มีสุข มีทุกข์ อะไรก็จะเขียนไว้ที่นี่

คุณกลัวผีหรือเปล่า คุณเคยโดนผีหลอกไหม

      ผมจำได้ว่าสมัยเด็กๆ ผมเป็นเด็กที่กลัวผีมากเลย พอมืดแล้วไม่กล้าไปไหนคนเดียว แค่ลงมาใต้ถุนบ้านก็กลัวแล้ว เวลาเดินขึ้นบันไดก็กลัวว่าผีจะจับขา เวลาปิดไฟนอนต้องรีบมุดเข้ามุ้งแล้วกันชายมุ้งให้แน่นหนา คาถากันผีอันไหนใครว่าดี ผมท่องหมด เรียกได้ว่ากลัวจนน่าจะได้โล่เลยทีเดียว

      มาวิเคราะห์กันว่า ความกลัวเหล่านั้นเกิดมาได้อย่างไร ตอนที่คนเราเกิดมาใหม่ๆ  เราจะยังไม่กลัวอะไรทั้งนั้น สังเกตุดูเด็ก ๆ มักจะไม่ระแวด ระวังอะไรทั้งนั้น  ดังนั้นความกลัวสิ่งต่างๆ น่าจะเกิดขึ้นจากประสบการณ์ กับถูกผู้ใหญ่สอน กรณีผมไม่เคยถูกผีหลอก จึงเืชื่อว่าความกลัวผีของผมเกิดจากการสั่งสอนของผู้ใหญ่

      บ้านของผมอยู่ใกล้วัด เอาว่าสามารถมองเห็นเมรุได้ชัดเจน จากที่บ้าน เพราะบ้านผมอยู่หลังเมรุพอดี  แถมพวกผู้ใหญ่ก็ชอบเล่าเรื่องผีให้ฟังอีก แต่ละเรื่องก็โคตรน่ากลัวเลย บริเวณที่สร้างวัดใกล้ๆ บ้านผม เคยเป็นวัดเก่ามาก่อน เดาว่าน่าจะโดนเผาช่วงที่รบกับพม่า  คนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังว่า มีเศษพระที่ถูกทุบอยู่ทั่วไป หลักฐานที่เห็นได้ชัดเจนคือเจดีย์ ที่ปัจจุบันสร้างของใหม่ครอบทับไปเรียบร้อยแล้ว บริเวณด้านเหนือของวัดก็คือด้านที่ติดกับที่บ้านผม เคยเป็นป่าช้ามาก่อนด้วย (เวรกรรม)

     ตอนผมเป็นเด็ก แม่ชอบให้ไปเก็บมะเขือ ซึ่งก็ดันไปปลูกไว้ชายที่ ด้านที่ติดวัดซะอีก จำได้ว่าสมัยนั้นยังไม่ได้ตัดกอใผ่ แถมมีต้นก้ามปูใหญ่อยู่ตรงมุมที่ ทำให้แม้แต่กลางวันตรงนั้นก็ไม่โดนแดด เรียกว่าอึมครึมน่ากลัวเลยทีเดียว เวลาเดินกลับบ้านถ้าจะเดินทางลัดก็ต้องมุดรอดซุ้ม เถาวัลย์ที่พันอยู่บนกิ่งต้นทอง กันสารพัดต้นไม้ที่ขึ้นติดกันไปตามแนวรั้ว  ถ้ากลางวันหรือมีคนเดินด้วยก็ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่ถ้าเริ่มมืดเมื่อไหร่ มันโคตรน่ากลัวเลย ไ้อ้การมุดผ่านทางตรงนี้เนี่ยะ

      เคยมีครั้งนึงแม่ใช้ให้ไปซื้อของที่ร้านค้าหน้าวัด ตอนไปยังไม่มืดก็ไม่คิดอะไร  ตอนขากลับนี่สิโคตรน่ากลัวเลย ผมก็เดินไปร้องเพลงไป เรียกว่าเอาเสียงเป็นเพื่อน พอใกล้ช่วงที่ต้องมุดผ่านซุ้มเถาวัลย์ซึ่งเป็นทางลัด ก็ดันมีจินตนาการว่า ถ้าผีมันนั่งห้อยขาอยู่ข้างบนกิ่งต้นทอง พอเรามุดเข้าไปมันก็ทิ้งตัวมาขี่คอเราจะทำยังไงดี  หรือไม่ก็ช่วงที่เรามุดผ่านเข้าไป มันก็ห้อยหัวลงมาจากกิ่งต้นทอง  คือนึกได้แต่อะไรที่มันน่ากลัวทั้งนั้น จะเดินอ้อมไปเข้าทางหน้าบ้านก็ไกล ตัดสินใจว่าเอาว่ะรีบมุดผ่านไปเร็วๆ ไม่น่าจะมีอะไร

      หัวใจเ้ต้นตุ๊บๆ ๆ ๆ ผมหยุดร้องเพลงแล้วก็รีบๆ มุดผ่านไป  ช่วงที่กำลังจะพ้นออกไปได้นั้น ก็มีเสียงอะไรสักอย่างดังขึ้น ผมไม่รู้ว่าเสียงอะไร รู้แต่ว่าได้ยินเสียงปุ๊บผมก็วิ่งทันที ปากก็ตะโกนด่ามันด้วย (ด่าเก่งแต่เล็กนะผมเนี่ยะ) ประมาณว่ากลัวก็กลัว แต่ก็โกรธที่บังอาจทำให้ตกใจ พอถึงบ้านคนที่บ้านก็ถามว่าเป็นอะไร ก็เล่าให้ฟังอย่างที่เล่ามานี่แหละ ไม่มีใครว่าอะไร

    เช้าออกไปเก็บมะเขือกับแม่ ( ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมกินแต่มะเขือ ครอบครัวผมจนกว่าที่คุึณคิดไว้เยอะ )  ซึ่งบริเวณที่แม่ปลูกมะเขือก็ติดกับตรงซุ้มเถาวัลย์นั่นและ แต่มีรั้วหนามต้นคัดเค้า กับสารพัดหนามกั้นอยู่มองลอดไม่ได้  เก็บๆ อยู่เสียงเจ้ากรรมก็ดังขึ้นอีก  แต่มีแม่อยู่ก็เลยไม่วิ่ง หันไปทางต้นเสียงเห็นแมว แม่ลูกอ่อน มีลูกนอนกินนมอยู่สองสามตัว  ผมถึงรู้ว่าเมื่อวานได้ยินเสียงอะไร

    ผมจะเอาแมวไปเลี้ยงแม่บอกว่าเลี้ยงไม่ได้ ( เดาสิว่าเหตุผลคืออะไร ) แม่บอกกับแม่แมวว่าให้เข้าไปในวัดโน้น หลวงตาแกชอบเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว  ก็ไม่รู้มันฟังเข้าใจหรือยังไง เพราะไปเจออีกทีมันอยู่ที่วัดจริงๆ ซะด้วย 

    ผีที่ผมวิ่งหนีป่าราบ เมื่อตอนนั้นก็แค่แมว  ซึ่งมันคงได้ยินเสียงผมเดินผ่านมา มันเลยส่งเสียงทัก แต่ผมกำลังจิตตกอยู่ ได้ยินเสียงอะไรก็ว่าผีไปซะทั้งหมด นี่ถ้าผมไม่กลัวผีจนขึ้นสมอง ตั้งใจฟังเสียงให้ดีว่าเสียงอะไร ดังมาจากทางไหน ก็อาจไม่ต้องวิ่งป่าราบ ประสบการณ์โดนผีหลอกของหลายๆ คนก็คงคล้ายๆ กับผม แต่อาจไม่โชคดีเท่าผมที่หาผีตัวปลอมเจอ ส่วนใหญ่เจออะไรก็เหมาว่าผี แล้วก็วิ่งป่าราบเอาไว้ก่อน

    ผมมาเลิกกลัวผีจริงๆ ตอนอกหักครั้งแรกในชีวิต ซึ่งตอนนั้นรู้สึกว่า ความตายไม่น่ากลัวอะไร (ผมว่าคุณเดาออก ว่าผมหมายถึงอะไร)  ประมาณว่าตายซะก็ดีอยู่ไป ก็เท่านั้น  ช่วงนั้นถ้าเจอผีผมคงจะเดินเข้าไปหาเลย อยากรู้ว่าผีทำอะไรได้บ้าง หรือถ้าผีทำอะไรไม่ได้ ก็อยากลองชกหน้าผีดูสักครั้ง  พ่อเคยพูดคำนึงไว้ แต่ผมไม่เคยเชื่อตามนั้น พ่อพูดว่า  ***  คนเราไม่ได้กลัวผีหรอก   ที่กลัวนะกลัวตายต่างหาก กลัวว่าผีจะทำร้าย กลัวว่าจะตาย ***

    เพิ่งมาเข้าใจก็ช่วงนั้นแหละ ว่าถ้าเราไม่กลัวตายซะอย่าง ผีก็ไม่มีความน่ากลัวสักนิด ผมมาเลิกเชื่อว่าผีมีจริง แบบหมดข้อสงสัยก็ตอนบวช ตอนนั้นพ่อเสียไปแล้ว ผมอธิฐานจิตในโบสถ์ว่าถ้าผีมีจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ให้มาหาผม ผมจะรอ ถ้ามาให้เห็น ให้พิสูจน์ได้จริง ผมจะไม่สึกจากพระ แล้วจะบวชให้ตลอดชีวิต และแน่นอนว่าเมื่อตอนนี้ผมไม่ใช่พระ ก็แสดงว่าไม่มีใครมาหาผมเลยสักคน

    ล่าสุดผมท้าทายไว้ว่า ถ้าผีมีจริงให้มาหา เงื่อนไขเหมือนเดิม ถ้ามาหา มาให้ผมพิสูจน์ได้่ว่าชีวิตหลังความตายมีจริง ผีมีจริง ผมก็จะลาออกจากงานแล้วก็ออกบวชให้ตลอดชีวิต แต่แน่นอนว่าผ่านมาหลายปี ผมไม่เคยเจอผีเลย ทั้งที่ผมอยู่คนเดียว ในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงว่าจะโดนผีหลอก อยู่แทบตลอดเวลา

     แม้แต่ตอนที่พิมพ์อยู่นี้ก็เช่นกัน ในตึกชั้นนี้มีผมอยู่แค่คนเดียว เปิดไฟไว้แค่ดวงเดียว ตลอดทั้งชั้นไปจนถึงบันได มืดสนิทเพราะเป็นห้องปรับอากาศไม่มีหน้าต่าง  อีกสักครู่ถ้าผมจะกลับบ้านผมก็ต้องปิดไฟแล้วก็เดินมืดๆไปลงบันได ตึกนี้เขาก็ว่าผีดุซะด้วยสิ  หุ หุ หุ Smiley





Create Date : 29 กรกฎาคม 2555
Last Update : 29 กรกฎาคม 2555 17:50:50 น. 2 comments
Counter : 1408 Pageviews.  

 
แวะมาเยี่ยมยามค่ำคืน...สวัสดีครับ

ถ้าเราคิดว่าผีไม่มี ก็จะไม่มี... แต่ถ้าเราคิดว่ามี ก็จะเจอผีโดยจิตของเราจะสร้างจินตนาการให้มีขึ้นมา นะครับ


โดย: **mp5** วันที่: 29 กรกฎาคม 2555 เวลา:22:07:01 น.  

 
กลัวผีมากมาก และไม่เคยคิดอยากจะเจอ


โดย: Robert_N วันที่: 29 กรกฎาคม 2555 เวลา:23:52:42 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

mrpipo
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ประชาธิปไตยจงเจริญ
[Add mrpipo's blog to your web]