All Blog
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 3 (ต่อ)




ก่อนออกไป ไม้ อบเชย และจันทร์ แอบมองไปยังนอกตัวบ้าน

“จันทร์ แกไปดูซิ มันมากันรึยัง”
จันทร์วิ่งมาดูที่รั้วบ้าน เห็นหมอคม พันเทพ ราตรี กำลังเดินเข้าบ้านศรนารายณ์
“มากันครบเลยว่ะ”
“งั้นมาทางนี้”
อบเชยพาไม้กับจันทร์วิ่งไปทางหลังบ้าน อบเชยยืนริมกำแพงก่อนทุกคน
“ไปทางนี้” อบเชยบอกแล้วกระโดดขึ้นกำแพงนำทุกคน
“มันต้องลำบากทั้งตอนเข้าตอนออกเลยเหรอวะ” จันทร์บ่นแต่ก็กระโดดตามไป
“อย่าบ่นมากน่า”
ไม้กระโดดข้ามกำแพงตามจันทร์ไป อบเชยกับจันทร์รออยู่ด้านล่าง ไม้กระโดดตามมาเป็นคนสุดท้าย แต่ลงไม่ถนัดเพราะมือถือร่มทำให้เสียหลักเซล้ม ร่มฟาดกับพื้นอย่างแรง ส่วนไม้เซไปอบเชยเอาตัวขวางไว้จึงล้มกลิ้งไปทั้งคู่ อบเชยกับไม้มองตากันซึ้งเหมือนตกในภวังค์
“จะโรแมนติกอีกนานมั้ย เดี๋ยวเค้าก็จับได้กันพอดี”
จันทร์ถาม ไม้กับอบเชยต่างลุกขึ้นมาตั้งหลัก ต่างก็เขิน ไม้นึกได้ที่ร่มกระแทก
“พังรึเปล่าเนี่ย”
“จะพังก็เรื่องของมันเถอะ อย่าให้รู้ว่าใครเป็นคนทำพังก็พอ”
“ไปเร็ว”
ขณะนั้นหมอคมเดินทางมาหยุดที่หน้าบ้านศรนารายณ์ เพ่งมองรอยเท้าเด็กบนพื้นเห็นมาหยุดที่บ้านศรนารายณ์ เมฆกับศรนารายณ์เดินมาพอดี
“ดูเหมือนว่า...จะเป็นที่นี่นะ”
หมอคมบอกพันเทพ ศรนารายณ์เข้ามาโวยวาย
“นี่มันอะไรกันเนี่ย จะมาทำพิธีอะไรหน้าบ้านชั้น”
“ไอ้ศรนารายณ์ กะแล้วว่าต้องเป็นแก”
พันเทพเข้าไปตั๊นหน้าศรนารายณ์เต็มๆ เมฆเข้ามาห้าม
“มันเรื่องอะไรกัน ทำไมอยู่ๆ ต้องมาต่อยตีกันด้วย”
“ถามไอ้ศรนารายณ์มันดูสิ ว่ามันขโมยของชั้นมารึเปล่า”
ศรนารายณ์กลัวโดนจับได้
“ขโมยอะไร ไม่เห็นรู้เรื่อง”
“ร่มของชั้นไง”
“เปล่า ไม่ได้ขโมย” ศรนารายณ์ปฎิเสธเสียงแข็ง
“หนูว่าค้นบ้านมันเลยดีกว่าค่ะ” ราตรีบอก
“อย่านะ”
“เดี๋ยว...ไม่ใช่ที่นี่”
หมอคมบอกแล้วเพ่งดูรอยเท้าเด็กก่อนจะเดินต่อไป พันเทพเจ็บใจที่ไม่ได้ค้นบ้านศรนารายณ์
“ถ้าจบพิธีแล้วไม่เจอ ชั้นจะเข้ามาค้นบ้านแกคนแรกเลย”
พันเทพกับราตรีเดินตามหมอคมไป ศรนารายณ์ถอนหายใจโล่งอก เมฆมองพิรุธของศรนารายณ์
อบเชย ไม้ จันทร์ วิ่งมาที่กองขยะกองใหญ่
“ชั้นว่าโยนทิ้งตรงนี้แหละ ใครๆ ก็มาทิ้งขยะตรงนี้กันทั้งนั้น มันจะได้ไม่สงสัยพ่อชั้น” อบเชยบอก
“ดี”
ไม้ตัดใจโยนร่มทิ้งบนกองขยะ ขณะที่กำลังจะทิ้ง ไม้ตะพดที่ซ่อนอยู่เป็นด้ามร่มก็โผล่ออกมาให้เห็นบางส่วนจากรอยขาด
“แกนในมันเป็นไม้ด้วยเหรอ” จันทร์บอก ไม้ดูร่มที่ฉีกขาด
“สงสัยคงจะพังตอนกระแทกเมื่อกี้แน่เลย”
จันทร์ดึงด้ามร่มไม้มาดม
“นี่ไม้อะไรเนี่ย หอมจัง”
“จะไม้อะไรจะต้องไปสนใจทำไม มันมาโน่นแล้ว” เสียงเอะอะของหมอคมดังแว่วมา ทั้งสามหันไปดู “ไอ้หมอคมนี่ของมันแรงจริง ตามเจอจนได้ไปกันเถอะ” อบเชยบอก
“ร่มอะไร ด้ามไม้หอมอยู่ข้างในวะ” จันทร์ถามไม้
“ของโบราณละมั้ง” ไม้บอก
“ไปเถอะ ไม่งั้นโดนจับได้แน่”
ไม้สองจิตสองใจ มองด้ามร่มอย่างหลงไหล พันเทพ หมอคม ราตรี เดินมาทัน พันเทพเห็นร่มในมือไม้
“ไอ้เด็กขี้ขโมย เอาคืนมา”
“ไม่”
เพื่อนมองอย่างงงๆ ทำไมไม้ดูก้าวร้าว
“ไอ้อ่อนหัดเอ๊ย”
พันเทพเข้าไปต่อสู้แย่งร่มจากไม้ ไม้ยังไม่ทันได้ลงมือก็ถูกพันเทพแย่งร่มไปได้แล้ว
“จับส่งตำรวจเลย” ราตรีบอก
“คุณ...” ไม้เข้าใจว่าราตรีเป็นแพรวา
“ไม่ต้อง สั่งสอนแค่นี้ก็พอแล้ว”
“พ่อ...ทำไม”
“กลับ”
แล้วพวกพันเทพก็เดินกลับไป อบเชยมองไม้ด้วยอารมณ์หึง
“อาวรณ์ร่มหรือว่าแม่นั่นกันแน่”
หลังจากได้ร่มมาแล้วหมอคมหยุดยืน แล้วถามพันเทพอย่างสงสัย
“ร่มนี่คงสำคัญมาก”
พันเทพกำร่มไว้ในมือแน่น
“มันกลับมาหาชั้นแล้ว”
“ไม่น่าปล่อยพวกมันหนีความผิดละสิ”
“ช่างมันเถอะ แค่พ่อได้มันคืน พ่อก็ดีใจแล้ว”
ขณะนั้นไม้ อบเชย จันทร์แอบดูพวกพันเทพอยู่ห่างๆ
“มันได้ไปจนได้”
“แต่แกก็ดูท่าอยากได้ไม่น้อยไปกว่ามันเลยนะ”
“เอาเถอะ อย่างน้อยเรารอดไปอีกครั้ง” ไม้มองร่มอย่างเสียดาย
“กลิ่นหอมของไม้เมื่อกี้...มันติดจมูกดีว่ะ” จันทร์บอก
“เป็นอะไรกันเนี่ยสองคนนี้”
“ร่มนั่นมันทำให้รู้สึกประหลาดจริงๆ” ไม้บอก
“มันเกือบจะทำพ่อชั้นเป็นบ้าได้ ไม่ใช่ร่มธรรมดาแน่ ต้องปลุกเสกอะไรมาแหงๆ”
“ไม้ที่มีกลิ่น...มันมีไม้อะไรบ้างนะ”
“นี่ก็พูดถึงกลิ่นอยู่ได้”
“ถ้ามองตามหลักวิทยาศาสตร์ กลิ่นหอมของมันอาจทำให้คนแย่งกันก็ได้นะ”
“แต่ยังไงมันก็กลับไปอยู่กับพันเทพแล้ว”
ส่วนที่บ้านศรนารายณื ขณะนั้นศรนารายณ์กำลังเดินหาร่มทั่วบ้าน รื้อข้าวของกระจุยกระจาย
“หายไปไหน มันหายไปไหน”
“พี่ศร พี่หาอะไรของพี่น่ะ”
“มันหายไปแล้ว หายไปได้ยังไง”
อบเชย ไม้ จันทร์ เดินเข้ามาไม้กับจันทร์เห็นท่าไม่ดีนัก
“เราสองคนขอไปรอข้างนอกนะ”
อบเชยพยักหน้ารับ ไม้สบตาเมฆ เมฆก็พยักหน้าให้ไม้ไปรอข้างนอก
“หาอะไรอยู่เหรอพ่อ” อบเชยถามศรนารายณ์
“อบเชย มาพอดีเลย เห็นร่มของพ่อมั้ย”
“ร่ม...ที่เรายืมมาจากบ้านพันเทพน่ะเหรอ”
“ใช่ มันไปไหน”
“หลวงพ่อเอาไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ พ่อไปเอากลับมาแล้ว”
“อ๋อ ถ้างั้นชั้นคงคืนเจ้าของเค้าไปแล้วล่ะ”
“ไอ้พันเทพน่ะเหรอ มันได้คืนไปแล้วเหรอ” ศรนารายณ์ถามอย่างตกใจ
“อืม”
ศรนารายณ์มีท่าทางเจ็บใจมาก
“โมโหอะไรพ่อ ของของเค้าก็ต้องคืนเค้าไปน่ะถูกแล้ว”
“เอาของเค้ามาไม่ดีหรอกพี่ศร”
เมฆบอก ศรนารายณ์อดเสียดายไม่ได้
คืนนั้นที่ห้องทำงานพันเทพ พันเทพถอดโครงร่มออกจนเห็นไม้ด้านใน พันเทพลูบคลำมันดังของรัก
“กลับมาอยู่บ้านเราแล้วนะ”
พันเทพเอากริชจิ้มที่ปลายนิ้วมือ เลือดไหลหยดลงหายเข้าไปในเนื้อไม้ พันเทพยิ้มมีความสุข
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านของเมฆ ไม้นอนกระสับกระส่ายไปมาจนเมฆรู้สึกได้
“นอนไม่หลับรึไง”
“ครับพ่อ”
“คิดเรื่องอะไรอยู่ล่ะ”
“พ่อว่า...ถ้าเรามีของวิเศษอยู่ในมือ ชีวิตเราจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน”
“ทำไมถามแบบนี้”
“แค่คิดอะไรเล่นๆ ไม่มีอะไรหรอก”
“เป็นอย่างที่เราเป็นน่ะดีที่สุดแล้วลูก ถ้าอยากสัมผัสสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็นอนซะจะได้ฝัน”
ไม้ถอนหายใจยังคิดถึงร่มของพันเทพ
เช้าวันรุ่งขึ้นที่ท่ารถบขส. ผู้ช่วยเจ๊กีเปิดประตูห้องทำงานเจ๊กีเข้ามา
“เจ๊ครับ คนที่นัดไว้มาแล้วครับ”
เต็กกง ท่าทางเจ้าเล่ห์ เดินเข้ามา
“สวัสดีเจ๊”
“อืม”
“กิจการเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“ก็ไปได้ดี”
“แต่อั๊วได้ข่าวว่าท่ารถของลื้อโดนไอ้พันเทพถล่มไม่เป็นท่ามาตลอดไม่ใช่เหรอ”
“ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับลื้อ”
“แบบนี้แหละ ผู้หญิงตัวคนเดียวดูแลท่ารถ ก็ต้องเจอเรื่องแบบนี้”
“จะพูดอะไรก็ว่ามา”
“อั๊วว่าลื้อไปทำมาหากินอย่างอื่นน่าจะดีกว่านะ การครองสัมปทานรถเนี่ย มันต้องเป็นคนที่มีอำนาจ มีเส้น มีสาย ไม่งั้นน่ะ…”
“อั๊วก็ไม่เห็นว่าไอ้คนมีอย่างที่ลื้อว่าได้ถือสัมปทานซักคน ดูอย่างไอ้พันเทพซิ มีอำนาจ มีคน มีทุกอย่าง ยังได้คุมแค่สายรถตู้เถื่อนที่ขี้โกงวิ่งทับเส้นทางของอั๊ว กิจการรถปอ.ของลื้อมันไม่ดีรึไง อยากครองตลาดเหรอ”
“เจ๊กี อั๊วมาคุยด้วยดีๆ” น้ำเสียงเต็กกงเริ่มไม่พอใจ
“แล้วอั๊วคุยไม่ดีตรงไหน นัดก็รับนัด เจอหน้าก็ไม่ได้ไล่ไป มันไม่ดีตรงไหนวะ”
“เออ ลื้อจำไว้นะ วันนึงอั๊วจะเป็นเจ้าของสัมปทานที่ลื้อถืออยู่ให้ได้”
“คอยดูอยู่”
เต็กกงเดินหน้าเสียกลับไป เจ๊กีมองตามอย่างไม่สนใจ
ทางด้านพันเทพหลังจากได้ร่มคืนมา พันเทพนั่งยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ในห้องทำงาน ราตรีเข้ามาในห้องทำงานเห็นพ่อ
“มีความสุขจังเลยนะ”
“อ้าวลูก...พ่อต้องขอบใจลูกมาก ที่เจอร่มของพ่อ เพราะความคิดลูกแท้ๆ”
“เรื่องเล็กแค่นี้ หนูเป็นลูกพ่อนะคะ”
“ลูกไม่เคยถามพ่อซักคำว่าทำไมพ่อถึงรักร่มคันนั้นเหลือเกิน”
“ชีวิตคนเราน่ะ มีหลายอย่างที่เราทำไปโดยไม่มีเหตุผลหนูเข้าใจค่ะ หนูแค่เห็นพ่อมีความสุขก็ดีใจแล้ว”
“ลูกอยากได้อะไร เดี๋ยวพ่อจะหามาให้ทุกอย่างเลย”
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่เวลาที่หนูไม่มีเหตุผลบ้าง ขอให้พ่อเข้าใจและช่วยหนูก็พอ”
“ได้ พ่อจะอยู่ข้างลูกทุกเรื่องเลย”
“นี่พี่ทิวาหายไปไหนคะ ไม่เห็นเลย”
“รายนั้นบอกจะไปตามร่มให้พ่อ แล้วก็เงียบหายไปเลย คงไม่เจอเลยไม่กล้าสู้หน้า”
ขณะนั้นทิวาเดินผ่านห้องทำงานพันเทพ จะเข้าไปแต่สองจิตสองใจเพราะหาร่มไม่เจอ
“เอาไงดี...จะบอกพ่อว่าหาไม่เจอน่ะเหรอ”
ทิวาเครียด ทิวาได้ยินเสียงแว่วการคุยกันของราตรีกับพันเทพเขาจึงยืนฟัง
“พ่ออย่าทำกับหนูเหมือนกับที่ทำกับพี่ทิวานะคะ”
“พ่อทำอะไรกับทิวาล่ะ”
“พ่อไม่ใส่ใจน่ะสิถามได้ พ่อไม่รู้ตัวเลยรึไง ตั้งแต่เด็กๆ มาพ่อไม่เคยถ่ายรูปคู่กับพี่ทิวา ไม่จับตัวด้วยซ้ำ พ่อให้หนูกับแพรวาไปเรียนเมืองนอกในขณะที่พี่ทิวาจมปลักอยู่ที่นี่”
“ใครบอกให้ลูกคิดแบบนี้”
“ไม่ต้องมีใครบอกก็รู้ หนูเพิ่งกลับมาไม่กี่วันยังรู้สึก หนูว่าพี่ทิวาก็รู้ไม่งั้นเค้าคงไม่คอยพยายามเอาใจพ่อตลอดเวลาแบบนี้หรอก เค้าคงกลัวพ่อจะรักเค้าน้อยกว่านี้ละมั้ง”
“แต่พ่อไม่เคยคิดแบบนั้น”
“พ่อไม่คิด แต่พ่อทำน่ะสิ”
ทิวาที่ยืนฟังอยู่หน้าห้อง เสียใจ น้ำตาไหล
ทิวากลับเข้าห้องแล้วนึกถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อตอนเป็นเด็ก วันนั้นราตรีวิ่งหกล้มตามประสาเด็ก พันเทพรีบวิ่งเข้าไปดู
“เจ็บตรงไหนบ้างลูก วันหลังต้องระวังกว่านี้นะ”
ทิวายืนมองพ่อที่สนใจน้อง ตนจึงแกล้งวิ่งหกล้มบ้างแต่พันเทพก็ยังไม่ผละจากราตรี
“ทำไมเดินไม่รู้จักระวัง”
“พ่อ ผมเจ็บ”
“ลุกขึ้นเองสิ เห็นน้องล้มแล้วตัวเองไม่ระวังได้ยังไง”
“พ่อ...”
ทิวาเสียใจที่พ่อไม่สนใจเค้า
ทิวานั่งคิดอยู่คนเดียว เขาเปิดอัลบั้มรูปดูตั้งแต่เด็กจะมีแต่รูปพันเทพอุ้มแต่ราตรีกับแพรวา แต่พันเทพไม่อุ้ม ไม่กอดเค้าเลยด้วยซ้ำ ทิวาอดนึกน้อยใจไม่ได้
เต็กกงแวะมาหาพันเทพที่บ้าน พันเทพกับเต็กกงนั่งคุยกันที่สนามหน้าบ้าน
“เป็นไงมาไง วันนี้ถึงมานี่ได้”
“ก็แวะมาทักทายคุณพันเทพนั่นแหละ ได้ข่าวมาว่าสมัยหน้าจะลงสมัคร สจ.”
“ใช่”
“มีหัวคะแนนรึยังล่ะ”
“คิดว่าคนอย่างผมจะไม่มีใครสนับสนุนรึไง”
“น่าแปลกนะ เจ้าของกิจการวินรถตู้เถื่อนที่เที่ยวไปวิ่งทับเส้นทางเดินรถคนอื่นเนี่ย มีคุณสมบัติพอจะเป็น สจ.ด้วยเหรอ”
“หึหึ พูดแบบนี้เป็นได้ 2 กรณี หนึ่งคือหาเรื่อง สองคือคิดจะฮุบกิจการแทนละสิ
“คิดว่าอย่างไหนล่ะ”
“ไม่ว่าจะเป็นข้อไหน ชั้นตอบคำตอบเดียวกันว่ามันไม่ง่ายหรอก”
“แต่ผมดูแลกิจการเดินรถได้ดี คุณก็เห็นจากธุรกิจผมแล้วนี่ ถ้าคุณยังคิดจะทำมันขณะที่เป็น สจ. มันจะดีเหรอ นักการเมืองมือไม่สะอาด จะไปได้ไกลเหรอ”
“หึหึ ขอบคุณที่เป็นห่วง กลับไปดูแลธุรกิจรถปอ.ของคุณเถอะ อย่ามาล้ำเส้นกัน ไม่งั้นจะหาว่าผมไม่เตือน”
เต็กกงไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ พันเทพอ่านหนังสือพิมพ์ไม่แคร์เต็กกงอีก
ขณะนั้นทิวาแอบมองดูพันเทพจากหน้าต่าง ทิวามองพ่อด้วยความน้อยใจ
“ผมจะทำทุกอย่างให้พ่อรักให้ได้”
ที่บ้านเจ๊กี ไม้กับไกรกำลังทำความสะอาดห้องสมุด ตามชั้นหนังสือ
“บ้านคุณไกรมีหนังสือเยอะขนาดนี้เชียว”
“อยากจะยืมอ่านรึเปล่าล่ะ ยืมได้นะ”
“ชั้นคนทำมาหากิน ไม่ค่อยได้มีเวลาอ่านหนังสือหรอก”
“อ่านเยอะๆ น่ะดีนะ ความรู้จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต”
ไม้ค้นชั้นหนังสือชั้นบนสุด เขาหยิบหนังสือลงมาแผ่นหนังเสือก็ตกลงกับพื้น ไม้หันไปเห็น
“นี่มันเหมือนกับ…ผ้าคาดตาของลูกผู้ชายเลยนี่” ไม้หยิบตำราหนังเสือขึ้นมาดู ฝุ่นจับหนา ไม้ปัดฝุ่นออก “นี่อะไรครับคุณไกร”
“อ๋อ ตั้งแต่สมัยบวชเณรแล้ว พระธุดงค์รูปนึงท่านให้มา”
“คงไม่ใช่พระธุดงค์พม่าหรอกนะ”
“ใช่ ไม้รู้ได้ยังไง”
“งั้นคุณไกรคือเณรที่หลวงพ่อพูดถึงสินะ”
“หลวงพ่อพูดถึงผมว่ายังไง”
“เณรที่คัดตำนานไม้ตะพดจากคัมภีร์ใบลาน”
“อ๋อ ใช่ ชั้นเอง”
“ท่ากรงเล็บพยัคฆ์ของลูกผู้ชาย ที่คุณไกรทำได้ก็เพราะพระพม่าสอนใช่มั้ย”
“อืม”
“ตามหาไปทั่ว ที่แท้ก็อยู่ใกล้ตัวแค่นี้นี่เอง” ไกรยิ้ม ไม่รู้เรื่องด้วย ไม้ชูตำรา “ นี่ก็มาจากพระพม่ารูปนั้นใช่มั้ย”
“ใช่ แต่ชั้นเคยอ่านแล้ว มันไม่ครบหรอกนะ”
“งั้นชั้นขอยืมไปอ่านหน่อย”
“เอาสิ ได้เลย ถ้ารู้เรื่องยังไงบอกชั้นด้วยนะ มันเป็นปริศนามานาน”
ไม้กำตำราหนังเสือแน่น เหมือนกับเป็นกุญแจเปิดทางบางอย่างให้เค้า
ไม้กลับมาที่โรงน้ำแข็ง นั่งอ่านตำราหนังสือที่ได้มาจากไกร
“เมื่อนำพาสองสิ่งมาประจักษ์…สองสิ่งเหรอ สองสิ่งที่ว่านี่คืออะไรน่ะ” ไม้เพ่งอ่านตำราหนังเสืออย่างตั้งใจ “จะเก็บกักพละ...”
แต่ยังไม่ทันที่ไม้จะอ่านจบ เสียงเอะอะข้างนอกโรงน้ำแข็งก็ดังขึ้น ไม้ละความสนใจจากตำราหนังเสือชั่วคราว เขามองออกไปด้านนอกเก็บหนังเสือเหน็บไว้กระเป๋าหลัง
หน้าโรงน้ำแข็งขณะนั้นสมุนพันเทพกำลังขู่กรรโชกคนงานโรงน้ำแข็งคนหนึ่งอยู่
“จ่ายมาเถอะ เรื่องจะได้ง่าย”
“ปกติก็ไม่ได้มาจ่ายค่าคุ้มครองแถวนี้นี่ ทำไมเราต้องจ่ายด้วย”
“ก็ตั้งแต่วันนี้จะเริ่มเก็บแล้วไง”
“จะเก็บก็ไปคุยกับเถ้าแก่โน่น มาขู่อะไรกับชั้น ชั้นก็แค่คนงานจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย”
ไม้เดินออกมา
“มีเรื่องอะไรกันน่ะ”
“ก็คนไอ้พันเทพ อยู่ๆ ก็จะมาเก็บค่าคุ้มครอง” คนงานบอกไม้
“ได้ยังไง”
“ไม้ไปตามพี่ศรนารายณ์มาหน่อยสิ ให้แกมาเคลียร์หน่อย”
“เฮ้ย... ชั้นจะคุยกับเถ้าแก่ แกไปเรียกศรนารายณ์มาแทน แบบนี้ก็หาเรื่องกันนี่ จะให้นักมวยมาเจรจาแบบนี้”
“ก็แล้วทำไมต้องมาเก็บค่าคุ้มครองอะไรที่นี่ด้วย ก็รู้อยู่ว่าอาศรเป็นคนดูแลที่นี่ พวกแกไม่เคยมายุ่งยุ่มยาม อยู่ๆ จะมาไถเงินได้ยังไง”
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ซัดด้วยด้ามปืนดีมั้ยเนี่ย”
สมุนพันเทพเงื้อมมือจะฟาดไม้ พันเทพเข้ามาขัดจังหวะการสนทนา สมุนรีบทำตัวปกติไม่กร่างทันที
“เธออยู่ที่นี่ด้วยเหรอ ไม้”
“ไอ้พันเทพ นี่แกจะทำเลวไปถึงไหน แกเก็บค่าคุ้มครองคนในตลาดไม่พอ คนทำมาหากินคนอื่นในอำเภอแกก็ยังจะทำอีกเหรอใจแกทำด้วยอะไร”
สมุนได้ยินก็จะเล่นงานไม้ พันเทพห้าม
“พวกแกพอแล้ว เดี๋ยวตรงนี้ชั้นจัดการเอง ช่วยพาไอ้นั่น” พันเทพมองคนงาน “ไปให้พ้นหน้าชั้นด้วย”
สมุนจัดการรวบคนงานออกไปเหลือแต่พันเทพกับไม้ ไม้ไม่ไว้ใจ ตั้งการ์ดรอ
“เอาสิ ชั้นไม่กลัวแกหรอก”
“เธอคิดว่าชั้นจะทำร้ายเธองั้นเหรอ”
“คนอย่างแก ชั้นไม่ไว้ใจ”
“ชั้นก็แค่จะพูดคุยตามประสาคนคุ้นเคยกัน”
“เราสองคนน่ะเหรอ คุ้นเคย” ไม้ถามอย่างไม่ไว้ใจ
“พ่อเธอได้สอนมวยให้เธอบ้างรึเปล่า”
“ตลกน่า แกก็รู้ว่าพ่อชั้นขาเป๋”
“คำตอบคือไม่เคยเลยสินะ ใจดำจริงๆ”
“แกพูดเรื่องอะไรของแก”
“แบบนี้ สงสัยต้องให้พ่อเธอโชว์อะไรซะหน่อยแล้ว”
พันเทพมองหน้าไม้อย่างมีเลศนัย
เมฆเดินจะเข้าไปในโรงน้ำแข็ง เจอคนงานสวนออกมา
“อ้าวพี่ ทำไมวันนี้กลับเร็วจริง”
“เมฆแย่แล้ว”
“มีอะไรพี่”
“ไอ้พันเทพมันจับไอ้ไม้ไว้ที่โรงน้ำแข็งทันทีน่ะสิ”
“ห๊า”
เมฆรีบเข้าไปที่โรงน้ำแข็งทันที เมฆวิ่งมาถึงหน้าโรงงาน มีสมุนพันเทพขวางไว้
“ไม้ ไม้”
“เข้าไม่ได้ นายสั่งไม่ให้ใครเข้าไป”
“พวกแกทำอะไรลูกชั้น” สมุนหัวเราะ
“สงสัย ลูกแกป่านนี้ กลายเป็นน้ำแข็งไปแล้วมั้ง”

เมฆห่วงไม้มาก รุดจะเข้าไปให้ได้ สมุนพันเทพก็จับเหวี่ยงออกมาไม่ให้เข้าจนเมฆโมโห
เหตุการณ์ภายในโรงน้ำแข็งขณะนั้น ไม้โดนมัดแช่อยู่ในเครื่องทำน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่กำลังทำงาน เนื้อตัวของไม้ออกอาการหนาวสั่น มีพันเทพนั่งดูอยู่ เมฆวิ่งถลาเข้ามา

“มาแล้วเหรอ”
“ไม้”
เมฆจะเข้าไปช่วยลูก พันเทพลุกขึ้นมาขวาง
“เดี๋ยวสิ แกคิดว่าชั้นจะปล่อยแกเดินเข้าไปแบบนี้น่ะเหรอ แสดงความสามารถให้ลูกเห็นหน่อยสิ แกเป็นพ่อนะ”
เมฆทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดพันเทพ ดื้อจะเข้าไปให้ได้ แต่ก็ถูกพันเทพขวางและผลักล้มลง เมฆไม่ยอมลุกขึ้นจะไปช่วยลูกอีก พันเทพก็ผลักเมฆล้มอยู่อย่างนั้น
“แกรู้รึเปล่าว่าทำแบบนั้นจะทำให้ไม้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ตายได้นะ”
“แกก็แสดงความสามารถให้สมกับที่เป็นพ่อหน่อยสิ”
ไม้หนาวสั่น ไม่มีแรงแม้แต่จะเรียกพ่อตน เพราะร่างกายมันแข็งสะท้านไปหมด ตาปรือมองพ่อตน พยายามออกเสียงเรียก
“พ่อ...”
ทางฝั่งเมฆกับพันเทพ เมฆก็ไม่เผยฝีมือของตนออกมาตามที่พันเทพต้องการ
“ไม้ พ่อมาช่วยลูกแล้ว”
“ชั้นอยากจะรู้ ว่าแกจะปกปิดฝีมือไว้ แล้วยอมให้ลูกตัวเองต้องตายรึเปล่า”
“แกทำแบบนี้เพื่ออะไรพันเทพ เพื่อเอาชนะในเรื่องไร้เหตุผลแบบนี้น่ะเหรอ”
“แกก็รู้ดี ถ้าชั้นต้องการชนะ ชั้นต้องชนะ”
พันเทพจ้องเมฆไม่มีทีท่าว่าจะยอม เมฆเห็นไม้ราวกับว่าสลบไปแล้ว ถ้าปล่อยไว้จะยิ่งแย่
เมฆวิ่งเข้าไปจะไปช่วยไม้ พันเทพก็ขวางไว้อีกแต่คราวนี้เมฆไม่ยอมล้ม อาศัยแรงเหวี่ยงที่พันเทพเหวี่ยงออกตีลังกาเข้าไปจนได้ พันเทพก็ตามมาขัดขวางอีก เมฆก็ใช้การหลบหลีกที่คล่องแคล่วว่องไวมากกว่าการต่อสู้ เมฆเข้าไปปิดเครื่องทำน้ำแข็งจนได้แล้วใช้ความว่องไวช่วยไม้ที่หมดสติขึ้นมาจากน้ำ
“ไม้ ไม้ ไม้ อย่าหลับสิลูก ไม้”
เมฆปลุกไม้
“ฝีมือแกไม่ธรรมดาเลยไอ้เมฆ อาจดูเหมือนคนไม่เป็น แต่คนเป็นมวยทุกคนดูออกว่าจริงๆ การต่อสู้แบบนี้ใช้ทักษะที่สูงมากกว่า การต่อสู้ทั่วไปซะอีก แกควบคุมพลังทั้งหมดของตัวเองได้ เลือกที่จะปล่อยมันออกมาได้ สิ่งที่ชั้นคิดมันถูกสินะ”
“ชั้นไม่รู้แกพูดเรื่องอะไร แต่ถ้าลูกชั้นเป็นอะไรละก็ชั้นจะฆ่าแก”
“ชั้นรอวันที่แกจะมาฆ่าชั้นใจจะขาด”
พันเทพหัวเราะ เมฆพยายามปลุกไม้
ระหว่างที่ไม้หมดสติ ไม้ฝันว่าตัวเองยืนอยู่กลางป่า เขาหันซ้ายหันขวาไม่เห็นใครจึงนึกกลัว
“พ่อ...พ่อ...พ่อ”
ไม้รู้สึกเหมือนมีบางอย่างจ้องเขาจากด้านหลัง เสียงหายใจของมันแรงจนได้ยินชัด ไม้ค่อยๆ หันไป เห็นพญาเสือโคร่งตัวใหญ่จ้องเขม็งมาที่เขา ไม้กลัวพยายามค่อยๆ ก้าวเท้าถอยหนีตาก็จ้องพญาเสือ แล้วเท้าของไม้ก็ไปเหยียบกิ่งไม้หักดังแกรบ พญาเสือโคร่งกระโจนใส่ไม้ ไม้ตกใจ
ไม้สะดุ้งตื่นมาที่โรงน้ำแข็งแววตายังหวาดกลัว เมฆดีใจที่เห็นไม้รู้สึกตัวอีกครั้ง
“ไม้ ไม้เป็นยังไงบ้างลูก”
พันเทพมองไม้ที่ฟื้นขึ้นอย่างโล่งใจ ไม้ยังหวาดระแวง ค่อยๆ ลำดับเรื่องราว ไม้ค่อยๆ เรียกสติกลับมา ไม้มองหน้าเมฆที่ยิ้มดีใจที่ลูกฟื้น เมฆรีบไปหาผ้าอุ่นๆ มาห่อตัวไม้ไว้ ไม้เหลือบไปเห็นพันเทพที่มองเขาแบบเป็นห่วงและดีใจที่ฟื้นเช่นกัน ไม้ไม่เข้าใจสิ่งนั้นแล้วพันเทพก็เดินจากไป เมฆเอาผ้าห่มมาห่อลูกตนไว้อย่างห่วงใย
เมฆชงเครื่องดื่มอุ่นมาให้ไม้ที่อยู่ในผ้าห่มและอาการดีขึ้นแล้ว ไม้รับเครื่องดื่มมาดื่ม
“ดีขึ้นมั้ยลูก”
ไม้พยักหน้า ไม้มองไปที่ที่ควบคุมความเย็นมันเปิดแค่เลเวลแรกไม่ได้เปิดที่เลเวลสูงสุด
“พันเทพไม่ได้ตั้งใจจะให้ชั้นตาย เครื่องนั่นเปิดแค่ระดับที่หนึ่ง มันต้องการอะไรกันน่ะพ่อ”
“คงแค่ต้องการป่วนเราก็แค่นั้น”
ไม้ถอนหายใจ
“ผมจะต้องต่อสู้ให้เก่งกว่านี้ ผมจะต้องสู้ไอ้พันเทพให้ได้คอยดู ผมจะไม่ปล่อยให้มันมารังแกพวกเราอีกแล้ว”
คนงานเดินเข้ามาหาไม้
“ไม้เป็นไงบ้าง”
“ดีขึ้นแล้วครับ”
“พี่เมฆทำยังไงน่ะ ถึงได้ปราบไอ้พันเทพให้กลับไปได้ แถมชั้นเห็นสมุนไอ้พันเทพนอนสลบเหมือดอยู่ข้างหน้าพี่เมฆล่ะเจ๋งจริงๆ”
คนงานถามเมฆ ไม้หันมองหน้าพ่อ
“ชั้นก็แค่รอจังหวะเผลอ เอาไม้ฟาดหัวมันก็เท่านั้นแหละ”
เมฆหลบตาไม้กับคนงานกลัวจับได้ว่าโกหก
ระหว่างนั่งรถออกจากโรงน้ำแข็งพันเทพมองดูเนื้อตัวสมุนตัวเองที่โดนอัดซะอ่วมมีรอยฟกช้ำตามร่างกายเต็มไปหมด
“โดนมันเล่นมาซะอ่วมเลยละสิ”
“คราวหน้าผมจะระวังให้มากกว่านี้ครับ ฝีมือมันไม่ธรรมดาจริงๆ”
พันเทพมองออกนอกหน้าต่างยิ้มมุมปากอย่างรู้ทันเมฆ
เมฆพาไม้ออกจากโรงน้ำแข็งคนงานเดินตามออกไปส่ง ไม้ไม่รู้ตัวว่าได้ทำตำราหนังเสือตกไว้ในบ่อทำน้ำแข็ง ตำรานอนนิ่งอยู่ก้นบ่อที่ค่อยๆ กลายเป็นน้ำแข็งแล้ว
เมื่อกลับมาบ้านไม้เพลียจึงจะเข้านอน แต่ต้องตกใจที่อบเชยบุกเข้ามาในห้องนอน
“ไม้ ไม้เป็นยังไงบ้าง ที่โรงน้ำแข็งเค้าพูดกันใหญ่เลยว่าไอ้พันเทพมันมาทำร้ายไม้”
“ไม่เป็นไรแล้ว ว่าแต่เธอพรวดพราดเข้ามาในห้องผู้ชายแบบนี้มันไม่ดีนะ”
“ก็ชั้นเป็นห่วงไม้นี่”
“ขอบใจ”
“พ่อน่ะ บ่นใหญ่เลย ว่าทำไมไม่เกิดตอนที่พ่ออยู่ด้วย”
“ก็ถ้าอาศรอยู่ มันก็ไม่เกิดเรื่องแบบนี้น่ะสิ”
“ถ้าชั้นอยู่ก็ไม่เกิดเรื่องแบบนี้เหมือนกันล่ะ”
“ทำยังกับสู้ไอ้พันเทพได้งั้นล่ะ มวยที่เธอสวนชั้น ชั้นก็สู้หมดทุกท่าแล้วก็ไม่รอด”
“ไม้ประยุกต์ไม่เป็นเองต่างหาก นี่เดี๋ยวถ้าชั้นได้เจอลูกผู้ชายอีกซักสองสามครั้งนะ ชั้นจำท่ากรงเล็บพยัคฆ์มาสอนไม้ยังได้”
“กรงเล็บพยัคฆ์... หนังเสือ” ไม้นึกถึงหนังเสือขึ้นมาได้ ไม้คลำหาแต่มันหายไปแล้ว “แย่ละ”
“อะไรแย่เหรอไม้” ไม้รีบออกจากบ้านไป อบเชยงงๆ “ไม้จะไปไหน ไม้ เดี๋ยวจะไม่สบายนะ ไม้”
ไม้รีบกลับมาที่โรงน้ำแข็งมองหาหนังเสือตามพื้น ตามมุมต่างๆ ก็ไม่เห็น
“ตอนที่สู้กับพันเทพ ถ้าหล่นก็น่าจะแถวๆ นี้นะ หรือว่า...”
ไม้มาดูที่บ่อทำน้ำแข็ง น้ำแข็งล็อตน้ำหายไปแล้วเหลือแต่น้ำธรรมดาอยู่ในบ่อแทน
“เรื่องใหญ่แล้ว”
ไม้มาดูบริเวณที่เก็บน้ำแข็งมีน้ำแข็งก้อนที่ถูกตัดแล้วเรียงรายอยู่ ไม้เดินมองหาหนังเสือที่จะอยู่ในน้ำแข็งแต่ก็ไม่มี ไม้ร้อนใจรีบเดินออกไป
ไม้ออกมาหน้าโรงน้ำแข็งมองซ้ายขวา แล้วรถกระบะขนน้ำแข็งก็ขับเข้ามาโดยศรนารายณ์
“อ้าวไม้ มาทำอะไรที่นี่อีก เธอเพิ่งเกิดเรื่องไปไม่ใช่เหรอ ชั้นฟังเรื่องเธอล่ะเจ็บใจนักที่ชั้นไม่อยู่”
“เออ อาศร ได้ขายน้ำแข็งในบ่อตอนที่เกิดเรื่องไปบ้างรึเปล่าครับ”
“ก็เนี่ย กำลังจะมาขนไปส่ง”
“หมายถึงก่อนหน้านี้”
“อ๋อ มีลุงสมานคนขายน้ำแข็งใสมาซื้อไป แต่แกก็ซื้อไปแค่ 5 ก้อนเองนะ”
“แล้วไอ้ห้าก้อนนั้นมันมีอะไรผิดปกติรึเปล่าครับ เช่น มีอะไรอยู่ข้างใน”
“เอ ไม่ได้สังเกตเลยนะ แต่มันไม่น่าจะมีหรอกมั้ง”
“ลุงสมาน อยู่ที่ไหนครับ”
“ก็คงไปขายของที่ตลาด มีอะไรรึเปล่า”
“ขอบคุณครับ”
ไม้รีบวิ่งออกไป
ไม้รีบมาที่ตลาด ขณะนั้นลุงสมานจอดรถขายน้ำแข็งใสอยู่ริมถนนเด็กๆ แย่งกันซื้อ ลุงสมานยิ้มมีความสุขที่ขายดี ทิวาเดินออกมาจากตลาดพร้อมกับสมุน เด็กวิ่งชนทิวาเพื่อไปซื้อน้ำแข็งใส
“เฮ้ย คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่” ทิวามองตามเด็กเห็นรถเข็นขายน้ำแข็งใสที่คนซื้อเยอะ “ไอ้นั่นมันจ่ายค่าคุ้มครองเราบ้างรึเปล่า”
“ไม่เคยครับ เพราะมันไม่มีแผงขายด้านในตลาด อาศัยขับรถย้ายที่ขายไปเรื่อยๆ ครับ”
“แบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ อยากจะขายที่ไหนก็ได้ ถ้าปล่อยไปแบบนี้คนในตลาดหันมาทำแบบมันกันหมด แล้วเราจะเอารายได้ค่าคุ้มครองจากไหน”
“ก็จริงครับ”
“ชั้นจะจัดการเรื่องนี้แทนพ่อเอง ทำแบบนี้พ่ออาจจะหันมาสนใจชั้นบ้างก็ได้” ทิวาเดินลุยเข้าไปที่รถขายน้ำแข็งใส “นี่…คิดจะขายตรงไหนก็ขายได้รึไง” ทุกคนชะงักเมื่อเห็นทิวาเข้ามาโวยวาย “แต่ละที่เค้าก็มีคนดูแลอยู่ ไม่ใช่ว่าจะขายได้ฟรีๆ”
“แต่ปกติ ลุงก็ขายของลุงแบบนี้” ลุงสมานบอก
“งั้นต่อไปนี้มันก็จะไม่ปกติ”
“แต่…”
“คนทั้งตลาดขายของที่นี่ต้องจ่ายค่าคุ้มครอง ถ้ารู้ตัวไม่ใช่เทวดามาจากไหนก็จ่ายมา”
“ที่นี่มันเป็นที่สาธารณะไม่ใช่เหรอ”
“มันเป็นที่ที่ชั้นดูแลอยู่เว้ย”
ทิวาถีบถังน้ำแข็งล้มลง น้ำแข็งในถังล้มระเนระนาดบนพื้นถนนหนึ่งในนั้นมีน้ำแข็งก้อนหนึ่งที่มีตำราหนังเสืออยู่ด้วย ทิวาหันไปเห็น
“แล้วดูนั่นสิ แกเอาน้ำแข็งอะไรมาขาย สกปรก” ทิวาหยิบน้ำแข็งก้อนนั้นโชว์ให้คนที่มาซื้อดู “พวกแกแหกตาดูซะว่ามันเอาอะไรให้พวกแกกิน”
ทิวาเขวี้ยงน้ำแข็งก้อนนั้นลงกับพื้นจนแตกกระจาย ทิวาจะก้มไปดูสิ่งที่อยู่ในน้ำแข็ง ไม้เข้ามาขัดจังหวะพอดี
“แกจะทำอะไรน่ะไอ้ทิวา”
“อ้าว…มีพวกชอบทำตัวเป็นพระเอกโผล่มาอีกแล้ว” ไม้มองไปที่ตำราหนังเสือที่ปนอยู่ในก้อนน้ำแข็งบนถนน อยากได้คืน “คราวที่แล้วแพ้ไปยังไม่เข็ดอีกเหรอ”
“วันๆ แกก็ดีแต่หาเรื่องคนอื่น”
“แล้วแกล่ะ ทำตัวเป็นประโยชน์นักนี่ ไอ้ขี้แพ้ วันนี้ไม่มีผู้หญิงมาคอยตามช่วยเหรอ”
“วันนี้ชั้นจะเอาชนะแกด้วยตัวชั้นเอง”
ทิวากับไม้มองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“เข้ามาสิไอ้กระจอก”
“ชั้นไม่ได้กระจอก”
ไม้บุกเข้าหาทิวาด้วยความโกรธ ทั้งสู้ต่อสู้กันทิวาดูเป็นต่อไม้อยู่นิดหน่อย ชาวบ้านต่างก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้าม ในที่สุดไม้ก็พลาดท่าให้ทิวาโดนทิวาขึ้นคร่อมแล้วกดหัวไม้ไว้กับพื้นถนน
“แกมันไอ้ขี้แพ้ แกไอ้ขี้แพ้”
ไม้เจ็บใจกับคำดูถูกของทิวา เขาควานมือไปเจอน้ำแข็งที่แตกอยู่กับพื้นถนน เขากำก้อนขนาดเหมาะมือกระแทกเข้าหัวทิวา ทิวาถึงกับมึน ไม้ลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง
“ชั้นไม่ใช่คนขี้แพ้”
ทิวากุมหัวตัวเองมึน ทิวาทั้งแค้น ทั้งเจ็บใจไม้แต่ก็มึนด้วย... น้ำสีแดงค่อยๆ ไหลมาจากหัวทิวาเป็นกอง ทิวาจับดูแล้วตกใจ
“เลือด เลือดไหลเยอะขนาดนี้เลยเหรอ”
ทิวาหน้าเสียตกใจเพราะคิดว่าเป็นเลือดทั้งที่ความจริงแล้วไม้เอาน้ำเฮลบลูบอยสีแดงราดบนหัวทิวา ชาวบ้านที่ยืนดูต่างหัวเราะชอบใจ
“แบบนี้จะได้หวานเย็นสมใจ”
ทิวามองชาวบ้านนึกอาย ลุกจะเอาคืนไม้ แต่ก็เดินเซ สมุนต้องเข้ามาประคอง
“ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้ไม้”
ไม้ยิ้มเยาะ สมุนพาทิวาออกไป ไม้มองตาม ลุงสมานหันมาขอบคุณไม้
“ขอบคุณมากเลยนะพ่อหนุ่มที่มาช่วยลุง”
“เอ่อ จริงๆ ผมก็แค่จะมาเอาของ”
ไม้ก้มหยิบหนังเสือใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้องถ่อมตัวหรอกน่า เธอนี่เก่งจริงๆ”
ไม่ยิ้มภูมิใจกับคำชมที่ได้รับ
ทิวากลับมาบ้านนั่งเจ็บใจอยู่ในห้องด้วยใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำ
“ไอ้ไม้ แก...”
ส่วนไม้เมื่อกลับมาบ้านก็เจอเมฆกับอบเชยที่รออยู่อย่างเป็นห่วง
“ไม้หายไปไหนมาน่ะ รู้มั้ยว่าลุงเมฆเป็นห่วงแค่ไหน”
“แล้วหน้านั่น ไปมีเรื่องกับใครมาอีก”
“คือ...ชั้นไปเอาของมาน่ะพ่อ”
“ของอะไร จากใคร ทำไมถึงกลับมาสภาพนี้ บอกให้ชั้นไปเอาให้ก็ได้นี่” อบเชยถามเป็นชุด
“ของสำคัญน่ะ”
“ไม้...อย่าทำแบบนี้บ่อยๆ นะลูก มันทำให้ไม่สบายใจกันไปหมด ลูกเพิ่งมีเรื่องกับพันเทพมาด้วย”
“ผมขอโทษครับพ่อ”
“แล้วชั้นล่ะ ไม่ขอโทษเหรอ ชั้นก็เป็นห่วงนะ” อบเชยบอก
“ขอโทษ”
“แล้วไหนล่ะของที่ไปเอามาน่ะ”
“ความลับ”
ไม้ทำหน้ากวนประสาทอบเชยแล้วเดินเข้าห้องไป อบเชยเจ็บใจ
เมื่อเข้ามาในห้องไม้หยิบหนังเสือออกมาจากกระเป๋า เขาดูมันอย่างพินิจพิเคราะห์
“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ”
วันรุ่งขึ้นไม้มาหาจันทร์ แล้วโยนตำราหนังเสือให้จันทร์ จันทร์มองอย่างงงๆ
“ลองอ่านดู”
จันทร์หยิบตำราหนังสือขึ้นมาเปิดดู
“นี่หนังเสือแท้ๆ เลยนี่”
“ใช่ เหมือนผ้าคาดตาลูกผู้ชาย”
“เมื่อนำพาสองสิ่งมาประจักษ์ จะเก็บกักพละเป็นความหมาย เป็นดั่งผู้ควบคุมทั้งใจกาย ทั้งดีร้ายทบพลังพันทวี” จันทร์อ่านเสียดัง
“แปลด้วยสิ”
“ก็หมายความประมาณว่า เอาสองสิ่งมารวมกันจะมีพลังเป็นทวีคูณ อะไรประมาณนั้น”
“สองสิ่งที่ว่า มันคืออะไร”
“จะรู้มั้ยเนี่ย” จันทร์มองที่รอยขาด “เหมือนตอนต้นมันจะหายไป”
“แล้วช่วยอะไรได้บ้างมั้ย”
“ที่ชั้นสงสัยคืออีกส่วนนึงอยู่ที่ไหน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใครคนๆ นั้นจะรู้ว่าสองสิ่งที่พูดถึงคืออะไร แต่ไม่รู้ว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบไหน” ไม้ถอนหายใจ “แล้วนี่แกไปเอาหนังเสือนี่มาจากไหน”
“จากเณรที่เป็นคนเขียนตำราไม้ตะพด”
“บ๊ะ...แกหาเจอเหรอ”
ไม้พยักหน้ารับอย่างภูมิใจ
“อืม”
“แล้วไอ้หนังเสือนี่มันพยายามจะบอกอะไรกับเรานะ”
ไม้ จันทร์ มองหนังเสือ
เวลาผ่านไป...ไม้กับจันทร์ยังนั่งคุยกันเกี่ยวกับหนังเสือที่ได้มา
“ถ้าไอ้คุณไกรนี่เป็นเณรที่คัดตำราไม้ตะพดจริงๆ ก็อาจจะรู้อะไรมากกว่าที่อยู่ในหนังสือน่ะสิ”
ไม้พยักหน้ารับ
“คุณไกรน่ะทำท่าไม้ตายของลูกผู้ชายได้ด้วย”
“พูดเป็นเล่น แล้วแกได้ถามเค้าเกี่ยวกับลูกผู้ชายมั่งรึยัง”
“ยังอ่ะ เค้าเป็นเจ้านาย ยังไม่กล้าถามอะไรมาก”
“โอ้โห เรื่องแค่นี้ ถามไปเลย ถ้าแกไม่ถามชั้นจะไปถามเดี๋ยวนี้ล่ะ” จันทร์ลุกขึ้นจะเดินออกไปไม้รั้งไว้
“เออๆๆ ไว้ชั้นถามเอง”
“ว่าแต่ไอ้คุณไกรนี่มันน่าหมั่นไส้จริง ทำเป็นพระเอกตลอดเวลาแล้วนี่อาจจะรู้ความเป็นมาของไม้ตะพดอีก กลัวสาวไม่กรี๊ดมั้งนั่น”
ไม้ยิ้มไม่พูดอะไร
ทางด้านอบเชย ขณะนั้นเธออยู่ที่บ้านและกำลังนั่งทำการ์ดให้ไม้ โดยเอารูปที่เคยถ่ายด้วยกัน มาแปะบนกระดาษแข็งแบบเด็กๆ ไม่ได้สวยงามอะไร อบเชยนั่งทำไปยิ้มไป ศรนารายณ์เดินมึนหัวออกมาจากห้องนอน
“มีอะไรกินบ้างอบเชย”
“พ่อก็ไปดูเองสิ”
“ทำอะไรอยู่น่ะ”
ศรนารายณ์ดูสิ่งที่ลูกทำ
“ทำการ์ดขอบคุณให้ไม้”
“ขอบคุณอะไรกัน”
“ก็ที่ไม้ช่วยพ่อไว้เมื่อวานไง ไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้าไอ้พันเทพมันมาเจอร่มที่บ้านเราจะเป็นยังไง น่าแปลก...ทั้งที่เป็นของรักของไอ้พันเทพแท้ๆ มันกลับไม่เอาเรื่องไม้ซะงั้น” ศรนารายณ์นิ่ง เสียดายร่ม “ไม่ต้องทำหน้าเสียดายหรอกน่า มันไม่ใช่ของเราซะหน่อยดีซะอีก พ่อกลับมาพูดรู้เรื่องได้ที่ไม่มีมัน”
“แล้วนี่ต้องถึงกับทำการ์ดเกิ๊ดอะไรด้วยเหรอ พูดเอาก็ได้มั้ง”
“มันไม่ประทับใจน่ะสิ”
“ริจะสร้างความประทับใจกับผู้ชายซะแล้วลูกชั้น”
“ชั้นมาคิดดูแล้วพ่อ ไม้กับชั้นน่ะเหมาะกันที่สุด ชั้นไม่ยอมให้ใครมาแย่งไปได้หรอก”
“หนักเลยทีนี้”
อบเชยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับการ์ดฝีมือตัวเอง
เมื่อทำการ์ดเสร็จแล้วอบเชยเดินยิ้มมาที่ท่ารถ ขณะนั้นไม้กำลังล้างรถบขส.อยู่
“ไม้”
“อ้าว ว่าไง”
“เดี๋ยวช่วยล้าง”
ไม้พยักหน้าอนุญาต ไม้กับอบเชยช่วยกันล้างรถ อบเชยแอบมองไม้ตลอดเวลา
“มีอะไรรึเปล่า ท่าทางแปลกๆ” ไม้ถาม
“เปล่า ไม่มีอะไรนี่ ...”
อบเชยล้างรถไปก็อมยิ้มไปด้วย ไม้เอาผ้าเช็ดน้ำที่เปียกรถตามขอบหน้าต่าง
“ไม้ชอบผู้หญิงแบบไหนเหรอ” จู่ๆ อบเชยก็ถามขึ้นมา
“ถามทำไม”
“ก็ชวนคุยเรื่อยเปื่อยน่ะ”
“คงชอบแบบน่ารัก”
“ผ่านฉลุย”
“เป็นแม่บ้านแม่เรือน”
“ผ่าน”
“ดูแลตัวเองได้”
“อันนี้ก็ผ่านฉลุย”
“อ่อนหวาน”
“ก็ได้อยู่มั้ง”
“เรียบร้อย”
“หืม?”
“ใจเย็น” อบเชยเริ่มเงียบ “จิตใจดี ไม่เที่ยวไปทะเลาะกับใคร”
“พอแล้ว”
“อ้าว ทำไมล่ะ ยังไม่หมดเลย”
“ไม่มีหรอกผู้หญิงแบบนั้นน่ะ มีก็แต่ในฝันเท่านั้นแหละ”
“มีสิ คนตั้งเป็นล้านจะไม่มีคนแบบนั้นเลยรึไง”
“มีก็ได้ แต่ไม่เหมาะกับไม้หรอก อย่างไม้น่ะต้องหาคนที่ปกป้องดูแล้วไม้ได้ด้วย”
“ชั้นไม่ได้อ่อนแอขนาดต้องให้ใคร ต้องมาคอยดูแลตลอดเวลานะอบเชย” น้ำเสียงไม้เริ่มไม่พอใจ
“เอ่อ…ชั้นไม่ได้หมายความแบบนั้น ชั้นขอโทษ จริงๆ ที่ชั้นมาวันนี้ก็จะมาขอบคุณไม้นะ” อบเชย หยิบการ์ดยื่นให้ “นี่เห็นมั้ย ชั้นตั้งใจทำมาให้ไม้เลยนะ เมื่อวานถ้าไม่ได้ไม้รู้แกว ตามมาเอาร่มออกจากบ้านไปทัน ชั้นกับพ่อคงแย่แน่ๆ”
ไม้รับมาแกนๆ เดินลงจากรถ อบเชยเดินตาม
ไม้เดินลงจากรถหันไปเห็นแพรวาที่เดินสวยเข้ามาในท่ารถ คนในท่ารถมองแพรวาตาค้าง แพรวาเดินมาหาไม้ อบเชยไม่พอใจ
“ทำไมต้องมองกันขนาดนั้น ทำยังกับไม่เคยเห็นผู้หญิง” อบเชยพึมพำ
“ไม้อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”
“แอ๊บมาเลย”
“มีอะไรรึเปล่า”
“เมื่อหลายวันก่อนที่ไม้อุตส่าห์เป็นธุระซ่อมรถให้”
“เมื่อวานก็เจอกัน ทำไมทำเป็นไม่รู้จักซะล่ะ หรือกลัวพ่อจอมโหดจะว่า”
“เมื่อวาน? ไม่ได้ออกไปไหนเลยนะ” แพรวาบอกอย่างงๆ
“โกหก คนเค้าเห็นเธอกันทั่วบ้านทั่วเมือง”
“พอได้แล้วอบเชย”
“ที่ไม้ช่วยซ่อมรถวันนั้น ชั้นยังไม่ได้ขอบคุณเลย”
“ไม่ได้ทำอะไรเลย สุดท้ายก็ไม่เสร็จนี่”
“ไม่ได้ทำอะไรได้ยังไง อุตส่าห์เป็นเดือดเป็นร้อนไปหาอะไหล่ทั้งที่ไม่ใช่ธุระตัวเองแท้ๆ” ไม้ยิ้ม แพรวาหยิบผ้าพันคอออกจากกระเป๋า “นี่ของขอบคุณเล็กๆ น้อยๆ” แพรวายื่นให้ไม้
“อะไรเนี่ย”
“พอดีว่าอยู่ว่างๆ ก็เลยถักผ้าพันคอมาให้” ไม้หยิบผ้าพันคอออกมาดู สวยมาก อบเชยเห็นก็อายมองการ์ดตัวเองที่อยู่ในมือไม้เทียบกับผ้าพันคอ “ไม่ค่อยสวยหรอกนะ ถักยังไม่เก่ง”
“ใครว่าไม่สวย สวยมากเลย”
“ขอบคุณมาก”
อบเชยมองแล้วยิ่งอิจฉา
“วันก่อนยังเห็นโวยวายลั่นตลาด แถมจะเรียกตำรวจมาจับไม้อีก วันนี้กลายเป็นคุณหนูถักผ้าพันคอ ผู้ชายนี่ก็โง่ มันทำอะไรไว้ก็ไม่รู้จักจำ หลงชื่นชมคนแบบนี้อยู่ได้”

อบเชยคิดอยู่ในใจ









Create Date : 13 มีนาคม 2555
Last Update : 13 มีนาคม 2555 14:09:16 น.
Counter : 273 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]