All Blog
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 9




ที่บ้านพันเทพ ทิวาเดินเข้ามาในห้องรับแขกด้วยสีหน้าครุ่นคิด เจอราตรีนั่งอ่านหนังสืออยู่

“ทำไมบ้านเงียบๆ คนหายไปไหนหมด”
“เคยรู้อะไรบ้างมั้ยเนี่ย”
“ก็บอกมาสิ จะได้รู้”
“แพรวาหายไป พ่อออกไปตามหาแพรวา”
“เธอรู้ได้ไง”
“พ่อก็บอกคนทั้งบ้านนั่นแหละ พี่ไปอยู่ไหนมาล่ะ”
“ก็อยู่บ้านนี่แหละ ถึงแปลกใจไงว่าชั้นทำไมไม่รู้”
“อ๋อ...จริงๆ ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นะ เพราะยังไงพี่ก็เป็นลูกที่พ่อไม่รักอยู่แล้วนี่”
“ราตรี”
“ทำไม ชั้นพูดอะไรผิดไปเหรอ หรือยอมรับความจริงไม่ได้รึไงล่ะ”
ราตรีเดินออกไปอย่างไม่แคร์ ทิวาเจ็บใจ
ทิวาขับรถมาจอดหน้าบ้านศรนารายณ์อย่างอารมณ์เสีย แล้วตะโกนเรียกอบเชย
“อบเชย อบเชย อบเชย”
ศรนารายณ์เดินออกมาดู
“เฮ้ย ใครวะมาตะโกนโวยวายหน้าบ้านคนอื่น...เธอนี่เอง มีอะไร”
“อบเชยอยู่มั้ย ชั้นมาหาอบเชย”
“เธอไปสนิทสนมกับอบเชยตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมต้องไปมาหาสู่กัน”
“ทำไมจะมาหาไม่ได้ จะขัดขวางรึไง”
“หึหึ คงไม่ต้องขัดขวางหรอก เพราะถ้าเธอสนิทสนมกับอบเชยจริง เธอคงรู้อยู่แล้วว่าอบเชยไม่อยู่”
“อบเชยไปไหน ไปทำอะไร”
“ไปทำเรื่องสำคัญ ที่เธอไม่จำเป็นต้องรู้”
“แกไม่มีสิทธิ์พูดแบบนั้น”
“กลับไปได้แล้วไป ชั้นไม่อยากเถียงกับเด็ก”
ศรนารายณ์พูดจบก็เดินเข้าบ้านไป ทิ้งทิวายืนเจ็บใจอยู่คนเดียว
“แกไม่มีสิทธิ์ทำเหมือนชั้นไร้ความสำคัญแบบนั้น ไม่มีใครมีสิทธิ์ทำกับชั้นแบบนั้น” ทิวาบอกอย่างเจ็บใจ
ส่วนที่ป่าอาถรรพ์ชาญเดินดูแผนที่ในหนังเสือ แล้วหยุดในจุดหนึ่ง
“ถ้าดูจากแผนที่แล้ว ตอนนี้เรากำลังจะเข้าสู้เขตป่าช่วงที่สอง คือจะอันตรายกว่าเดิม”
“นี่เดินมาตั้งนานเพิ่งถึงช่วงที่สองเองเหรอเนี่ย”
“แล้วป่าช่วงที่สองนี่เราต้องระวังอะไรบ้างล่ะ”
“เท่าที่ชั้นเคยฟังตำนานเล่ามา เค้าบอกว่าจะมีสัตว์ร้ายนานาชนิด รวมไปถึงพืชภัณฑ์ที่มีพิษด้วย”
“ก็คือระวังทุกอย่างที่เราจะเจอนั่นเอง”
“ไม่ใช่แค่ระวัง อย่าแตะต้องมันเชียว”
ไม้หันไปถามเมฆที่ดูหน้าซีดๆ
“พ่อ ไหวรึเปล่า”
“ไหวสิลูก”
“งั้นเราลุยกันต่อเลยนะ”
พอก้าวเข้าผ่านป่าช่วงที่สอง เมฆก็ปวดทรมานที่แผลขึ้นมาทันที เขาพยายามอดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ แต่มันก็ยังออกมาทางสีหน้าอยู่ดี เมฆเดินไม่ไหวถึงกับชะงัก
“หยุดเดินทำไม”
ไม้หันไปดูพ่อเห็นเมฆสีหน้าไม่ดี จึงรีบวิ่งไปหา
“พ่อเป็นอะไร พ่อ”
“เปล่า”
“แต่สีหน้าพ่อไม่ดีเลย”
เมฆพยายามจะไม่แสดงออก แต่สุดท้ายก็ไม่ไหวลงไปทรุดตัวลงนั่ง
“พ่อ”
“ไม้ พ่อคงไปต่อไม่ไหวแล้ว”
“ไม่ได้นะพ่อ”
จันทร์เข้ามาดูอาการเมฆ
“เลือดไหลออกมาจากแผลเต็มเลย แบบนี้ไม่ดีแน่”
“ทำไมอยู่ๆ ก็เป็นล่ะ”
“หรือเพราะพลังของป่าอาถรรพ์ในช่วงที่สองนี่”
“ถ้างั้น พ่อก็ต้องเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ สิ”
“ต้องรีบทำให้เลือดหยุดไหลก่อน”
“มันมีสมุนไพรห้ามเลือด แต่ชั้นจำชื่อไม่ได้ มันต้นอะไรนะ...”
“พี่ชาญนึกเข้าสิ...นึกเข้า”
แต่ทั้งหมดก็ต้องตะลึงเมื่อพันเทพยื่นสมุนไพรต้นหนึ่งมาให้
“ต้นนี้ใช่มั้ย” ทุกคนหันไปมองพันเทพ “ใช้ต้นนี้บดให้พอมีน้ำแล้วโปะลงไปที่แผล”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างไม่ไว้ใจพันเทพนัก
“ชั้นจะรู้ได้ยังไงว่าแกไม่โกหกเพื่อจะฆ่าพ่อชั้น” พันเทพยิ้ม
“ไม่มีทางรู้หรอก เธอต้องเสี่ยงเอาเอง”
ไม้มองสมุนไพร มองพ่อ มองพันเทพ แล้วตัดสินใจเอาก้อนหินมาบดสมุนไพร
“เอาจริงเหรอไม้”
“เรามีทางเลือกอื่นด้วยเหรอ ยังไงก็ต้องยอมเสี่ยง”
ไม้มองหน้าพันเทพอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
ทางด้านทิวา เมื่อกลับจากบ้านศรนารายณ์ทิวามายืนอยู่หน้าตู้ที่เวตาลอยู่ แต่เวตาลไม่ได้ออกมา
“เวตาล ถ้าแกทำให้ชั้นได้ทุกอย่างที่ชั้นอยากได้จริงละก็ ชั้นจะยอมร่วมมือกับแก”
“เจ้าคิดถูกแล้ว เพื่อนข้า”
สีหน้าทิวายังสับสน ไม่แน่ใจกับการตัดสินใจของตัวเองนัก
ที่ป่าอาถรรพ์ไม้นำสมุนไพรที่บดแล้วใส่มือแต่แทนที่จะโปะลงไปที่แผลเมฆ ไม้กลับเอามีดกรีดข้อมือตนเอง ทำเอาทุกคนตกใจรวมถึงพันเทพ
“ทำไมลูกทำแบบนั้น”
“ผมอยากแน่ใจว่าพ่อจะปลอดภัย”
พันเทพมองอย่างไม่พอใจนัก ไม้เอาสมุนไพรโปะลงที่แผลตนเองปรากฏว่าเลือดหยุดไหล ทุกคนมองอย่างตื่นเต้น
“ได้ผลจริงๆ ด้วย”
ไม้มองพันเทพอย่างไว้เชิง ไม่เอ่ยขอบคุณ ไม้เปิดแผลของเมฆแล้วโปะลงไป เสียงเมฆร้องจากความปวดแสบปวดร้อนของมัน
“โอ๊ยยยยยยยยยย”
ไม้และทุกคนนิ่งทำอะไรไม่ถูกได้แต่ดูอาการ เมฆกำมือไม้ไว้แน่นก่อนจะสลบไป
“พ่อ พ่อเป็นอะไร ทำไมแผลชั้นหาย แล้วพ่อ…”
ไม้เห็นพ่อสลบไปนึกว่าพ่อตายจึงลุกขึ้นจะชกพันเทพทันที อบเชยลงไปดูเมฆแทน
“ไอ้พันเทพ ชั้นจะฆ่าแก”
ไม้กระชากคอเสื้อพันเทพจะต่อย เสียงอบเชยดังขึ้น
“ไม้ เดี๋ยวก่อน...” ไม้หันหน้าตามเสียงอบเชย “ลุงเมฆยังไม่ตาย แค่สลบไปเท่านั้น”
จันทร์ดูแผลของเมฆ
“เลือดหยุดไหลแล้วด้วย”
ไม้หันมองหน้าพันเทพที่เค้ากระชากคอเสื้ออยู่ พันเทพยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม้ปล่อยคอเสื้อพันเทพ
“อย่ามองชั้นในแง่ร้ายขนาดนั้นสิ แผลพ่อเธอแค่ใหญ่กว่าเลยทรมานนิดหน่อย”
เมฆฟื้นขึ้นมา ไม้วิ่งเข้าไปหา
“พ่อ...”
เมฆมองพันเทพอย่างไม่เข้าใจ
“แกช่วยชั้นทำไม”
“ทรมานใจดี...ว่ามั้ย”
เมฆกับพันเทพ มองหน้ากัน
เวลาผ่านไป...ทั้งหมดเดินกันเหน็ดเหนื่อยมาถึงบริเวณหนึ่ง เริ่มมีเสียงประหลาดผ่านจากต้นไม้โน้นที ไปต้นไม้นี้ที ทุกคนเริ่มมองกันหวาดระแวง
“นั่นเสียงอะไรน่ะ”
“จะรู้มั้ยล่ะ ก็มาถึงพร้อมกันเนี่ย”
“ชั้นว่าท่าทางมัน...ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ”
ไม้ระแวงภัยที่จะเกิดขึ้น เดินไปอยู่ใกล้ๆ เมฆเพื่อปกป้องพ่อตน
“ก็รีบๆ เดินให้มันพ้นตรงนี้ไปสิ”
เมฆหันไปเห็นตัวประหลาดคล้ายคางคาวบินผ่านหัวพันเทพไป
“นั่นตัวอะไรน่ะ”
เมฆบอกทุกคนหันพรึ่บมองตามเมฆอย่างระแวดระวัง
“พวกเราอยู่ใกล้ๆ กันไว้ก่อน อย่าให้มันโจมตีได้ง่ายๆ”
เสียงร้องคล้ายค้างคาวดังจากตรงโน้นที ตรงนี้ที
“มันตัวอะไร ค้างคาวแม่ไก่เหรอ ตัวใหญ่โคตร”
“ค้างคาวแม่ไก่ แกไปหาดูตามเขาดินมั้ยล่ะ นี่ป่าอาถรรพ์โว้ย มันต้องไม่ใช่แค่ค้างคาวแน่”
แล้วเมฆกับพันเทพก็พูดขึ้นพร้อมกัน
“เวตาล”
“เวตาลเหรอ”
“ดูเหมือนมันจะไม่ได้มาตัวเดียวซะด้วย”
“มันคงตามกลิ่นเลือดมนุษย์มาละสิ ไอ้พวกนี้ชอบกินเลือดมนุษย์ที่สุด”
ทุกคนกลืนน้ำลายสยองกับคำพูดของพันเทพ
“แล้วนี่รู้ได้ไงเนี่ย เคยเลี้ยงรึไง” จันทร์ประชดถาม
“หึ หึ”
“ระวังตัวนะทุกคน เวตาลมันเจ้าเล่ห์และว่องไวมาก”
เมฆบอก ฝูงเวตาลจำนวนหนึ่งเริ่มเข้าโจมตีทุกคน ทุกคนต่างเอาตัวรอดด้วยฝีมือมวยที่มี ส่วนไม้ก็ต้องปกป้องเมฆที่บาดเจ็บด้วย พันเทพเอาไม้ตะพดออกมาสู้ แทงเวตาลตายบ้าง คอขาด ตัวขาดบ้างก็มี ฝูงเวตาลขยาดพันเทพต่างชะงัก บินถอยออกไปมองไกลๆ
“มันกลัวไม้ตะพด ไอ้เวตาลกระจอกมันกลัวไม้ตะพด”
พันเทพหัวเราะ ดูเหมือนเวตาลกลัว แต่จริงๆ แล้วมันไปรอพวกอีกทั้งฝูงบินมารอสมทบ ทุกคนแหงนมองฝูงเวตาลที่เพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ
“ชั้นว่ามันไม่ได้กลัวแล้วล่ะ”
จันทร์บอกฝูงเวตาลเข้ารุม ทุกคนต่อสู้เอาตัวรอด พันเทพก็สู้ไปแล้วเดินมาหาเมฆกับไม้ ไม้กำลังปกป้องเมฆอยู่
“แกเอาไม้ตะพดอีกอันออกมาสิ มันจะได้ไม่กล้ายุ่งกับเรา มันรับรู้ได้ถึงพลังมหาศาลของไม้ตะพดที่รวมกัน” พันเทพบอกเมฆ เมฆหันไปมองไม้
“ไม่มีหรอกไม้ตะพดนั่นน่ะ” ไม้บอก
“ยามคับขันแบบนี้ ยังจะปกปิดไม่ให้ใครรู้เรื่องที่เธอมีไม้ตะพดอีกเหรอ”
“ก็บอกว่าไม่มีไง”
“ถ้างั้นเราทุกคนก็ได้ตายอยู่ในป่านี่ล่ะ”
พันเทพหงุดหงิดต่อสู้ด้วยไม้ตะพด ดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่ฆ่าเวตาลได้จำนวนมากอยู่คนเดียว นอกนั้นก็ได้แต่ต่อยเตะ เอาไม้ฟาดไปตามเรื่อง เมฆคุยกับไม้ระหว่างสู้โดยที่พันเทพไม่ได้ยิน
“ลูกไม่มีไม้ตะพดจริงๆ เหรอ”
“ชั้นไม่ได้เอามาหรอกพ่อ ชั้นกลัวว่าเอามาแล้ว ถ้าต้องสู้กับพันเทพพ่อก็บาดเจ็บอีก แล้วพันเทพก็อาจจะขโมยไม้ไปได้ง่ายๆ ด้วย”
เมฆยิ้มให้ไม้
การต่อสู้ดูเหมือนจะแย่ลง เพราะจำนวนเวตาลมีมากมาย พันเทพเพลี่ยนพล้ำไม้ตะพดของตนกระเด็นหลุดจากมือ เมฆเห็นฝูงเวตาลกรูเข้าจะรุมไม้ตะพด เมฆรีบกระโดดเข้าไปกลางวงคว้าไม้ตะพดไว้ แล้วใช้ไม้ตะพดของพันเทพฟาดฟันเวตาลในท่านั่ง แต่ก็ยังเจ็บแผลไม่น้อย พันเทพไม่ยอมให้ไม้ตะพดตนไปอยู่ในมือเมฆ พยายามจะแย่งมาจากเมฆให้ได้ พันเทพแย่งมาได้แล้วถีบเมฆที่อ่อนแอไปให้พวกเวตาลรุมทึ้ง
“พ่อ”
ไม้เรียกพ่อด้วยความตกใจเมื่อหันไปเห็นฝูงเวตาลรุมเมฆ ไม้จะเข้าไปช่วยแต่พันเทพรั้งไม้ไว้ ทุกคนมองดูอย่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“พ่อ พ่อ”
“เธออย่าเข้าไปเลย เข้าไปก็ตายเปล่าๆ ไอ้พวกเวตาลนั่นมันหิวโซ”
“แกมันเลวมาก ปล่อยชั้น ชั้นจะไปช่วยพ่อ”
ในมิติที่ต่างไป วิญญาณของเมฆคล้ายว่าหลุดออกจากร่าง เขาเห็นทุกคนหมดเห็นฝูงเวตาลที่ล้อมร่างเขา เป็นภาพเคลื่อนไหวช้ากว่าปกติและไร้เสียง แต่ไม่มีใครเห็นเขาอีกคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ แม้พยายามส่งเสียงเรียกก็ไม่มีใครได้ยิน
“ไม้ ไม้”
เมฆจะวิ่งไปหาไม้แล้วฤๅษีก็ปรากฏตัวขึ้น
“เธอคือผู้ดูแลไม้ตะพดวิญญาณใช่มั้ย”
“ท่าน...นี่ผม ตายไปแล้วใช่มั้ย”
“อยู่ที่เจ้าอยากตายรึเปล่าล่ะ”
“ผมเลือกได้ด้วยเหรอ”
“ที่เลือกได้ เพราะมันไม่ใช่เวลาของเจ้า”
“งั้นผมขอไปช่วยไม้...”
“งั้นเจ้าร่วมมือกับข้า เพื่อขับไล่เวตาลพวกนั้นไปเถิด”
เมฆพยักหน้ารับ ฤๅษีเดินมาจับบ่าเมฆทั้งสองข้างแล้ววิญญาณทั้งคู่ก็หายไป
ไม้พยายามจะไปช่วยเมฆที่โดนเวตาลรุม แต่พันเทพห้ามไว้ ไม้จึงสู้กับพันเทพ

“ปล่อยชั้น ชั้นจะไปช่วยพ่อ”
“มันไม่ใช่พ่...”
ยังไม่ทันที่พันเทพจะพูดจบ อบเชยก็ขัดขึ้นมาก่อน
“ไม้ดูนั่นสิ”
ทุกคนหันไปดูตามที่อบเชยชี้ ภาพที่เห็นก็คือฝูงเวตาลค่อยๆ ถอยออกมาจากร่างเมฆ ไม่กล้าทำอะไร ร่างของเมฆเรืองแสงด้วยเงาของฤๅษีเรืองๆ เมฆลุกขึ้นมาดูแข็งแรงกว่าปกติ ทุกคนตะลึงในสิ่งมหัศจรรย์ที่เห็น
“พ่อ”
เมฆเริ่มสู้กับฤๅษีด้วยมือเปล่า แต่มีอิทธิฤทธิ์มากกว่าปกติ
“อย่ามัวแต่ยืนมองกันอยู่ ช่วยกันปราบพวกมันสิ”
คนอื่นๆ ได้สติก็ช่วยกันขับไล่เวตาลไปจนหมด ไม้เดินไปหาเมฆ
“พ่อ...เป็นอะไรมั้ย” ไม้จับมือพ่ออย่างเป็นห่วง แต่แค่ไม้แตะตัวเมฆ เมฆก็ล้มหมดสติไปทันที “พ่อ”
ไม้ประคองเมฆที่หมดสติอย่างห่วงใย
“ต้องเกิดอะไรขึ้นกับลุงเมฆแน่ๆ อยู่ก็มีพลังวิเศษ แล้วอยู่ๆ ก็เป็นลมไปแบบนี้”
“พ่อ พ่อได้ยินชั้นมั้ย”
“ตายไปจริงๆ ซะละมั้ง”
ไม้มองพันเทพโกรธๆ
“แกเกือบฆ่าพ่อชั้น แกยังจะมาพูดแบบนี้อีก”
“ใช่ ไม่พูดก็ไม่มีใครว่า”
พันเทพยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน เมฆค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง
“พ่อฟื้นแล้ว พ่อ”
“ฤๅษี”
“ฤๅษี หมายความว่าไงพี่เมฆ”
“ฤๅษีมาช่วยพวกเราไว้” เมฆกลับมาเจ็บที่แผลเหมือนเดิม “โอ๊ย...”
“ก็เมื่อกี้เล่นสู้ยังกับฮีโร่ ก็ต้องเจ็บเป็นธรรมดา”
“ที่พ่อพูดถึงฤๅษีหมายความว่ายังไง”
“ฤๅษีมาช่วยให้พ่อสู้กับพวกมันได้”
“หึหึ ฤๅษีเรอะ มันคงรอให้คนมาหาอยู่เต็มแก่สินะ”
พันเทพบอก เมฆมองพันเทพอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“แกเกือบจะฆ่าชั้น”
“ช่วยไม่ได้นะ แกเอาไม้ตะพดของชั้นไป อะไรที่ไม่ใช่ของแกก็อย่ามาก้าวก่ายสิ”
“แต่ถ้าชั้นไม่หยิบไม้ตะพดไว้ มันคงกลายเป็นของพวกเวตาลไปแล้ว”
“ชั้นว่าแกแค่พูดจาให้ตัวเองดูเป็นพระเอกซะมากกว่า”
เมฆมองพันเทพอย่างระอาใจที่คิดได้แค่นี้
“พอเถอะ เราเสียเวลาเดินทางมามากแล้ว รีบไปเถอะ ไม่งั้นได้นอนอยู่ตรงนี้แน่”
ชาญเดินนำทุกคนไป แม้จะยังไม่พอใจกัน ทุกคนก็เดินตามชาญไป
อีกมุมหนึ่งของป่าอาถรรพ์ไกรนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ แพรวาเองก็หลับอยู่ข้างๆ เสียงๆ หนึ่งทำให้ไกรตื่นจากภวังค์
“โยมไกร”
ไกรงัวเงียตื่นขึ้นมาจึงเห็นพระพม่า
“หลวงพ่อ”
“อาตมาเตือนโยมแล้วว่าอย่าเข้ามา”
“ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่แบบนี้...แล้วนี่หลวงพ่อก็ติดอยู่ในป่านี่เหมือนกันเหรอ”
“ป่านี้เต็มไปด้วยภาพลวง”
“ผมจะต้องทำยังไงถึงจะได้ออกไปครับหลวงพ่อ”
“ยึดสติตั้งมั่น อย่าหลงไปตามภาพลวงตา”
ไกรสะดุ้งตื่นแล้วหันไปมองแพรวาที่นอนหลับอยู่ข้างๆ ไกรรีบปลุกแพรวา
“แพรวา แพรวา” แพรวางัวเงียตื่นขึ้น “ผมพอจะรู้วิธีออกจากป่าอาถรรพ์แล้ว”
“จริงเหรอ”
แพรวาถามอย่างดีใจ
กลุ่มของไม้เดินมาถึงหน้าถ้ำ แต่ละคนมีท่าทางอ่อนล้า ไม้พยุงเมฆมา

“นี่พี่ชาญ เมื่อไหร่จะถึงซักที นี่ก็เดินมาทั้งวันแล้วนะ”
“นี่ยังไม่ถึงป่าช่วงสุดท้ายเลย”
“แบบนี้ คงต้องนอนค้างในนี้ซะละมั้ง”
“นั่นไงตรงนั้นมีถ้ำ เราน่าจะนอนค้างในนี้ได้นะ”
“ดีเหมือนกันพ่อจะได้พัก”
“อย่าให้รู้ว่ากำลังถ่วงเวลากันล่ะ”
พันเทพเดินนำเข้าไปในถ้ำอย่างไม่พอใจนัก สมุนตามเข้าไปติดๆ พันเทพเดินเข้ามาในถ้ำพร้อมกับร่มคู่ใจของเขา
“เจ้านายระวังนะครับ มันอาจจะมีตัวประหลาดอยู่ในนี้ก็ได้” สมุนบอก
“หึ...ชั้นไม่กลัวหรอก”
แค่พันเทพเดินเข้าไปในถ้ำ เหล่างู ตะขาบ แมงป่อง สัตว์ร้ายที่อาศัยอยู่ในถ้ำนั้นต่างพากันหนีหมด เพราะพลังของไม้ตะพดที่พันเทพถือ
ขณะนั้นไม้ อบเชย จันทร์ ชาญและเมฆยังคุยกันอยู่หน้าถ้ำ
“น่าแปลก” จันทร์บอก
“แปลกอะไรของเอ็งอีกล่ะ” ชาญถาม
“ก็พี่บอกว่าป่าช่วงที่สองเต็มไปด้วยอันตราย แต่ชั้นไม่ยักเห็นแม้แต่มดตะนอยซักตัว ยังไม่มีเลย”
ชาญพยักหน้าเห็นด้วย
“ก็จริง”
“มัวคุยอะไรกันอยู่ได้ ชั้นว่าเวลานี้ เราหนีกันเถอะไอ้พันเทพมันเผลอแล้ว” อบเชยบอก
“จริงสิ มันไม่มีแผนที่ มันตามเราไปไม่ถูกหรอก”
“เดี๋ยวก่อน ดูนั่นสิ”
จันทร์พยักหน้าให้ทุกคนหันไปดูที่ปากถ้ำ ทุกคนหันตามไปจึงเห็นสัตว์นานาชนิดทั้ง งู ตะขาบ แมงป่อง ค้างคาว ต่างอพยพออกมาจากถ้ำเป็นแถว ทุกคนหลบทางให้สัตว์
“นี่มันสัตว์มีพิษทั้งนั้น”
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“ชั้นว่าชั้นรู้แล้ว ว่าทำไมตลอดมานี่เราถึงไม่เจออันตรายอะไรเลย”
“เพราะไม้ตะพดของพันเทพใช่มั้ย”
จันทร์พยักหน้า
“ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ”
“อำนาจของไม้ตะพดนี่มันร้ายกาจจริงๆ” อบเชยบอก
“ทีนี้...ยังจะอยากหนีไปจากไอ้พันเทพอีกรึเปล่าล่ะ”
ไม้กับอบเชยนิ่งไป
“ถูกของจันทร์นะ ถ้าพันเทพอาศัยแผนที่ของเรา เราก็อาศัยพลังของไม้ตะพดของพันเทพให้รอดพ้นจากสัตว์ร้าย” เมฆบอก
“แต่ถ้าสุดท้าย ไอ้พันเทพได้ของในตำนานจริงๆ มันต้องตลบหลังเราแน่ มันอาจจะทิ้งเราให้ตายในป่าอาถรรพ์ก็ได้”
“ไม่ต้องกลัวหรอก...ยังไงชาญก็เป็นคนเดียวที่อ่านแผนที่ได้ เราได้กลับออกไปแน่”
ทุกคนมองหน้าเมฆแล้วเห็นด้วย
ไกรพาแพรวามาตรงทางที่เคยเดินเข้ามา
“มันก็ไม่ใช่ทางออกไปอยู่ดี”
“ทีนี้คุณลองเชื่อว่ามันคือทางออก เราเข้ามานี้ เราก็ต้องออกทางนี้ นี่คือความจริง คุณต้องไม่หลงภาพลวงตานี่”
“ชั้นจะลองดู”
ไกรกับแพรวาจับมือกันหลับตาอยู่ตรงนั้น มวลอากาศเริ่มจะขยับเหมือนทางออกจะเริ่มเปิด แต่แล้ว เสียงกรี๊ดแพรวาก็ดังขึ้นไกรตกใจลืมตาขึ้นก็เห็นงูเหลือมขนาดใหญ่พอจะกินคนทั้งคนได้ มันชูคอหิวโหยขวางทางเขาอยู่ ไกรตกใจดึงแพรวามาหลบด้านหลัง
“ไม่ต้องกลัวนะ งูพวกนี้ไม่มีพิษหรอก”
“แต่มันรัดเราทั้งคู่ตายได้เลยนะ”
“มันจะไม่ล่าเหยื่อถ้ามันอิ่มแล้ว”
“แต่ท่าทางมัน...ไม่เหมือนอิ่มนะ”
“มันอาจไม่อยากให้เรากลับออกไป”
“แล้วทำไงดีล่ะ”
“ลองถอยออกห่างจากตรงนั้นพร้อมๆ กันมั้ย จะได้รู้ว่าสิ่งที่เราสันนิษฐานถูกมั้ย”
แพรวาพยักหน้ารับ แล้วค่อยๆ ถอยออกพร้อมกับไกร งูยังชูคอเหมือนเดิม พอไกรกับแพรวาถอยออกไปไกลเข้า งูก็ค่อยๆ สงบลง แล้วนอนขดกับพื้นเฝ้าทางออกนั้น
“มันไม่อยากให้เราออกจริงๆ ด้วย”
ไกรกับแพรวามองหน้ากันอย่างนึกท้อ
อีกด้านหนึ่งภายในถ้ำ ไฟลุกโชนตรงกลางถ้ำ ต่างคนต่างแยกย้ายกันนอนในมุมต่างๆ พันเทพหลับแต่มือกำร่มไว้แน่น มีสมุนนอนอยู่ไม่ไกล ชาญกับจันทร์นอนใกล้ๆ กัน ส่วน ไม้ เมฆ อบเชย นอนเรียงกัน มีไม้อยู่ตรงกลางทุกคนนอนหลับ ยกเว้นอบเชยที่แอบขยับตัวไปนอนใกล้ๆ ไม้ ไม้รู้สึกตัวจึงกระซิบถาม
“จะทำอะไรน่ะ”
“แหะ แหะ ก็แค่อยากนอนใกล้”
“ทำไมต้องนอนใกล้ๆ ด้วย”
“มันหนาว”
“หนาวก็ไปนอนใกล้กองไฟโน่น”
“มันเหงา”
“ก็ไปปลุกไอ้จันทร์กับพี่ชาญมานั่งคุยโน่นไป”
“มันกลัวด้วยนะ”
“งั้นไปนอนใกล้พันเทพไป รับรองไม่มีอะไรมาทำร้ายเธอได้”
“แล้วถ้ามัน...รัก...ล่ะ” อบเชยพูดล้อๆ ไม้ผลักอบเชยออก
“ไอ้บ้า...ไปนอนไกลๆ เลยไป เป็นผู้หญิงจะมาทำแบบนี้ได้ไง”
อบเชยยิ้มสนุกที่แกล้งไม้ได้ ไม้นอนหันหลังให้อบเชยแต่แอบยิ้ม
ขณะเดียวกันนั้นไกรกับแพรวานอนเบียดกันในชะง่อนหินแคบๆ
“ที่เดิม ท่าเดิมเลย” ไกรบอก
“เบื่อใช่มั้ยที่มาอยู่ใกล้ๆ กับชั้น” แพรวาประชด
“ไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่ผม...ไม่อยากอยู่ใกล้ชิดกับใครจนเกินไป”
“ทำไม”
“กลัวใจตัวเอง”
แพรวาได้ยินก็ทำหน้าไม่ถูกนัก
“พรุ่งนี้งูนั่นอาจจะไปแล้วก็ได้ เราอาจจะได้ออกจากป่าไปซะที”
“ผมก็หวังให้เป็นแบบนั้น”

ไกรบอกออกไป สีหน้ายังดูเป็นกังวล
กลางดึกคืนนั้น ขณะที่ทุกคนหลับกันสนิท เมฆลุกขึ้นมาเติมฟืน เมฆมองไปที่ไม้ที่หลับอยู่แล้วเจ็บปวดอยู่ในใจลึกๆ

“ไม้ มองหน้าลูกทีไร ทำให้คิดถึง...” เมฆนึกถึงตอนที่พันเทพแย่งทิพย์ไปจากเขา เมฆน้ำตาไหลออกมาแล้วรีบปาดน้ำตาทิ้ง “ทิพย์... ช่างเหมือนทิพย์เหลือเกิน”
เมฆเจ็บปวดกับความจริงที่เกิดขึ้น เมฆเหลือบไปเห็นพันเทพที่ยืนมองอยู่อีกมุมหนึ่ง
“แกผูกพันกับสายเลือดของชั้นมากเกินไปรึเปล่าไอ้เมฆ แกคงคิดอยากจะให้ไม้เป็นลูกของแกจริงๆ สินะ”
“เด็กคนนี้ ถึงจะมีเลือดชั่วๆ ของแกปนอยู่ แต่มันก็สู้เลือดดีๆ ของทิพย์ไม่ได้แม้แต่นิด”
“แต่ไอ้ทิวาลูกแกนี่สิ ต่อให้พ่อจริงๆ ของมันจะประเสริฐแค่ไหน มันก็ยังเลวไม่แพ้ชั้นอยู่ดี”
“ก็เพราะแกเลี้ยงทิวาให้เติบโตมาในความชิงชัง และความเห็นแก่ตัวของแกน่ะสิ”
“แต่สุดท้ายมันก็คือลูกแกอยู่ดี”
พันเทพหัวเราะสะใจ เมฆมองพันเทพอย่างเจ็บใจ
เช้าวันรุ่งขึ้นไม้ อบเชย จันทร์ ชาญ เมฆ เดินออกมาจากถ้ำ
“ไม่รู้ป่านนี้คุณไกรกับคุณแพรวาเป็นไงบ้าง” ไม้พูดขึ้นมา
“โดนเสือจับกินไปแล้วมั้ง” อบเชยบอก
“เธอนี่มัน...”
“อย่าพูดถึงสัตว์ร้ายในป่า เดี๋ยวก็มาจริงหรอก” ชาญบอก
“ก็พ่อยังไม่เห็นจะห่วงลูกตัวเองเลย เราจะไปห่วงแทนทำไมล่ะ”
อบเชยบุ้ยหน้าให้ดูพันเทพที่ออกมาจากถ้ำหลังสุด ทุกคนหันไปมอง แต่เมฆกลับเครียดที่ได้ยินเรื่องพ่อๆ ลูกๆ พันเทพเดินมามองเมฆ
“จ้องชั้นอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ชั้นเพิ่งช่วยแกไปเมื่อวานนะ” เมฆไม่พูดโต้ตอบ “ยืนทำอะไรกันอยู่ เดินทางสิ”
“แน่ะ...มาทีหลังยังมาเร่งคนอื่นอีก”
ชาญแอบบ่น
ทางด้านไกรเขาตื่นขึ้นมาก่อนแพรวา ไกรลุกเดินออกมาจากชะง่อนหิน ไกรเดินมาดูบริเวณทางออกไม่เห็นงูยักษ์นอนอยู่แล้วไกรจึงยิ้มออกมา
“งูไม่อยู่แล้ว แบบนี้ต้องรีบไปบอกแพรวา”
ขณะที่ไกรกำลังดีใจอยู่นั้น อยู่ๆ งูก็โผล่มาจู่โจมเขาจากอีกทาง ไกรหลบล้มลงไป งูทำท่าจะเอาชีวิตเขาให้ได้ ขู่ฟ่อๆ ไกรเลยวิ่งหนีอย่างรวดเร็วไม่รู้ทิศรู้ทาง งูเลื้อยตาม
ไกรวิ่งหนีงูจนสะดุดล้มไม่เป็นท่างูทำท่าจะจู่โจม ไกรไม่มีทางหลบทัน จึงจ้องตางูแล้วตั้งสติ
“แกไม่มีอยู่จริง แกไม่มีอยู่จริง แกเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น แกไม่มีอยู่จริง”
งูอ้าปากพุ่งเข้าจะฉกไกร แต่ภาพก็มืดไป
แพรวาสะดุ้งตื่นขึ้นมาไม่เห็นไกร เธอตกใจลุกออกมาตามหาไกรแต่ไม่เจอจึงเริ่มกลัว
“คุณไกร คุณไกรอยู่ไหน อย่าปล่อยชั้นอยู่คนเดียวแบบนี้สิ ชั้นกลัว”
แพรวาตะโกนเรียกไกรและทำท่าจะร้องไห้ออกมา
กลุ่มของไม้ ขณะนั้นทั้งหมดพากันเดินทางต่อโดยมีสมุนพันเทพเดินรั้งท้าย แต่เกิดไปสะดุดหินล้มกะเทเร่ ทุกคนหันไปมอง
“อะไรของแก เดินแค่นี้ก็ล้มรึไง ลุกขึ้นมา อย่าช้า” พันเทพดุสมุน
“ครับนาย” แต่ยังไม่ทันได้ลุก แผลถลอกธรรมดาของการหกล้มก็ค่อยๆ กลายเป็นสีดำ เน่า แล้วค่อยๆ ขยายวงเพิ่มขึ้น “เกิดอะไรขึ้น ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ชาญวิ่งมาดูแผลที่ขาของสมุนที่กำลังเน่า
“โดนอะไรมา”
“ก็แค่สะดุดล้มกระแทกหิน”
“ชั้นบอกแล้วใช่มั้ยว่าของทุกอย่างอันตรายหมดแม้แต่ก้อนหิน นี่คงไปโดนหินต้องคำสาปแน่ๆ”
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
“ทีนี้จะทำไงล่ะ”
“ตามหลักของป่า สิ่งมีพิษอยู่ที่ไหน เดินไปไม่เกินสิบก้าวยาถอนพิษจะอยู่บริเวณนั้น อันนี้ก็น่าจะเหมือนกัน”
“งั้นช่วยกันหาเร็ว”
“ไม่ต้องหาหรอก ต้นนั้นไงยาถอนคำสาปมีเขียนไว้ในตำราโบราณของจีนถึงพืชที่ใช้ถอนคำสาป บางคนเชื่อว่ามันไม่มีอยู่จริง แต่บางคนก็เชื่อว่ามันสูญพันธุ์ไปแล้ว”
“แล้วมันช่วยพ่อชั้นได้มั้ย” ไม้ถามพันเทพ
“หึหึ ก็แล้วแต่จะคิด”
ไม้รีบไปเด็ดมา
“งั้นชั้นจะให้พ่อกิน”
“เดี๋ยวก่อนไม้...ชั้นว่าอย่าเพิ่งเลย มีเหรอที่ไอ้พันเทพมันจะช่วยเราถึงสองครั้งน่ะ”
“ยังไงก็ลองให้สมุนมันกินดูก่อนสิ เดี๋ยวก็รู้ผล”
ไม้พยักหน้าเห็นด้วย ไม้เอาสมุนไพรไปให้สมุนพันเทพกิน สมุนไม่ลังเลรีบกินเพราะกลัวขาจะเน่า สมุนเคี้ยวกร้วมๆ ทุกคนมองสมุนอย่างตั้งใจเพราะอยากรู้ผล แล้วขาที่เน่าดำเป็นวงใหญ่ก็ค่อยๆ หดเล็กลงเล็กลงจนเหลือแค่แผลถลอกธรรมดา ทุกคนตาโตถึงความมหัศจรรย์
“โห ไม่เห็นกับตาไม่เชื่อนะเนี่ย”
“จริง... เอ็งรู้สึกยังไงบ้าง”
ชาญถามสมุนพันเทพ สมุนมีท่าทางเซื่องๆ เหมือนเมายา ดูเบลอๆ
“อืม”
“สงสัยจะออกฤทธิ์แรงไปหน่อย”
“ถ้างั้นพ่อก็กินได้สิ ดูสิ แผลที่โดนคำสาบหายเลย”
“รอดูอาการอีกหน่อยดีกว่าไม้ ไอ้นี่มันยังเบลออยู่เลย”
ไม้เก็บสมุนไพรที่ว่าใส่กระเป๋าไว้ พันเทพยืนมองยิ้มๆ เมฆจ้องพันเทพเขม็ง
“แกจ้องชั้นทำไม...ชั้นสังเกตนะ แกจ้องชั้นมาตลอดทางเลย”
เมฆเดินไปกระซิบพันเทพ
“แกใช้เด็กที่ไม่รู้เรื่องด้วยมาเป็นเครื่องมือตามล่าไม้ตะพดของแก แกไม่เคยคิดเลยว่าถ้าเด็กมันรู้
มันจะเจ็บปวดแค่ไหน”
“ชั้นยังไม่ได้พูดอะไรซักคำเลยนะ”
พันเทพกระซิบกับเมฆแล้วยิ้มเยาะ ทั้งคู่ต่างมองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“เอ๊า ไม่มีใครเป็นอะไรก็ดีแล้ว เราจะเข้าสู่ป่าช่วงสุดท้ายของแผ่นที่แล้ว” ชาญบอก
ทุกคนเดินมาถึงต้นไม้ใหญ่กลางป่า ซึ่งก็คือจุดสุดท้ายของแผนที่
“เรามาถึงที่ที่แผนที่บอกแล้ว”
พันเทพมองไปรอบๆ
“ใช่ ที่นี่จริงๆ ด้วย” พันเทพนึกถึงตอนที่เวตาลพาเขามาในนิมิต “ถึงตอนนั้นมันจะมืด แต่ชั้นก็จำได้ ต้นไม้ต้นนี้”
ไม้ทำหนังเสือตกโดนรากไม้ พอดีกับที่พันเทพเข้าไปลูบคลำต้นไม้ เมื่อหนังเสือไม้ตะพดและต้นไม้สัมผัสกัน ลมก็กรรโชกแรง ป่าก็โหยหวนไปทั้งป่า ทุกคนหันมองหน้ากันกลัว ไม้รีบเก็บหนังเสือขึ้นมาทุกอย่างก็กลับปกติ
“แกต้องการอะไรจากที่นี่ ที่นี่ไม่เห็นมีอะไรก็แค่ต้นไม้ ไม่มีกระทั่งฤๅษีในตำนาน”
เสียงโวยวายจากจันทร์ดังขึ้น
“ไม้ มาดูนี่”
ทุกคนมามุงดูตามที่จันทร์ว่า
“มีโครงกระดูกคนอยู่ใต้รากต้นไม้นั่น ใครกัน”
“หรือจะเป็น...”
“ใช่...นั่นคือฤๅษีคนที่สร้างไม้ตะพด”
“จริงเหรอ นี่คือต้นกำเนิดไม้ตะพดเหรอเนี่ย ว้าว เท่สุดๆ ชั้นได้มาอยู่บนต้นกำเนิดของลูกผู้ชาย” ชาญบอกอย่างภูมิใจ
“แล้วทำไมหนังเสือต้องบอกให้มาที่นี่ เพื่ออะไร”
“ก็เพื่อให้ชั้นได้ในสิ่งที่ต้องการไง”
พันเทพเอามีดกรีดต้นไม้ ยางที่ไหลออกมาเป็นสีแดงราวกับเลือดสด ใส่ขวดขนาดเล็กที่เตรียมมา
พอมีดกรีดลงไป ลมก็กรรโชกอีกครั้ง
“แต่เดี๋ยวนะ มาเพื่อกรีดยางเนี่ยเหรอ เดี๋ยวพาไปสวนยางภาคใต้ก็ได้มั้ง”
“ก็แกมันไอ้โง่ ไม่รู้อะไรน่ะสิ”
พันเทพเก็บขวดใส่กระเป๋า
“นี่ชั้นพาแกมานะ ยังมาว่าโง่อีกเหรอ”
“ถ้าอยากเป็นคนฉลาด ก็ส่งตำราหนังเสือมาให้ชั้นสิ”
“ไม่มีทาง”
“นี่แกคิดจะหักหลังพวกเราจริงๆ สินะ”
“หึหึ” พันเทพหันไปบอกสมุน “จัดการพวกมัน” พันเทพยืนรอให้สมุนวิ่งเข้าไปทำหน้าที่ แต่สมุนนิ่ง พันเทพหันไปด่า “แกยืนทำอะไรของแกอยู่ ไม่ได้ยินที่ชั้นสั่งรึไง” สมุนเบลอใส่ ทำหน้างง พันเทพไม่พอใจ
“เออ ชั้นจัดการคนเดียวก็ได้”
“พวกเราหนีก่อน ไอ้พันเทพมีไม้ตะพด”
“พี่ชาญพาเราออกไปจากที่นี่”
ไม้พยุงเมฆออกไปอย่างทุลักทุเล กลุ่มของไม้พากันหนีหมด พันเทพตามไปเหลือสมุนงงยืนอยู่
“นี่...มาอยู่ที่นี่ได้ไง...เราคือใครวะ”
สมุนคนที่กินสมุนไพร พูดกับตัวเอง
กลุ่มของไม้หนีพันเทพมาถึงริมหน้าผา แต่สุดท้ายพันเทพก็คว้าตัวเมฆไว้ได้
“จะหนีไปไหนกันเล่า นักสู้ทั้งนั้นไม่ใช่เหรอพวกเธอน่ะ เก่งจริงก็ช่วยคนที่ตัวเองรักให้ได้สิ”
พันเทพต่อยซ้ำแผลของเมฆ เมฆทรุดกอง พันเทพกระทืบซ้ำไปยังขาข้างที่แกล้งเป๋ของเมฆด้วย
เมฆทำอะไรไม่ได้ ไม้ทนไม่ได้วิ่งเข้าไปสู้คนแรกด้วยมือเปล่ากับพันเทพ อบเชยวิ่งเข้าไปช่วยเสริม
“หน้าไม่อาย ให้ผู้หญิงช่วย”
“แกก็หน้าไม่อายเหมือนกันแหละ ใช้ไม้ตะพดสู้กับคนมือเปล่า”
จันทร์กับชาญมองหน้ากัน เข้ามาร่วมสู้ด้วยอีก ทั้งหมดช่วยกันรุมพันเทพที่ต่อสู้อย่างคล่องแคล่วด้วยร่มไม้ตะพด กลุ่มของไม้เป็นฝ่ายเสียเปรียบ จันทร์ ชาญ ถูกซัดหมอบไปก่อน ตามด้วยอบเชยสลบเช่นกัน ทั้งหมดเจ็บหนักไม่แพ้กัน เหลือแต่ไม้ที่ฝีมือดีสุดยังพอสู้กับพันเทพได้ แต่ไม้ก็เกือบจะสู้ไม่ไหว ล้มไม่เป็นท่า
“เธอมาเป็นพวกเดียวกับชั้นดีกว่าน่าไม้ ...แล้วชั้นจะบอกความจริงบางอย่างกับเธอ”
ไม้ไม่สนใจคำพูดพันเทพ เขาจ้องที่ไม้ตะพด มีแผนการบางอย่าง
“ชั้นไม่สนเรื่องพวกนั้นหรอก ตอนนี้ชั้นกำลังสนแค่ว่า ถ้าไม้ตะพดอันเดียวแต่มีคนถือสองคน ไม้จะช่วยใคร”
ไม้พุ่งเข้าไปจับปลายไม้อีกด้านของร่มพันเทพ แล้วออกแรงเหวี่ยงกระแทกพันเทพกระเด็นไป แต่ความที่พันเทพยังไม่ปล่อยร่ม ก็เลยกระเด็นไปทั้งคู่ กระแทกกับพื้น ร่มพันเทพหลุดมือไปวางหมิ่นที่ริมหน้าผาจะตกไม่ตกแหล่ ส่วนไม้ลงไปห้อยอยู่ที่หน้าผามีมือของพันเทพจับไว้ พันเทพมองไม้และมองร่มที่ทำท่าจะตกที่อยู่ไปไม่ไกลนัก
“เธอหน้าเหมือนแม่มากเธอรู้ตัวมั้ย” พันเทพบอกกับไม้
“จะมัวพล่ามอะไร ก็ปล่อยให้ชั้นตายๆ ไปเลยสิ”
“แม่ของเธอสวยมาก ทุกครั้งที่ชั้นเห็นเธอ ชั้นอดคิดถึงเค้าไม่ได้”
เลือดไหลอาบแผลเมฆ ขณะที่เขามองเห็นพันเทพกับไม้อยู่ไกลๆ เมฆเป็นห่วงไม้ เขามองแผลตัวเองแล้วก็เห็นสมุนไพรที่พันเทพให้ไม้หล่นอยู่ เมฆตัดสินใจกัดสมุนไพร กระเดือกกิน แล้วเขาก็มีอาการเกร็ง เจ็บท้องจนตัวงอ ไม่สามารถลุกไปช่วยไม้ได้ ไม้ยังคงห้อยต่องแต่งอยู่ขณะพูดกับพันเทพ
“แกพูดอะไรของแก”
พันเทพมองไม้ตะพดที่อยู่ในด้ามร่ม จวนเจียนจะตกไป
“ถ้าต้องเลือกระหว่าง ลูกกับของ...ชั้นบอกไปแล้วนี่ ว่าจะเลือกอะไร”
พันเทพเลือกที่จะปล่อยมือไม้ แล้วกระโดดไปคว้าร่มของตนที่กำลังจะตกแทน พันเทพกำร่มเอาไว้ในมือ แววตาเหี้ยมเกรียม เขาไม่ก้มลงไปดูไม้ด้วยซ้ำ พันเทพหยิบหนังเสือจากชาญที่สลบอยู่แล้ววิ่งหายเข้าป่าไป
ที่หน้าผาไม้ใช้มือเดียวเกาะแง่งหินที่ยื่นออกมา แทบจะหมดแรงแล้ว
“ช่วยด้วย ใครได้ยินบ้าง ช่วยด้วย”
เสียงเงียบ ไม่มีท่าทีว่าใครจะมา ไม้มืออ่อนล้าเต็มทีจนในที่สุดเขาก็เกาะไม่ไหว ไม้ทำใจปล่อยตัวเองผลุดจากแง่งหิน แต่แล้วเขาก็ไม่ตกเพราะคนที่มาคว้าข้อมือของเค้าไว้คือเมฆนั่นเอง
“พ่อ”
เมฆช่วยลากไม้ขึ้นมาจนสำเร็จ
“ขอบคุณครับพ่อ พ่อเป็นยังไงบ้าง เมื่อกี้ไอ้พันเทพมันทำพ่อเจ็บ”
“ไม่เป็นไรแล้ว พ่อกินสมุนไพรที่ลูกเก็บไว้ไปแล้ว”
“แล้วเป็นไงมั่งครับพ่อ” เมฆเปิดแผลให้ไม้ดู แผลหายสนิท ไม้ดีใจ “หายแล้วจริงด้วย คำสาปหายไปแล้ว”
จันทร์ ชาญ ฟื้นมาพร้อมๆ กัน แต่ยังมึนอยู่
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“ไอ้พันเทพนี่มันร้ายน่าดู”
“ไปดูอบเชยก่อนดีกว่า”
ทุกคนพากันไปดูอบเชย
ขณะนั้นพันเทพถือหนังเสือ ร่มไม้ตะพดและยางไม้อย่างมีความสุข วิ่งไปในป่าแล้วพูดปลอบใจตัวเองเรื่องไม้
“ชั้นมีสามสิ่งนี้ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว ต่อให้ไม่มีไม้ไม่มีลูกผู้ชาย ไม้ตะพดอีกอันจะไปอยู่กับใคร เมื่อไหร่ ชั้นก็จะฆ่ามันได้ แล้วชั้นก็จะยิ่งใหญ่คนเดียว ชั้นไม่มีเรื่องต้องเสียใจ มีแต่เรื่องน่าดีใจต่างหาก..ชั้นไม่ต้องการใครซักคนเดียว”

ระหว่างที่ไม้ไม่อยู่ ทิวามาหาไม้ที่บ้าน ทิวาเปิดประตูบ้านเข้ามา เมฆซึ่งนอนอยู่ลืมตาขึ้นมาดู
“ไอ้ไม้อยู่ไหน” เมฆลุกขึ้นงงๆ ทิวาไม่สนบุกเข้าถึงตัวเมฆ “ชั้นถามว่าไอ้ไม้อยู่ไหน”
“ทิวากลับมาบ้านแล้ว มากินข้าวมาลูกมา”
“อะไรของแก ชั้นไปเป็นลูกแกตั้งแต่เมื่อไหร่”
“พ่อทำกับข้าวไว้รอลูกกลับบ้านพอดีเลย มานั่งกินข้าวนะลูกนะ”
“ไอ้บ้านี่ บอกว่าชั้นไม่ใช่ลูกแกเว้ย ชั้นไม่เป็นลูกคนกระจอกอย่างแกหรอก ลูกแกน่ะไอ้ไม้ ตอนนี้ไอ้ไม้อยู่ไหน”
“ไม่ใช่...”
แล้วอยู่ๆ เมฆก็นิ่ง พยายามลำดับความคิดตน
“บ้าไปแล้ว...แน่ๆ”
ทิวาจะเดินออกจากบ้าน เมฆก็พูดขึ้นมาว่า
“ไม้ตะพดล่ะ ลูกเก็บมันไว้ดีรึเปล่า”
“ไม้ตะพดเหรอ?” ทิวาหันกลับมาหาเมฆ “ไม้ตะพดวิเศษใช่มั้ย”
เมฆพยักหน้า
“ไม้ตะพดวิญญาณ ที่พ่อบอกให้ลูกดูแลเท่าชีวิตน่ะ”
“อ๋อเก็บดีสิ แต่มันอยู่ไหนนะ”
“ก็ที่พ่อบอกให้เก็บมันไว้ที่...” เมฆเงียบไป
“ที่ไหน” ทิวารีบถาม
“ทำไมพ่อนึกไม่ออกนะ...”
“โธ่เว้ย...นึกสิ นึก นึกให้ออก”
เมฆพยายามคิด ทิวาลุ้น
“ทิวาลูกพ่อ”
“เออ ลูกก็ลูก”
“พ่อว่าพ่อนึกออกแล้ว” ทิวายิ้ม ดีใจ “พ่อนึกออกแล้ว ว่า...พ่อยังไม่ได้ทำกับข้าวให้ลูกนี่นา”
“ห๊า...”
“ยังไม่ได้ทำเลย เดี๋ยวพ่อไปทำกับข้าวก่อนดีกว่า”
เมฆเดินเข้าครัวไป ทิวาโกรธจัด
“ไอ้บ้าเอ๊ย ชั้นไม่น่าไปหวังอะไรกับคนบ้าอย่างแกเลย ไม่ได้เรื่องซักอย่าง”
ทิวาพลุนผลันออกจากบ้านไป ทิวาเดินออกมาจากบ้านเมฆอย่างหงุดหงิดแล้วเขาก็มีสติฉุกคิดขึ้นมา
“แล้วถ้ามันมีไม้ตะพดจริงๆ ล่ะ คงไม่บ่อยที่มันจะคิดว่าเราเป็นลูก”
ทิวาตัดสินใจเดินกลับเข้าไปหาเมฆอีกครั้ง ทิวาเดินกลับเข้าไปเมฆนั่งเหม่ออยู่เห็นทิวาก็ดีใจ
“ทิวา ลูกกลับมาแล้ว หายไปตั้งนาน”
“นานบ้าอะไรล่ะ”
“หิวมั้ยลูก”
“ไม่ล่ะ คือชั้นอยากได้ไม้ตะพด”
“ไม้ตะพด ใช่สินะ”
“เออ เอามาสิ”
“ลูกฝึกท่าต่างๆ คล่องรึยัง”
“ท่า? คล่องแล้ว”
“ดี ไหนลองแสดงให้พ่อดูซิ”
“แสดง...ก็บอกว่าคล่องแล้วยังจะให้แสดงอะไรอีกล่ะ”
“แสดงให้พ่อเห็นสิลูก”
“ไอ้บ้านี่ ชั้นชักจะโมโหแล้วนะ ชั้นหาเองก็ได้”
ทิวาเดินเข้าไปตามห้องเพื่อหาไม้ตะพด ทิวาเข้าไปในห้องนอนรื้อค้นข้าวของต่างๆ ในห้องนอน
“ลูกไม่มีวันหามันเจอหรอก นอกจากแสดงให้พ่อเห็นว่าลูกคู่ควรกับมัน” เมฆบอก
“แสดงกับผีแกสิ”
ทิวาเดินเข้าไปค้นห้องอื่นอีก ทิวาเข้าไปค้นถึงในห้องครัวรื้อทุกอย่างที่เห็นแต่ก็ไม่มีวี่แววไม้ตะพด
“บ้านก็เล็กแค่นี้ มันจะไม่มีได้ยังไงวะ” ทิวาโมโหหันไปมองหน้าเมฆที่ดูจะเหม่อลอยขึ้นมา “แกเอาไม้ตะพดไว้ไหน บอกชั้นมา” เมฆตาลอยหันมามองทิวา “ตกลงแกเป็นแค่ไอ้บ้าที่หลอกให้ชั้นเชื่อใช่มั้ย”
เมฆยังนิ่งไม่ตอบโต้ ทิวาโมโหจัดจะต่อยเมฆ ถึงเมฆจะเหม่อลอยแต่เมฆก็สามารถรับหมัดของทิวาได้ ทิวาตกใจ
“แกจะสู้ชั้นเหรอ อย่าคิดว่าชั้นไม่กล้าทำอะไรคนบ้านะ”
ทิวาสวนเมฆไปอีกหมัด เมฆก็รับหมัดของทิวาได้อีก ทิวาโมโหพยายามจะสู้เมฆให้ได้ แต่เมฆก็สู้กับทิวาอย่างเป็นต่อและเหนือชั้นกว่าเยอะ
“นี่แกไปเรียนวิชาพวกนี้มาจากไหนเนี่ย หรือพอเป็นบ้าก็เกิดเก่งขึ้นมาได้”
เมฆสู้ทิวานิ่งๆ แต่มือไวมาก ทิวาโมโหระดมทุกวิชามวยที่เขารู้ใส่เมฆ แต่เมฆก็รับได้หมดแถมยังจับทิวาล็อคคอได้อย่างง่ายดาย
“แกมันแค่ไอ้กระจอก แกไม่มีสิทธิ์มาทำกับชั้นแบบนี้นะ” ทิวาสะบัดเมฆออก “บนโลกนี้ไม่มีใครมีสิทธิ์มาดูถูกชั้นทั้งนั้น”
เมฆหายเหม่อขึ้นมา
“กลับมาแล้วเหรอลูก พ่อรอตั้งนานแน่ะ กินข้าวมารึยัง”
“โอ๊ยยย ตกลงแกไม่มีไม้ตะพดจริงๆ หรอกใช่มั้ย แกก็แค่ไอ้บ้า ชั้นไม่น่ามาเสียเวลาด้วยเลย” ทิวาผลักเมฆ คราวนี้เมฆไม่ต่อสู้จึงล้มลงไปตามแรงผลัก “ทีแบบนี้ล่ะไม่หลบ แกมันบ้าจริงๆ”
ทิวาเดินหงุดหงิดออกไปจากบ้าน
คืนนั้นอบเชยนอนก่ายหน้าผากคิดไม่ตกเรื่องของเมฆ
“อยู่ๆ ลุงเมฆจะสติฟั่นเฟือนได้ยังไงกัน แกก็อยู่กับพวกเราตลอด กินก็กินด้วยกัน นอนก็นอนด้วยกัน จะมีก็แต่...สมุนไพรถอนคำสาปของพันเทพ หรือว่า...” อบเชยนึกถึงตอนที่สมุนพันเทพกินสมุนไพรแล้วมีอาการมึนๆ ยา “ใช่...ตอนนั้นไอ้สมุนที่กินก็ดูเบลอๆ ต้องใช่แน่ๆ มันเป็นแผนของพันเทพที่หลอกให้กินสมุนไพรของมันสินะ ร้ายจริงๆ”
คืนเดียวกันนั้นที่บ้านพันเทพ แพรวาเปิดประตูห้องออกมาที่หน้าห้องมีสมุนเฝ้าอยู่สองคน
“คุณหนูจะไปไหนครับ” สมุนถาม
“นี่ไม่ไปหลับไปนอนกันบ้างเหรอ”
“รอจนกว่าคุณหนูจะหลับครับ”
แพรวาทำทีหาว
“ชั้นว่าชั้นจะนอนแล้วล่ะ”
แพรวาปิดประตูแล้วปิดไฟขึ้นเตียงนอน สมุนเปิดประตูแง้มเข้ามาดูพอเห็นแพรวาปิดไฟนอนหลับแล้ว สมุนจึงพยักหน้าให้กันแล้วปิดประตู แพรวาได้ทีลุกมาแง้มดูไม่เห็นสมุนแล้วเธอจึงเปิดไฟหยิบโทรศัพท์โทรหาไกรทันที
ขณะนั้นที่บ้านเจ๊กี เจ๊กีกำลังจะเข้านอนไกรชงโสมให้กินก่อนนอน
“ดื่มเยอะๆ นะม้าจะได้หายเร็วๆ”
“มีลื้ออยู่ก็หายเร็วอยู่แล้ว” เสียงโทรศัพท์ไกรดังขึ้น ไกรหยิบจะรับแต่พอเห็นชื่อแพรวา ไกรชะงัก เจ๊กีสงสัย “ใครโทรมา”
“เอ่อ คงพวกโทรผิดน่ะครับ พักนี้มีคนโทรผิดมาบ่อย”
“แล้วนี่จะปล่อยให้มันดังแบบนี้เหรอ”
“รับก็เสียเวลาเปล่าครับ ช่างมันดีกว่า” แพรวารอให้ไกรรับ แต่ไกรก็ไม่รับซักที “เดี๋ยวผมไปนอนก่อนนะครับแม่”
“ได้ๆ”
ไกรเดินออกจากห้องไป
ไกรกลับมาที่ห้องแล้วดูมิสคอลที่แพรวาโทรมา เขารีบโทรกลับทันที
โทรศัพท์แพรวาสั่นครืดๆ โชว์สายเรียกเข้าเป็นชื่อไกร แพรวาเห็นแล้วดีใจจะกดรับแต่ราตรีเปิดประตูเข้ามาพอดี แพรวารีบเอาโทรศัพท์ยัดไว้ใต้หมอนทันที
“นี่นางตัวแสบ พ่อให้เอาโทรศัพท์มาเปลี่ยนให้เธอ” ราตรียื่นโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ให้
“เปลี่ยนทำไม”
“ก็ไปทำเรื่องอะไรไว้ล่ะ หนีตามผู้ชาย ทำเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล เอาเครื่องเก่ามานี่ เอาเครื่องนี้ไปใช้เร็ว ไม่งั้นชั้นจะฟ้องพ่อนะว่าเธอไม่ทำตามคำสั่ง”แพรวาจำใจหยิบโทรศัพท์เครื่องเก่ายื่นให้ราตรี “ทีนี้คอยดูซิ จำเบอร์ก็ไม่ได้ ผู้ชายก็ไม่รู้เบอร์ใหม่จะทำยังไงต่อ” ราตรียิ้มเยาะ “สมน้ำหน้า”
ราตรีกลับออกไปพร้อมปิดประตูห้องปัง แพรวาได้แต่เศร้าอยู่คนเดียว เมื่อแพรวาไม่รับสายไกรทิ้งตัวนอนอย่างหงอยๆ
วันต่อมาอบเชยมาบ้านพันเทพ อบเชยเดินดุ่มๆ เข้าไปในสนามหน้าบ้านอย่างไม่กลัว ขณะนั้นทิวากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ สมุนเห็นอบเชยจึงกรูเข้าไปจะห้าม
“พ่อนายกลับมารึยัง” อบเชยถามทิวา
“มีแขกมาเยี่ยมแต่เช้าเลย ดีจัง... บอกแม่บ้านให้เอากาแฟมาหน่อยไป” ทิวาสั่งสมุน
“ไม่ต้อง ชั้นไม่กิน”
“น่า กินหน่อยเถอะ ไม่งั้นเธอคงไม่ได้พบพ่อชั้นแน่” ทิวาพยักหน้าให้อบเชยดูสมุนที่ตอนนี้มาล้อมเธอเต็มไปหมดแล้ว อบเชยทำอะไรไม่ได้ต้องยอมกินกาแฟกับทิวา “พวกนายถอยไปห่างๆ ไป” สมุนขยับออกไป ทิวาพูดคุยกับอบเชยต่อ “เธอมีธุระอะไรกับพ่อชั้น ถ้าบอกชั้นดีๆ ชั้นอาจจะให้เธอเจอพ่อก็ได้”
“ชั้นจะมาขอสมุนไพรรักษาพ่อไม้” ทิวาหัวเราะ
“ไอ้เป๋ที่ตอนนี้กลายเป็นบ้าไปแล้วน่ะเหรอ”
“เธอรู้เรื่องพ่อไม้ได้ยังไง”
“ทำไมจะไม่รู้ เสียสติขนาดมาคิดว่าชั้นเป็นลูก ขำชะมัด”
“ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะพ่อเธอทำนั่นแหละ”
“แล้วเธอเป็นลูกมันรึไง ถึงต้องมาเดือดร้อนแทน ทำไมไม่ให้ไอ้ไม้มาเองล่ะ”
“จะช่วยหรือไม่ช่วย ถ้าไม่ ชั้นก็จะเข้าไปหาพ่อเธอเอง”
“เธอคิดว่าพ่อชั้นจะบอกเธอง่ายๆ เหรอ ใช้สมองคิดบ้างสิอบเชย ตอนนี้มีแต่ชั้นเท่านั้นแหละที่จะช่วยเธอได้”
“งั้นก็ช่วยซะสิ”
“มันจะง่ายไปหน่อยละมั้ง ในเมื่อยาที่จะรักษาพ่อไอ้ไม้ ทั้งหมู่บ้านนี้มีแต่พ่อชั้นคนเดียวที่รู้ มันคงต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่ากว่านั้นสิ”
“เช่นอะไร”
ทิวามองแหวนกระดุมที่อบเชยใส่
“เช่นว่า...เธอต้องมาเป็นคนรักของชั้นคนเดียว”
“ทุเรศ หาคนรักเองไม่ได้แล้วก็มาบังคับคนที่ไม่มีทางเลือก”
“ถ้าเธออยากว่าชั้น เธอเอาตัวเองให้รอดก็แล้วกัน”
อบเชยจ้องหน้าทิวาต่างคนต่างไม่ยอมกัน
สมุนพาอบเชยออกมานอกบริเวณบ้านแล้วยืนกั้นเป็นแนวไม่ให้เข้าไปอีก ทิวาเดินมาพูดยั่ว
“คิดดูให้ดีละกันนะอบเชย พ่อชั้นน่ะมีสูตรสมุนไพรรักษาคนเล่มใหญ่ เป็นตำราของต้นตระกูลชั้นคิดขึ้นมาเอง ไม่มีใครหน้าไหนจะมีและทำได้เหมือนกับพ่อชั้นอีกแล้ว”
อบเชยกัดฟันเดินหันหลังจากมา
“ใครจะไปยอมเป็นแฟนกับแก ไอ้คนเลว เอาแต่ได้ ฉวยโอกาสได้ทุกสถานการณ์ ไม่มีทางหรอก”
ที่บ้านเมฆ ขณะนั้นเมฆกับไม้นั่งกินข้าวด้วยกัน ไม้ตักข้าวให้เมฆ
“กินเยอะๆ นะพ่อนะ” เมฆนั่งนิ่งมอง แล้วก็เอามือหยิบอาหารกิน “พ่อ ทำไมไม่ใช้ช้อนล่ะ” ไม้หยิบ
ช้อนใส่มือเมฆ สอนให้เมฆกินข้าว “กินแบบชั้นนี่ไง ตักเอาเข้าปากนะ” เมฆทำตามไม้ “ทีนี้เคี้ยวนะ เคี้ยว”
เมฆเคี้ยวตามไม้ไปด้วย ไม้มองพ่ออย่างท้อๆ เมฆทำช้อนหล่น ไม้ก้มลงไปเก็บให้ก็เห็นกางเกงพ่อตนเป็นคราบฉี่ ไม้พยายามตั้งสติกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“พ่อ ชั้นขอตัวไปข้างนอกแป๊บนึงนะ”

เมฆพยักหน้ารับรู้











Create Date : 24 มีนาคม 2555
Last Update : 24 มีนาคม 2555 2:03:50 น.
Counter : 669 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]