"ความสามัคคีปรองดอง เป็นกำลังอย่างสูงสุดของชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ความสามัคคีของคนในชาติ จะทำให้บ้านเมืองผ่านพ้นอุปสรรค และทำให้สังคมไทย ร่มเย็นเป็นสุข" พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
สนใจลงโฆษณา ในพื้นที่ข้างบน ติดต่อ email : nana_sara1000@ymail.com
Home Lover’s Corner นานา สาระ๑๐๐๐ นานา สารพัด พระพุทธประวัติ ภาคพิเศษ
Travel Around the World Real Estate Buyer's Guide สุขภาพกาย สุขภาพใจ Pets & Animals
ปางพระพุทธรูปตามพุทธประวัติ Horoscope 12 ราศี พระพุทธศาสนา World of Beautiful Musics

พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๔๓ : ทรงตรัสรู้

พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๔๓ : ทรงตรัสรู้

ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ทวยเทพต่างร่ายรำ ขับร้อง แซ่ซ้องถวายเป็นพุทธบูชา

เมื่อพระมหาบุรุษทรงชนะมารแล้วนั้น พระอาทิตย์กำลังจะอัสดง ราตรีเริ่มย่างเข้ามา พระมหาบุรุษยังคงประทับนั่งไม่หวั่นไหวที่โพธิบัลลังก์ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัยด้วยวิธีที่เรียกว่าเข้าฌาน แล้วทรงบรรลุญาณ เป็นลำดับ

(ฌาน คือ วิธีทำจิตให้เป็นสมาธิ คือ ให้จิตแน่วแน่ ไม่ฟุ้งซ่านคิดโน่นคิดนี่อย่างปุถุชนธรรมดา ส่วนญาณ คือ ปัญญาความรู้แจ้ง เปรียบให้เห็นความง่ายเข้าก็คือ แสงเทียนที่นิ่งไม่มีลมพัด คือ "ฌาน" แสงสว่างอันเกิดจากแสงเทียนเท่ากับปัญญา – ญาณ )




พระมหาบุรุษทรงบรรลุญาณที่หนึ่งในตอนปฐมยาม (ประมาณ ๓ ทุ่ม) ซึ่งเรียกว่า "บุพเพนิวาสานุสติญาณ" หมายถึง ความรู้แจ้งถึงอดีตชาติหนหลังทั้งของตนและคนอื่น พอถึงมัชฌิมยาม (ประมาณเที่ยงคืน) ทรงบรรลุญาณที่สอง ที่เรียกว่า "จุตูปปาตญาณ" หมายถึง ความรู้แจ้งถึงความจุติ คือ ดับและเกิดของสัตว์โลก ตลอดถึงความแตกต่างกันที่เรียกว่า "กรรม" พอถึงปัจฉิมยาม (หลังเที่ยงคืนล่วงแล้ว) ทรงบรรลุญาณที่สาม คือ "อาสวักขยญาณ" หมายถึง ความรู้แจ้งถึงความสิ้นไปของกิเลส และอริยสัจ ๔ คือ ความทุกข์ เหตุเกิดของความทุกข์ ความดับทุกข์ และวิธีดับทุกข์



ทรงเปล่งอุทานที่พระพุทธเจ้าทั้งปวง มิได้ทรงละว่า “เราเมื่อแสวงหานายช่าง (คือตัณหา) ผู้กระทำเรือน เมื่อไม่ประสบ ได้ท่องเที่ยวไปยังสงสารมิใช่น้อย ความเกิดบ่อยๆเป็นทุกข์ ดูก่อนนายช่างผู้กระทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักทำเรือนไม่ได้อีกต่อไป ซี่โครงทั้งปวงของท่าน เราหักแล้ว ยอดเรือนเรากำจัดแล้ว จิต (ของเรา) ถึงวิสังขาร (นิพพาน) แล้ว เราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว”

การได้บรรลุญาณทั้งสามของพระมหาบุรุษนั้นเรียกว่า ตรัสรู้ความเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งเกิดขึ้นในคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หลังจากนี้ พระนามว่า สิทธัทถะก็ดี พระโพธิสัตว์ก็ดี ที่เกิดใหม่ตอนก่อนตรัสรู้ว่าพระมหาบุรุษก็ดี ได้กลายเป็นพระนามในอดีตหนหลัง เพราะตั้งแต่นี้ต่อไป ทรงมีพระนามใหม่ว่า "อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า" แปลว่า พระผู้ตรัสรู้ธรรมเครื่องหลุดพ้นจากกิเลสโดยชอบด้วยพระองค์เอง

เหตุการณ์นี้จึงเป็นที่มหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง กวีจึงแต่งความเป็นปุคคลาธิษฐานเฉลิมพระเกียรติพระพุทธเจ้าว่า นำสัตว์ มนุษย์นิกร และทวยเทพในหมื่นโลกธาตุ หายทุกข์ หายโศก สิ้นวิปโยคจากผองภัย สัตว์ทั้งหลายต่างมีเมตตาจิตต่อกันทุกถ้วนหน้า เว้นจากเวรานุเวร อาฆาตมาดร้ายแก่กัน ทวยเทพต่างบรรเลงดนตรีสวรรค์ ร่ายรำ ขับร้อง แซ่ซ้องถวายเป็นพุทธบูชา และกล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณกันทั่วหน้า.



ปล. ตอนนี้ผมเขียนบล็อกมาได้กว่า 260 เรื่องแล้ว ล้วนเป็นสาระน่ารู้ต่างๆ ท่านที่เข้ามาชมบล็อกใหม่ ผมได้จัดทำเป็นสารบัญ แบบหนังสือให้ดูหัวเรื่องได้ง่ายที่ group :
Blog of All You Needs to Know
เปิดทีเดียวเลือกดูเนื้อเรื่องได้ครบครับ จะได้ไม่เสียเวลาคลิกที่ group blog เข้าๆ-ออกๆ ทีละ group




 

Create Date : 14 เมษายน 2551    
Last Update : 30 เมษายน 2551 1:56:39 น.
Counter : 2256 Pageviews.  

พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๔๒ : ทรงชนะมาร

พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๔๒ : ทรงชนะมาร

ทรงชนะมาร

เมื่อจะทรงบรรลุพระโพธิญาณเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง) มีพระยามารชื่อ วัสสวดี ทรงช้างคีรีเมขล์ ยกพลโยธามารมาผจญพระพุทธองค์ พระพุทธองค์มิได้ทรงหวั่นไหวพระทัย ทรงเสี่ยงพระบารมี 10 ทัศที่ได้ทรงบำเพ็ญมาเป็นเครื่องคุ้มครอง และอ้างพระธรณีเป็นพยานในการบำเพ็ญบารมีของพระองค์แต่อดีตกาลมา พระธรณีจึงสำแดงร่างเป็นนารีปรากฏขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระพุทธองค์ แล้วบีบมวยผมมีน้ำหลั่งไหลออกมาท่วมพื้นปฐพี ช้างคีรีเมขสูง ๑๕๐ โยชน์ ก็คุกเข่าลง เหล่ามารทั้งหลายต่างพากันหนีกระจัดกระจายไปยังทิศานุทิศไม่มีซ้ำ ต่างละทิ้งเครื่องประดับศีรษะและผ้าที่นุ่งห่ม หนีไปเฉพาะทิศทั้งหลายตรงหน้า พระยามารวัสสวดีกับหมู่โยธามารจึงพ่ายแพ้ ยอมนอบน้อมแก่พระพุทธเจ้า


เหล่ามารทั้งหลายต่างพากันหนีกระจัดกระจายไปยังทิศานุทิศ


ในลำดับนั้น หมู่เทพทั้งหลายเห็นมารและพลมารหนีไปแล้ว จึงกล่าวขึ้นว่า มารปราชัยพ่ายแพ้แล้ว สิทธัตถะกุมารมีชัยชนะแล้ว พวกเรามากระทำการบูชาความมีชัยกันเถิด ดังนี้ พวกนาคก็ประกาศแก่พวกนาค พวกครุฑก็ประกาศแก่พวกครุฑ พวกเทวดาก็ประกาศแก่พวกเทวดา พวกพรหมก็ประกาศแก่พวกพรหม พวกวิชชาธรก็ประกาศแก่พวกวิชชาธร ในมือต่างถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น มายังโพธิบัลลังก์ของพระมหาบุรุษ เหล่าเทวดาในหมื่นจักรวาลที่เหลือ ต่างร่วมบูชาด้วยดอกไม้ของหอม และเครื่องลูบไล้เป็นต้น ได้ยืนกล่าวสดุดีประการต่างๆ ขณะเมื่อพระอาทิตย์ยังทอแสงอยู่ว่า พระมหาบุรุษทรงขจัดมารและพลมารได้แล้ว


เหล่าเทวดาในหมื่นจักรวาล ต่างร่วมบูชาด้วยดอกไม้ของหอม กล่าวสดุดีพระมหาบุรุษ


การได้ชัยชนะต่อเหล่ามารก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน ทำให้พระองค์ตั้งจิตมั่นเป็นสมาธิได้ลึกและแน่วแน่นับแต่บัดนั้น เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นการเบิกทางไปสู่การตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธะในราตรีนั้น ซึ่งตรงกับวันวิสาขะปุรณมี ดิถีเพ็ญเดือน ๖ แห่งปีก่อนพุทธศก ๔๕ (และชาวพุทธเรายึดถือเอาวันนี้เป็นวันวิสาขะบูชา เพื่อเป็นที่ระลึกนึกถึงวันคล้ายตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในทางศาสนาพิธี) ทรงพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา เรื่องนี้ถ้ากล่าวโดยธัมมาธิษฐาน (คือกล่าวตามสภาวะ) ก็มีความหมายว่า พระพุทธเจ้ามีชัยชนะแก่กิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง





 

Create Date : 13 เมษายน 2551    
Last Update : 13 เมษายน 2551 18:18:08 น.
Counter : 1999 Pageviews.  

พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๔๑ : แม่พระธรณีบิดพระเกศา

พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๔๑ : แม่พระธรณีบิดพระเกศา

แม่พระธรณีบิดพระเกศา เกิดเป็นสมุทรธารา
พระยามารก็พ่ายแพ้แก่พระบารมี

เมื่อพระยามารมากล่าวตู่ว่า"โพธิบัลลังก์" เป็นสมบัติของตนนั้น พระมหาบุรุษทรงกล่าวแก้ว่า "โพธิบัลลังก์" บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรงอ้างพระนางธรณีเป็นพยาน ดังนั้น "พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้…ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพี…" แล้วกล่าวเป็นพยานมหาบุรุษ พร้อมกับบีบน้ำออกจากมวยผม ซึ่งน้ำนั้น คือสิ่งที่เรียกว่า "ทักษิโณทก" อันได้แก่น้ำที่พระมหาบุรุษทรงกรวดทุกครั้งที่ทรงบำเพ็ญบุญบารมีแต่ชาติปางก่อนเป็นลำดับมา ซึ่งแม่พระธรณีเก็บไว้ที่มวยผม เมื่อนางบีบก็หลั่งไหลออกมา



ปฐมสมโพธิกล่าวว่า "เป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศทั้งปวง ประดุจห้วงมหาสาครสมุทร…หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำ ปลาสนาการไปสิ้น ส่วนคิรีเมขลคชินทร ที่นั่งทรงองค์พระยาวัสสวดี ก็มีบาทาอันพลาด มิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร…พระยามารก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด"



ถ้าจะถอดความเป็นธรรมาธิษฐาน กล่าวคือ มารนั้น คือ กิเลสในใจคน เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสติปัญญาที่เป็นเครื่องรู้บาปบุญคุณโทษ กิเลสยินดีในการทำชั่วของคน เห็นใครทำดีจึงขัดขวาง พระมหาบุรุษก่อนที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น ในพระทัยยังมีกิเลสอยู่ แต่เป็นกิเลสที่กำลังจะหลุดจากขั้วพระทัย กิเลสนี้ คือ ความห่วงใย คิดถึงความหลัง คิดถึงความสุขในราชสมบัติ และบ้านเมือง แต่ก็ทรงชนะกิเลสนี้ได้ด้วยบารมีที่ทรงบำเพ็ญมา





บารมีนั้น คือ ความดี พระมหาบุรุษท่านทรงรำพึงว่า ชีวิต ดวงหทัย นัยน์เนตรที่ท่านทรงบริจาคให้เป็นกุศลผลทานมาก่อนนั้น ถ้าจะเก็บรวมไว้ก็จะมากกว่าผลาผลไม้ในป่า มากกว่าดวงดาราในท้องฟ้า ความดีที่ทำไว้นั้นไม่หนีไปไหน ถึงใครไม่เห็น ฟ้าดินก็เห็น ดังเช่นแม่พระธรณีนี้






 

Create Date : 12 เมษายน 2551    
Last Update : 13 เมษายน 2551 18:12:52 น.
Counter : 1356 Pageviews.  

พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๔๐ : มารผจญ

พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๔๐ : มารผจญ

พระยามารกรีฑาพลมาขับไล่

เหตุการณ์ที่เกิดกับพระมหาบุรุษตอนนี้เรียกว่า "มารผจญ" ซึ่งเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือนหกก่อนตรัสรู้ไม่กี่ชั่วโมง พระอาทิตย์กำลังอัสดงลงลับทิว พระยามารตนนี้เคยผจญพระมหาบุรุษมาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อคราวเสด็จออกจากเมือง แต่คราวนี้เป็นการชิงชัยกับพระมหาบุรุษที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกคราว กำลังพลที่พระยามารยกมาครั้งนี้มืดฟ้ามัวดิน มาทั้งบนเวหา บนดิน และใต้บาดาล ขนาดเทพเจ้าที่มาเฝ้ารักษาพระมหาบุรุษต่างเผ่นหนีกลับวิมานกันหมดเพราะเกรงกลัวมาร


พระยามาร มากล่าวตู่ว่า พระมหาบุรุษมายึดเอาโพธิบัลลังก์ ตรงที่พระมหาบุรุษประทับนั่งนั้นเป็นที่ของตน


ปฐมสมโพธิพรรณนาภาพพลมารตอนนี้ไว้ว่า “ บางจำพวกก็หน้าแดง กายเขียว บางจำพวกก็หน้าเขียวกายแดง ลางเหล่าจำแลงกายขาวหน้าเหลือง บางหมู่กายลายพร้อยหน้าดำ ลางพวกกายท่อนล่างเป็นนาค กายท่อนต่ำหลากเป็นมนุษย์ …"


เทพเจ้าที่มาเฝ้ารักษาพระมหาบุรุษ

ส่วนตัวพระยามารเนรมิตพาหา คือ แขนซ้ายและขวาข้างละหนึ่งพันแขน แต่ละแขนถืออาวุธต่าง ๆ เช่น ดาบ หอก ธนู ศร โตมร (หอกซัด) จักรสังข์ อังกุส (ของ้าวเหล็ก) คทา ก้อนศิลา หลาว เหล็ก ครกเหล็ก ขวานถาก ขวานผ่า ตรีศูล (หลาวสามง่าม) ฯลฯ พระยาวัสสวดีมารซึ่งเป็นจอมทัพทรงช้าง "นาราคีรีเมขล์"


พระนางธรณี ถือหม้อน้ำ

ครั้งนี้พระยามาร มากล่าวตู่ว่า พระมหาบุรุษมายึดเอาโพธิบัลลังก์ ตรงที่พระมหาบุรุษประทับนั่งนั้นเป็นที่ของตน พระยามารอ้างพยานบุคคล คือพวกพ้องของตน ฝ่ายพระมหาบุรุษทรงมองหาใครเป็นพยานไม่ได้ เทพเจ้าเล่าก็เปิดหนีกันหมด จึงทรงเหยียดพระหัตถ์ขวาออกจากชายจีวร แล้วทรงชี้พระดัชนีลงยังพื้นพระธรณี พระนางธรณี ( พระนางธรณี มีชื่อเรียกว่า สุนธรีวนิดา) จึงผุดขึ้นมาเพื่อเป็นพยาน






 

Create Date : 10 เมษายน 2551    
Last Update : 14 เมษายน 2551 1:47:36 น.
Counter : 4734 Pageviews.  

พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๓๙ : ทรงสมาธิ (สมาธิเพชร)

พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๓๙ : ทรงสมาธิ (สมาธิเพชร)

ทรงสมาธิ (สมาธิเพชร)



พระมหาบุรุษประทับนั่งขัดสมาธิ พระบาทขวาวางทับพระบาทซ้าย และพระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ผินพระปฤษฎางค์ คือ หลัง ไปทางลำต้นพระศรีมหาโพธิ์ แล้วเจริญสมาธิมั่น เฉพาะอาณาปานสติกรรมฐาน พิจารณาวิธีหลุดพ้นจากทุกข์ ทรงนั่งคู้อปราชิตบัลลังก์ (สมาธิเพชร) ซึ่งแม้สายฟ้าจะผ่าลงตั้ง ๑๐๐ ครั้งก็ไม่แตกทำลาย และทรงตั้งจาตุรงค์มหาปธานในพระหฤทัยแน่วแน่ว่า

"ถ้าเรายังไม่ไดบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณตราบใด เราจักไม่ยอมลุกขึ้นตราบนั้น แม้ว่าเนื้อ และเลือดจะเหือดแห้งไปเหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตามที"



ตำบลอุรุเวลาซึ่งพระพุทธเจ้าประทับนั่ง ณ โพธิบัลลังก์ และจะได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณในลำดับต่อไปนั้น บัดนี้คือตำบลพุทธคยา ตรงที่วิหารพุทธคยาประดิษฐาน อยู่ทุกวันนี้




 

Create Date : 09 เมษายน 2551    
Last Update : 9 เมษายน 2551 17:34:32 น.
Counter : 1375 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

travelaround
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 164 คน [?]





ยินดีต้อนรับทุกท่านที่แวะเข้ามาชม blog มีข้อคิดเห็น เชิญ comment มาได้นะครับ ถ้าตอบได้ จะตอบให้ทันทีครับ แต่ถ้าไม่ทราบ ต้องขอเวลา จะค้นคว้ามาให้อ่านกัน ท่านที่จะถามคำถาม หรือติดต่อเรื่องบทความ ได้ทาง Email :- d_sign_place@yahoo.com ครับ


เรื่องต่างๆที่ผมได้เขียนหรือรวบรวม เรียบเรียงมานี้ ยินดีให้ทุกท่านได้อ่านเป็นวิทยาทานและเพื่อการศึกษา ถ้าจะนำไปโพสต่อใน website สาธารณะ หรือ website อื่นใดที่ไม่ใช่ทางพาณิชย์ กรุณาระบุที่มา คือ https://www.travelaround.bloggang.com และนามปากกาผู้เขียนคือ TraveLArounD ด้วย

แต่ขอสงวนสิทธิ์สำหรับการนำไปใช้ ในเชิงพาณิชย์ หรือโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง จะถูกดำเนินคดี ตามกฏหมายลิขสิทธิ์

ส่วนบทความหรือภาพถ่ายใดๆ ที่ได้นำมาจาก website อื่น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบเรื่องนั้นๆ เป็นการถ่ายทอดจากวิจารณญาณแล้วว่า มีความถูกต้องเป็นจริง มากที่สุด และได้นำมาจาก website ที่เป็นสาธารณะ ถ้าเรื่องราวหรือภาพของท่านที่ได้นำมาถ่ายทอดนี้ ไปละเมิดลิขสิทธิ์ของท่าน กรุณาแจ้งมาทาง email :– nana_sara1000@ymail.com ผมจะทำการลบข้อมูลหรือภาพที่ละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าว ออกทันที

Acknowledges that I try to write or report accurately but postings may contain fact , speculation or rumor. I find images from the Web that are believed to belong in the public domain. If any stories or images that appear on the site are in violation of copyright law, please email to :- nana_sara1000@ymail.com and I will remove the offending information as soon as possible.


Website counter
: Users Online









ที่ดินเชียงใหม่ ทางไปแม่ริม ใกล้ศาลากลาง และสนามกีฬา 700 ปี ติดน้ำปิง ในหมู่บ้านเพชรริมปิง พื้นที่ 667 ตารางวา @ 14,000.- บาท สภาพแวดล้อมดี สนใจติดต่อ โทร. 0859559950



DESIGN PLACE CO.,LTD. รับออกแบบ และตกแต่งภายใน บ้านพักอาศัย ในแบบไทย และไทยร่วมสมัย



มรดก ฉบับที่ 1

มรดก ฉบับที่ 2

มรดก ฉบับที่ 3

มรดก ฉบับที่ 4

มรดก ฉบับที่ 5

มรดก ฉบับที่ 6

มรดก ฉบับที่ 7

ช่วยสนับสนุนการจัดทำ BLOG ด้วยการซื้อหนังสือ "มรดก" 1ชุด 7เล่ม (หนังสือเก่า) ในราคาชุดละ 700 บาท (รวมค่าส่งทางไปรษณีย์)

สนใจสั่งซื้อทาง E-mail :- nana_sara1000@ymail.com



New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add travelaround's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.