"ความสามัคคีปรองดอง เป็นกำลังอย่างสูงสุดของชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ความสามัคคีของคนในชาติ จะทำให้บ้านเมืองผ่านพ้นอุปสรรค และทำให้สังคมไทย ร่มเย็นเป็นสุข" พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
สนใจลงโฆษณา ในพื้นที่ข้างบน ติดต่อ email : nana_sara1000@ymail.com
Home Lover’s Corner นานา สาระ๑๐๐๐ นานา สารพัด พระพุทธประวัติ ภาคพิเศษ
Travel Around the World Real Estate Buyer's Guide สุขภาพกาย สุขภาพใจ Pets & Animals
ปางพระพุทธรูปตามพุทธประวัติ Horoscope 12 ราศี พระพุทธศาสนา World of Beautiful Musics

ยอดธง เสนานันท์ ครูมวยผู้ทุ่มเทช่วยสังคม

ยอดธง เสนานันท์ ครูมวยผู้ทุ่มเทช่วยสังคม


ครูตุ้ย ยอดธง เสนานันท์ ถือเป็นบุคคล ที่ชาวบ้านและสังคมให้การเคารพเชิดชู ทั้งในด้านการสืบสานขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมไทย ตลอดจนได้ตั้งปณิธานอันแน่วแน่ ด้วยการอุทิศตนช่วยเหลือสังคมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และการมีน้ำใจอันประเสริฐ ให้กับสังคมและชาวบ้านทั่วไป โดยยึดแบบปิดทองหลังพระ จนได้รับแต่งตั้งจากราชการ ให้เป็น " ผู้ทรงคุณวุฒิ” ของ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และยังมีตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิ กรรมการ และ ที่ปรึกษา ของหน่วยงาน ภาครัฐ และ เอกชน อีกกว่า 30 ตำแหน่ง ซึ่งตำแหน่งที่ได้รับ มิได้พึงปรารถนา เพราะส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ก็ต้องรับไว้ เพราะทุกฝ่ายวิงวอนเพื่อต้องการให้เป็นเกียรติประวัติของหน่วยงาน และเป็นบุคคลที่สามารถตัดสินปัญหาโดยเป็นธรรม สมควรที่จะได้รับการยกย่อง ให้เป็นคนดีของสังคมไทยในปัจจุบัน และบรรจุไว้ในหอเกียรติยศของ “คนดีศรีรัตนโกสินทร์” นี้









ประวัติครูตุ้ย

ครูยอดธง ศรีวราลักษณ์ หรือเสนานันท์ เกิดที่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เกิดเมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2480 ชอบมวยมาตั้งแต่ 4 ขวบแต่ไม่เคยนำศิลปะมวยไทยมารังแกผู้ด้อยโอกาสกว่า รวมถึงกีฬาทุกประเภทที่เป็นการตู่สู้ไม่ว่าจะเป็นปลากัด ไก่ชน จบป.4 โรงเรียนเทศบาล 1 อ.เมืองบ้านโป่ง แล้วไม่ได้เรียนต่อ อายุ 13 ปี ถูกส่งมาอยู่กับพี่สาวที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เริ่มหัดมวยอย่างจริงจังกับครูสิทธิเดช สมานฉันท์ ชกมวยครั้งแรกที่งานวัดเขาพระบาทบางพระ อ.ศรีราชา เมื่ออายุ 15 ปี ได้ค่าตัว 50 บาท ตระเวนชกเรื่อยมาจนอายุได้ 17 ครูสุวรรณ เสนานันท์ ชวนมาอยู่ค่ายมวย ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “ยอดธง เสนานันท์” เดินสายชกมวยทั่วประเทศ ก่อนเลิกชกเพราะแม่ยายขอร้อง จึงตั้งค่ายมวยศิษย์ยอดธง ที่อ.มาบตาพุด ก่อนย้ายมาอยู่ อ.บางละมุง และใช้ชื่อนี้เรื่อยมาตลอดการชกกว่า 50 ไฟล์ จนกระทั่งแขวนนวม

เวลาผ่านไป 25 ปี ยอดธง เสนานันท์ ตัดสินใจหนีกลิ่นสาบนวมไปเปิดร้านตัดผมที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง ในที่สุดก็ไม่สามารถทนกลิ่นสาปนวมไม่ไหวจึงได้หวนกลับมาตั้งค่ายมวยขึ้นมาใช้ชื่อว่า "ค่ายมวยศิษย์ยอดธง" ที่มาบตาพุด ระยอง โดยเริ่มจากค่ายเล็กๆ มีแค่เสาแขวนกระสอบทรายอยู่เพียงเสาเดียว มีเด็กนักมวยในค่ายแค่ 4-5 คน จากนั้นเริ่มส่งนักมวยขึ้นชกตามงานต่างๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ค่าตัวก็ขึ้นชก เพราะความอยากชกของนักมวย เนื่องจากซ้อมมาอย่างเต็มที่ จากนั้นก็มีนักมวยในค่ายเพิ่มมากขึ้น และส่งชกตามเวทีต่างๆทั่วภาคตะวันออก จนทำให้ค่ายมวยศิษย์ยอดธงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วภาคตะวันออก และได้รับการติดต่อให้ไปชกต่างประเทศหลายครั้ง แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เกือบจบลง เพราะมีสาเหตุมาจากในวันหนึ่งที่ครูตุ้ย พานักมวยออกไปชกต่างจังหวัด และในระหว่างทางที่กำลังจะเดินทางกลับ ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ ซึ่งครูตุ้ยเป็นคนขับ ทำให้นักมวยเสียชีวิตไป 1 คน ส่วนผู้ปกครองพิการ จนทำให้ครูตุ้ยเสียใจมาก จนเกิดความท้อแท้ และเลิกค่ายมวยที่มาบตาพุด ส่วนนักมวยที่เหลืออยู่ก็นำไปฝากไว้กับค่ายอื่น


ครูตุ้ย เล่าให้ฟังว่า หลังจากถอดนวม วางมือ เหือดหายมาจากวงการมวยพอสมควร มีชาวญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งนำโดย โอซามู โนกูจิ ได้พยายามที่จะให้ชาวโลกเข้าใจว่ากีฬามวยไทย จริงๆแล้ว มีต้นกำเนิดมาจากกีฬาคิกบ๊อกซิ่ง ของญี่ปุ่น เมื่อเป็นดังนั้น ด้วยใจและสายเลือดรักมวยไทย เกิดความโกรธและปฏิญาณตนว่า "ข้า...จะเทิดทูนศิลปะมวยไทยด้วยจิต และวิญญาณของข้า เพราะมวยไทยเป็นวัฒนธรรมมรดกของชาติส่วนหนึ่ง และเป็นมรดกโลก ที่กอบกู้ใช้ชาติและแผ่นดินไทยเป็นเอกราชย์มาตราบถึงวันนี้" เรื่องนี้ข้าฯจะยอมไม่ได้ เพราะกีฬามวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้ของชนชาติไทย ที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ











ต่อมา โอซามู โนกูจิ ยกทัพคิกบ็อกซิ่ง มาจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อชกกับมวยไทยในแผ่นดินไทย เมื่อวันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม 2515 ครูตุ้ยจึงอาสานำทัพมวยไทย ออกสู้ศึกในครั้งนี้ และสามารถปราบนักมวย คิกบ็อกซิ่ง ลงได้อย่างราบคาบ หลังจากนั้นรัฐบาลไทยภายใต้การนำของจอมพลถนอม กิตติขจร จึงได้มีคำสั่งเนรเทศ โอซามู โนกูจิ ออกจากประเทศภายใน 24 ชั่วโมง ในฐานะที่เป็นบุคคลไม่พึงปรารถนาของประเทศชาติ และหลังจากที่โอซามู กลับถึงญี่ปุ่น ทางการญี่ปุ่นก็มีคำสั่งห้ามโอซามู โนกูจิ ยุ่งเกี่ยวกับวงการมวยอีกต่อไป เนื่องจากสร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงแก่ประเทศ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะเรียกได้ว่า หากวันนั้นไม่ตัดสินที่จะกอบกู้ศักดิ์ศรีของความเป็นไทย ศิลปะมวยไทย ก็ไม่แน่ว่าในปัจจุบันกีฬามวยไทยอาจจะถูกครอบงำ หรือกลืนหายไปแล้วก็เป็นได้

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา "ครูตุ้ย" ถูกยอมรับให้เป็นปรมาจารย์มวยคู่บารมีศึกวันทรงชัย สร้างมวยชื่อดังหลายคน อาทิ ดาวธง ศิษย์ยอดธง สามารถ พยัคฆ์อรุณ ก้องธรณี พยัคฆ์อรุณ และ ฉัตรชัย ไผ่สีทอง นอกจากนี้ยังมีนักมวยไทยที่ผันตัวเองไปต่อยมวยสากลจนได้แชมป์โลก คือ สามารถ พยัคฆ์อรุณ ที่คว้าแชมป์สภามวยโลก รุ่น 112 ปอนด์ ระยะหลังมี ยอดสนั่น สามเค แบตเตอรี่ ยอดดำรง สิงห์วังชา ปัจจุบันได้มอบบ้านให้เป็นมูลนิธิมวยไทย ทั้งนี้มี รามอน เด็คเกอร์ นักมวยไทยชาวต่างชาติ เจ้าของฉายาไอ้กังหันนรก นำลูกเมียมาเรียนมวยไทยด้วย นอกจากนี้ครูตุ้ย ยังได้รางวัลผู้สืบสานศิลปวัฒนธรรมไทยดีเด่น ได้รับรางวัล ครูมวยดีเด่น คนแรกของประเทศไทย และหนึ่งเดียวในโลก จาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อ 2534 และ ล่าสุดปี 2550 รับปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชามวยไทยศึกษา

ด้วยความเสียสละ และเป็นผู้ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ทำให้บุญพาวาสนาส่ง ครูตุ้ย ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 และแจ๊กพอต งวดประจำวันที่ 1 พ.ย. 2548 ได้เงินรางวัลรวมกว่า 56 ล้านบาท แยกเป็นลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 จำนวน 10 คู่ เป็นเงิน 40 ล้านบาท และแจ๊กพอตชุดที่ 52 เป็นเงิน 16 ล้านบาท โดยเงินที่ได้มา ครูตุ้ย เอ่ยว่า " เงินทองเป็นของนอกกาย ตายไปก็เอาไปไม่ได้ซักบาท เกิดมาต้องตาย โลภไปทำไม " จึงนำเงินแจกจ่ายให้กับลูกศิษย์ ครูมวยในค่ายที่อาศัยอยู่ด้วยกัน โดยจะแบ่งให้คนละ 1 ล้านบาท นอกจากนี้จะนำเงินที่เหลือไปก่อตั้งมูลนิธิค่ายมวยศิษย์ยอดธงนานาชาติ และ ยังมอบเงินกว่า 20 ล้าน ให้กับหน่วยงานราชการ วัด และ ชาวบ้านที่ความยากจน อีกด้วย








ค่ายมวยศิษย์ยอดธง ตั้งอยู่เลขที่ 36/7 หมู่ 6 ตำบลหนอปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยปัจจุบัน "ครูตุ้ย" จัดตั้ง มูลนิธิค่ายมวยศิษย์ยอดธงนานาชาติ รับเลี้ยงเด็กนักมวย อายุตั้งแต่ 8 ขวบ เอามาฝึกมวยและเรียนหนังสือ มี รถรับส่ง กินอยู่ในค่ายมวยเสร็จ ใครอยากจะเป็นครูมวยก็จะฝึกให้ และ ปัจจุบัน มีพ่อแม่ ที่แบกภาระทางครอบครัวไม่ไหว ส่งลูกมาอยู่กับครูตุ้ย เพื่อเรียนหนังสือ และเรียนวิชามวย ในมูลนิธิค่ายมวยกว่า 50 ชีวิต และ นอกเหนือจากวงการแวดวงมวยไทย ด้านสังคม ครูตุ้ย ยังช่วยเหลืองานทุกระดับ ไม่ว่าเป็นชาวต่างชาติหรือคนไทย เมื่อมีปัญหาไม่ได้รับความสะดวก ก็จะดำเนินการให้ ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย อีกทั้ง "ครูตุ้ย" ยังลงพื้นที่ในแต่ละชุมชน เพื่อรู้ความเป็นอยู่ของประชาชน หากพื้นที่ใดลำบาก ก็จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน จนเป็นที่รักของชาวบ้านทั่วไป อีกทั้งทางราชการจึงแต่งตั้งให้เป็น ผู้ทรงคุณวุฒิ ของอำเภอบางละมุง จ.ชลบุรี








สำหรับการเป็นแบบอย่าง เพื่อให้อนุชนรุ่นหลัง ได้ปฏิบัติตาม และ นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน "ครูตุ้ย" ซึ่ง มีคติประจำใจ คือ "เกิดมาต้องตาย โลภไปทำไม" ควบคู่กับ คุณธรรม "บุญคุณ ต้องทดแทน แค้นต้องอภัย" โดยครูตุ้ย ใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ติดดินทั่วไป วางตัวอยู่ในทุกระดับชั้น ชอบช่วยเหลือองค์กรทุกโอกาส โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ พร้อมทั้งยังเป็นผู้ให้คำปรึกษาทุกเรื่องกับผู้ตกทุกข์ โดยใช้ประสบการณ์จากชีวิตที่ผ่านมา เป็นแนวทางในการแก้ไข

สำหรับ ชาวบ้าน ในพื้นที่ อ.บางละมุง เมืองพัทยา และในพื้นที่ใกล้ ต่างยอมรับ และ ชื่นชม "ครูตุ้ย" เนื่องจาก เป็นบุคคล ซึ่งได้อุทิศตัวต่อสังคมอย่างแท้จริงมาโดยตลอด โดยเฉพาะได้จัดตั้ง มูลนิธิมวยไทย ทำให้ ลูก หลาน และ ผู้ด้อยโอกาส ได้เรียนรู้ และ มีการศึกษา พร้อมทั้งยัง สั่งสอนให้คนเป็นคนดี ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด และการ ปลูกฝังให้รักและสืบสานในวัฒนธรรมของไทย โดยเฉพาะ วิชามวยไทย ซึ่งเป็นมรดกของไทยมาแต่ช้านาน ไม่ให้เลือนหายไปจาก ประเทศไทย

นอกจากนี้ ครูตุ้ย ยังสร้างความประทับใจ ให้กับคนเมืองพัทยา โดยลั่นวาจาไว้ว่า ถ้าสิ้นลมหายใจเมื่อใด ยังไม่ให้ฝังและเผาร่างของตัวเอง โดยให้บรรจุไว้ในสุสานซึ่งเป็นที่อยู่ปัจุบัน พร้อมกับลั่นวาจาว่าจะมอบที่ดินประมาณ 2 ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างมูลค่ากว่า 20 ล้าน ให้เป็นสาธารณะประโยชน์ต่อแผ่นดินเกิด เพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะมวยไทยให้อนุชนรุ่นหลังให้สืบทอดต่อไป เมื่อตัวเองสิ้นลมหาย

ครูตุ้ย เป็นคนดีศรีจังหวัด เป็นบุคคลตัวอย่างที่อุทิศตนเพื่อสาธารณะสม่ำเสมอ หวงแหนบูชาในขนบธรรมเนียมประเพณีไทย ต้านแบบหัวชนฝาหากใครจะเอาศิลปะการต่อสู้ในแบบมวยไทยไปปู้ยี่ปู้ยำ ที่สำคัญครูตุ๊ยเป็นหัวหน้าค่ายมวยที่มีคุณธรรม ไม่อมเงินรางวัลนักมวยเหมือนใครอื่น ที่มีอยู่อย่างดาษดื่นในวงการนี้ ไม่ขี้โกง พูดตรงโผงผาง นอกจากจะไม่อมแล้ว ยังแจกอีกด้วย







ครูยอดธง รับมอบ ปริญญานอกรั้วมหาวิทยาลัย คนแรกของโลก
ดร.ยอดธง ‘ครูตุ้ย‘ 1 ในปูชนียบุคคล ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ นอกรั้วมหาวิทยาลัย คนแรกของโลก ที่สร้างชื่อเสียงกับประเทศไทย และ ยังเป็นผู้นำชุมชน เจ้าของสโลแกน "ปัญหามีไว้แก้ ไม่ใช่มีไว้กลุ้ม"

ในที่สุดแล้ว สังคมก็ได้ให้ขวัญและกำลังใจ หลายองค์กรได้มอบปริญญานอกรั้วมหาวิทยาลัย "ปริญญาปรัชญาดุษฏีบัณฑิตกิตติศักดิ์ สาขาวิชามวยไทยศึกษา คนแรกของประเทศ และคนแรกของโลก" จากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธุ์ พ.ศ. 2551 ณ สวนอัมพร กทม. และยังได้รับรางวัลชีวิตอีกรางวัลหนึ่งจากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้เสนอยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็นครูมวยไทยดีเด่น ปี 2533 โดย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ โปรดเกล้าให้เข้าเฝ้ารับโล่พระราชทานครูมวยไทยดีเด่นแห่งชาติ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2534 ณ วังสวนจิตรลดา กทม. ซึ่งเป็นรางวัลที่ "ครูตุ้ย" ภาคภูมิใจมากสุดในชีวิต


TraveLArounD



ปล. ท่านที่เพิ่งเข้ามาชมบล็อกใหม่ ผมได้จัดทำเป็นสารบัญ แบบหนังสือให้ค้นดูหัวเรื่องได้ง่ายที่ group : นานา สาระ๑๐๐๐ เพราะเรื่องต่างๆ เขียนไว้ 1400 กว่าเรื่องแล้ว

หมายเหตุ : ขณะได้มี website อื่นๆหลาย website ได้นำเอาเรื่องที่ผมเขียนไว้ ไปลงต่อในลักษณะของเนื้อหา โดยไม่ได้รับอนุญาตใดๆ ถ้าต้องการบทความใดไปใช้ ขอให้ติดต่อขออนุญาต ก่อนทาง Email : nana_sara1000@ymail.com มิฉะนั้น จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายลิขสิทธิ์

ส่วนผู้ที่ต้องการนำเรื่องไปโพสต่อ เพื่อเผยแพร่ โดยมิใช่ทางการค้า ขอให้ติดต่อขออนุญาตให้ถูกต้องก่อนโพส

เรียบเรียงจาก
Story : จิรวัฒน์ Photo : จิรวัฒน์//www.pattayadailynews.com/thai/showfeature.php?FeatureID=0000000989
//sport.teenee.com/sport/956.html




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 20 กันยายน 2555 22:13:12 น.
Counter : 4932 Pageviews.  

ทวี บูรณเขตต์ : ชายผู้อุทิศตนและครอบครัว เพื่อมรดกแผ่นดิน

ทวี บูรณเขตต์ : ชายผู้อุทิศตนและครอบครัว เพื่อมรดกแผ่นดิน
คนดีศรีรัตนโกสินทร์ ของเรา


ห่างหายจากการยกย่องคนดี เข้ามาเป็นเกียรติแก่ “หอเกียรติยศ คนดีศรีรัตนโกสินทร์” เสียนาน เพราะนึกไม่ค่อยออก ว่าจะมีใครบ้าง ที่ผ่านๆมาก็ยังไม่ค่อยมีใครโดนใจนัก ก็เลยบรรเลงเรื่องอื่นๆไปเรื่อยๆ พอดีวันนี้ ได้ดูรายการ “คุณพระช่วย” พูดถึงพิพิธภัณฑ์จ่าทวี ขึ้นมา แหมไม่น่าลืมท่านไปได้ เลยมานั่งเขียนเรื่องท่านต่อทันที ที่ดูรายการจบ

ที่จริงผมรู้เรื่องของจ่าทวี กับพิพิธภัณฑ์ของท่านมานานแล้ว ชื่นชมในอุดมการของท่านมาก ก่อนที่จะได้ไปสัมผัสตัวท่าน และกับพิพิธภัณฑ์จ่าทวี ก็แค่มีความรู้สึกว่า ท่านก็คงเหมือนคนชอบของเก่าทั้งหลาย ที่ชอบสะสม พอมีมากๆ ก็มาแบ่งกันชม แต่พอไปชมของจริง เจอตัวจริงแล้ว มันไม่ธรรมดา เพราะว่าตัวของท่าน กับ พิพิธภัณฑ์ของท่านนั้น มันแยกกันไม่ได้ เพราะท่านไม่ได้แค่คนเก็บของเก่า แต่เก็บอดีตของมันมาด้วย มาอยู่กับตัวท่าน และท่านก็สามารถถ่ายทอด ความรู้ และภูมิปัญญาทั้งหลายนั้น ออกมาได้อย่างสมบูรณ์ จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่ท่านจะได้รับเกียรติ ที่จะมีคำว่า “คนดีศรีรัตนโกสินทร์” แห่งนี้










ประวัติ

จ.ส.อ.ดร.ทวี บูรณเขตต์ เป็นชาวจังหวัดพิษณุโลก เป็นบุตรชายคนที่ ๒ ของนายทิว บูรณะเขตต์ มีพี่น้องทั้งหมด ๑๒ คน สมรสกับนางพิมพ์ พันธุ์เสน มีบุตร ธิดารวม ๖ คน ในวัยเด็กมีโอกาสเรียนรู้งานช่างศิลป์หลายอย่างจากบิดา เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมปีที่ ๓ จากโรงเรียนผดุงราษฎร์แล้วไม่ได้เรียนต่อ เพราะฐานะทางบ้านยากจน จึงเริ่มทำงานรับจ้างเขียนป้าย เขียนภาพ และงานศิลปะต่าง ๆ ทำให้เชี่ยวชาญงานด้านนี้มากยิ่งขึ้น ต่อมาได้รับราชการทหาร มียศสิบตรี และในปีพ.ศ. ๒๕๐๑ ได้มีโอกาสไปฝึกงานด้านหล่อโลหะ ที่กองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร เป็นศิษย์ของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี จากนั้นได้ตั้งโรงงานหล่อพระ โดยปั้นรูปเหมือนของหลวงพ่อพระพุทธชินราชเป็นองค์แรก ปัจจุบันมีคนงานทำงานที่โรงหล่อหลายร้อยคน และเนื่องจากต้องซื้อของใช้โบราณมาเป็นวัสดุมาใช้หล่อพระ จึงเริ่มสนใจเก็บสะสมโบราณ วัตถุเรื่อยมา


ผลงานของ จ.ส.อ.ดร.ทวี ได้รับยกย่องให้เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม ประจำปี พ.ศ.๒๕๒๖ และปี พ.ศ.๒๕๒๗ ได้รับพระราชทานปริญญาคุรุศาสตร์บัณฑิต กิตติมศักดิ์ สาขาศิลปศึกษา ปริญญาศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาศิลป และได้รับเครื่องหมายประกาศเกียรติคุณสาขาต่าง ๆ มากกว่า ๑๐ เหรียญ ผลงาน สำคัญมีดังนี้
๑. รูปปั้นและหล่ออนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประทับยืนอยู่ที่ค่าย
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และที่โรงพยาบาลสมเด็จพระนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก
๒. หลักศิลาจารึกและพระปรมาภิไธย ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
๓. รูปเหมือนของพระพุทธชินราช ภปร. สร้างขึ้นเพื่อหาทุนจัดตั้งมูลนิธิ "เย็นศิระภิบาล"
๔. ก่อตั้งโรงงานหล่อพระบูรณไทย ที่บ้านเลขที่ ๒๖/๔๓ ถนนวิสุทธิ์กษัตริย์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งทำให้ชาวพิษณุโลกมีงานทำมากกว่าร้อยคน
๕. เป็นผู้รวบรวมโบราณวัตถุเป็นจำนวนมาก และได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน
จ่าสิบเอก ดร.ทวี บูรณเขตต์ ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๒๖-ปัจจุบัน


ในปีพ.ศ. 2521 ท่านได้ลาออกจากราชการ ด้วยความรักในศิลปะ และเห็นในคุณค่าของใช้พื้นบ้าน ลุงจ่าเริ่มซื้อหาและรวบรวมของใช้พื้นบ้านที่คนทั่วไปมองว่าเป็นของรกของทิ้ง ไม่มีราคาเช่น สุ่ม ไห ไซ โอ่ง ฯลฯ โดยสะสมมานานกว่า 30 ปี จนนำไปสู่การเกิดพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวีในปี พ.ศ. 2526


ข้าวของเครื่องใช้พื้นบ้าน ส่วนใหญ่ "ลุงจ่า" ได้มาจากพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ได้แก่ นครสวรรค์ พิิจิตร กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพิษณุโลก ของบางอย่าง ลุงจ่าต้องดั้นด้นเข้าไปหาเองในป่า ไม่มีราคาค่างวด แต่มีคุณค่า เป็นเสมือนสิ่งที่บอกเล่า ชีวิต ความเชื่อ ความคิดของคนในอดีตได้เป็นอย่างดี











จ่าทวี บูรณเขตต์ ท่านเป็น นักปรัญชา ผู้มีความรู้ ความคิดอย่างเป็นระบบ เห็นในคุณค่า ในความจริง ในสิ่งที่เป็นอยู่ เห็นภูมิปัญญาไทย มีเหตุมีผล ท่านเห็นความแตกต่างในความเหมือน จึงเก็บสะสมทุกอย่างอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ ตัวอย่างเช่น กระต่ายขูดมะพร้าว ที่ท่านสะสมไว้มากมายหลายแบบ แล้วแต่ท้องถิ่น และลักษณะของผู้ใช้ตลอดจนประเภทของอาหารที่ต้องการปรุง การคิดอย่างเป็นระบบของท่าน ท่านเล็งเห็นว่าในอนาคต ถ้าไม่มีการเก็บสะสม และจัดให้เป็นระบบ นับวันข้าวของเครื่องใช้ที่ดูแสนธรรมดา ก็จะถูกทิ้งขว้าง เพราะเห็นว่าล้าสมัย เก็บไว้ก็รกบ้าน แต่ในความคิดของท่าน สิ่งของเครื่องใช้เหล่านี้ทรงด้วยคุณค่าแห่งภูมิปัญญาของคนไทยมาแต่โบราณ ท่านจึงได้จัดเก็บอย่างเป็นหมวดหมู่ และสามารถบอกประวัติความเป็นมา ของสิ่งของต่างๆได้เป็นอย่างดี

ทฤษฎีแห่งความรู้ในทางปรัชญาไม่ว่าจะเป็นสาขาภววิทยา : ศึกษาเกี่ยวกับความจริง หรือสาขาญาณวิทยา : ศึกษาเกี่ยวกับความรู้ มีอยู่ในตัวตนของท่าน ผู้ซึ่งตลอดชีวิต ท่านอุทิศให้กับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ อย่างมั่นคงและแน่วแน่มาโดยตลอด วันเวลาพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่ท่านสะสม ยังคงคุณค่า มีความหมาย
จากพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านเล็กๆ อาคารต่างๆ ก็ได้เริ่มขยับขยาย เพิ่ทเติมขึ้นทีละหลังสองหลัง จนสามารถจัดแสดงสิ่งของต่างๆได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ด้วยความที่ ทำกันด้วยใจ ไม่ได้มุ่งหวังในผลตอบแทนที่เป็นตัวเงิน เจ้าของพิพิธภัณฑ์ จึงมีหนี้สินมากมาย ทนแบกภาระไม่ไหว จนต้องขอปิดตัวลงหลายครั้ง

ช่วงที่เปิดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นจ่าทวี ในช่วงปีแรก ถึงปีที่ 20 ท่านไม่เคยเก็บค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์เลย แต่ด้วยรายจ่ายมากขึ้น จึงต้องเก็บค่าเข้าชมเพื่อช่วยลดภาระรายจ่ายของทางพิพิธภัณฑ์ ที่มีมากจนเกินภาระที่จะรับไหว โดยที่เก็บอัตราผู้ใหญ่ 50 บาท และเด็ก 10 บาท เพราะลำพังค่าแรงของผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ ที่เดือนหนึ่งต้องจ่ายประมาณ 60,000 บาทแล้ว ยังมีค่าไฟ ค่าน้ำอีก ส่วนงบประมาณที่ขอไปกับทางภาครัฐ ก็ต้องรอเวลา 2 อาทิตย์ ถึงครึ่งปี ถึงจะได้รับงบประมาณสนับสนุนกลับมา

“ภาระค่าใช้จ่ายที่สูงมากเป็นสาเหตุสำคัญที่ต้องเลิกทำพิพิธภัณฑ์ต่อไป เพราะพิพิธภัณฑ์ที่ทางบ้านทำ ก็เหมือนเป็นหน้าตาให้กับสังคม แต่ก็เป็นภาระหนักของทางครอบครัวเช่นเดียวกัน เมื่อค่าใช้จ่ายมากเกินไป คนทำก็ท้อ แล้วพอขอทุนจากทางรัฐก็เหมือนไม่ได้รับความร่วมมือ”


คุณพรศิริได้ปรึกษานักวิธีการ รวมถึงหลายคนที่รักพิพิธภัณฑ์ ได้แนวทางการจัดการ ต่อลมหายใจให้สิ่งที่เธอรัก 2 ทาง คือ 1.พยายามพึ่งตัวเอง และจัดการอยู่บนความเป็นจริง เช่น เก็บค่าเข้าชมและนำชมที่ดี การจัดค่ายเยาวชน รวมถึงขายของที่ระลึกต่างๆ ที่ทำให้คนนึกถึงพิพิธภัณฑ์ อยากกลับมาอีกครั้ง และ 2.ตั้งเป็นมูลนิธิ ผู้คนหรือองค์กรใดอยากช่วยเหลือก็ช่วยผ่านมูลนิธิ ซึ่งมีคณะกรรมการซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่าน มาเป็นกรรมการ พิจารณาเงินทุนเป็นกรณีๆ ไป ว่าควรใช้กับอะไรบ้าง ซึ่งตอนนี้ก็คือ "มูลนิธิจ่าสิบเอก ทวี บูรณเขตต์"

แต่ถึงกระนั้น ทั้งสองแนวทางที่ทำงานสอดประสานกัน ก็ยังไม่อาจช่วยเหลือพิพิธภัณฑ์ให้ดำรงอยู่อย่างยั่งยืนได้

ลูกสาวจ่าทวี ผู้จัดการดูแลพิพิธภัณฑ์บอกว่า รายได้จากมูลนิธิตอนนี้มีน้อย ช่วยค่าน้ำได้แค่เดือนละพัน คงต้องรอก่อนว่าจะช่วยค่าไฟได้มั้ย จากนั้นค่อยหาคนทำงานวิชาการมาเป็น "แขนอีกข้าง" ให้ ซึ่งการมีมูลนิธิ ช่วยทำให้พิพิธภัณฑ์มีการเคลื่อนไหว หากต้องการความช่วยเหลือ ปรึกษา ขอทุนให้ หลังจากนี้ต้องการระดมเงินก้อนใหญ่ ด้วยการให้เช่าบูชาพระพุทธชินราช (จำลอง) รุ่นบูรณะพิพิธภัณฑ์ ฝีมือการหล่อพระของจ่าทวี

มีหลายฝ่ายพยายามช่วยเหลือครอบครัวของจ่าทวี ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาหนี้สินของพิพิธภัณฑ์นี้ ซึ่งคุณพรศิริ ลูกสาวคนเล็ก ที่มีหน้าที่ดูแลพิพิธภัณฑ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนเองได้ร่วมระดมทุนกับหลายฝ่าย เพื่อพยุงให้พิพิธภัณฑ์อยู่รอดต่อไปได้ ด้วยการจัดสร้างหล่อพระพุทธชินราช โดยเปิดให้บุคคลทั่วไปสั่งจองได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 มีนาคมนี้ โดยรายได้จากกิจกรรมดังกล่าวจะใช้ในการปลดหนี้พิพิธภัณฑ์ต่อไป













โดยร่วมทำบุญเช่าพระพุทธชินราช (จำลอง) และวัตถุมงคล รุ่น "บูรณะพิพิธภัณฑ์" ขนาดหน้าตัก 9 นิ้ว 14,900 บาท, ขนาดหน้าตัก 5.9 นิ้ว 7,900 บาท, เหรียญ(หยดน้ำ)หล่อโบราณ เนื้อนวโลหะ 999 บาท, เหรียญ(หยดน้ำ)หล่อโบราณ เนื้อสำริด 599 บาท, เหรียญรูปไข่เนื้อทองคำ (รอระบุราคา), เหรียญรูปไขเนื้อเงิน 599 บาท, เหรียญรูปไข่เนื้อทองแดง (นอก) 199 บาท

สั่งจองได้ที่ มัณทนี บูรณเขตต์ เบอร์ 08-1680-1434 สามารถชำระโดย เงินสด (รับชำระที่พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี ที่เดียวเท่านั้น) หรือ เช็คธนาคาร สั่งจ่าย มูลนิธิจ่าสิบเอก ทวี บูรณเขตต์ บัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาพิษณุโลก บัญชีสะสมทรัพย์ เลขที่ 263-512-003-9 ธนาคารกรุงไทย สาขาพิษณุโลก บัญชีสะสมทรัพย์ เลขที่ 601-0-50057-5 เมื่อโอนเงินเข้าบัญชีแล้ว กรุณาส่งโทรสารไปที่พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี หมายเลข 0-5521-2749 (อังคาร-อาทิตย์ 08.30-16.30 น.)












นี่คงไม่ใช่แค่เอาใจช่วยแค่ จ่าทวี เท่านั้น แต่จะเป็นลงมือช่วย "พิพิธภัณฑ์ที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" ให้มีอายุยืนยาวอยู่ได้ โดยเฉพาะ "คนไทยทุกคน" และ "หน่วยงานภาครัฐไทยทุกหน่วยงาน" ที่บอกว่า "รัก" มรดกวัฒธรรม ภูมิปัญญาของชาติไทย

TraveLArounD


ข้อมูลจาก
//www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Pid=63400
//gotoknow.org/blog/saichon/31300
//www.jathawee.com
//www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1237188360&grpid=01&catid=08
//www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pra01180252§ionid=0131&day=2009-02-18




 

Create Date : 01 เมษายน 2552    
Last Update : 1 เมษายน 2552 17:40:01 น.
Counter : 4467 Pageviews.  

รศ.นพ.สภา ลิมพาณิชการ : คนดีศรีรัตนโกสินทร์ คนที่ 4

คนดีศรีรัตนโกสินทร์ คนที่ 4 ขอบันทึกนามของ รศ.นพ.สภา ลิมพาณิชการ ไว้ในหอเกียรติยศนี้อีก 1 ท่าน ที่จริงเรื่องราวของ “หมอ 5 บาท” ผู้นี้ผมเคยได้ยินมานานแล้ว แต่เมื่อจัดตั้งหอเกียรติยศ “คนดีศรีรัตนโกสินทร์” ขึ้นมา ก็ยังนึกถึงท่านไม่ออก พอดีได้ดูเรื่องในทีวี ก็รีบมาเขียนเพิ่มเลยทีเดียว










คุณหมอสภา หรือ รศ.นพ.สภา ลิมพาณิชการ อาจารย์ประจำโรงเรียนเวชนิทัศน์ โรงพยาบาลศิริราช เริ่มตั้งคลินิกสำนักงานแพทย์จากคำชักชวนของเพื่อนเมื่อ 39 ปีก่อน (พ.ศ.2507) แต่เมื่อทำไปได้สักพัก เพื่อนของคุณหมอก็ขอถอนตัว คุณหมอจึงทำคลินิกนี้ต่อเพียงผู้เดียว โดยเช่าห้องแถว แห่งนี้จากเพื่อนเป็นรายเดือน ขึ้นป้ายว่า "สำนักงานแพทย์" ทำการรักษาคนไข้เรื่อยมาโดยมีหลักการในการเก็บค่ารักษาต่ำที่สุด ไม่เอากำไร (จะขาดทุนค่ายาด้วยซ้ำ) จึงได้รับฉายาว่า "หมอ 5 บาท” เพราะตลอดเวลาเกือบ 40 ปีนี้ คลินิกของคุณหมอสภารับรักษาโรคทั่วไป โดยจะคิดค่ารักษา เพียงค่ายา 5-70 บาท ไม่คิดค่าตรวจ แต่หากไม่มีเงินจริงๆ แม้แต่ค่ายาคุณหมอก็ไม่คิด หรือหาก มีไม่พอ มีเท่าไร ก็เก็บเท่านั้น


"ที่ผมเก็บค่ายาถูกเพราะ ไม่อยากให้เขาไปซื้อยากินเอง" หมอสภากล่าว
เหตุที่คุณหมอสามารถจ่ายยาให้ได้ในราคาที่ แม้แต่โครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรคยังตะลึง เพราะยาร้อยละ 90 จะสั่งซื้อยาจากโรงงาน ที่ได้ลิขสิทธิ์มาผลิตยาในไทย เวลาสั่งซื้อทีก็จะสั่งเยอะมากๆ จะช่วยให้ประหยัดเงินได้มาก และเวลาจ่ายยาให้คนไข้ คุณหมอจะถามก่อนว่ามียาอะไรอยู่ที่บ้านแล้วบ้าง จะได้ไม่สั่งซ้ำ


"เวลาคิดเงินก็จะดูจากยา ว่ายาถูกหรือยาแพง แต่ถ้าคนไข้ไม่มีจริงๆ ก็ไม่คิด แต่คนไข้ที่มาหาเดี๋ยวนี้เขาก็สงสารเรา ไม่อยากให้รักษาฟรี หรือบางทีเขามีไม่พอก็บอกว่าไม่ต้องก็ได้ แต่พอเขามีเขาก็มาจ่ายทีหลัง คนไข้คนจนจน เป็นคนซื่อตรงมาก" คุณหมอเล่า และกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า "ถ้ารักษากับผมไม่ต้องเอามาเกินใบละร้อย แต่บางทีก็มีแหย่คนไข้บ้าง อย่างบางคนเขามีมา 20 บาท ก็แกล้งหลอกเล่นๆ ว่าค่ารักษา 30 บาท เขาก็หน้าซีด แต่จริงๆก็คิดไม่ถึงหรอก"


“เรื่องคิดค่ารักษาถูกนี้ คุณหมอว่าไม่ใช่เป็นเพราะอุดมการณ์ใดๆ แต่มาจากการที่ขณะที่คุณหมอยังเด็ก คุณหมอไม่สบายอยู่บ่อยๆ ตอน 3-4 ขวบเป็นโรคคอตีบ โตขึ้นมาหน่อยเป็นไทฟอยด์ ต่อมาก็เป็นปอดบวม คุณแม่จึงพาคุณหมอไปรักษาที่โรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ เวลาไปโรงพยาบาลเห็นคุณแม่เสียเงินเยอะ ก็คิดว่าเราป่วย ซึ่งก็แย่อยู่แล้ว เรายังต้องเสียเงินเยอะอีก ดังนั้นอะไรที่คิดถูกได้ก็คิดถูก” คุณหมอสภา เล่า แต่ถึงไม่ได้เริ่มต้นจากอุดมการณ์ การที่คุณหมอยังยึดถือหลักการนี้มาโดยตลอด ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยตลอดระยะเวลาเกือบ 40 ปี ก็ย่อมเป็นเครื่องยืนยันถึงความดี ความมีน้ำใจ ของคุณหมอได้อย่างดี จนได้รับพระราชทานรางวัล " น้ำใจงาม " ด้านการสงเคราะห์และพัฒนาคุณภาพชีวิต ประจำปี พ.ศ. 2547 จากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ










ด้วยความประหยัด ไม่ต้องการเพิ่มรายจ่าย คุณหมอจึงทำงานคนเดียว ไม่ได้จ้างใครทำงาน ที่สำนักงานแพทย์ของคุณหมอไม่มีการจัดคิวหรือทำบัตรคนไข้ ตัวคลินิกกั้นห้องตรวจเพียงผนังไม้ ไม่มีประตู คนไข้ที่มาพบคุณหมอ สามารถชะโงกหน้าไปดูได้ว่ามีคนไข้มารักษาอยู่หรือไม่ และหากมีคนไข้คนอื่นๆ มารอ ก็จะจัดคิวกันเอง ไม่มีใครแซงใคร นอกจากจะมีการเต็มใจให้แซงด้วยกำลังคุยติดพันกับคนไข้คนอื่นอยู่

แม้ขณะนี้คุณหมอเองอายุก็ร่วม 70 ปีเข้าไปแล้ว และสุขภาพก็ไม่ดีไปตามวัย แต่คุณหมอก็ยังมารักษาคนไข้ตามปกติ และกล่าวว่า “ก็จะทำจนกว่าจะทำงานไม่ไหว ก็บอกคนไข้ไว้ถ้าร้านปิดแบบไม่มีสาเหตุละก็ แสดงว่าผมทำไม่ไหวแล้ว”


TraveLArounD



ปล. ท่านที่เพิ่งเข้ามาชมบล็อกใหม่ ผมได้จัดทำเป็นสารบัญ แบบหนังสือให้ค้นดูหัวเรื่องได้ง่ายที่ group : นานา สาระ๑๐๐๐ เพราะเรื่องต่างๆ เขียนไว้ 1300 เรื่องแล้ว

ส่วนท่านที่ชอบเพลง background ผมได้รวบรวมเพลงไพเราะ เพลงรัก romantic และเพลงซึ้งๆ ที่หาฟังได้ยากในสมัยนี้ ไว้หลายชุด สนใจ email ติดต่อมาได้ครับที่ nana_sara1000@ymail.com

หลังจากที่ home’s lover club ที่ ning.com ต้องปิดลงไปเพราะเขาคิดค่าใช้จ่าย จึงจำต้องย้ายที่ ตอนนี้ผมเริ่มรวบรวมภาพต่างๆ ที่เกี่ยวกับการตกแต่งบ้าน การจัดสวน และที่ยังไม่ได้เอามาเขียน มารวบรวมไว้ที่ facebook ถ้าใครสนใจก็เข้าไปดูได้นะครับ ที่ //www.facebook.com/reqs.php#!/nanasara1000?v=photos

หมายเหตุ : ขณะได้มี website อื่นๆหลาย website ได้นำเอาเรื่องที่ผมเขียนไว้ ไปลงต่อในลักษณะของเนื้อหา โดยไม่ได้รับอนุญาตใดๆ ถ้าต้องการบทความใดไปใช้ ขอให้ติดต่อขออนุญาต ก่อนทาง Email : nana_sara1000@ymail.com มิฉะนั้น จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายลิขสิทธิ์

ส่วนผู้ที่ต้องการนำเรื่องไปโพสต่อ เพื่อเผยแพร่ โดยมิใช่ทางการค้า ขอให้ติดต่อขออนุญาตให้ถูกต้องก่อนโพส

เรื่องและภาพจาก : อาร์ตนานา สตูดิโอ
//www.artnanastudio.com/dr-sapha.php




 

Create Date : 18 มกราคม 2551    
Last Update : 23 ธันวาคม 2553 1:30:44 น.
Counter : 4531 Pageviews.  

นายประกิจ อุเทน : คนดีศรีรัตนโกสินทร์ คนที่ 3

ขอยกย่องให้แก่ นายประกิจ อุเทน ในฐานะที่ท่านประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ ซึ่งบำเพ็ญประโยชน์ในการช่วยเหลือสังคมด้วยการให้บริการแก่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร แม่ชี คนชรา ผู้พิการ ผู้ยากไร้ และหญิงตั้งครรภ์ โดยไม่คิดค่าโดยสาร มาเป็นเวลากว่า 20 ปี





นายอุเทนเปิดเผยว่า “เมื่อตอนมาขับรถเมล์ในกรุงเทพฯ เมื่อปี 2530 ได้พบเห็นพระ เณร ขึ้นรถเมล์ แล้วเบียดเสียดกับสีกา อันเป็นภาพที่ไม่น่าดูจึงตัดสินใจมาขับรถแท๊กซี่ แล้วประกาศเจตนารมณ์รับส่งพระ เณร คนป่วย คนชรา” แสดงว่าเขาเป็นผู้ที่มีจิตใจดีอย่างแท้จริง และทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ทั้งยังเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี อีกด้วย ที่จริงเขามีอาชีพขับรถเมล์อยู่แล้ว ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่เมื่อมีความคิดที่จะทำสิ่งที่ดีแล้ว ก็ลงมือทำ ตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง มาเป็นเวลากว่า 20 ปี โดยไม่มีอะไรบีบบังคับ ผมคิดว่าการทำความดีของเขาเมื่อทำด้วยใจแล้ว ก็จะมีความสุขกับการทำความดีนั้น จึงสามารถทำมาได้อย่างต่อเนื่อง และได้ทำความดีอื่นๆอีกเป็นประจำ จนมีคนเห็นความดี เชิญไปออกรายการทีวี
เนื่องในวโรกาสปีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา วันที่ 5 ธ.ค. 50 สมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทย อันเป็นองค์กรด้านสื่อสารมวลชน ที่ต้องการส่งเสริมการทำความดีเพื่อถวายแด่ในหลวง ดร.สุมาลี อุทัยเฉลิม ที่ปรึกษา ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้คัดสรรคุณพ่อ 4 คนที่ทำความดีตามรอยพระเจ้าอยู่หัวฯ และยกย่องพ่อตัวอย่างในงาน “เชิดชูพ่อ ตามรอยพ่อหลวง” ซึ่ง 1 ใน 4 ท่าน นี้ได้แก่นายประกิจ อุเทน หลังจากรับรางวัลแล้วนายประกิจ ได้ตั้งใจทำความดีถวายในหลวง ด้วยการจะก่อตั้งมูลนิธิช่วยเหลือคนป่วยคนจรจัด คนชรา ส่วนเรื่องการสอนลูกตัวเองทั้ง 3 คนนั้น ให้เขาใช้ชีวิตพอเพียง อย่าฟุ้งเฟ้อทะเยอทะยานเกินตัว เพราะหากทำไม่ได้จะเป็นทุกข์เปล่าๆ



ก่อนหน้านี้นายประกิจ อุเทน เคยเป็นผู้ชนะการโหวตจากโครงการ "คิดดี ทำดี ฟังดีๆ มีรางวัลช่วง “คนดีโดนใจ มังกรทองให้เลย" ประจำวันที่ 16 - 20 ต.ค. 49 จากเครือข่ายวิทยุ ร่วมด้วยช่วยกัน ได้รับรางวัลเป็น สร้อยคอทองคำพร้อมจี้ หนัก 1 สลึง ซึ่งของรางวัลสนับสนุนโดย "สุรามังกรทอง (บริษัท ไทยเบฟเวอร์เรจ จำกัด (มหาชน)" โดย คุณประกิจ ได้เก็บโทรศัพท์มือถือโนเกีย (รุ่นใบไม้) สีบรอนซ์เงิน ได้บนรถแท็กซี่ของตน ซึ่งโทรศัพท์ดังกล่าวเป็นของผู้โดยสารที่รับจากหมู่บ้านเศรษฐกิจ ถ.เพชรเกษม จึงได้พยายามติดต่อหาเจ้าของจนกระทั่งมารับคืนไปได้เป็นที่เรียบร้อย และทางกลุ่มธุรกิจสำรวจ ผลิต และก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โครงการส่งเสริมคนทำความดี ได้สนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์ก๊าซเอ็นจีวีในรถแท็กซี่ ให้แก่นายประกิจ อุเทน ในฐานะคนดีที่บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม อีกด้วย



ภาพจาก เครือข่ายวิทยุ ร่วมด้วยช่วยกัน
//www.rd1677.com/branch.php?id=05376

ข่าวจาก
ไทยรัฐ ปีที่ 58 ฉบับที่ 18221 วันอังคาร ที่ 11 ธันวาคม 2550
แวดวงยานยนต์
//www.bangkokbizweek.com/20060305/autobiz/index.php?news=column_20261385.html




 

Create Date : 12 ธันวาคม 2550    
Last Update : 18 มกราคม 2551 13:12:36 น.
Counter : 1576 Pageviews.  

ดาบวิชัย สุริยุทธ - คนดีศรีรัตนโกสินทร์

ดาบวิชัย สุริยุทธ

เป็นบุคคล คนที่2 ที่ผมนึกถึง ปัจจุบันท่านได้เลื่อนยศขึ้นเป็นร.ต.ต.แล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย คุณวิชัย ได้สร้างความดีให้กับแผ่นดินมานานแล้ว จนสังคมได้รับรู้และยกย่องท่าน ให้เป็นบุคคลตัวอย่าง จากหลายๆสถาบัน ความดีของท่านจึงสมควรที่จะได้รับการบรรจุอยู่ใน People’s Hall of Fame และเป็นเกียรติยศอย่างยิ่งแก่ People’s Hall of Fame แห่งนี้







ร.ต.ต.วิชัยเป็นเพียงลูกชาวนา เป็นคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 6 คน
บ้านเกิดอยู่ที่บ้านนาโนน ซึ่งแห้งแล้ง ไม่มีห้วยหนองคลองบึง และป่าละเมาะ สมัยนั้นยังเป็นตำบลลำโขง แต่ปัจจุบันเป็นตำบลหนองไฮ อำเภออุทุมพร-พิสัย จังหวัดศรีสะเกษ พ่อแม่ ฐานะยากจน แม่เสียตั้งแต่ยังเด็ก จึงต้องรับจ้างทำงานสารพัดอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกรรมกรก่อสร้าง จับกัง บางครั้งก็รับจ้างทำไร่ข้าวโพด รับจ้างขึ้นต้นไม้ เรียกว่างานที่ไม่ใช้สมอง เขาก็เรียกใช้ แม้กระทั่งนักมวยก็เป็นมาแล้ว ต้องปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย เพื่อให้ได้เงินมาซื้อข้าวให้น้องๆ ได้พอยาไส้


การศึกษาเริ่มต้นที่โรงเรียนอุทุมพรพิสัย ศรีสะเกษวิทยาลัย และจบโรงเรียนพลตำรวจ ๒ จังหวัดนครราชสีมา พอเรียนจบชั้นม.ศ. 3 ก็มาเป็นพนักงานวิทยุอยู่ที่ว่าการอำเภอ เงินเดือน 450 บาท สมัยพ.ศ.2508 จนสอบเป็นพลตำรวจได้ ตั้งแต่ปีพ.ศ.2511 จากแรงบันดาลใจในอาชีพ ด้วยการอยากเป็นตำรวจที่ดี


ทุกวันก่อนและหลังเลิกเวลางาน นายดาบตำรวจวิชัย สุริยุทธ จะบิดมอเตอร์ไซค์ขนกล้าไม้ไปปลูกตามข้างถนน ลานวัดป่าช้า ที่ดินสาธารณะ ชายขอบที่ดินเป็นแนวรั้ว มาเป็นเวลาถึง18 ปี ในผืนดินที่ไม่ใช่ของเขา ในสายตาของชาวบ้าน มักจะมองเขาว่าเป็น “คนบ้า” แต่ผลจากความบ้าของเขานั้น ก็คือต้นไม้ร่วม 2 ล้านต้นที่เขาปลูกได้เปลี่ยนอำเภอปรางค์กู่ จากที่เคยเป็นดินแดนแห้งแล้งกันดาร ให้กลับกลายเป็นอำเภอที่เขียวขจีด้วยต้นไม้นานาชนิด เช่น ต้นตาล, คูน, ถ่อน, ยางนา, แค และต้นขี้เหล็ก


แม้ตอนแรกๆชาวบ้านหัวเราะเยาะ แต่เดี๋ยวนี้ชาวบ้านได้เก็บกินดอกผลที่เขาทำเอาไว้ นายดาบวิชัยไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่าการทำบุญเพื่อส่วนรวม ในทัศนะของเขาคิดว่า “การปลูกต้นไม้เป็นการทำบุญที่ยั่งยืนกว่า และช่วยเหลือทุกคนได้ชั่วลูกชั่วหลาน...เราจะคืนธรรมชาติสู่แผ่นดิน เกื้อกูลอาศัยซึ่งกันและกัน ความสุขที่แท้จริงคือการอยู่ร่วมและรู้จักเคารพธรรมชาติ ต้นไม้ผมเป็นคนปลูก ปลูกไปเรื่อยๆ ปลูกไปจนกว่าจะตาย...”


ชีวิตคนๆหนึ่งที่ในสายตาของชาวบ้าน ปัจจุบันเปลี่ยนจากคนบ้ามาเป็นปราชญ์ชาวบ้าน ได้เดินทางไปบรรยายความรู้จากการเรียนรู้ด้วยตนเองจากธรรมชาติด้วยพลังใจที่คุโชนเต็มเปี่ยมอยู่ตลอดเวลา “ผมตั้งปณิธานอย่างแรงกล้า ใครจะพูดอย่างไรก็ช่าง ในใจรู้ว่าดีก็พอแล้ว เมื่อเห็นเพื่อนบ้านเป็นทุกข์ นั้นคือภารกิจที่ต้องร่วมกันแก้ไข เมื่อมีเพื่อนบ้านที่ดีก็ไม่ต้องทำรั้วบ้าน ในอดีตถิ่นที่ผมอยู่โจรผู้ร้ายชุกชุมมาก ฆ่าแล้วเผา ขโมยวัวควาย พอผมเริ่มใส่แนวคิดพออยู่พอกินให้กับชาวบ้าน ตอนนี้แม่ค้าในตลาดมาเก็บใบขี้เหล็กไปแกงขายอยู่บ่อยไป...” ถ้าคนเรายังมองไม่เห็นความงดงามของธรรมชาติ นั่งมองต้นไม้ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไป ก็จะได้อะไรเพิ่มเข้ามาในชีวิตอีกมากมาย สำหรับคนที่เริ่มท้อใจในสิ่งที่เริ่มต้นลงแรงจากการงานอาชีพ อาจมีบางคำพูดที่เชือดเฉือนหัวใจให้ฟีบเล็กเท่าปลายก้อย ดาบตำรวจวิชัยมีข้อแนะนำ “ทำดีแล้วย่อมเกิดมรรคผล ก็ทำต่อไปเถอะครับอย่าไปท้อแท้ กาลเวลาพิสูจน์ได้ ผมมีความสุขในสิ่งที่ผมทำ ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใด ชาวบ้านมีอยู่มีกิน ผมก็ดีใจ”


นายดาบวิชัย จึงได้รับการยกย่องเชิดชูและเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับ “รางวัลลูกโลกสีเขียว” ประจำปี พ.ศ.2545 อีกทั้งรางวัลอันทรงเกียรติอีกถึง 2 รางวัลคือ
๑.ได้รับเกียรติบัตร ยกย่องเชิดชูจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ในฐานะผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อพุทธศาสนา ในด้านส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๔
๒. ได้รับพระราชทานรางวัลเสาเสมาธรรมจักร สาขาส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จากสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๔ และยังได้รับรางวัลบุคคลดีเด่นแห่งปี 2549 สาขาอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจาก คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี อีกด้วย


ปัจจุบันร.ต.ต.วิชัย เป็นผู้บังคับหมู่งานป้องกันปราบปราม สภอ.ปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นอำเภอที่กระทรวงมหาดไทยจัดอันดับให้เป็นอำเภอยากจนที่สุดในประเทศ ที่อดีตเคยมีข่าวว่าเด็กอดอยากถึงขนาดต้องกินดิน .


TraveLArounD


ปล. ท่านที่เพิ่งเข้ามาชมบล็อกใหม่ ผมได้จัดทำเป็นสารบัญ แบบหนังสือให้ค้นดูหัวเรื่องได้ง่ายที่ group : นานา สาระ๑๐๐๐ เพราะเรื่องต่างๆ เขียนไว้ 1200 กว่าเรื่องแล้ว

ส่วนท่านที่ชอบเพลง background ผมได้รวบรวมเพลงไพเราะ เพลงรัก romantic และเพลงซึ้งๆ ที่หาฟังได้ยากในสมัยนี้ ไว้หลายชุด สนใจ email ติดต่อมาได้ครับที่ nana_sara1000@ymail.com

หมายเหตุ : ขณะได้มี website อื่นๆหลาย website ได้นำเอาเรื่องที่ผมเขียนไว้ ไปลงต่อในลักษณะของเนื้อหา โดยไม่ได้รับอนุญาตใดๆ ถ้าต้องการบทความใดไปใช้ ขอให้ติดต่อขออนุญาต ก่อนทาง Email : nana_sara1000@ymail.com มิฉะนั้น จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายลิขสิทธิ์

ส่วนผู้ที่ต้องการนำเรื่องไปโพสต่อ เพื่อเผยแพร่ โดยมิใช่ทางการค้า ขอให้ติดต่อขออนุญาตให้ถูกต้องก่อนโพส

ที่มาจาก :-
//olddreamz.com/bookshelf/trees/trees.html#million
//www.businessthai.co.th/content.php?data=409203_VIP%20Varieties
//www.sisaket.go.th/relation/view.php?220




 

Create Date : 20 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 15 กันยายน 2553 1:42:18 น.
Counter : 4439 Pageviews.  

1  2  

travelaround
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 164 คน [?]





ยินดีต้อนรับทุกท่านที่แวะเข้ามาชม blog มีข้อคิดเห็น เชิญ comment มาได้นะครับ ถ้าตอบได้ จะตอบให้ทันทีครับ แต่ถ้าไม่ทราบ ต้องขอเวลา จะค้นคว้ามาให้อ่านกัน ท่านที่จะถามคำถาม หรือติดต่อเรื่องบทความ ได้ทาง Email :- d_sign_place@yahoo.com ครับ


เรื่องต่างๆที่ผมได้เขียนหรือรวบรวม เรียบเรียงมานี้ ยินดีให้ทุกท่านได้อ่านเป็นวิทยาทานและเพื่อการศึกษา ถ้าจะนำไปโพสต่อใน website สาธารณะ หรือ website อื่นใดที่ไม่ใช่ทางพาณิชย์ กรุณาระบุที่มา คือ https://www.travelaround.bloggang.com และนามปากกาผู้เขียนคือ TraveLArounD ด้วย

แต่ขอสงวนสิทธิ์สำหรับการนำไปใช้ ในเชิงพาณิชย์ หรือโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง จะถูกดำเนินคดี ตามกฏหมายลิขสิทธิ์

ส่วนบทความหรือภาพถ่ายใดๆ ที่ได้นำมาจาก website อื่น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบเรื่องนั้นๆ เป็นการถ่ายทอดจากวิจารณญาณแล้วว่า มีความถูกต้องเป็นจริง มากที่สุด และได้นำมาจาก website ที่เป็นสาธารณะ ถ้าเรื่องราวหรือภาพของท่านที่ได้นำมาถ่ายทอดนี้ ไปละเมิดลิขสิทธิ์ของท่าน กรุณาแจ้งมาทาง email :– nana_sara1000@ymail.com ผมจะทำการลบข้อมูลหรือภาพที่ละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าว ออกทันที

Acknowledges that I try to write or report accurately but postings may contain fact , speculation or rumor. I find images from the Web that are believed to belong in the public domain. If any stories or images that appear on the site are in violation of copyright law, please email to :- nana_sara1000@ymail.com and I will remove the offending information as soon as possible.


Website counter
: Users Online









ที่ดินเชียงใหม่ ทางไปแม่ริม ใกล้ศาลากลาง และสนามกีฬา 700 ปี ติดน้ำปิง ในหมู่บ้านเพชรริมปิง พื้นที่ 667 ตารางวา @ 14,000.- บาท สภาพแวดล้อมดี สนใจติดต่อ โทร. 0859559950



DESIGN PLACE CO.,LTD. รับออกแบบ และตกแต่งภายใน บ้านพักอาศัย ในแบบไทย และไทยร่วมสมัย



มรดก ฉบับที่ 1

มรดก ฉบับที่ 2

มรดก ฉบับที่ 3

มรดก ฉบับที่ 4

มรดก ฉบับที่ 5

มรดก ฉบับที่ 6

มรดก ฉบับที่ 7

ช่วยสนับสนุนการจัดทำ BLOG ด้วยการซื้อหนังสือ "มรดก" 1ชุด 7เล่ม (หนังสือเก่า) ในราคาชุดละ 700 บาท (รวมค่าส่งทางไปรษณีย์)

สนใจสั่งซื้อทาง E-mail :- nana_sara1000@ymail.com



New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add travelaround's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.