มีสุข มีทุกข์ อะไรก็จะเขียนไว้ที่นี่

รัตนตรัยที่หม่นหมอง 2600 ปี พุทธศาสนา



เนื่องในวันวิสาขบูชา ประจำปี พุทธศักราช 2556 และด้วยความสลดใจกับความเสื่อมของศาสนาพุทธ จึงอยากบันทึกความเสื่อมถอย ความผิดเพี้ยนของพุทธศาสนา ที่ได้พบได้เห็นเอาไว้เป็นธรรมทาน 

ต้องยอมรับก่อนว่า ที่จริงข้าพเจ้าอยากเขียนเรื่องนี้ เพื่ออธิบายให้แม่และพี่สาวของข้าพเจ้าได้รู้ว่า อะไรเป็นพุทธศาสนาที่แท้จริง หลังจากสองแม่ลูกคู่นี้แสดงอาการให้รู้ว่ากำลังหลงผิด กำลังงมงายในเรื่องยาวิเศษ ของวิเศษ

ข้าพเจ้าพยายามบอกพยายามอธิบายว่าไสยศาสตร์ไม่ใช่พุทธศาสนา การปรุงยาไม่ใช่กิจของสงฆ์ และยาวิเศษไม่มีจริง แต่ไม่มีใครรับฟัง แถมถูกประณามว่า คนที่เชื่อในวิทยาศาสตร์ อย่างข้าพเจ้าจะมารู้ดีกว่าพระสงฆ์ได้ไง 


เมื่อข้าพเจ้าบอกว่าคนนุ่งห่มผ้าเหลืองที่อ้างว่าคุยกับคนตายได้ ที่ขายเหล็กไหล ที่มียารักษาโรคเบาหวานให้หายขาดได้ ไม่ใช่พระสงฆ์ เพราะงานเหล่านั้นไม่ใช่กิจของสงฆ์ ก็เจอคาถาอมตะ ที่ว่า ไม่เชื่ออย่าหลบหลู่ 

ปัญหาใหญ่ตอนนี้คือ แม่กับพี่สาวกำลังถูกหลอกเอาเงินไปกับสิ่งที่ไร้สาระ ล่าสุดหลอกให้ตั้งศาลให้พระยานาค ให้แม่เทพ ให้นางไม้ หมดไป 6000 กว่าบาท พี่สาวบูชาเหล็กไหล ที่ข้าพเจ้าไม่รู้ราคา  และแม่กำลังจะไปเข้าพิธีกวนยาอะไรสักอย่าง  เชื่อได้ว่าต้องเสียเงินอีกเช่นกัน

แม่ให้ขอให้ข้าพเจ้าขับรถไปให้ หลังจากพยายามอธิบายด้วยทุกเหตุผลที่มี ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจแม่ได้ สุดท้ายข้าพเจ้ายืนยันว่าไม่พาไป แล้วหนีกลับมากรุงเทพ แล้วมานั่งเขียนบทความนี้

แน่นอนว่าแม่กับพี่สาวของข้าพเจ้าคงจะไม่ได้อ่านบทความนี้ และข้าพเจ้าคงเปลี่ยนใจแม่ เปลี่ยนใจพี่สาวของข้าพเจ้าไม่ได้ หวังเพียงว่าจะมีใครสักคนที่ได้อ่านบทความนี้จะเปลี่ยนใจ เลิกเชื่อในไสยศาสตร์อันงมงายไร้สาระ มาศึกษาพระพุทธศาสนาในแบบที่พระพุทธเจ้าคาดหวังจะให้เป็น

บทความนี้เขียนด้วยความรู้ความเข้าใจของข้าพเจ้า โดยไม่มีเอกสารอ้างอิงใดๆ ตรงไหนเป็นที่น่าสงสัยว่าจะผิดพลาดขอให้ท่านผู้แสวงหาความจริง จงค้นคว้าเพิ่มเติมเอาเองเถิด 

พุทธศาสนา แปลว่า ศาสนาของผู้รู้ เป็นศาสนาที่มุ่งแสวงหาความรู้ เพื่อเข้าใจธรรมชาติของโลก ธรรมชาติของชีวิต จนถึงที่สุดของความรู้ คือ นิพพาน ภาวะที่หมดกิเลส เป็นผู้พ้นโลก ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก

(บันทึกเพิ่มเติมไว้ตรงนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่ามีชีวิตหลังความตาย ดังนั้นนิพพานของข้าพเจ้าคือภาวะของจิตมนุษย์ตัวเป็นๆ ตาใสๆ นี่แหละ ที่สามารถตัดกิเลสได้อย่างหมดสิ้น เป็นผู้ที่พ้นทุกข์ พ้นโลก)

ศาสนาพุทธสอนให้คนแสวงความรู้เพื่อที่จะสามารถตัดกิเลส อันเป็นที่มาของทุกข์ทั้งหมดในโลก  เมื่อพ้นจากกิเลสก็พ้นโลก เมื่อพ้นโลกก็ไม่มีอำนาจใด เครื่องพันธนาการใด มาผูกพันให้เป็นทุกข์ ให้เศร้าหมองใด้อีก

 ศาสนาพุทธถูกสร้างขึ้นไว้บนเสาแก้ว 3 ต้น( รัตนตรัย )

เสาต้นที่หนึ่งคือ พระพุทธเจ้า ผู้ที่เป็นศาสดา 

เสาต้นที่สองคือ พระธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า

เสาสุดท้ายคือ พระสงฆ์ สาวกผู้ทำหน้าที่เผยแผ่พระธรรม 

นับตั้งแต่เริ่มมีศาสนาพุทธขึ้นบนโลก จนบัดนี้ปี 2556 ก็ 2600 ปี เหตุที่นับได้ 2600 ปีแทนที่จะนับได้ 2556 ก็เพราะเราเริ่มนับปีพุทธศักราช หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงออกเผยแผ่ศาสนาอยู่ 44ปี ก่อนที่จะปรินิพพาน

ความเสื่อมของศาสนาเริ่มขึ้นทันทีตั้งแต่วินาทีแรกหลัง พระพุทธเจ้าปรินิพพาน และเสื่อมลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่ผ่านไป
เพราะเสาหลักซึ่งก็คือพระพุทธเจ้าไม่อยู่เป็นประมุขของคณะสงฆ์ ทำให้ไม่มีผู้ที่สามารถชี้ขาดว่า อะไรเป็นแก่นพุทธศาสนา อะไรเป็นแค่สิ่งปลอมปน ซ้ำร้ายหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ก็ได้มีการสร้างวัตถุอันเป็นสัญลักษณ์แทนตัวพระพุทธเจ้าขึ้นมา ปัจจุบันเราเรียกว่า พระพุทธรูป

 ถ้าพระพุทธเจ้าต้องการให้มีการสร้างตัวแทนของพระองค์เพื่อให้คนกราบไหว้บูชา คล้ายกับเทวรูปในศาสนาอื่นแล้ว คงมีดำริให้สร้างไว้ตั้งแต่พระองค์มีชีวิตอยู่ไปแล้ว 

เหตุที่ไม่มีการสร้างรูปปั้นใดขึ้น ในสมัยที่พระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ เป็นเครื่องชี้ว่าพระพุทธเจ้ามีแนวคิดแบบพุทธนิยม ที่เชิดชูและส่งเสริมการแสวงหาความรู้ ไม่ใช่แนวคิดแบบเทวะนิยม ที่มุ้งเน้นการบูชาแล้วอ้อนวอนขอสิ่งที่ปราถนา แบบพราห์ม


นับว่าท่านมีความคิดที่ทันสมัยมาก พราห์มทั้งหลายผู้ที่บวชเข้ามาเป็นพระสงฆ์สาวก ไม่อาจเข้าใจความคิดที่ทันสมัยเกินกาลแบบนี้ได้
เมื่อสิ้นพระพุทธเจ้าแล้วจึงมีความพยายามสร้างตัวแทนของพระพุทธเจ้าขึ้นมา และตัวแทนดังกล่าวสัญลักษณ์ดังกล่าว ก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาลาภสักการะไปในที่สุด 

 พระพุทธเจ้าผู้ปรินิพพาน ผู้พ้นโลก ผู้ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก ผู้ไม่เกี่ยวข้องกับโลกอีก ถูกลดค่าลงมาเป็นแค่ประธานในพิธีแบบเทวะนิยม ไม่ต่างกับเทวรูปอื่นๆ ของศาสนาพราห์ม

ไม่เชื่อลองมองรอบตัวดูก็ได้ ในงานพิธีจะมีการจัดสำรับอาหารถวายหน้าพระพุทธรูป นั่นคือการลดฐานะของพระพุทธเจ้า จากผู้พ้นโลกมาเหลือแค่เทวดาที่หากินเองไม่ได้ ต้องรอให้คนเอาของมาเซ่นสรวงบูชาหรือเป็นแค่เทวะรูปให้คนกราบไหว้ขอพรแค่นั้นเอง 

สรุปว่าหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน เสาหลักต้นนี้ก็เสื่อมลงด้วยเหตุดังที่กล่าวมานี้แล

เสาต้นที่สอง พระธรรม สิ่งที่พระพุทธเจ้าตั้งใจให้ทำหน้าที่เป็นศาสดาแทนพระองค์ ด้วยเหตุที่พอจะเดาได้ว่า พระองค์เชื่อมั่นว่า หลักธรรมอันเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่นี้ จะไม่เปลี่ยนแปลง เพราะความจริงไม่เปลี่ยน ไม่เคยเปลี่ยนและไม่มีวันเปลี่ยน

พระพุทธเจ้าจึงหวังให้ธรรมะของพระองค์ทำหน้าที่ เป็นเสาหลักที่สำคัญของพุทธศาสนา ให้สมกับชื่อพุทธศาสนา ศาสนาของผู้รู้ ศาสนาที่มีความรู้หรือธรรมะเป็นแก่นแกน ศาสนาของผู้แสวงหาความหลุดพ้นด้วยวิธีการแสวงหาความรู้ จนถึงที่สุดของความรู้

แต่เหตุการณ์ก็หาเป็นไปตามที่คาดหมายไม่  เพราะเพียงไม่นานหลังจากนั้น พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้เคยเป็นผู้เผยแผ่ธรรมะที่แท้จริง ของพระพุทธเจ้า กลับแตกออกเป็นหลายฝากหลายฝ่าย พระธรรมจากที่เคยเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็ถูกปรุงแต่งไปตามความเชื่อดั่งเดิม ของพระสงฆ์แต่ละฝ่าย

พระธรรมอันพระพุทธเจ้ามอบหมาย ให้เป็นศาสดาแทนพระองค์ จึงเสื่อมลงไปด้วยเหตุนี้ นับวันพระธรรมก็ถูกแต่งเติม ให้เลอะเทอะมากยิ่งขึ้น บิดเบือนมากยิ่งขึ้น

จนทุกวันนี้ก็แทบแยกไม่ออกแล้วว่า ธรรมะไหน เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมะไหนเป็นสิ่งแปลกปลอม  และแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นพุทธ อะไรเป็นพราห์ม

เสาสุดท้าย คือพระสงฆ์ เสาที่โยกคลอนที่สุด แก้วที่มัวหมองที่สุด สิ่งที่ผิดเพี้ยนที่สุด บิดเบี้ยวที่สุดของศาสนาพุทธ

ข้าพเจ้าไม่ได้พูดเกินความจริงเลยสักนิด ไม่เชื่อท่านผู้อ่านมองดูรอบตัวท่านก็ได้ ว่าพระสงฆ์ทุกวันนี้เป็นเช่นใดบ้าง  หากมองไม่เห็น ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นดังนี้

พระสงฆ์ไม่มีศีล ไม่ต้องพูดถึงศีลสองร้อยกว่าข้อ เอาแค่ศีลห้าก็พอ ข้อที่จะยกมาเป็นตัวอย่างคือ ห้ามโกหก การอ้างว่าตัวเองมีคุณวิเศษทั้งที่ไม่มี เพื่อแสวงหาลาภสักการะ มีให้เห็นทุกวัน ท่านผู้อ่านอาจเถียงแทนว่าคุณวิเศษนั้นมีจริงนะ  เชื่อข้าพเจ้าเถอะว่าไม่มี ไม่เคยมี และไม่มีวันมี 

สงฆ์รูปไหนคณะไหนพูดว่ามี เท่ากับผิดศีล  โดยปริยาย หลายท่านเถียงอีกว่า ไม่มีได้ไง เห็นมากับตา ฟังมากับหู โดนมากับตัว ถ้าจะเถียงกันเรื่องมีไม่มี ก็จะไปถึงจุดที่ต้องท้าพิสูจน์ ทุกครั้งที่มาถึงตรงนี้ ก็จะมีคำพูดอันเป็นเหมือนคาถาอมตะ ของผู้ทรงคุณวิเศษเหล่านี้คือ  ไม่เชื่ออย่าหลบหลู่  และท้ายที่สุดก็ไม่ได้พิสูจน์

คนที่มีพุทธปัญญาไม่เพียงพอ ก็ย่อมถูกพระเหล่านี้หลอกลวง จนกลายเป็นผู้งมงาย เชื่อในวัตถุวิเศษ พลังวิเศษ เต็มบ้านเต็มเมือง ยิ่งคนที่มีแนมโน้มที่จะเชื่อเรื่องงมงายอยู่แล้ว ก็ยิ่งงมงายหนักยิ่งขึ้นไปอีก ยอมสละทรัพย์สินมากมายเพื่อให้ได้มาซึ่ง วัตถุวิเศษ คุณวิเศษ อันหาประโยชน์ไม่ได้เลย เพราะใช้งานจริงอะไรไม่ได้เลย

ลองใช้ปัญญาพิจารณาดูเอาเองเถิดว่า อะไรเป็นอะไร อะไรจริง อะไรไม่จริง 

พระสงฆ์ กระทำงานอันไม่ใช่กิจของสงฆ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ การทำตัวเป็นหมอ เป็นผู้ปรุงยาแผนโบราณ โดยอ้างสูตรยาวิเศษ อย่างใดอย่างนึง หรืออ้างถึงพีธีปรุงยาอันวิเศษ มวลสารหรือตัวยาที่วิเศษพิศดาร อย่างใดอย่างนึ่ง

ร้อยทั้งร้อย ทั้งหมดทำไปเพื่อแสวงหาลาภสักการะ ทั้งในทางตรงหรือทางอ้อม จะมีคำพูดที่เป็นเหมือนคาถาอมตะคือ ไม่ได้เรียกร้องเงินทอง แล้วแต่จะจิตศรัทธา ตัวอย่างมีให้เห็นเต็มไปหมด คงไม่ต้องให้อธิบายมากไปกว่านี้ 

อาจมีผู้อ่านสงสัยอีกว่า  ถ้าการปรุงยาหรือรักษาโรคไม่ใช่กิจของสงฆ์แล้ว อะไรคือ กิจของสงฆ์ คำตอบคือ เผยแผ่ศาสนา แต่ก่อนหน้านั้นพระสงฆ์มีหน้าที่ต้องศึกษาพุทธศาสนาให้เข้าใจเสียก่อน ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรคือแก่นแท้ของพุทธศาสนา จากนั้นก็ต้องฝึกจนเห็นธรรม จนสามารถพ้นจากทุกข์อันเกิดจากกิเลส ข้อใดข้อหนึ่ง ขั้นใดขั้นหนึ่ง แล้วจึงเอาธรรมะที่รู้นั้นไปสั่งสอนคนอื่นเพื่อช่วยให้ผู้อื่นเห็นธรรมและพ้นทุกข์ต่อไป


พระสงฆ์ต้องเป็นแบบอย่างแสดงให้คนทั่วไปเห็นว่า อาการของผู้ตัดกิเลสแล้วนั้นเป็นอย่างไร สุขอย่างไร สงบอย่างไร  พ้นทุกข์อย่างไร  เหตุที่พระสงฆ์ต้องทำดังที่กล่าวมา เพราะความรู้ในทางพุทธศาสนานั้น เป็นความรู้ที่รู้ได้เฉพาะตัว บอกได้สอนได้ก็แค่แนวทางการปฏิบัติ แนวทางการพิจารณาเท่านั้น
ใครจะพูดว่าตัดกิเลสได้แล้วอย่างนี้อย่างนั้น ใครก็พูดได้ จริงไม่จริงอย่างไรนั้น สามารถดูได้ด้วยอาการที่แสดงออกมา ดังนี้

หากยังชอบสิ่งนั้น รักสิ่งนี้อยู่ ก็แสดงว่ายังตัดความรักไม่ได้

หากยังแสวงหาลาภสักการะ ก็แสดงว่ายังตัดความโลภไม่ได้

หากยังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทุกครั้งที่มีสิ่งไม่ถูกใจ ก็แสดงว่ายังตัดความโกรธไม่ได้ 

หากยังมีกิจวัตรที่มุ่งผิดทาง มีความเห็นผิดอยู่ ก็แสดงว่ายังตัดความหลงไม่ได้

ถึงตรงนี้ ขอให้ท่านผู้อ่านดูเอาเองเถิดว่า พระสงฆ์ที่ท่านพบรอบๆตัวท่าน ในทุกวันนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง รอบตัวข้าพเจ้าพบแต่

พระสงฆ์ผู้เป็นหมอยา
พระสงฆ์ผู้มีอิทธิฤทธิ์
พระสงฆ์ผู้เป็นหมอดู
พระสงฆ์ผู้ใบ้หวย
พระสงฆ์ผู้เป็นนักร้องเสียงทอง
พระสงฆ์ผู้รับจ้างสวดมนต์
พระสงฆ์ผู้มีผู้หญิงเป็นบริวาร
พระสงฆ์ผู้เสพยาเสพติดที่ว่ากันตั้งแต่บุหรี่ ไปจนถึงยาบ้า

แน่นอนว่ายังมีพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติิชอบอยู่ส่วนหนึ่ง
แต่ในสภาพสังคมปัจจุบันที่เหมือนว่าจะต้องซื้อบุญด้วยเงิน ผนวกกับค่านิยมของคนไทยที่นิยมความขลังความศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เกิดการแสวงหาลาภสักการะในนามของพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า

พระสงฆ์ ผู้ที่คนไทยมีมายาคติว่า เป็นคนดี ไม่โกหก การที่มองข้ามทุกเหตุผล ทุกข้อเท็จจริง ปล่อยให้ความเชื่อบังตาบังใจ ย่อมกลายเป็นเหยื่อของผู้ห่มเหลืองเหล่านี้ไปอย่างง่ายดาย

สุดท้ายนี้ ก็ได้แต่คาดหวังว่า ผู้ที่หลงผิด (ซึ่งมีแม่และพี่สาวของข้าพเจ้ารวมอยู่ด้วย) จะมีดวงตาเห็นธรรม อันเป็นความจริงของโลก รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่เมาบุญ ไม่งมงายเชื่อในสิ่งลวง อันนำมาซึ่งการสูญเสียทรัพย์ไปโดยเปล่าประโยชน์

หากจะแสวงบุญตามแนวทางพุทธศาสนา ควรเริ่มด้วยการเข้าใจจุดมุ่งหมายของพุทธศาสนา แล้วศึกษาหาความรู้ตามแนวทางที่ถูกต้อง แน่นอนว่าหากทางใดเข้าข่ายซื้อบุญเชื่อไว้ก่อนได้เลย ว่านั่นไม่ใช่วิถีแห่งการแสวงบุญแบบพุทธศาสนา

เจริญธรรม...


Create Date : 24 พฤษภาคม 2556
Last Update : 24 พฤษภาคม 2556 20:39:39 น. 0 comments
Counter : 955 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

mrpipo
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ประชาธิปไตยจงเจริญ
[Add mrpipo's blog to your web]