มีสุข มีทุกข์ อะไรก็จะเขียนไว้ที่นี่

ความฝัน และการเดินตามความฝันของข้าพเจ้า

      อยู่ๆ ก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ มันเป็นไปเพื่อความฝัน เพื่อจุดมุ่งหมายสูงสุดในชีวิตหรือเปล่า หรือว่าแค่ใช้ชีวิตไปวันๆ แบบงงๆ

     แต่ก่อนจะรู้ว่าผมกำลังเดินตามฝันอยู่เปล่า ก็ต้องรู้ให้ได้เสียก่อนว่า ผมฝันอะไรไว้ เวรละสิ เพราะผมไม่แน่ใจว่าผมฝันอะไร เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ความฝันของผมก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ตลอดเวลา

     จำได้ว่าสมัยเป็นเด็ก ผมอยากเป็นนักประดิษฐ์เหมือนด๊อกเตอร์แซมเบ้ ในการ์ตูนเรื่อง ด๊อกเตอร์สลัม กับหนูน้อยอาราเร่  ผมรู้สึกว่าการที่สามารถสร้างอะไรสักอย่างขึ้นมา ด้วยความรู้ความสามารถ มันช่างเท่ห์เหลือเกิน บางทีความฝันตอนเด็กนี่แหละทำให้ผมเรียนสายช่าง แทนที่จะเรียนสายสามัญเหมือนพวกรุ่นพี่ๆ ในหมู่บ้านผมเขาเรียนกัน  จะว่าไปผมเป็นแรกในหมู่บ้านที่เรียนวิทยาลัยเทคนิค แทนที่จะเรียนม.ปลาย ซึ่งแม่พ่อก็เห็นดีเห็นงานด้วย เพราะเชื่อว่าจบแล้วจะได้หางานทำได้โดยไม่ต้องเรียนปริญญา

    ต่อมาช่วงใกล้จะเรียนจบ ป.ว.ส. ก็มีความฝันใหม่ เพราะเพิ่งรู้ว่าแค่เรียนจบช่างไม่สามารถจะเปิดร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ มันต้องมีเงินทุนด้วย  และช่วงนั้นเศรษฐกิจกำลังมีปัญหา โรงงานเลิกจ้างพนักงานเป็นว่าเล่น อย่าฝันว่าจะหางานทำได้ แถมต้องรอเวลาให้พ้นเกณฑ์ทหารก่อนอีก สุดท้ายก็เลยเปลี่ยนความฝันไปเป็นเรียนต่อ ป.ท.ส. เพื่อจบออกมาเป็นครูสอนเด็กเทคนิคแทน

    หลังจากเรียนจบแล้ว พ้นเกณฑ์ทหารแล้ว ก็ทำงานเป็นครูอยู่ ปีนึงความฝันก็ต้องเปลี่ยนอีก เพราะประสบการณ์ที่ได้สัมผัสกับระบบงานราชการมันทำให้ผมหมดกำลังใจจะทำต่อ เพราะรู้ว่าต่อให้ผมทุ่มเทแค่ไหน ผมก็ไม่สามารถเปลี่ยนความอืดอาด ยืดยาด ไม่มีประสิทธิภาพของระบบราชการได้ ก็เลยจำเป็นต้องเปลี่ยนความฝันใหม่อีกรอบ คราวนี้ไม่อยากเรียกว่าความฝัน เพราะมันควรจะเรียกว่าความจำเป็นซะมากกว่า ความจำเป็นที่จะต้องมีงานทำ เพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงพ่อแม่ และใช้หนี้ อาจพูดว่าตอนนั้น ใครจ้างให้ทำอะไรก็คงยอมทำหมด ยกเว้นกลับไปเป็นครูจ้างสอน

    ช่วงนี้อาจเป็นช่วงที่ผมไม่มีความฝัน มีแต่เป้าหมายว่าต้องหางานทำ ในที่สุดก็ได้งานรายวัน ในสนามบินดอนเมือง เป็นงานลากสายไฟเส้นเท่าแขน เพื่อเอาไปเสียบเครื่องบิน ทำอยู่ได้ไม่ถึงอาทิตย์ก็ทนไม่ไหว  แต่ก็โชคดีที่ได้งานเป็นช่างคอมพิวเตอร์ที่ร้านล๊อฟเทคที่เซียร์รังสิต

    ผมไม่ได้เรียนด้านนี้มาก่อน สิ่งที่เป็นต้นทุนความรู้ของผมก็แค่ว่า ผมเคยซ่อมคอมพิวเตอร์ของผมเองบ้าง ซ่อมให้เพื่อนบ้าง  ซ่อมคอมพิวเตอร์ของวิทยาลัยที่เคยสอนบ้าง ถ้าถามว่าผมเคยฝันจะเป็นช่างคอมพิวเตอร์หรือเปล่า ก็ต้องตอบว่าเปล่า แต่หากจะถามว่าผมสนใจงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หรือเปล่า ก็ตอบได้ว่าสนใจอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะอย่างไรตอนนี้ งานช่างคอมพิวเตอร์ได้กลายเป็นความฝันของผมไปเรียบร้อยแล้ว

    แน่นอนว่าเมื่อความฝันใดเป็นจริงแล้ว ความฝันนั้นก็หมดความหมายไป แล้วเราก็จะหาความฝันอันใหม่ต่อไป ผมเองก็เช่นกัน พอได้เป็นช่างคอมพิวเตอร์แล้ว ผมก็มองหาความฝันต่อไป ก็พอดีกับช่วงนั้น ผมรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม รู้สึกว่านายจ้างเอาเปรียบพนักงานมากเกินไป ก็เลยลาออกแล้วไปทำงานบริษัทอมร ที่เพิ่งเข้ามาเปิดสาขาเซียร์รังสิต

  ซึ่งแม้จะเป็นงานช่างคอมพิวเตอร์เหมือนกัน แต่งานต่างกันมากเพราะงานที่นี่ต้องใช้ความรู้ด้านไฟฟ้าและอีเล็กทรอนิกส์ด้วย พูดง่ายๆ ว่าจากที่เคยทำแค่ประกอบ ลงโปรแกรมธรรมดา ก็ต้องลงมือซ่อมในระดับสูงขึ้น ทั้งซ่อมจอภาพ แปลงเครื่องมือสองจากต่างประเทศที่ใช้ไฟ 110 โวลท์ให้สามารถใช้งานกับไฟบ้านเรา 220 โวลท์
เป็นต้น  และด้วยเหตุที่ร้านอมรรับซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วย หลายครั้งผมก็เลยมีโอกาสได้ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ไปด้วย  จะพูดว่าได้ทำตามความฝันสมัยเด็กที่อยากเป็นช่างโดยบังเอิญก็ว่าได้ 

     เมื่อผ่านไปนานปี ผมก็มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับงานซอฟต์แวร์สำเร็จรูป งานฐานข้อมูล และงานพัฒนาเว็บไซต์  ถึงตอนนี้ความฝันของผมได้เปลี่ยนอีกครั้ง และหลังจากได้แสดงฝีมือพัฒนาโปรแกรม พัฒนาเว็บไซต์ และพัฒนาเครื่องนับสต็อกด้วยไมโครคอนโทรลเลอร์ตระกูล PIC ผมก็กลายเป็นนักประดิษฐ์ ไปโดยปริยาย  ที่เรียกว่านักประดิษฐ์ก็เพราะตอนนี้งานผมมันครอบคลุม ตั้งแต่ออกแบบ พัฒนาทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ไปจนถึงประยุกต์ใช้งาน และสนับสนุนแก้ปัญหาเบ็ดเสร็จในคนเดียว  ถึงตอนนี้ก็พูดได้ว่าความฝันสมัยเด็กที่จะเป็นด็อกเตอร์แซมเบ้ ได้กลายเป็นจริงเรียบร้อยไปอีกเรื่อง

     ถึงตอนนี้งานผมก็ยังทำงาน R&D อยู่ แม้ว่าบริษัทจะเรียกตำแหน่งที่ทำว่าอะไรก็ตามที แล้วความฝันต่อไปของผมละคืออะไร  ถ้าถามใจตอนนี้ คำตอบที่ได้ก็มีเพียงแค่อยากใช้ชีวิตที่สุขสงบและมั่นคงไปจนตาย มันจะเรียกว่าความฝันได้ไหมนั่น มันฟังคล้ายๆ จุดจบของนิทานยังไงบอกไม่ถูก แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการ สิ่งที่ผมไฝ่ฝันหาอยู่ตอนนี้

    เขียนไปเขียนมานึกได้ว่า ผมเคยมีความฝันเกี่ยวกับชีวิตคู่ด้วยนะ ผมเคยฝันว่าหลังจากเรียบจบมีงานทำเรียบร้อย ก็จะได้พบรักกับสาวนิสัยดีที่รักและเข้าใจกันสักคน แต่ดูเหมือนว่ามันกลายเป็นความฝันที่ไม่มีทางเป็นจริงได้ซะแล้ว หลังจากความรักที่ผมเชื่อว่ามันคือรักแท้ มันคือความรักครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต มันต้องจบลงไปแบบที่ผมเองก็ไม่เข้าใจ  แต่ที่แน่ๆ คือหลังจากรักครั้งนั้นจบลง ผมก็ได้เรียนรู้ว่า

*** ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ครอบครอง บางคนเกิดมาเพื่อที่จะถูกคนมารุมรัก บางคนเกิดมาเพื่อที่รักเขาข้างเดียว มีแค่คนโชคดีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่เกิดมาเพื่อจะสมหวังในความรัก ***

    หลังจากที่รู้ว่าความฝันของผมคือ การใช้ชีวิตอย่างสุขสงบและมั่นคงแล้ว ก็มาดูว่าทุกวันนี้ผมเดินตามความฝันนั้นอยู่หรือเปล่า การจะมีชีวิตที่เป็นสุขได้นั้นก็ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าความสุขที่ผมว่าหมายถึงอะไร 

    ความสุขในชีวิตของผม คงเป็นอะไรที่เรียบง่าย เริ่มจากมีปัจจัยสี่คือ อาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม และบ้านพักอาศัย  สามข้อแรกคิดว่าน่าจะหาได้ไม่ยาก ที่ยากหน่อยก็ข้อสี่ ถ้าอยากจะมีบ้านอย่างที่ต้องการ คงต้องใช้เงินมากพอสมควร แม้ว่าจะมีบ้านของแม่อยู่แล้วแต่มันก็เสื่อมโทรมเต็มที คงต้องใช้เงินซ่อมแซมมากพอควร แน่นอนว่าตอนนี้ดีดบ้านเปลี่ยนเสาหนีน้ำเรียบร้อยแล้ว  นี่อาจใช้เป็นตัวชี้วัดได้ว่าผมได้เริ่มลงมือทำตามความฝันไปบ้างแล้ว

    ความสุขต่อมาก็คือการได้ทำงานที่อยากทำ ข้อนี้ค่อนข้างสับสนพอควร เพราะใจนึงก็อยากทำงาน R&D อีกใจก็อยากทำงานเกษตรหรืองานที่ได้ใช้ชีวิตกลางแจ้ง ได้ท่องโลกกว้าง ได้ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ดูเหมือนว่าความสุขข้อนี้ จะต้องค่อยๆทำไปทีละอย่าง ตอนนี้ก็ทำ R&D ไปก่อน สักวันที่พร้อมค่อยไปทำงานอื่นก็น่าจะได้

    ความสุขอีกอันคือ ความสุขจากการเล่นดนตรี ความฝันอันนี้ก็ได้ลงมือทำไปบ้างแล้ว ทุกวันนี้ผมซื้อเครื่องดนตรีไปหลายอย่างแล้ว ตอนนี้อยากได้จระเข้ ซึ่งก็ไม่แพงอะไร ตอนนี้ก็แค่รอโอกาสเหมาะๆ แค่นั้น ก็พูดว่าความสุขข้อนี้เป็นไปได้ไม่ยาก

    ส่วนความมั่นคงนั้น ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องพูดถึงเรื่องของเงิน  ซึ่งเท่าที่คำนวณดูถ้าผมทำงานไปจนเกษียร โดยไม่ซื้ออะไรที่ต้องใช้เงินมากๆ ก็จะมีเงินมากเพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตหลังเกษียรไปจนตาย น่าจะเหลือด้วยซ้ำเพราะผมคงอยู่ไม่เกิน 90 ปีแน่ๆ

    แน่นอนว่าความฝัน มันก็คือความฝัน มันจะเป็นจริงได้แค่ไหน อย่างไร ก็สุดจะคาดคะเนได้ เพราะมันเป็นเรื่องของอนาคต ที่ทำได้ก็เพียงแค่คอยตรวจสอบดูว่า ในแต่ละวันที่ผ่านไปเราายังเดินมุ่งหน้าไปหาความฝันอยู่ไหม เข้าใกล้ความฝันมากยิ่งขึ้นไหม ถ้าทุกอย่างยังเป็นไปด้วยดี ก็สบายใจได้ว่า *** เราไม่หลงทาง *** Smiley




Create Date : 01 กรกฎาคม 2555
Last Update : 1 กรกฎาคม 2555 11:26:48 น. 0 comments
Counter : 1380 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

mrpipo
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ประชาธิปไตยจงเจริญ
[Add mrpipo's blog to your web]