|
มังกรทั้ง 9 กับสถาปัตยกรรมจีน
พวกเขาปรากฏอยู่ทั่วไปในงานศิลปะตกแต่ง ที่แฝงกลิ่นอายโบราณของจีน ทั้งที่มีเพียงคำเล่าขานในหมู่ชนว่า ลูกมังกรทั้งเก้า (เล้งแซเก้าจื้อ) ไม่เป็นมังกร แต่ต่างมีดีที่ตน หากได้ไปชมสถาปัตยกรรมโบราณของจีน ตามวัดวาอาราม, พระราชวัง, ตำหนัก, หอ, ศาลา ฯลฯ เราจะได้พบเห็นงานศิลปะตกแต่งที่งดงามอย่างประหลาด ซุกซ่อนอยู่ตามสถานที่ต่างๆ อาทิ ขอบมุมอาคาร, บานประตู, สะพาน, ระฆัง ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง " พระราชวังต้องห้ามที่นครปักกิ่ง " อันเป็นสถานที่สถิตสถาพรของโอรสแห่งสวรรค์ หากแหงนคอเงยหน้าขึ้น ก็จะพบว่า บริเวณสันหลังคาของสถาปัตยกรรมโบราณเหล่านี้ เรียงรายด้วยรูปสัตว์ที่ทำขึ้นจากกระเบื้อง สีเขียวบ้าง สีเหลืองบ้าง ในลักษณะที่แตกต่างกันไป รูปปั้นและลวดลายเหล่านี้ ส่วนหนึ่งเป็นรูปลักษณ์ของลูกมังกรทั้งเก้า จากตำนานเทพเจ้ายุคโบราณของจีน และต่างก็มีพัฒนาการไปตามกาลเวลาเช่นเดียวกับลวดลายมังกร จากบันทึกสมัยราชวงศ์หมิงหลายฉบับ ได้กล่าวถึงลักษณะพิเศษเฉพาะของลูกมังกรแตกต่างกันไป ซึ่งในส่วนที่เห็นพ้องกันโดยมาก ได้แก่
1. ปี้ซี่ ((赑屃)) หรือ ปูเซีย, เจียป๊วย มีรูปเป็นเต่า แต่ปี้ซี่จะมีฟัน ซึ่งแตกต่างจากรูปเต่าโดยทั่วไป มีพละกำลังมหาศาล โดยมากใช้ตกแต่งเป็นฐานของแผ่นศิลาจารึก สามารถพบเห็นได้ตามวัดวาอารามต่างๆ กล่าวกันว่าหากได้สัมผัสจะนำพาโชคลาภมาให้
2. ปี้อ้าน ((狴犴)) หรือ เซี่ยนจาง, ปี๋กัน, เบียน มีรูปเป็นพยัคฆ์ น่าเกรงขาม มักเกี่ยวข้องกับคดีความ โดยมากจึงสลักรูปสัญลักษณ์นี้ไว้บนประตูเรือนจำ เสือเป็นสัตว์ที่ทรงอำนาจ ดังนั้น ปี้อ้าน จึงมีส่วนในการข่มขวัญเหล่านักโทษในเรือนจำ ให้มีความเคารพต่อสถานที่ใส่รายละเอียดที่นี่
3. เทาเที่ย ( (饕餮)) หรือ ฉีเหวิน, ปาแห่ง รูปคล้ายหมาป่า มีนิสัยตะกละตะกลาม ดังนั้น ในสมัยโบราณ ผู้คนจึงนำมาประดับไว้บนภาชนะที่บรรจุของเซ่นไหว้ และเนื่องจากเทาเที่ยเป็นสัตว์ที่มีนิสัยดุร้ายและตะกละ จึงมีคำเปรียบเปรยถึงบุคคลที่เห็นแก่กินและละโมบโลภมาก ว่าเป็น พวกลูกสมุนของเทาเที่ย นอกจากนี้ เนื่องจากเทาเที่ยดื่มกินได้ในปริมาณมาก จึงพบว่ามีการนำเทาเที่ยมาประดับที่ด้านข้างของสะพาน เพื่อป้องกันเหตุน้ำท่วม
4. ผูเหลา ( (蒲牢)) หรือ โผวล้อ มีรูปคล้ายมังกรตัวน้อย ชอบร้องเสียงดัง กล่าวกันว่า ผูเหลาอาศัยอยู่ริมฝั่งทะเล และเกรงกลัวปลาวาฬเป็นที่สุด ทุกครั้งที่ถูกปลาวาฬเข้าทำร้าย ผูเหลาจะส่งเสียงร้องไม่หยุด ดังนั้น ผู้คนจึงนำผูเหลามาประดับไว้บนระฆัง จากนั้นสลักไม้ตีระฆังเป็นรูปของปลาวาฬ เมื่อนำไปตีระฆัง จะได้เสียงที่สดใสดังกังวาน
5. ฉิวหนิว ( (囚牛)) มีรูปเป็นมังกรสีเหลืองตัวน้อย ที่มีเขาของกิเลน ชอบดนตรี ผู้คนจึงมักสลักรูปของฉิวหนิวไว้ที่ด้ามซอ
6. เจียวถู ((椒图)) หรือ ซกโต๊ว มีรูปคล้ายลวดลายก้นหอย มักจะปิดปากเป็นนิจสิน เนื่องจากธรรมชาติของหอยนั้น เมื่อถูกรุกรานจากศัตรูภายนอก ก็จะปิดเปลือกสนิทแน่น ผู้คนจึงมักจะวาดหรือสลักลวดลายของเจียวถูไว้ที่บานประตู เพื่อแทนความหมายถึงความปลอดภัย
7. ชือเหวิ่น ((鸱吻)) หรือ ชือเหว่ย, เฮ่าว่าง, เจ้าเฟิง มีรูปคล้ายมังกรแต่ไม่มีสันหลัง ปากอ้ากว้าง ชอบการผจญภัยและยังชอบกลืนไฟ กล่าวกันว่า ชือเหวิ่นอาศัยอยู่ในทะเล มีหางคล้ายเหยี่ยวนกกระจอก สามารถพ่นน้ำดับไฟได้ เชื่อว่าป้องกันสิ่งชั่วร้ายและอัคคีภัยได้ ดังนั้น หากพบมังกรที่มีหางขดม้วนเข้าประดับอยู่บนสันหลังคา นั่นก็คือ ชือเหวิ่น
8. ซวนหนี ((狻猊)) หรือ ส้วนหนี่, จุงยี๊ แต่เดิมซวนหนีเป็นชื่อเรียกชื่อหนึ่งของสิงโต ดังนั้น ซวนหนีจึงมีรูปเป็นราชสีห์ ชอบเพลิงไฟและชอบนั่ง เนื่องจากสิงโตมีรูปลักษณ์เป็นที่น่าเกรงขาม ทั้งได้รับการเผยแพร่เข้ามาในจีนพร้อมกับพุทธศาสนา โดยมีคำกล่าวเปรียบพระพุทธเจ้าเป็นดั่งราชสีห์ ดังนั้น ผู้คนจึงนำลวดลายของซวนหนีมาประดับ ที่แท่นอาสนะของพระพุทธรูปและบนกระถางธูป เพื่อให้ซวนหนีได้กลิ่นควันไฟที่โปรดปราน
9. หยาจื้อ ((睚眦)) หรือ ไย่จู, วาปี้ มีรูปคล้ายหมาไน ชอบกลิ่นอายการสังหาร คำว่า " หยาจื้อ " เดิมมีความหมายว่า ถลึงตามองด้วยความโกรธ ต่อมาแฝงนัยของการแก้แค้น ซึ่งก็ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงจากการเข่นฆ่า จึงมักจะนำหยาจื้อมาประดับอยู่บนด้ามมีดและฝักดาบ เป็นต้น
จำนวนของรูปปั้นกระเบื้องเคลือบบนหลังคาพระราชวังต้องห้าม บ่งบอกความสำคัญของอาคารตามระเบียบแบบแผนที่แน่ชัด
บนสันหลังคาของตำหนักไท่เหอเตี้ยน(ท้องพระโรงใหญ่) มีรูปปั้น 10 ตัว แสดงถึงสถานะความสำคัญสูงสุด
ตำนานลูกมังกรทั้งเก้า
ตำนานของลูกมังกรทั้งเก้า เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง (ปี 1368 1644) โดยมีจุดเริ่มจาก " หลิวป๋อเวิน " ((刘伯温))เสนาบดีคู่บัลลังก์มังกร กล่าวกันว่า หลิวป๋อเวิน เดิมเป็นเทพบนสวรรค์ ที่อยู่ข้างกาย " อวี้ตี้ หรือ เง็กเซียนฮ่องเต้ " เมื่อถึงปลายราชวงศ์หยวน แผ่นดินจีนลุกเป็นไฟ การศึกสงครามไม่หมดสิ้น ราษฎรอดอยากยากแค้น เง็กเซียนฮ่องเต้จึงส่งหลิวป๋อเวินลงมาถือกำเนิดบนโลกมนุษย์ เพื่อช่วยกอบกู้ภัยพิบัติ พร้อมทั้งได้มอบกระบี่ประกาศิต ที่สามารถสั่งการต่อพญามังกรได้ แต่เนื่องจากในเวลานั้น พญามังกรเฒ่าสังขารร่างกายอ่อนล้า จึงส่งให้บุตรทั้งเก้าของตนมารับภารกิจนี้แทน ลูกมังกรทั้งเก้าต่างมีอิทธิฤทธิ์แกร่งกล้า พวกเขาติดตามหลิวป๋อเวินออกศึกนับครั้งไม่ถ้วน ส่งเสริม " จูหยวนจาง " สถาปนาแผ่นตินต้าหมิง ทั้งช่วยเหลือจูตี้ให้ได้มาซึ่งบัลลังก์มังกร ต่อเมื่อภารกิจเสร็จสิ้นสมบูรณ์ จึงคิดจะกลับคืนสู่สรวงสวรรค์ แต่ " จักรพรรดิหมิงเฉิงจู่ หรือ จูตี้ " กลับต้องการให้พวกเขาอยู่ข้างกาย เพื่อช่วยให้ตนเองเป็นใหญ่ในแผ่นดินตลอดไป ดังนั้น จึงอ้างเหตุก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามที่ปักกิ่ง หยิบยืมดาบประกาศิตจากหลิวป๋อเวิน เพื่อสั่งการต่อลูกมังกรทั้งเก้า แต่ลูกมังกรต่างไม่ยอมสยบ จูตี้เห็นว่าไม่อาจควบคุมลูกมังกรไว้ได้ จึงออกอุบาย โดยกล่าวกับปี้ซี่ที่เป็นพี่ใหญ่ว่า ปี้ซี่ เจ้ามีพลังมากมายมหาศาล สามารถยกวัตถุนับหมื่นชั่งได้ ถ้าหากเจ้าสามารถแบกป้ายศิลาจารึก เสินกงเซิ่งเต๋อเปย ของบรรพบุรุษข้าไปด้วยได้ ข้าก็จะปล่อยพวกเจ้าไป
ปี้ซี่เห็นว่าเป็นเพียงป้ายศิลาเล็กๆ ก้อนหนึ่ง จึงเข้าไปแบกรับไว้โดยไม่ลังเล แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจยกเคลื่อนไปได้ ที่แท้ ป้ายศิลาจารึกนี้ ได้จารึกคุณความดีของ โอรสสวรรค์ เอาไว้ (จากคติของจีนที่กล่าวว่า คุณความดีนั้นไม่อาจชั่งตวงวัดได้) ทั้งยังมีตราประทับลัญจกรของฮ่องเต้สองสมัย สามารถสยบเทพมารทั้งปวงได้ ลูกมังกรที่เหลือเห็นว่าพี่ใหญ่ถูกกดทับอยู่ใต้ศิลาจารึก ต่างไม่อาจหักใจจากไป จึงได้แต่รั้งอยู่บนโลกมนุษย์ต่อไป โดยต่างก็ให้สัตย์สาบานว่า จะไม่ปรากฏร่างจริงอีก ดังนั้น แม้ว่าจูตี้สามารถรั้งลูกมังกรทั้งเก้าเอาไว้ได้ แต่ก็เป็นเพียงรูปสลักของสัตว์ทั้งเก้าชนิดเท่านั้น หลิวป๋อเวิน เมื่อทราบเรื่องในภายหลังจึงผละจากจูตี้กลับคืนสู่สวรรค์ จูตี้รู้สึกเสียใจและสำนักผิดต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ จึงจัดวางหน้าที่ให้กับลูกมังกรทั้งเก้า เพื่อสืบทอดเรื่องราวสู่คนรุ่นหลัง ไม่ให้เดินตามรอยความผิดพลาดของตน
*** ขอขอบคุณ (Thank You) ที่มาของข้อมูล, บทความและภาพประกอบ - ผู้จัดการออนไลน์ - เซี่ยนหลงเน็ต - //www.yuyuan.cc - //www.xooob.com - //www.fowg.cn - //www.artx.cn - //p3.p.pixnet.net - //my.dek-d.com/Carria - //www.thepjeen.com - //th.wikipedia.org
Create Date : 15 กรกฎาคม 2552 | | |
Last Update : 22 กรกฎาคม 2552 21:44:26 น. |
Counter : 4632 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ไม้คีบ ที่เรียกว่า " ตะเกียบ "
ตะเกียบ หรือ ไคว่จื่อ (筷子) คิดค้นประดิษฐ์ขึ้นจากภูมิปัญญาของชาวจีน และเป็นอุปกรณ์การกินหลักที่ชาวจีนใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว จนทำให้ชาวตะวันตกผู้พิสมัยการใช้ช้อน ส้อม และมีด ถึงกับอัศจรรย์ใจกับประโยชน์ของไม้ 2 แท่งนี้ นักวิชาการตะวันตกบางรายถึงกับยกย่องให้ ตะเกียบ เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมฝั่งตะวันออก เพราะไม่เพียงแต่จีนเท่านั้น ประเทศที่มีความเกี่ยวพันกับจีนอย่าง เกาหลี เวียดนาม ญี่ปุ่น และบางพื้นที่ในตะวันออกกลาง ก็ยังใช้ตะเกียบรับประทานอาหารกันอย่างแพร่หลาย ส่วนไทยนั้นแม้รับวัฒนธรรมดังกล่าวเข้ามา แต่ช้อน ส้อม ก็ยังถือเป็นอุปกรณ์การกินหลักสำหรับเรา
ส่วนความเป็นมาของสิ่งประดิษฐ์ไม้ 2 แท่งนี้ นักโบราณคดียังไม่สามารถฟันธงได้ว่าเกิดขึ้นในสมัยใด และใครเป็นผู้คิดค้นขึ้น แต่มีการบันทึกไว้ในตำรา ชีวประวัติของจงเวยจื่อ สมัยราชวงศ์ซาง (1,700-1,100 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ซึ่งกล่าวอ้างถึง โจ้วอ๋อง ผู้ปกครองแผ่นดินในสมัยนั้น มีการใช้ตะเกียบงาช้าง ดังนั้น จึงสันนิษฐานได้ว่าจนถึงวันนี้ วัฒนธรรมการใช้ตะเกียบน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 3,000 ปีแล้ว
" ตะเกียบเงินในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ "
ในอดีตชาวจีนเรียกตะเกียบว่า " จู้ "(箸) แต่ด้วยเสียงที่พ้องกับคำว่า จู้ (住) ที่แปลว่า หยุด ซึ่งเป็นความหมายที่ไม่เป็นมงคล ภายหลังจึงเปลี่ยนมาเรียกว่า ไคว่จื่อ แทน โดยตะเกียบส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นผลิตจากไม้ ไม้ไผ่ หรือพลาสติก มีบ้างที่ทำมาจากกระดูกสัตว์ งาช้าง ทอง หยก หรือเงิน (สมัยก่อนฮ่องเต้นิยมใช้ตะเกียบเงิน เพื่อตรวจสอบอาหารว่ามีพิษหรือไม่) นอกจากนี้ ตามประเพณีดั้งเดิม ตะเกียบยังเป็นสมบัติที่สตรีจีนจะนำติดตัวไปด้วยเมื่อยามออกเรือน เพราะคำว่า ไคว่จื่อ นั้น ฟังแล้วคล้ายกับคำว่า ไคว่ (เต๋อเอ๋อร์) จื่อ ซึ่งแปลว่า มีลูกชายโดยเร็ว
วิธีจับตะเกียบอย่างถูกวิธี หลายคนใช้ตะเกียบ เป็น แต่จับ ไม่ถูก ตามหลักของจีน วิธีจับที่ถูกต้องนั้น ต้องใช้นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลางจับตะเกียบอันบน ส่วนนิ้วนางและนิ้วก้อยคอยประคองตะเกียบอันล่าง
ข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติของการใช้ตะเกียบ - ห้ามใช้ตะเกียบสั้นยาวไม่เท่ากัน เพราะคนจีนถือว่าไม่เป็นมงคล ผู้ใช้หรือญาติพี่น้องอาจถึงขั้นมีอันเป็นไป เพราะคนจีนโดยปกติ เรียกตะเกียบไม่เท่ากันว่า ยาว 3 สั้น 2 (三长两短) ซึ่งไปประจวบเหมาะกับเวลานำคนตายใส่โลงยังไม่ปิดฝา ตัวโลงจะประกอบด้วยไม้ยาว 3 ด้าน (ด้านข้างและล่าง) ไม้สั้นปิดหัวท้าย ตรงกับ ยาว 3 สั้น 2 พอดี - ห้ามจับตะเกียบแล้วปล่อยนิ้วชี้ยื่นออกมา คนปักกิ่งเรียกวิธีจับแบบนี้ว่า ด่ากราด เพราะเวลากินนิ้วชี้จะชี้ใส่คนอื่นตลอดเวลา ซึ่งชาวปักกิ่งโดยทั่วไป เวลาชี้ฝ่ายตรงข้ามมักมีความหมายของการตำหนิอยู่ รวมทั้งการใช้ตะเกียบชี้คนอื่นก็เป็นเรื่องไม่สมควรทำ - ห้ามดูดตะเกียบ เพราะไม่สุภาพ ยิ่งถ้ามีเสียงเล็ดลอดออกมาด้วยยิ่งแย่ใหญ่ - ห้ามใช้ตะเกียบเคาะจานชาม เหมือนขอทานเคาะกะลาขอข้าว - ไม่ควรใช้ตะเกียบคุ้ยหาอาหารในจาน เหมือนพวกโจรคุ้ยหาสมบัติ - ควรคีบอาหารให้มั่นมือ ไม่ควรปล่อยให้กับข้าวหล่นใส่จานอื่น - ควรใช้ตะเกียบให้ถูกด้าน (แต่ครอบครัวจีนในไทยบางบ้านสอนลูกหลานว่า เวลาจะคีบอาหารให้คนอื่น ควรกลับตะเกียบเอาด้านที่ไม่ได้ใช้คีบให้ ซึ่งดูแล้วถูกอนามัยมากกว่าการเอาด้านที่เราคีบอาหารใส่ปาก ไปคีบอาหารให้คนอื่นต่ออีก) - ห้ามปักตะเกียบไว้กลางชามข้าว เพราะตามธรรมเนียมของชาวปักกิ่งแล้ว จะปักตะเกียบไว้บนชามข้าวต่อเมื่อเซ่นไหว้ผู้เสียชีวิตเท่านั้น
*** ขอบคุณ (Thank you) ที่มาของข้อมูล บทความและภาพประกอบ
- //www.manageronline.com - //www.westernsilver.com - //www.stippy.com - //www.sapergalleries.com
Create Date : 02 มิถุนายน 2551 | | |
Last Update : 2 มิถุนายน 2551 22:19:54 น. |
Counter : 3398 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|