสถ์ ๔ จึงได้ทูลต่อพระผู้มีพระภาคว่า “พระพุทธเจ้าข้า ขอพวกข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้
อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค”


ต่อมา พระพุทธองค์ทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้น ด้วยธรรมีกถา จนจิตของภิกษุเหล่านั้น พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ขณะนั้น จึงมีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๑๐ องค์


ฝ่ายสหายคฤหัสถ์ และเป็นชาวชนบทอีกจำนวน ๔๐ คน ของท่านพระยสะ ซึ่งเป็นบุตรของสกุลเก่า ได้ทราบข่าวว่า ยสะกุลบุตรและสหายบวชเป็นบรรพชิตแล้ว จึงพากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค พระพุทธองค์จึงทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่พวกเขา จนได้ดวงตาเห็นธรรม จึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค ขณะนั้น จึงมีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลกรวม ๖๐ องค์




ทรงให้เหล่าพระอรหันต์สาวกออกไปประกาศธรรม

พระพุทธองค์ทรงตรัสกับเหล่าพระอรหันต์สาวกทั้ง 60
ให้ออกไปประกาศธรรม

หลังจากนั้นพระพุทธองค์ทรงตรัสกับเหล่าพระอรหันต์สาวกทั้ง 60 รูป ทำนองว่า เพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย พวกท่านจงออกไปประกาศธรรมที่พระองค์แสดงไว้แล้ว กล่าวไว้ดีแล้ว แก่สัตว์ทั้งหลาย และอย่าไปในทิศทางเดียวกันพร้อมกัน 2 รูป (เพราะยังมีพระภิกษุน้อยอยู่มาก) และในช่วงเริ่มต้นพระศาสนานั้น เมื่อกุลบุตรประสงค์ที่จะบวช พระเถระเหล่านั้นต้องนำกุลบุตรนั้นไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อขอบวช พระภิกษุสงฆ์จึงมีความใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก











หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าทรงพระประสงค์จะเสด็จไปยัง กรุงราชคฤห์ เมืองหลวงของแคว้นมคธ ตามที่พระองค์เคยสัญญาไว้กับพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งเป็นเจ้าแผ่นดินของแคว้นมคธและแคว้นอังคะ เพราะในสมัยเมื่อพระองค์ออกแสวงหาโมกธรรมอยู่ ได้พบกับพระเจ้าพิมพิสาร และพระเจ้าพิมพิสารได้ทูลกล่าวเชิญว่า เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงตรัสรู้แล้ว ขอทรงมาโปรดแสดงธรรมให้กับพระองค์ด้วย เพื่อพระองค์จะได้รู้แจ้งถึงธรรมนั้น











อธิบายในด้านภูมิศาสตร์เพื่อจะได้เห็นภาพคร่าวๆ ในการเสด็จดำเนินของพระพุทธเจ้า โดยถือ เอาแคว้นมคธ อันมีเมืองราชคฤห์เป็นเมืองหลวง อยู่ตรงกลาง ดังนี้
* แคว้นสักกะ มีเมืองกบิลพัสดุ์เป็นเมืองหลวงอยู่ทางทิศเหนือของแคว้นมคธ ซึ่งเมืองกบิลพัสด์เป็นเมืองประสูติของพระโพธิสัตว์ก่อนตรัสรู้ และเป็นแคว้นเล็ก เมืองกบิลพัสด์เป็นเมืองหลวงของแคว้นสักกะ และมีอิสระไม่ขึ้นกับใคร
* แคว้นอังคะมีเมือง จำปา เป็นเมืองหลวง อยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้นมคธ และอยู่ในการปกครองของแคว้นมคธ
* แคว้นกาสี มีเมือง พาราณสี เป็นเมืองหลวง อยู่ในการปกครองของพระเจ้าปเสนธิโกศล (พระเจ้าปสนธิโกศล เป็นพระญาติกับพระเจ้าพิมพิสารปกครองทั้งแคว้นกาสี และแคว้นโกศล) อยู่ทางทิศตะวันตกของแค้วนมคธ และป่าอิสิปตนมิคทายวัน อยู่ในแคว้นกาสี
* แคว้นโกศลมีเมือง สาวัตถี เป็นหลวง อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นกาสี เมืองสาวัตถีเป็นที่ประทับของพระเจ้าปสนธิโกศล
* แคว้นวัชชี มีเมือง เวสาลี เป็นเมืองหลวงอยู่ทางทิศเหนือของแคว้นมคธใกล้กับเมืองกบิลพัสดุ์
ข้อสังเกต แคว้นอังคะ แคว้นมคธ แคว้นวัชชี แคว้นกาสี อยู่ในเขต พิหาร ของอินเดีย




ถ้าดูตามแผนที่ จะได้เห็นภาพในการดำเนินเสด็จเผยแผ่พระสัจจะธรรมได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งในสมัยเมื่อพระพุทธเจ้ายังคงมีพระชนม์ชีพอยู่ มีแคว้นใหญ่อยู่ 16 แคว้น 16 แคว้นนี้กินเนื้อที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศอินเดียในขณะนี้

ความจริงแล้วในขณะนั้นพระภิกษุสงฆ์น่าจะได้เข้ามาบวชกับพระพุทธเจ้าหลายร้อยหรือหลายพันรูปแล้ว และส่วนมากเป็นพระอรหันต์ ที่มีปฏิสัมภิทาญาณและมีอภิญญา แต่พระพุทธเจ้าทรงให้แยกย้ายกันออกไปเผยแผ่พระสัจจะธรรม โดยในทิศเดียวกันห้ามไปพร้อมกัน 2 รูป ดังนั้นเพียงแค่ไม่ถึงปี ในกรุงพาราณสี แคว้นกาสี พุทธสาวก(อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุสงฆ์) ก็ย่อมมีมากมายแล้ว และจะเห็นว่าในช่วงพรรษาต้นๆ พระพุทธเจ้าทรงเสด็จดำเนินไปโปรดแสดงธรรมแก่ผู้ที่อยู่ในข่ายพระญาณ ด้วยพระองค์เพียงผู้เดียว แล้วค่อยให้พระมหาสาวกติดตามไปภายหลัง ในทำนองเดียวกันพระมหาสาวกก็ออกไปแสดงธรรมกับผู้ที่มีวาสนาที่อยู่ในข่ายญาณของท่าน เมื่อผู้ใดประสงค์จะบวชก็ติดตามท่านไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในภายหลัง


พระพุทธศาสนาแค่ช่วงพรรษาแรกก็แผ่ขยายไปทั่วกรุงพาราณสี ของแคว้นกาสี เหมือนไฟที่ลุกไหม้ดินประสิว และคำประกาศว่า พระพุทธเจ้าได้บังเกิดแล้วในโลกได้กระจายไปจากแคว้นกาสี ไปยังแคว้นโกศล แคว้นมคธ แคว้นวัชชี แคว้นอังคะ และกรุงกบิลพัสดุ์ เนื่องจากแคว้นเหล่านี้ประชาชนติดต่อไปมาค้าขายกันเป็นประจำ





โปรดสหายภัททวัคคีย์


ครั้นพระสาวกทั้ง ๖๐ องค์ ถวายบังคมลาพระบรมศาสดาออกจากป่าอิสิปปตนมิคทายวัน จาริกไปประกาศพระศาสนายังชนบทน้อยใหญ่ตามพระพุทธประสงค์แล้ว พระผู้มีพระภาคทรงประทับอยู่ที่นครพาราณสีตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วจึงเสด็จจาริกมุ่งไปสู่ตำบลอุรุเวลา ครั้นถึงไร่ฝ้ายในระหว่างทาง เสด็จหยุดพักที่ร่มไม้ต้นหนึ่ง









ขณะนั้น มีมานพ ๓๐ คน ซึ่งเป็นสหายที่รักใคร่กัน เรียกว่า “ภัททวัคคีย์” อยู่ในราชตระกูลแห่งราชวงศ์โกศล ต่างคนต่างพาภรรยาของตน มาหาความสำราญ บังเอิญสหายคนหนึ่งไม่มีภรรยา สหายเหล่านั้นจึงไปหาหญิงโสเภณีคนหนึ่งมาให้เป็นเพื่อนร่วมความสำราญ ครั้นเผลอไปไม่ระแวดระวัง หญิงโสเภณีคนนั้นได้ลักเอาเครื่องแต่งกายและสิ่งของอันมีค่าหนีไป มานพทั้ง ๓๐ คนนั้นจึงออกเที่ยวติดตาม จนกระทั่งได้พบพระบรมศาสดาที่ไร่ฝ้ายนั้น มานพเหล่านั้นจึงเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา ทูลถามว่า พระองค์ได้ทรงเห็นหญิงผู้นั้นมาทางนี้หรือไม่ พร้อมกับได้ทูลถึงพฤติการณ์ของหญิงนั้นให้ทราบ

พระบรมศาสดาได้ทรงตรัสถามว่า “ภัททวัคคีย์ ท่านทั้งหลายจะแสวงหาหญิงผู้นั้นดี หรือแสวงหาตนของตนดี ” ครั้นสหายเหล่านั้นกราบทูลว่า แสวงหาตนดีกว่า จึงรับสั่งว่าถ้าเช่นนั้นจงตั้งใจฟัง เราจะแสดงธรรมแก่ท่านทั้งหลาย แล้วทรงแสดงอนุปุพพิกถา และอริยสัจ ๔ ให้ภัททวัคคีย์มานพทั้ง ๓๐ นั้นจนได้ดวงตาเห็นธรรม แล้วขอประทานอุปสมบทให้เป็นภิกษุ รวมเป็นพระอรหันตสาวก 90 องค์

แล้วพระบรมศาสดาทรงสั่งสอนให้จนบรรลุอริยผลเบื้องสูง แล้วทรงส่งไปประกาศพระศาสนาเช่นเดียวกับพระสาวก ๖๐ องค์ก่อนนั้น พระอริยสงฆ์คณะนี้ได้กราบทูลลาเดินทางไปยังเมืองปาวา ทางใต้ของแคว้นโกศล





ทรงเสด็จอุรุเวลา เพื่อโปรดชฎิลสามพี่น้อง
ทรงเสด็จไปหาชฎิลอุรุเวลกัสสปก่อน

ครั้นพระบรมศาสดาทรงส่งพระสาวกเหล่าภัททวัคคีย์ไปแล้ว ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ เมื่อออกพรรษาแล้ว ก็เสด็จโดยลำพังพระองค์ ตรงไปยังอุรุเวลาประเทศ ซึ่งเคยเป็นสถานที่ประทับตรัสรู้ อันตั้งอยู่ในเขตเมืองราชคฤห์มหานคร ซึ่งเป็นที่อยู่ของอุรุเวลกัสสป อาจารย์ใหญ่ของเหล่าชฎิล ๕๐๐ นครราชคฤห์นั้นเป็นเมืองหลวงแห่งรัฐมคธ ซึ่งเป็นมหาประเทศ พระเจ้าพิมพิสารมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ปกครองโดยสิทธิ์ขาด เป็นเมืองที่คับคั่งด้วยผู้คน เจริญด้วยวิทยาการความรู้ ตลอดจนการค้าขาย และเป็นที่รวมแห่งบรรดาคณาจารย์ เจ้าลัทธิมากมายในสมัยนั้น


การที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดชฎิลสามพี่น้องนั้น ก็เพราะนักบวชสามพี่น้องนี้เป็นคณาจารย์ใหญ่ที่คนเคารพนับถือมากในสมัยนั้น การให้นักบวชที่มีอิทธิพลทางความนับถือ ได้หันมานับถือพระองค์นั้น เป็นนโยบายสำคัญของพระพุทธเจ้าในการประกาศพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่เพิ่งเกิดใหม่ เพราะถ้าปราบนักบวชที่มีอิทธิพลมากลงได้เสียแล้ว การประกาศพระศาสนาของพระองค์ก็ง่ายขึ้น และจะได้ผลรวดเร็ว


พระพุทธเจ้าจึงเสด็จมาสำนักของชฎิลสามพี่น้องซึ่งตั้งตนว่าเป็นพระอรหันต์ และพระองค์ได้ทรงทรมาน คือ การแสดง หรือพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกชฎิลไม่ใช่พระอรหันต์อย่างที่อ้าง คุณธรรมใดๆ ที่พวกชฎิลถือว่าพวกตนมีและว่าวิเศษ พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงให้เห็นว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่


ในบรรดาคณาจารย์ใหญ่ๆนั้น ท่านอุรุเวลกัสสป เป็นคณาจารย์ใหญ่ผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของคนเป็นอันมาก ท่านอุรุเวลกัสสปเป็นนักบวชจำพวกชฎิล ท่านมีพี่น้องด้วยกัน ๓ คน มีสำนักบวชใหญ่แห่งหนึ่ง เรียกกันว่า "ชฎิลสามพี่น้อง" เพราะออกบวชจากตระกูลกัสสป ท่านอุรุเวลกัสสปเป็นพี่ชายใหญ่ มีชฎิล ๕๐๐ เป็นบริวาร ตั้งอาศรมสถานที่พนาสณฑ์ ตำบลอุรุเวลา ต้นแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลหนึ่งจึงได้นามว่า อุรุเวลกัสสป


น้องคนกลางมีชฎิลบริวาร ๓๐๐ ตั้งอาศรมสถานที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ถัดเข้าไปอีกตำบลหนึ่ง จึงได้นามว่า นทีกัสสป ส่วนน้องคนเล็กมีชฎิลบริวาร ๒๐๐ ตั้งอาศรมใหญู่ที่คุ้งใต้ ของแม่น้ำเนรัญชรานั้นต่อไปอีกตำบลหนึ่ง ซึ่งมีนามว่าตำบลคยาสีสะ จึงได้นามว่า คยากัสสป ชฎิลคณะนี้ทั้งหมดมีลัทธินิยมในการบูชาเพลิง ซึ่งในสมัยนั้นการบูชาไฟยังเป็นความเลื่อมใสของคนกลุ่มใหญ่















ภาพจำหลัก แสดงเรื่องราวของการโปรดชฎิล แต่ไม่แสดงรูปพระพุทธองค์ เพียงแต่ใช้สัญลักษณ์ เป็นบัลลังก์แทน



พระบรมศาสดาเสด็จไปถึงอาศรมสถานของท่านอุรุเวลกัสสปในเวลาเย็น จึงเสด็จตรงไปพบอุรุเวลกัสสปทันที ทรงรับสั่งขอพักแรมด้วยสัก ๑ ราตรี อุรุเวลกัสสปรังเกียจ ทำอิดเอื้อนไม่พอใจให้พัก เพราะเห็นพระบรมศาสดาเป็นนักบวชต่างลัทธิของตน พูดบ่ายเบี่ยงว่า ไม่มีที่ให้พัก ครั้นพระบรมศาสดาตรัสขอพักที่โรงไฟ ซึ่งเป็นสถานที่บูชาเพลิงของชฎิล ด้วยเป็นที่ว่างไม่มีชฎิลอยู่อาศัย อุรุเวลกัสสปได้ทูลว่า พระองค์อย่าพอใจพักที่โรงไฟเลย ด้วยเป็นที่อยู่ของพญานาคมีพิษร้ายแรง ทั้งดุร้ายที่สุดอาศัยอยู่ จะได้รับความเบียดเบียนจากนาคราชนั้น ให้ถึงอันตรายแก่ชีวิต เมื่อพระบรมศาสดารับสั่งยืนยันว่า นาคราชนั้นจะไม่เบียดเบียนพระองค์เลย ถ้าท่านอุรุเวลกัสสปอนุญาตให้เข้าอยู่ ท่านอุรุเวลกัสสปจึงได้อนุญาตให้เข้าไปพักแรม ในคืนนั้น







Create Date : 02 เมษายน 2552
Last Update : 2 เมษายน 2552 1:14:13 น. 0 comments
Counter : 4663 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

travelaround
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 164 คน [?]





ยินดีต้อนรับทุกท่านที่แวะเข้ามาชม blog มีข้อคิดเห็น เชิญ comment มาได้นะครับ ถ้าตอบได้ จะตอบให้ทันทีครับ แต่ถ้าไม่ทราบ ต้องขอเวลา จะค้นคว้ามาให้อ่านกัน ท่านที่จะถามคำถาม หรือติดต่อเรื่องบทความ ได้ทาง Email :- d_sign_place@yahoo.com ครับ


เรื่องต่างๆที่ผมได้เขียนหรือรวบรวม เรียบเรียงมานี้ ยินดีให้ทุกท่านได้อ่านเป็นวิทยาทานและเพื่อการศึกษา ถ้าจะนำไปโพสต่อใน website สาธารณะ หรือ website อื่นใดที่ไม่ใช่ทางพาณิชย์ กรุณาระบุที่มา คือ https://www.travelaround.bloggang.com และนามปากกาผู้เขียนคือ TraveLArounD ด้วย

แต่ขอสงวนสิทธิ์สำหรับการนำไปใช้ ในเชิงพาณิชย์ หรือโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง จะถูกดำเนินคดี ตามกฏหมายลิขสิทธิ์

ส่วนบทความหรือภาพถ่ายใดๆ ที่ได้นำมาจาก website อื่น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบเรื่องนั้นๆ เป็นการถ่ายทอดจากวิจารณญาณแล้วว่า มีความถูกต้องเป็นจริง มากที่สุด และได้นำมาจาก website ที่เป็นสาธารณะ ถ้าเรื่องราวหรือภาพของท่านที่ได้นำมาถ่ายทอดนี้ ไปละเมิดลิขสิทธิ์ของท่าน กรุณาแจ้งมาทาง email :– nana_sara1000@ymail.com ผมจะทำการลบข้อมูลหรือภาพที่ละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าว ออกทันที

Acknowledges that I try to write or report accurately but postings may contain fact , speculation or rumor. I find images from the Web that are believed to belong in the public domain. If any stories or images that appear on the site are in violation of copyright law, please email to :- nana_sara1000@ymail.com and I will remove the offending information as soon as possible.


Website counter
: Users Online









ที่ดินเชียงใหม่ ทางไปแม่ริม ใกล้ศาลากลาง และสนามกีฬา 700 ปี ติดน้ำปิง ในหมู่บ้านเพชรริมปิง พื้นที่ 667 ตารางวา @ 14,000.- บาท สภาพแวดล้อมดี สนใจติดต่อ โทร. 0859559950



DESIGN PLACE CO.,LTD. รับออกแบบ และตกแต่งภายใน บ้านพักอาศัย ในแบบไทย และไทยร่วมสมัย



มรดก ฉบับที่ 1

มรดก ฉบับที่ 2

มรดก ฉบับที่ 3

มรดก ฉบับที่ 4

มรดก ฉบับที่ 5

มรดก ฉบับที่ 6

มรดก ฉบับที่ 7

ช่วยสนับสนุนการจัดทำ BLOG ด้วยการซื้อหนังสือ "มรดก" 1ชุด 7เล่ม (หนังสือเก่า) ในราคาชุดละ 700 บาท (รวมค่าส่งทางไปรษณีย์)

สนใจสั่งซื้อทาง E-mail :- nana_sara1000@ymail.com



New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add travelaround's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.