All Blog
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 15 จบบริบูรณ์




ไม้เดินมาที่บริเวณชายป่า เขาเตรียมลุยเดี่ยวเข้าไปด้านใน

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แกต้องดูแลพ่อชั้นดีๆ นะ” ไม้หันมาบอกจันทร์
“แกก็ดูแลตัวเองเหมือนกัน นี่แน่ใจนะว่าจะไม่ให้พวกเราเข้าไปช่วย”
“ที่ชั้นเห็นคุณแพรวาต้องมาเป็นอะไรไปทั้งที่ไม่เกี่ยวด้วย ชั้นก็รู้สึกผิดจะแย่อยู่แล้ว อย่าให้ชั้นต้องรู้สึกผิดมากไปกว่านี้เลย อีกอย่างแกก็เห็นแล้วว่าเวตาลมันแข็งแกร่งขนาดไหน คนอย่างเราๆ ไม่มีทางสู้มันได้เลย”
จันทร์พยักหน้ารับ
“อย่าเดินออกนอกแผนที่ล่ะ เดี๋ยวจะหลง”
ไม้พยักหน้าอย่างหนักใจ ก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในป่าเพียงลำพัง จันทร์ ชาญ มองตามอย่างเป็นห่วง
จันทร์กับชาญกลับมาที่บ้านเมฆ แต่ปรากฏว่าไม่มีวี่แววของเมฆเลย
“พี่เมฆ พี่เมฆ”
“หวังว่าคงไม่ได้ตามไม้ไปหรอกนะ”
จันทร์บ่นอย่างเป็นห่วง
ไม้เดินบุกป่าตามลำพัง ปีนป่ายดูแผนที่หนังเสือบ้างบางครั้ง และบางทีเขาก็ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรตามเขามาด้วย แต่พอหันไปก็ไม่เห็น
อีกด้านหนึ่งของป่าพันเทพมองเวตาลที่กลับมาในรูปของทิวา
“แปลงร่างได้แล้วนี่ แข็งแรงแล้วละสิ”
“อย่ามาทำรู้เกี่ยวกับตัวข้านัก”
“ชั้นไม่ไหวกับที่นี่แล้วนะ เมื่อไหร่แกจะไปชิงไม้ตะพดซะที”
“ใจเย็นสิเจ้า ข้าต้องการเวลาในการพักรักษาตัวอีกหน่อย”
“ชั้นก็บอกให้ไปชิงไม้ตะพดเพื่อมารักษานั่นไง”
“เจ้ามองทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายแบบนั้นจริงๆ หรือ”
พันเทพส่ายหน้า ไม่ได้ดังใจ
“ตามใจ จะปล่อยให้พวกนั้นบุกมาถึงที่นี่ก็ตามใจ”
“เจ้าคิดว่า...ลูกชายที่เกลียดเจ้า จะยอมเสี่ยงชีวิตเข้ามาช่วยเจ้าตามที่เจ้าเมฆนั่นมันว่างั้นหรือ”
พันเทพพยักหน้ายอมรับ
“จริงสิ”
“เจ้าไม่เหลือใครแล้วพันเทพ เจ้ามีเพียงข้า”
พันเทพท้อใจจังหวะนั้นมีเสียงบางอย่างดังขึ้นที่หน้าถ้ำ ทิวาหันไปมองอย่างระแวง พันเทพมองตามอย่างมีความหวัง ทิวาถือไม้ตะพดเดินอาดๆ เข้าไปสำรวจ
ทิวาเดินถือไม้ตะพดอย่างระแวงมาที่หน้าถ้ำมองซ้ายมองขวา ไม้แอบอยู่หลังก้อนหินใหญ่ทิวาจึงไม่เห็น
“มันอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย” ไม้เห็นตะพดในมือทิวา “ นั่นไม้ตะพดนี่ แย่แล้ว พันเทพจะยังมีชีวิตอยู่มั้ย”
ทิวาเดินกลับเข้าไปในถ้ำ พันเทพรีบถามทิวาอย่างมีความหวัง
“ตกลงมีใครมามั้ย”
ทิวาส่ายหน้ายิ้มเยาะ
“อย่าหวังอะไรลมๆ แล้งๆ เลย” พันเทพคอตก “เจ้าเป็นพวกข้า ทำไมยังจะต้องปรารถนาคนอื่นมาช่วยอีก”
พันเทพมองไม้ตะพดในมือทิวา
“ชั้นแค่ไม่ชอบอยู่ที่นี่”
“เพียงไม่นานหรอก เมื่อข้าแข็งแรง ข้าจะกลับไปตามล่าไม้ตะพดวิญญาณมาเป็นของเรา”
พันเทพมองเวตาลอย่างไม่ไว้ใจ
ไม้แอบเข้ามาในถ้ำ ทิวาห้อยหัวหลับเหมือนค้างคาว เมื่อเข้ามาในถ้ำไม้เห็นพันเทพยังอยู่ไม้ดีใจอย่างบอกไม่ถูก พันเทพขยับตัวไม้รีบวิ่งหาที่ซ่อน พันเทพลืมตาขึ้นมามองซ้ายมองขวาไม่มีใครเขาหันไปมองที่ทิวาที่ห้อยหัวหลับมือกำไม้ตะพดไว้ พันเทพค่อยๆ ย่องเพื่อจะเอาไม้ตะพดของตนคืนมา พันเทพหยิบไม้ตะพดออกจากมือทิวาอย่างเบามือ ทิวาขยับตัวพันเทพลุ้นแต่ทิวาก็ไม่ตื่น พันเทพพยายามดึงไม้ออกมาต่อ ไม้แอบดูอยู่ลุ้นๆ แต่แล้วไม้เองก็เป็นคนทำก้อนหินหล่นลงมาทำให้ทิวาตื่นก่อนที่พันเทพจะได้ไม้ตะพด ทิวาตีลังกาลงมาซัดพันเทพจนกระเด็น
“นี่เจ้าจะหักหลังข้าใช่มั้ย”
“ไม้ตะพดของชั้น ชั้นขอคืน”
“เจ้านี่มัน...เลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ” ทิวาฟาดพันเทพสั่งสอน พันเทพสู้ไม่ได้เพราะไร้อาวุธและพลังเวตาลก็เหลือล้น “จำไว้ว่าใครเป็นนาย”
ไม้แอบเข้ามาด้านหนังใช้ไม้ตะพดฟาดเข้ากลางหลังของทิวา
“หยุดซะทีเถอะ”
“ไม้ ไม้มาช่วยพ่อจริงๆ” พันเทพบอกอย่างดีใจ
“ไอ้พวกลอบกัด”
ทิวาแปลงร่างเป็นเวตาลอีกครั้ง
“ข้าจะไม่ไว้ชีวิตพวกเจ้าทั้งสองคน”
แล้วเวตาลกับไม้ก็สู้กันอีกครั้งอย่างดุเดือด เวตาลมีไม้ตะพดเลือดขณะที่ไม้มีไม้ตะพดวิญญาณ ทั้งสองฝ่ายต่างผลัดกับรุกผลัดกันรับ แต่ในที่สุดไม้ก็สู้พลังของเวตาลที่มีมหาศาลไม่ไหวถูกอัดติดผนังถ้ำ ไม้ตะพดกระเด็นหลุดจากมือพันเทพเห็นไม้ตะพดไม้หล่นรีบวิ่งไปเก็บทันที
“ไม้ตะพดวิญญาณ”
แต่พันเทพก็โดนไม้ตะพดเลือดที่เวตาลถืออยู่จ่อที่คอ
“เจ้าก็รู้ เวลานี้เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอกข้าจะให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้ายพันเทพ ฆ่ามันซะ”
พันเทพนิ่งคิดหันไปมองไม้ที่นอนบาดเจ็บอยู่บนพื้น พันเทพมองเวตาล มองไม้ ไม่มีใครรู้ว่าพันเทพคิดอะไรอยู่
“ฆ่ามันซะ แล้วทุกอย่างก็จะจบ”
พันเทพเดินถือไม้ตะพดเข้าไปหาไม้ช้าๆ ไม้จ้องตาพันเทพเขม็ง
“ยี่สิบกว่าปีที่รอคอย เสียใจด้วยนะไม้”
“พันเทพ”
เวตาลยิ้มเดินตามหลังพันเทพ
“ใช่ ...ชั้นคือพันเทพ คนที่ทิ้งได้แม้กระทั่งลูกตัวเอง ถ้าแกเลือกอยู่ข้างพ่อตั้งแต่แรก เราคงไม่ต้องเป็นแบบนี้...แล้วเป็นไง ไอ้เมฆมันช่วยอะไรแกได้มั้ย” ไม้มองตาพันเทพอย่างไม่กลัว ”ตายแทนคุณ พ่อหน่อยแล้วกัน อโหสิกรรมวะลูก”
ไม้ยิ้มเศร้าๆ
“ผมยกโทษให้พ่อ”
คำพูดนี้กระแทกใจพันเทพ เขาเงื้อมมือขึ้น เวตาลยืนยิ้มย่ามใจอยู่ด้านหลัง แต่แล้วพันเทพก็ตัดสินใจใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่เขามีหันไปฟาดตะพดไปที่เวตาล เมฆปรากฏตัวขึ้นเพราะคิดว่าพันเทพจะฆ่าไม้จึงเข้ามาขวางทำให้พันเทพพลาดเป้าจากเวตาลไป
“พ่อมาได้ยังไง”
เมฆหันไปมองพันเทพ
“ถามพันเทพสิ ว่าพ่อรู้จักที่นี่ได้ยังไง”
“ชั้นยอมรับว่าตอนที่ถอดจิตตอนนั้นชั้นทำร้ายแก แต่ตอนนี้ชั้นไม่ได้จะทำแบบนั้นกับไม้ แกเข้าใจผิดแล้ว”
“จริงๆ นะพ่อ”
“แต่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
เวตาลระเบิดความโกรธที่โดนหักหลังทวีพลังมหาศาลน่ากลัวขึ้นไปอีก
“เจ้าหักหลังข้า”
เวตาลต่อสู้กับทั้งสามคนโดยมีพันเทพคนเดียวที่ถือไม้ตะพด ผลัดกันสู้ช่วยกันซ้ำ แต่สุดท้ายทั้งสามก็สู้เวตาลไม่ได้
“พันเทพ ชั้นจำเป็นต้องใช้ไม้ตะพดเพื่อทำบางอย่าง” พันเทพมองไม้ตะพดในมืออย่างเสียดาย แต่สุดท้ายก็ยื่นให้เมฆ เมฆบอกไม้ “ ไม้ ลูกจำสิ่งที่พ่อจะทำต่อไปนี้ไว้ให้ดี และใช้มันเมื่อจำเป็นเท่านั้น”
“ครับ”
เมฆรวบรวมพลังและใช้ไม้ตะพดทำท่าไม้ตายที่ไม่เคยใช้ที่ไหนกับใคร แสงสว่างวาบรอบตัวเมฆและไม้ตะพดวิญญาณ แต่เมฆดูสงบนิ่งกว่าทุกครั้ง แต่การโจมตีกลับว่องไวมาก เมฆใช้ท่าไม้ตายฟาดไม้ตะพดไปที่ข้อมือเวตาลข้อมือเวตาลขาดกระเด็นไปเป็นมือข้างที่กำไม้ตะพดไว้แน่น เวตาลร้องเสียงหลง ไม้รีบคลานไปแกะไม้ตะพดจากมือเวตาล เวตาลเองด้วยความโมโหจะคว้าไม้ตะพดมาระบายความโกรธของตน พันเทพเห็นผลักไม้ออกไป ตนจึงโดนเวตาลคว้าไปแทน เวตาลใช้กรงเล็บของมืออีกข้างทะลวงหัวใจพันเทพ พันเทพตาค้าง
“เจ้าหมดโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว”
ไม้ถึงกับช็อค หลังจากที่รอดชีวิตเพราะพันเทพช่วยเอาไว้
“พ่อออออ”
“ไม้”
เวตาลเหวี่ยงพันเทพที่เลือดท่วมกายทิ้งไป หันมาจะเล่นงานไม้แทน เมฆที่ใช้พลังเกินกว่าที่ร่างกายตัวเองจะรับไหวกระอักเลือดล้มลงกับพื้นมองไม้
“ไม้ รับนี่ไว้ลูก” ไม้รับไม้ตะพดมาจากเมฆ ไม้ถือไม้ตะพดสองอันไว้ในมือพลังมหาศาลของมันค่อยๆ รวบรวม “ทำเหมือนที่พ่อทำเมื่อกี้”
ไม้ค่อยๆ รวบรวมสมาธิ ทำท่าไม้ตายเดียวกับที่เมฆทำเมื่อซักครู่ ไม้เอาไม้ตะพดทั้งสองต่อกันเป็นหนึ่งเดียวราวกับไม้ตะพดดั้งเดิมของฤๅษี เสียงฟ้าคำรามร้อง ลมกรรโชกแรง ราวกับว่าไม้ตะพดที่ต่อกันดึงดูดพลังของทั้งป่ามารวมกันในไม้อันเดียว แสงสว่างวาบไปทั้งถ้ำเวตาล
“ชั้นจะไม่ปล่อยให้แกฆ่าใครอีกแล้ว”
เวตาลคำรามกลับไม่กลัวเกรง ไม้ใช้ไม้ตะพดทั้งสองเป็นอาวุธสู้กับเวตาลพลังของไม้ตะพดถูกต้านโดยพลังของเวตาลแต่ในที่สุดไม้ก็ชนะ ไม้ตะพดเสียบกลางลำตัวเวตาลเหมือนคราวที่ฤๅษีปราบเวตาล ร่างเวตาลแหลกเป็นจุล พอไม้ชนะเวตาลได้ ไม้ก็กลับมาดูพันเทพทันที พันเทพใกล้ตาย เมฆเองก็พยุงตัวเองมาดูใจพันเทพ
“เดี๋ยวออกไปจากที่นี่ ถ้าถึงมือหมอ พ่อก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ขอบคุณมากที่มาช่วย แต่ไม่ต้องพาไปไหนหรอก ลูกพ่อแค่ได้อยู่กับลูกแค่นี้ พ่อก็มีความสุขแล้ว”
“พ่อ...”
“ไม่ต้องห่วง ชั้นจะดูแลแกให้ดี”
พันเทพยิ้มตื้นตันค่อยๆ หลับตาแล้วสิ้นใจไปทั้งน้ำตา ไม้มองการจากไปของพันเทพทั้งน้ำตา เมฆลูบหัวไม้ปลอบแต่ตนก็เกิดกระอักเลือดขึ้นอีก
“พ่อ... พ่ออย่าเป็นอะไรนะ ผมเสียพ่อไปทั้งสองคนไม่ได้”
ไม้หันมาดูเมฆอย่างเป็นห่วง ไม้พาเมฆออกมาจากป่าอย่างทุลักทุเล ไม้อ่อนแรงจากการต่อสู้แทบจะพากันออกไปไม่ไหว
“ลูกทิ้งพ่อไว้ตรงนี้แหละ ไม่งั้นเราจะตายกันทั้งคู่ พ่อไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น”
“ผมไม่มีวันทิ้งพ่อเด็ดขาด ถ้าจะตายก็ตายด้วยกัน”
เมฆเสียเลือดไปมาก อ่อนแรงแทบเดินไม่ไหวแล้วไม้ก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบของใบไม้ ราวกับมีอะไรกำลังเดินทางมาตรงนี้ ไม้ถือไม้ตะพดมองอย่างระแวงว่าจะเป็นสัตว์ร้าย แต่ที่ปรากฏออกมาคือจันทร์กับชาญนั่นเอง ไม้เห็นจันทร์กับชาญก็ยิ้มออก
“ไม้ ลุงเมฆ เป็นไงบ้าง”
“ดูพ่อก่อน”
“ดีนะยังพอจำแผนที่ได้”
“เรียบร้อยมั้ยไม้” ไม้พยักหน้า “ลุงเมฆหายไป คิดอยู่แล้วว่าต้องตามไม้เข้ามาในป่าแน่ๆ พวกชั้นเลยตามเข้ามา”
ชาญชะเง้อมองหาพันเทพ
“แล้วพันเทพล่ะ”
ไม้ก้มหน้าเศร้าๆ ไม่ตอบอะไร
เวลาผ่านไป...โลงตั้งอยู่บนเมรุมีรูปแพรวา พันเทพ ทิวา วางอยู่
“อั๊วขออโหสิกรรมนะ”
“ขอให้ไปสู่สุขคตินะ”
ทุกคนไล่เรียงกันวางดอกไม้จันทร์ จนมาถึงไม้
“หลับให้สบายนะ”
ทั้งหมดไม่มีใครสังเกตว่า แพรวาก็มาร่วมงานศพด้วยเธอยืนใส่แว่นดำแอบดูอยู่ไกลๆ ร้องไห้ที่ไม่เหลือใครแล้ว
ไกรยืนมองควันที่ลอยขึ้นในอากาศอย่างเศร้าๆ ไม้เดินมาหาไกร
“คุณแพรวาคงไปอยู่ในที่ที่ดีนะครับ เพราะเธอเป็นคนดี”
“ชั้นสิ กลายเป็นคนร้ายไปไม่รู้ตัว ทำให้ทุกคนเสียใจไปหมด ทำไมเธอไม่บอกชั้นล่ะไม้ว่าจริงๆ แล้วเธอเป็นพี่น้องกับแพรวา”
“ผมไม่แน่ใจว่าตอนนั้นคุณจะฟังมั้ย”
“ชั้นต้องเสียทั้งแพรวาและลูกในท้อง เพราะชั้นคนเดียว”
“เรื่องเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันอาจไม่ใช่เพราะคุณคนเดียวหรอกครับ แต่อาจเพราะราตรี ฝาแฝดของคุณแพรวาที่เธอมักจะก่อเรื่องให้คุณแพรวาประจำ”
“แพรวามีฝาแฝดด้วยเหรอ”
“ครับ พวกเธอไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่เล็กแต่ผมก็ไม่เห็นว่าเขาจะมาด้วยวันนี้ อาจจะรู้สึกผิดก็ได้”
“ชั้นไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับแพรวาเลยจริงๆ”
จันทร์ ชาญ เมฆ ยืนคุยกันอยู่ที่ลานวัด
“นี่ตกลงเจ๊กีก็รับลุงเมฆมาทำงานเหมือนเดิมแล้วใช่มั้ยครับ”
“ใช่ แต่คราวนี้กลับไปได้เลื่อนขั้นเป็นขับปอ.แล้วล่ะ”
“อั๊วจะยอมเสียคนขับรถมือดีไปได้ยังไง” เจ๊กีบอก
“เลยกลายเป็นว่าเจ๊กีเป็นเจ้าของสัมปทานคนเดียวทั้งบขส. ปอ. แถมยังมีวินรถตู้กับวินมอเตอร์ไซค์ของพันเทพอีก”
“กลายเป็นเจ๊ใหญ่แทนเจ๊กีก็คราวนี้ล่ะ”
“พวกลื้อก็พูดเกินไป”
“แต่ก็ดีนะ เจ๊กีไม่ได้เก็บค่าวิ่งรถกับพวกไอ้สักแก๊งวินเลย พวกมันก็เลยไม่ต้องไปรับจ้างทำร้ายคนหาเงินมาจ่ายค่าอะไรต่อมิอะไร”
“ขาดก็แต่พี่ศรกับอบเชยนะ ไม่รู้หายไปไหน ไม่ร่ำไม่ลาใครเลย”
“นั่นสิ ไอ้ไม้นี่คงแย่น่าดู เคยไม่มีอบเชยซะที่ไหน”
เจ๊กีก็หน้าหงอยไป
“อย่าว่าแต่ไม้เลย เจ๊กีพอไม่มีพี่ศรมาคอยกวนใจก็ดูหงอยๆ ไปนะ” เมฆบอกเมื่อสังเกตเห็นอาการเจ๊กี
“บ้า ลื้อก็พูดอะไรบ้าๆ อาเมฆ”
“เดี๋ยวชั้นขอตัวก่อนนะ”
“จะไปทำอะไรพี่ชาญ”
“สั่งตัดชุดไว้น่ะสิ เดี๋ยวต้องไปเอา”
“ชุดอะไร”
“ก็ชุดผู้ช่วยลูกผู้ชายน่ะสิ ชั้นว่าลูกผู้ชายควรจะมีผู้ช่วยนะ”
“โห ขนาดนั้นเลยเหรอ”
ทั้งหมดยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
ขณะนั้นไม้นั่งให้อาหารปลาอยู่คนเดียวเหงาๆ แล้วก็นึกถึงตอนที่อยู่กับอบเชย อบเชยทำท่าทางทะเล้นใส่ ตอนที่ยิ้มให้กัน กอดกัน ไม้ยิ่งเศร้า
แพรวาเดินมามองรูปพันเทพ ราตรี ทิวา ที่ตั้งอยู่หน้าเมรุ เธอร้องไห้ออกมา
“ชั้นไม่เหลือใครอีกแล้ว ทำไมทุกคนทิ้งชั้นไปหมดเลย”
แพรวาร้องไห้สะอึกสะอื้น ไกรเดินผ่านมาทางนั้นพอดีเห็นแพรวา เข้าใจว่าเป็นราตรี ไกรเดินเข้าไปหา
“คุณ...ราตรีใช่มั้ยครับ”
แพรวาหันมาเห็นไกรก็ตกใจ
“ค่ะ ใช่ค่ะ ชั้น ...ราตรี”
“เสียใจด้วยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
“คุณ...เหมือนแพรวามาก จนผมแทบพูดไม่ออกเลยนะครับ”
“เหรอคะ”
แพรวาเดินปลีกตัวไปไม่อยากคุยกับไกรมาก ไกรยังไม่คลายความรู้สึกที่เหมือนได้เจอแพรวาอีกครั้ง
วันต่อมาชาญแต่งตัวเป็นคนขับรถบขส.หวีผมเนี้ยบ เดินอาดๆ มา
“แหมๆๆ ตั้งแต่ได้เลื่อนขั้นเป็นคนขับรถนี่ ผมนี่โดนลมไม่กระดิกเลยนะพี่” จันทร์แซว
“แน่นอน แล้วเอ็งล่ะได้เป็นพี่ปรึกษาของคุณไกร แต่ไม่ได้พัฒนาเรื่องการแต่งตัวเลย”
“ตำแหน่งนี้เค้าวัดกันที่สมองเว้ย”
ไม้เดินเข้ามาในชุดนักศึกษา
“ดูไอ้ไม้นั่น แต่งชุดวิทยาลัย เท่ซะไม่มี”
“โชคดีที่เจ๊กีมีสวัสดิการเรื่องค่าเล่าเรียนให้พนักงานดีเด่น ไอ้ไม้เลยมีโอกาสได้เรียนต่อ อย่างพวกเราๆ นี่ หมดสิทธิ์นะ”
“ไงพี่ชาญ หล่อเลยนะ”
“ว่าแต่ตอนนี้ไม่มีใครมีเรื่องมีราวที่ไหนเลยเหรอ ข้าอยากจะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยลูกผู้ชายเต็มแก่แล้ว” ชาญกระซิบถามไม้ ไม้ส่ายหน้า
“ไม่มีน่ะดีแล้ว แปลว่าชุมชนเราน่ะดีขึ้น”
ไกรเดินออกมาทักทายไม้
“กำลังจะไปเรียนเหรอไม้”
“ครับ แล้วคุณไกรจะไปไหนครับเนี่ย”
“ผมว่าจะไปเยี่ยมคุณราตรีเค้าที่บ้านหน่อย”
“ได้ข่าวว่าตอนนี้อยู่ตัวคนเดียว น่าสงสารนะ”
“ชั้นเคยทำไม่ดีกับพี่เค้าไว้ ชั้นอยากจะช่วยเหลือเค้าบ้าง”
ที่บ้านพันเทพ แพรวานั่งเหงาๆ อยู่ที่สนามหน้าบ้าน เธอลูบท้องของตัวเองอย่างอ่อนโยน
“ลูกไม่ต้องกลัวว่าลูกจะเหงานะ ลูกยังมีแม่เป็นเพื่อน”
เสียงกริ่งหน้าบ้านดัง คนใช้วิ่งไปเปิดประตู เป็นไกรที่เข้ามาแพรวาตกใจที่เห็นไกรอีกครั้ง
“สวัสดีครับคุณราตรี ผมแวะมาทักทายน่ะครับ กลัวว่าคุณจะเหงา”
“ค่ะ”
“ผมซื้อขนมมาฝากด้วยนะครับ”
แพรวาพาไกรเข้ามานั่งคุยในห้องรับแขก
“คุณอยู่คนเดียวคงเหงามากสินะครับ ถ้าคุณอยากมีเพื่อนหรืออยากไปไหนบอกผมก็ได้นะครับ”
แพรวามองไกร ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ “ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมไม่ได้มาจีบคุณ สบายใจได้ ผมแค่อยากไถ่โทษที่ทำไม่ดีกับพี่สาวของคุณก็เท่านั้น”
ไกรซึมลงเมื่อนึกถึงแพรวา คนใช้เอาขนมที่ไกรซื้อมาใส่จานมาเสิร์ฟ แพรวาได้กลิ่นอาหารที่ไกรซื้อมาฝากเธอเหม็นเริ่มคลื่นไส้ แต่แพรวาพยายามเก็บอาการไว้
“คุณราตรีเป็นอะไรรึเปล่าครับ”
“เปล่าค่ะ”
“ลองทานนี่สิครับ นี่เจ้าอร่อยเลย”
ไกรเลื่อนจานอาหารไปใกล้แพรวาอีก แพรวาทนไม่ไหวจะอาเจียน
“ขอตัวนะคะ”
แพรวารีบวิ่งออกไป ไกรมองงงๆ เขาลองหยิบอาหารมาดมกลิ่นก็ปกติดี
ไม้เดินมาที่หน้าบ้านของศรนารายณ์ แต่บ้านปิดเงียบสภาพรกร้าง มีคนงานกวาดลานบ้านอยู่
“พ่อลูกเขาคงไม่กลับมาแล้วละมั้ง เก็บของกันไปหมด” คนงานบอก
“เขาบอกมั้ยว่าไปอยู่ที่ไหน” ไม้ถาม
“รู้แค่กรุงเทพ”
ไม้พยักหน้า กำลังเดินจากไป เค้าก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ท่าทางน่ารักสดใสคล้ายอบเชย จากด้านหลัง ไม้ตื่นเต้นรีบวิ่งไปหา
“อบเชย”
แต่พอผู้หญิงคนนั้นหันมาก็ไม่ใช่อบเชย ไม้ซึม
ค่ำวันนั้นเมื่อเมฆกลับเข้ามาในบ้านเห็นไม้นั่งซึมจิบยาของอบเชยอยู่
“นั่นมันยาแก้ช้ำในของอบเชยนี่”
“งั้นก็ถูกโรคแล้วล่ะครับ”
เมฆมองไม้อย่างสงสาร
วันต่อมาไกรพาเจ๊กีมาตรวจที่โรงพยาบาล พยาบาลพาเจ๊กีเข้าห้องไป ไกรยืนมองยิ้มๆ แล้วเขาก็หันไปเห็นแพรวาแว้บๆ ในโรงพยาบาล ไกรเดินตามแพรวามาแล้วก็เห็นเธอหายเข้าไปในแผนกแม่และเด็ก
ไกรหยุดมองแล้วนึกเริ่มสงสัย
ที่ท่ารถบขส. ขณะนั้นชาญดูมวยเชียร์มวยผ่านทีวีอย่างมัน ไม้มานั่งซึมกะทืออยู่ข้างๆ หันหน้าไปคนละทางกับทีวีที่ตั้งอยู่ มวยในทีวีพักโฆษณา
“แหม หมดยกซะก่อนนี่ กำลังมันเลย เดี๋ยวไปเข้าห้องน้ำก่อน ลุ้นจนปวดฉี่ไปหมดแล้ว”
ชาญลุกเดินออกไป ไม้นั่งนั่งเหม่อ แต่พอเบื่อๆ ไม้หันไปที่หน้าจอทีวีจึงเห็นศรนารายณ์กำลังตะโกนโค้ชนักมวยที่ลงแข่ง โดยมีอบเชยนั่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้น
“อบเชยนี่ ...นั่นมันอบเชยนี่”
ไม้ยิ้มดีใจมาก ไม้มองหาว่าถ่ายทอดสดจากที่ไหน
ไม้รีบเดินทางเข้ากรุงเทพวันนั้นเลย กว่าจะถึงสนามมวยก็ค่ำแล้ว ไม้จะเข้าไปในสนามมวยแต่ยามกันไว้
“ปิดแล้วหนุ่มเอ้ย พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
“ปิดแล้วเหรอครับ”
“เออ อยากเชียร์ต้องมาตอนกลางวันโน่น”
ไม้เดินคอตกหันหลังให้สนามมวยจะจากไป จังหวะนั้นอบเชยเดินถือข้าวของออกมาพอดี อบเชยยังไม่เห็นไม้ เธอทักทายยาม
“เมื่อกี้คุยกับใครน่ะลุง”
“พวกบ้านนอกจะมาดูมวยเอาป่านนี้ เลยไล่ให้กลับไป”
“เหรอ…”
อบเชยมองตามไม้ที่เดินจากไป ไม้อยู่ไกลเกินกว่าที่เธอจะจำได้ อบเชยหันมองไปอีกทางรอศรนารายณ์ออกมา ไม้หันกลับมามองที่หน้าสนามมวยอบเชยก็หันหลังให้เขาพอดีอีก
“ส.กระทิงดำจะมีชกอีกวันไหน หนูรู้มั้ย” ยามถามอบเชย
“แป๊บนะคะ”
อบเชยเปิดสมุดโน้ตของตน เธอเปิดไปหน้าที่มีหัวใจที่ไม้พับไว้ให้พอดีลมตีมันปลิวร่วงและปลิวไปตามพื้น อบเชยรีบวิ่งตามไปเก็บ แล้วไม้ก็เป็นคนเก็บมันให้เธอ อบเชยตกใจที่ได้เจอไม้อีกครั้ง ไม้ดูหัวใจที่เขาเก็บได้
“นี่มันที่ชั้นพับให้เธอ…ใช่มั้ย”
“ม่ใช่ ชั้นหัดพับเองต่างหาก”
ไม้ยื่นคืนให้อบเชย
“ชั้นให้”
“นี่มันของๆ ชั้น ชั้นต้องเป็นคนพูดว่า ขอคืนต่างหาก”
อบเชยจะหยิบหัวใจกระดาษ ไม้ดึงคืน
“แล้วถ้าชั้นไม่คืนให้เธอล่ะ”
“เธอจะเก็บมันไว้ทำอะไร มันไม่มีค่าสำหรับเธอไม่ใช่เหรอ เธอเก็บไว้ ไม่ดูแล มันก็ขาดซะเปล่าๆ”
“แล้วถ้าชั้นสัญญาว่าต่อไปนี้ไปจะดูแลมันอย่างดีล่ะ”
“เธอไม่มีสิทธิ์ดูแลมันแล้วล่ะไม้”
ศรนารายณ์เดินมาจากด้านหลังดึงหัวใจกระดาษคืนจากมือไม้
“อาศร”
“ไปกันเถอะอบเชย”

ศรนารายณ์จูงมืออบเชยให้ห่างจากไม้ ไม้รีบเดินตาม
ศรนารายณ์พาอบเชยขึ้นรถเก๋งเก่าๆ ที่จอดอยู่ริมถนน ตนเองเอาของโยนไว้กระโปรงหลัง ไม้ตามมา

“อาศรครับ พ่อฝากความคิดถึงมาด้วย”
“อืม”
“คือผมมากรุงเทพครั้งแรก ผมยังไม่มีที่พักเลยครับอา”
“ก็กลับบ้านไปซะสิ
ศรนารายณ์ขึ้นนั่งเบาะคนขับแล้วขับออกไป ไม้ได้แต่มองตามเศร้าๆ อบเชยหันไปมองไม้ที่ยืนเก้ออยู่ตรงนั้น เธอมองพ่อแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ศรนารายณ์ขับรถไปก็แอบมองดูกระจกหลังเพราะเป็นห่วงไม้เหมือนกัน
วันรุ่งขึ้นศรนารายณ์กับอบเชยมาที่สนามมวยแต่เช้า แต่แล้วทั้งคู่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นไม้ยังอยู่ และนอนอยู่หน้าสนามมวยนั่นเอง
“ไล่ก็ไม่ยอมไป บอกจะรออยู่นี่ ผมเห็นว่าไม่ได้ดูมีพิษมีภัยก็เลยให้นอนน่ะครับ” ยามบอก
ไม้รู้สึกตัวงัวเงียตื่นขึ้นมา
“อ้าวอาศรมาแล้วเหรอครับ”
“กลับบ้านไปได้แล้วไม้ ทำแบบนี้ไม่มีประโยชน์หรอก เธอไม่เลือกอบเชยมันตั้งแต่แรก จะมาทำอะไรเอาตอนนี้”
“ตอนที่เวตาลจับไปนั่น ผมจำเป็นต้องเลือกแพรวา เพราะเค้าท้องอยู่ ผมต้องเลือกช่วย 2 ชีวิต”
“จริงเหรออบเชย” ศรนารายณ์หันมาถามอบเชย อบเชยพยักหน้ารับ “แล้วเธอเป็นพ่อของเด็กรึเปล่า”
“พ่อ พอเถอะหนูไม่อยากรู้” อบเชยแย้ง
“ผมจะเป็นพ่อของเด็กไปได้ยังไง ในเมื่อผมกับแพรวาเป็นพี่น้องกัน”
อบเชยแปลกใจที่ได้ยินไม้พูดแบบนั้น
“แต่ยังไง...มันก็สายไปแล้วล่ะไม้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เธอก็ทิ้งลูกสาวชั้นไปอยู่ดี”
ศรนารายณ์พาอบเชยเดินเข้าไปด้านใน ไม้จะเดินตามแต่มีคนคุมเข้ามากัน
“เข้าไม่ได้ครับ ตรงนี้เฉพาะเจ้าหน้าที่”
“อบเชย ชั้นรักเธอนะ”
ไม้ตะสินใจตะโกนบอก อบเชยได้ยินที่ไม้ตะโกนเธอนิ่ง น้ำตาไหลออกมามันเหมือนเป็นสิ่งที่เธอรอฟังมาทั้งชีวิต ศรนารายณ์ทำไม่สนใจพาอบเชยเข้าไปด้านใน ไม้มองเข้าไปในสนามมวยเศร้าๆ แล้วค่อยๆเดินจากมา
ไกรกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ไกรเดินเข้ามาที่แผนกแม่และเด็กแล้วถามที่เคาน์เตอร์
“คือผมมาหาคนไข้ชื่อราตรีน่ะครับ เธอฝากท้องที่นี่รึเปล่าครับ”
“แป๊บนึงนะคะ” พยาบาลเสิร์จข้อมูลในคอมพิวเตอร์ “ไม่มีคนไข้ชื่อราตรีนะคะ”
“ครับ ขอบคุณครับ” ไกรเริ่มสงสัย เขาจะเดินออกมาแต่เขาก็ตัดสินใจถามเคาน์เตอร์อีกที “เอ่อ ขอโทษนะครับ แล้วแพรวาละครับ ได้ฝากท้องที่นี่รึเปล่า”
“อ๋อ ถ้าเป็นคุณแพรวามีค่ะ เธอมาเรียนวิธีการคลอดและการอุ้มน้องบ่อยๆ น่ะค่ะ”
“แพรวา แน่ใจนะครับว่าชื่อแพรวา”
“แน่ใจสิคะ คุณแพรวาเป็นคนเดียวที่ยังไม่ได้ฝากท้องแต่ขอร่วมกิจกรรมกับเรา”
“ยังไม่ได้ฝากท้อง”
“การฝากท้อง ต้องมีคุณพ่อของเด็กมาเซ็นรับรองด้วยน่ะค่ะ แต่เธอบอกว่าคุณพ่อของเด็กอยู่ต่างประเทศ ยังไม่กลับมา”
“แพรวา...” ไกรถึงกับช็อค แต่ยังไม่กล้าดีใจนัก
ไกรตัดสินใจมาที่บ้านพันเทพ ไกรกดกริ่งหน้าบ้านคนใช้ออกมาเปิดประตู
“อ๋อ คุณน่ะเอง คุณแพรวาไม่อยู่หรอกค่ะ เพิ่งออกไปโรงพยาบาลเมื่อซักครู่นี่เอง คงสวนกันพอดีน่ะค่ะ” คนใช้บอก
“แพรวา”
“คุณคะ...คุณมาเยี่ยมคุณแพรวาบ่อยๆ นะคะ ชั้นละสงสารเธอ ตั้งแต่คุณพันเทพ คุณทิวา คุณราตรี จากไป ถ้าเธอไม่นั่งซึม ก็นั่งร้องไห้”
“ครับ ขอบคุณครับ”
ไกรยิ้มอย่างดีใจรีบขึ้นรถ ขับออกไปทันที
ระหว่างนั้นแพรวาอยู่ที่โรงพยาบาล แพรวาเดินเข้ามาในแผนกแม่และเด็ก ยิ้มทักทายทุกคน
“สวัสดีค่ะคุณแพรวา”
“สวัสดีจ้ะ”
“คุณแพรวาคะ คุณหมอถามมากับดิชั้นว่าตอนนี้สามีคุณแพรวากลับมาจากต่างประเทศรึยังน่ะค่ะ
คุณหมอเป็นห่วงเรื่องการฝากท้อง”
“อ๋อ เหรอคะ” แพรวาซึมลง ไกรเดินเข้ามา
“ผมกลับมาแล้วครับ”
แพรวาตกใจที่เห็นไกร
“คุณน่ะเอง ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกละคะว่าเป็นสามีคุณแพรวา ชั้นจะได้จัดเตรียมเอกสารไว้ให้เลย”
“ไหนครับ ผมต้องเซ็นตรงไหนบ้าง”
“ไกร”
พยาบาลเตรียมเอกสารยื่นให้ไกร
“คุณพ่อเซ็นตรงนี้เลยค่ะ”
ไกรหยิบปากกาเซ็นไม่รอช้า แพรวายังงงๆ ไกรคุกเข่าฟังที่ท้องของแพรวา
“ไงครับลูก ที่พ่อเองนะ”
“ไกร อย่าทำแบบนี้สิ”
แพรวาหันไปมองคนอื่น อย่างอายๆ ทุกคนมองทั้งคู่ ยิ้มมีความสุข
ค่ำวันนั้นเมื่ออบเชยกับศรนารายณ์เดินออกมาจากสนามมวย อบเชยมองหาไม้ไปทั่วหวังว่าเขาจะยังอยู่ ศรนารายณ์เห็นพฤติกรรมลูกตัวเองมองอย่างเห็นใจ อบเชยผิดหวังที่ไม่เห็นไม้
ส่วนที่บ้านพันเทพ แพรวากับไกรนั่งคุยกันภายใต้แสงเทียนกับมื้อค่ำ แพรวายังทำตัวไม่ถูก
“คุณคิดว่าจะหลอกผมสำเร็จเหรอ ผมน่ะฉลาดกว่าที่คุณคิดนะ”
“คุณพูดเหมือนกับว่า ชั้นให้อภัยคุณแล้ว”
“คนที่ยังโกรธกันอยู่ เค้าไม่ยอมให้ผมมาดินเนอร์ในบ้านเค้าแบบนี้หรอก” แพรวาเขินๆ ไกรคว้ามือแพรวาไปจับ “คุณไม่รู้หรอกว่าผมดีใจแค่ไหน...ที่คุณยังมีชีวิตอยู่ ผมอยากพูดว่าขอโทษกับทุกอย่างที่ผมทำไม่ดีกับคุณโดยที่คุณยังได้ยินมัน” ไกรหยิบแหวนออกจากกระเป๋าเสื้อสวมให้แพรวา “ผมรักคุณ แต่งงานกับผมนะ”
แพรวาพยักหน้ารับตื้นตันจนน้ำตาไหล ไกรค่อยๆ จูบแพรวาที่หน้าผาก แทนความรักที่เค้ามี
วันต่อมาไกรพาแพรวามาหาเจ๊กี ทั้งคู่นั่งจับมือกันโดยมีเจ๊กีนั่งด้วย ไม้ จันทร์ ชาญ ยืนล้อมแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
“จัดพิธีแบบจีนก็แล้วกันนะ เดี๋ยวอั๊วจะให้หลวงพ่อดูฤกษ์ดูยามให้ อั๊วละอยากอุ้มอาตี๋น้อยใจจะขาดแล้ว”
“ยังไงก็ได้ค่ะ แล้วแต่คุณแม่เห็นสมควร”
“คุณแม่ คุณเม้อ อะไร เรียกหม่าม้าสิ คนกันเองน่ะ”
“ค่ะหม่าม้า”
“ก็นี่เดี๋ยวให้ไอ้พวกนี้ไปเตรียมของสำหรับพิธีไว้เลย”
“ม้า ยังไม่ได้ดูฤกษ์เลยนะ เตรียมของเลยเหรอ”
“เตรียมพร้อมไว้ยิ่งเร็วยิ่งดี อาไม้ อาชาญ อาจันทร์ ลื้อเตรียม พวกถ้วยชามแก้วน้ำสำหรับงานเลี้ยงไว้ได้เลย”
ไม้มองมือที่จับกันของไกรกับแพรวาแล้วคิดถึงอบเชย
ไม้ จันทร์ ชาญ แยกมาคุยกันอีกมุมหนึ่ง
“เห่อจริงๆ เจ๊กีเนี่ย”
“แหม ลูกชายคนเดียวก็แบบนี้แหละ”
“แล้วเอ็งล่ะไอ้ไม้ ไหนบอกว่ารู้แล้วว่าอบเชยอยู่ไหน แล้วเป็นไงวะ”
ไม้ก้มหน้านิ่ง ไม่ตอบอะไร
“ซึมๆ แบบนี้ อกหักชัวร์”
“ไม่เป็นไรเว้ยไม้ นี่ข้ากับไอ้จันทร์ก็โสดเป็นเพื่อนเอ็งอีกตั้งสองคน”
ไม้ซึมลุกออกไป
“อาการหนัก”
จันทร์กับชาญมองตามอย่างเป็นห่วง
ไม้มาบ้านศรนารายณ์ แล้วเปิดประตูเข้ามาในบ้านที่ร้างไม่มีคนอยู่ แต่ยังเหลือข้าวของเฟอร์นิเจอร์อยู่ เพียงแต่ไม่มีเสื้อในตู้ซักชุด ไม้เดินไปมุมต่างๆ ของบ้าน ไม่ว่ามุมไหนเขาก็เห็นภาพอบเชยยิ้มอยู่ตรงมุมนั้น ไม้ยิ่งเศร้า ไม้เดินเข้าไปในห้องนอนอบเชย
พอเข้ามาในห้องนอนไม้ติดถึงช่วงเวลาต่างๆ ที่เคยอยู่ด้วยกันกับอบเชย ไม้ทิ้งตัวนอนบนที่นอนอบเชย
“ชั้นคิดถึงเธอนะอบเชย”
คืนนั้นอบเชยนั่งหลับอยู่ท้ายรถสองแถวจนกระทั่งรถแล่นมาจอดหน้าบ้าน เด็กรถจึงปลุกอบเชย
“ถึงบ้านน้องแล้ว”
“ขอบคุณค่ะ”
อบเชยลงจากรถสองแถวอย่างงัวเงียแล้วมองบ้านที่ปิดไฟมืดของตัวเอง
“กลับมาจนได้นะอบเชย”
อบเชยถอนหายใจแล้วเดินเข้าบ้านตัวเอง
อบเชยถือกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามาในห้องนอนตัวเองที่ยังปิดไฟมือ แต่อาศัยความคุ้นเคยอบเชยทิ้งกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเพลียโดยไม่รู้ว่าไม้นอนอยู่ข้างๆ เธอ เสียงไม้ที่ตะโกนว่ารักเธอยังก้องอยู่ในหัวของอบเชย จนเธอหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้นไม้กับอบเชยนอนกอดกัน หน้าใกล้หน้าโดยไม่รู้ตัว ไม้ค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้น เขาเห็นหน้าอบเชยในระยะใกล้ก็ตกใจ
“นี่ชั้นคิดถึงเธอจนเห็นภาพหลอนแล้วเหรอเนี่ย”
ไม้ขยี้ตามองอีกทีอบเชยก็ยังอยู่ ไม้ตกใจลุกขึ้นนั่งเขาเห็นอบเชยนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่ข้างๆ ไม้มองเห็นกระเป๋าเสื้อผ้าของอบเชยก็พอจะเดาเรื่องได้
“เธอกลับมาแล้ว”
ไม้ยิ้มอย่างดีแล้วค่อยๆ ย่องลงจากเตียงให้เบาที่สุด ไม่อยากให้อบเชยตื่น แต่ไม้ดันพลาดตกเตียงซะเองไม้เจ็บแต่ไม่ร้องออกมา อบเชยตื่นขึ้นมาเพราะเสียงตกเตียงของไม้ แล้วอบเชยก็ตกใจที่เห็นไม้
“ว๊าย…เธอมาได้ไงเนี่ย”
ไม้กระโดดเหยงๆ เพราะเจ็บขา ร้อนตัว ไม่รู้จะอธิบายยังไง
“คือชั้น…ชั้น ชั้นละเมอ”
ไม้รีบวิ่งออกไปเพราะเขินในการกระทำของตน อบเชยงงๆ เธอหันไปเห็นที่เตียงมีกุญแจบ้าน กับแม่กุญแจบ้านเธอวางอยู่
“นี่เธอแอบเข้ามานอนในห้องชั้นเหรอเนี่ย”
อบเชยอมยิ้ม ไม้ยิ้มอยู่ริมถนนคนเดียวขณะเดินกลับบ้านอย่างมีความสุข
ที่ท่ารถบขส.ทุกคนใช้ชีวิตกันปกติในท่ารถ ชาญ จันทร์ ไม้ เล่นหมากรุกอยู่ เจ๊กีเดินจัดแจงดูรถที่กำลังตรวจสภาพ อยู่ๆ ศรนารายณ์ก็บุกมาพร้อมกับอบเชย
“ไม้อยู่ไหน”
ทุกคนในท่ารถหันไปมองศรนารายณ์เป็นตาเดียวอย่างแปลกใจ ไม้เดินมาหาศรนารายณ์ศรนารายณ์โยนนวมให้ไม้คู่นึง
“ถ้าเธอรักอบเชยจริง เอาชนะชั้นให้ได้ ชั้นถึงจะยอมให้เธอทั้งสองได้คบกัน”
ทุกคนในอู่ตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปด้วย
“พ่อ”
“ว่าไง จะชกกับชั้นมั้ย ชกกันด้วยศิลปะมวย ไม่มีอาวุธแบบที่เธอถนัดหรอกนะ”
“ถ้ามันจะทำให้อาศรกลับมาเชื่อใจชั้นอีกครั้ง ชั้นจะทำ”
สนามมวยชั่วคราวถูกสร้างขึ้นกลางลานวัดมีแค่ไม้ปักเป็นมุมสี่ด้าน แล้วเชือกล้อมคร่าวๆ ชาวบ้านต่างฮือมามามุงดูกันใหญ่ ชาญทำหน้าที่เป็นกรรมการลั่นระฆัง ส่วนจันทร์เป็นกรรมการคุมบนเวทีศรนารายณ์กับไม้อยู่คนละมุม เสียงระฆังลั่นขึ้น ทั้งคู่เดินมาเจอกันกลางเวทีจันทร์ให้สัญญาณว่าเริ่มได้ ศรนารายณ์บุกหาไม้อย่างมั่นใจในฝีมือตน รัวหมัดใส่ไม้ ไม้ตั้งตัวไม่ทันพยายามถอยหนี กรรมการเข้ามาห้าม พอเริ่มใหม่ศรนารายณ์ก็บุกอีกต่อยรัวไม้จนไม้ติดเชือกแล้วล้มลงไป คนดูฮือฮากันใหญ่ อบเชยมองไม้อย่างเป็นห่วง
“ใจคอเธอจะไม่สู้ชั้นเลยรึไงไม้ อย่าลืมนะถ้าแพ้เธอก็ลืมเรื่องอบเชยไปได้เลย”
ไม้ค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นขณะที่จันทร์นับ จันทร์เดินกระซิบไม้
“ปรับตัวได้แล้วไม้ มันไม่ต่างอะไรเวลากับสู้พวกอันธพาลเลย มีสติ”
อบเชยตะโกนช่วยไม้
“จำที่ชั้นสอนได้มั้ยไม้”
“ไม้ มีสติอย่าเกร็ง”
“ไม้ สมาธิ”
ไม้เริ่มต้นใหม่ได้ดีกว่าเดิม แต่ก็เหมือนศรนารายณ์ยังเป็นต่อ ไม้ถูกไล่ต้อนแต่ก็ยังแย็บคืนได้บ้าง
“เธอไม่ต้องออมมือให้ชั้นหรอกน่า ชั้นรู้ว่าเธอคือลูกผู้ชาย เธอจะยอมแพ้ง่ายๆ ได้ยังไง”
ไม้ชกใหม่เริ่มสูสี ชาวบ้านเริ่มเชียร์กันเข้มข้น หนึ่งในนั้นก็คือเจ๊กีที่เอาใจช่วยศรนารายณ์จนออกนอกหน้า
“อาศร ลื้อสู้ๆ นะ”
ศรนารายณ์ได้ยินเสียงเจ๊กีจนเสียสมาธิหันไปมอง เจ๊กียิ้มหวานเป็นกำลังใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่ไม้ปล่อยหมัดซัดศรนารายณ์เต็มๆ ศรนารายณ์เซล้มไป เจ๊กีวิ่งมาดูศรนารายณ์ทันที
“อาศรลื้อเป็นอะไรรึเปล่า” ศรนารายณ์เคลิ้มที่เจ๊กีมาดูแล “อาศร ลื้อปล่อยให้เด็กมันรักกันเถอะ อย่าทำเหมือนที่อั๊วเคยทำเลย”
เจ๊กีกระซิบบอก ศรนารายณ์หน้าเครียดเมื่อได้ยินคำพูดเจ๊กี เพราะมันหมายถึงศักดิ์ศรีที่เขาสั่งสม
มาด้วย เขาตัดสินใจนั่งอยู่อย่างนั้นไม่ลุกขึ้นอีกจนจันทร์นับถึงสิบ จันทร์ชูมือให้ไม้ชนะ คนเฮกันใหญ่
“อั๊วภูมิใจในตัวลื้ออาศร”
เจ๊กียิ้มหวานให้ศรนารายณ์ เหมือนเป็นรางวัลปลอบใจที่คุ้มค่าไม่น้อย
เวลาผ่านไป ไม้กับอบเชยให้อาหารปลาอยู่ที่ท่าน้ำ
“นี่ตกลงเราลองคนนี่ยังไงเนี่ย”
“ชั้นไม่สนใจหรอก ระหว่างเธอกับชั้นเธออยากให้เป็นอะไรก็ได้ แต่ชั้นอยากได้ยินที่เธอบอกชั้นที่สนามมวยอีกทีจะได้มั้ย”
“ได้สิ” ไม้กับอบเชยมองตากันเขิน อบเชยเอียงอาย “ส.กระทิงดำ” ไม้กระซิบบอก
“ห๊า อะไรนะ”
“อ้าว ก็ที่สนามมวยชั้นไม่ได้พูดว่า ส.กระทิงดำ เหรอ”
“ไอ้ไม้บ้า ไม่คุยด้วยแล้ว”
อบเชยจะเดินหนี ไม้ดึงเธอมากอดไว้
“ชั้นรักเธอ”
อบเชยเขิน ยิ้มไม่หุบ
“อีกทีซิ”
“ชั้นรักเธอ”
“พูดไปตลอดชีวิตเลยได้ป่าว”
“ได้สิ”
ไม้กับอบเชย มองตากันซึ้ง ไม้ค่อยๆ ก้มลงมาจูบอบเชย
อีกมุมหนึ่งของท่ารถบขส.เจ๊กีกับศรนารายณ์เดินตามง้อกันเหมือนเด็ก ชาญกับจันทร์ก็เดินกอดคอกันอย่างเพื่อนสนิท เมฆมองดูยิ้มมีความสุข
“สุดท้ายแล้วคนเราก็เลือกที่จะอยู่เพื่อคนอื่น มากกว่าอำนาจที่เฝ้าแย่งชิง การต่อสู้เพื่อตัวเองก็เหมือนกับหมากัดกัน” ไกรกับแพรวาเดินแจกการ์ดแต่งงานให้กับคนที่รู้จักในตลาด “การต่อสู้เพื่อคนอื่นต่างหากที่ทำให้คนมีค่า” อบเชยป้อนข้าวให้ไม้ สองคนยิ้มมีความสุข “หากสุดท้ายปลายทางจบลงด้วยความรัก อำนาจต่างๆ ก็ไม่มีค่าอะไรเลย”

คำพูดของเมฆจบลงพร้อมๆ กับภาพไม้ตะพดที่รวมเป็นหนึ่งเดียว และวางสงบนิ่งอยู่ในตู้บ้านเมฆโดยมีแสงพาดผ่าน

จบบริบูรณ์






Create Date : 02 เมษายน 2555
Last Update : 2 เมษายน 2555 23:44:17 น.
Counter : 1574 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]