All Blog
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 2 (ต่อ)




ส่วนทางด้านราตรีถูกทิ้งไว้คนเดียวที่โรงน้ำแข็ง

“หายหัวไปไหนกันหมด ทิ้งให้ชั้นอยู่คนเดียวได้ไง ที่นี่สกปรกจะตาย” ราตรีมองเห็นโทรศัพท์ จึงลุกวิ่งเข้าไปใช้ “พี่ทิวามารับราตรีเดี๋ยวนี้เลย แพรวามันทิ้งราตรีหายไปไหนไม่รู้”
ขณะนั้นทิวานั่งอยู่บนรถที่สมุนขับ
“เกิดอะไรขึ้น”
ทิวาคุยโทรศัพท์กับราตรี
“ก็รถมันเสียน่ะสิ”
“เสียอยู่ที่ไหน”
“โรงน้ำแข็งอะไรก็ไม่รู้ สกปรกมาก รีบมาเลยนะ”
ทิวาวางโทรศัพท์แล้วบอกคนขับรถ
“ไปที่โรงน้ำแข็งด่วนเลย”
ระหว่างนั้นอบเชยยังเดินอยู่ริมถนน เธอเดินซ้ายทีขวาที อย่างตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอายังไง
“ไม้นะ...ชั้นดีด้วยแทบตาย ยังไปยุ่งกับผู้หญิงคนอื่นอีกนะ คอยดูนะ ชั้นจะเอาเรื่องให้ถึงตายเลย” อบเชยจะเดินไปซ้าย “เรื่องอะไรต้องไปคุยกับคนที่ไม่เห็นค่าของเรา” เปลี่ยนใจจะเดินกลับ “ไม่ได้หรอก เรื่องแบบนี้ต้องคุยให้รู้เรื่องสิ” จะเดินไปซ้าย “แต่เค้าไม่ให้เกียรติเราเลย จะไปคุยกับคนแบบนั้นทำไม
...โอ๊ย เอาไงดีเนี่ย”
อบเชยสับสนจึงยืนนิ่งไม่รู้จะเอาไงดี
ไม้จอดรถที่โรงน้ำแข็ง แพรวาลงมากับไม้
“เดี๋ยวขอเวลาเปลี่ยนอะไหล่แป๊บนึงนะครับ”
แพรวาพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินมาที่หลังรถ น้ำแข็งหลังรถละลายไหลเป็นน้ำเจิ่ง แพรวาเดินผ่านแล้วลื่น ไม้เข้าไปประคองได้ทัน ไม้และแพรวาต่างเขิน ราตรีออกมาเห็นพอดี
“ทำอะไรกันน่ะ” ไม้รีบปล่อยแพรวาออก “ทิ้งกันหายไปตั้งนาน แล้วนี่ทำอะไรกันอีกเนี่ย ไม่อายฟ้าอายดินบ้างรึไง”
“ไม่มีอะไรนะราตรี ไม้เค้าแค่ช่วยไม่ให้ล้ม”
ทิวาวิ่งปรี่เข้ามาต่อยไม้จนไม้ล้มลงไป แพรวาห้ามอย่างตกใจ
“นี่มันเรื่องอะไรเนี่ย”
“พี่ทิวาอย่ามีเรื่องเลย”
“ไม่มีอะไรได้ยังไง พี่ก็เห็นเหมือนที่ราตรีเห็น” ทิวาหันหาไม้ “แกตั้งใจจะทำลายครอบครัวชั้นใช่มั้ย”
ทิวาจะต่อยไม้ แพรวารีบขวางไว้
“ไปใหญ่แล้วพี่ทิวา”
“ยืนหลบอยู่หลังผู้หญิง สมกับเป็นลูกพ่อแกเลย แค่กำหมัดยังไม่มีปัญญา”
“อย่าลามปามถึงพ่อชั้น คุณแพรวาหลบไป นี่มันเรื่องของผู้ชาย” ทิวาหัวเราะ
“อยากลองดีก็ลองดู... พาน้องไปหลบในรถก่อน” ทิวาบอกสมุน สมุนพาแพรวา ราตรีเข้าไปในรถ
“ที่ชั้นจะสู้ ชั้นจะสู้เพื่อจะบอกว่า...ชั้นไม่ใช่คนอ่อนแอที่ใครก็รังแกได้”
ไม้บุกเข้าเล่นงานทิวา ทิวารับมือไม้ ทั้งคู่ต่อยตีกันดูเหมือนทิวาจะเป็นต่อนิดๆ ทั้งคู่ต่อสู้กันไม่มีใครยอมใคร แพรวาชะเง้อดูจากในรถ เป็นห่วงไม้
“ฝีมือมวยแกไม่ธรรมดานี่”
ทิวาบอก ไม้ต่อสู้ไม่ลดละ แล้วทิวาก็ปล่อยท่าไม้ตายรัวฮุกซ้ายออกมา ไม้ไม่เคยเจอ ตั้งรับไม่ทันถึงกับน็อคล้มลง ทิวากำลังจะซ้ำแต่อบเชยก็มาขวางไว้ทัน ทิวาเห็นเป็นอบเชยจึงหยุด แต่อบเชยไม่สนใจเป็นห่วงไม้
“ไม้เป็นไงบ้าง” ไม้นอนนิ่งๆ อบเชยหันไปตวาดทิวา “นี่แกจะหาเรื่องไปทั่วเลยใช่มั้ย”
“มันลวนลามน้องสาวชั้น”
“ไม่จริงหรอก ไม้ไม่ใช่คนแบบนั้น”
“ไม่เชื่อก็ถามมันดูสิ”
อบเชยสับสน แพรวาวิ่งลงมาจากรถมาดูไม้
“ไม้เป็นยังไงบ้าง” แพรวานั่งยองๆ ข้างๆ ไม้อย่างเป็นห่วง ทิวาคว้ามือน้องสาวตน
“ยังจะห่วงมันอีกเหรอ กลับบ้านได้แล้วแพรวา”
อบเชยมองแพรวาแล้วทำตัวไม่ถูก ทิวาคว้ามือน้องสาวตัวเองลากไปหันมาทิ้งท้ายกับอบเชย
“หวังว่าเราคงเจอกันที่งานนะ แล้วฝากบอกไอ้ไม้มันด้วยว่าอย่ามายุ่งกับน้องสาวชั้น”
ทิวาหันหลังลากแพรวาไป อบเชยมองไม้ สับสนไปหมด
ไม้ค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นที่ห้องนอนตัวเองโดยมีอบเชยนั่งดูแลอยู่ใกล้ๆ เตรียมอาหารไว้รอไม้ตื่น
ไม้มองไปรอบๆ แล้วก็นึกได้รีบลุกนั่ง
“แพรวา แพรวาล่ะ”
อบเชยถึงกับเซ็ง
“จะไปถามหาเขาทำไม”
“ชั้นยังไม่ได้ซ่อมรถให้เค้าเลย”
“เขาก็กลับไปกับพี่เขาแล้วสิ...นี่ไม้ ไปยุ่งกับไอ้คนพวกนั้นทำไม พวกมันเลวทั้งตระกูล เธอก็รู้”
“แต่แพรวาเค้าก็ดูเป็นคนดีนะ”
“มารยาสิไม่ว่า”
“ทำไมต้องไปว่าเค้าด้วยล่ะ”
“ทำไมจะว่าไม่ได้ เขาเป็นคนทำให้ไม้เป็นแบบนี้ แล้วชั้นก็เป็นคนช่วยไม้มา ทำไมชั้นจะว่าไม่ได้ แล้วไม้ล่ะไปทำอะไรเขาเหมือนที่ไอ้ทิวามันพูดจริงรึเปล่า”
“เปล่า”
“โกหก ทำใช่มั้ย ไม้ไปทำอะไรนางนั่นจริงๆ ใช่มั้ย”
“เธอก็เชื่อในสิ่งที่เธออยากเชื่ออยู่ดี ชั้นไม่เห็นจำเป็นต้องพูด เธอไม่ใช่แม่ชั้นซักหน่อย จู้จี้อยู่ได้”
อบเชยเสียใจที่ไม้พูดแบบนี้
“ได้ ต่อไปนี้ชั้นจะไม่มายุ่งกับเธออีกแล้ว เรื่องมวยบ้าบออะไรน่ะก็ฝึกเองละกัน ข้าวนี่ก็ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้ว”
อบเชยเดินงอนออกจากห้องไป เมฆเดินสวนเข้ามา
“ทะเลาะอะไรกัน เสียงโวยวายออกไปถึงข้างนอก”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ไร้สาระ”
“แล้วเราน่ะ รู้สึกยังไงบ้าง มึนหัวมั้ย”
“ก็นิดหน่อย”
“เป็นไง เป็นมวยกับไม่เป็นมวย สุดท้ายมันก็เจ็บตัวเหมือนกัน”
ไม้เถียงพ่อไม่ออก

ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอน 2 (ต่อ)
วันต่อมาไม้นั่งซึมอยู่ริมสระน้ำ จันทร์เดินเข้ามาหยิบหินดีดลงน้ำทีละก้อนเล่น
“ไงวะ ฝึกมวยไปถึงไหนแล้ว”
“ไม่ถึงไหนเลยว่ะ ไปต่อยกับเค้าก็ร่วงเหมือนเดิม”
“อ้าว นี่เสียเวลาไปตั้งหลายเดือน ไปฝึกอีท่าไหนเนี่ย” ไม้นิ่งไม่ตอบ “ชั้นว่าแกต้องหาครูเก่งๆ ครูที่แบบสุดยอดกว่าใครน่ะ”
“ไม่มีใครสุดยอดไปกว่าอาศรแล้ว แล้วอาศรก็สัญญากับไอ้ทิวาไว้แล้วด้วยว่าจะไม่สอนใครอีก”
“มีดิวะคนที่เก่งกว่าอาศรแกน่ะ ก็ลูกผู้ชายนั่นไง ชั้นเห็นฝีมือหมัดมวยน่ะ เหนือชั้นกว่าอาศรของแกตั้งเยอะ”
“อย่าพูดไปเรื่อยเลยน่า ชั้นว่าลูกผู้ชายก็คืออาศรนั่นแหละ”
“ไม่มีหลักฐาน อย่าเพิ่งฟันธงสิ ชั้นไม่ค่อยเชื่อหรอกนะว่าคนแบบอาศรจะกั๊กวิชาที่เก่งๆ ไว้เพื่อแปลงเป็นลูกผู้ชายน่ะ อาจเป็นคนอื่นก็ได้”
“ชั้นนึกไม่ออกว่าจะเป็นใครได้”
“ดังนั้น เราต้องสืบให้ชัวร์ๆ ว่าเค้าเป็นใคร”
“รู้สึกเหมือนเรากำลังวกมาที่จุดเริ่มต้นนะ”
“แกคนเดียวสิที่รู้สึก เพราะชั้นน่ะ ตามหาลูกผู้ชายมาตลอด”
“แล้วได้อะไรใหม่ๆ บ้าง”
“มีอดีตเณรรูปนึง ที่อาจจะรู้อะไรที่ไม่ธรรมดา เราต้องตามหาเค้าให้เจอ”
“ตามหาเพื่อ?”
“แกไม่อยากรู้ความจริงเกี่ยวกับตำนานไม้ตะพดรึไง มันอาจเป็นเบาะแสสำคัญที่บอกว่าลูกผู้ชายคือใครแกไม่อยากเป็นแค่ไอ้กระจอกไม่ใช่เหรอ แกควรรีบตามหาครูคนใหม่ได้แล้ว”
ไม้คิดทบทวนตามคำพูดของจันทร์
อีกด้านหนึ่งที่ท่ารถบขส. ไกรเดินตรวจเช็คสภาพรถแต่ละคัน ถามรายละเอียดของรถแต่ละรอบกับคนขับต่างๆ
“ตรวจเช็คทุกคันแล้วนะ”
“ครับ ไม่มีปัญหาเลยครับ”
“ดีมาก” ไกรเดินมาทางเมฆ เมฆกำลังนั่งอ่านหนังสือการทำสมาธิหลวงปู่มั่นธรรมะอยู่ มีชาญนั่งกินถั่วอยู่ไม่ไกล “สวัสดีครับลุงเมฆ นี่อ่านหนังสือของหลวงปู่มั่นด้วยเหรอ”
“นี่คุณไกรรู้จักหลวงปู่มั่นด้วยเหรอ คนหนุ่มแบบคุณไกรไม่น่าจะรู้จักเกจิอาจารย์”
“จะให้พูดถึงท่านไหนล่ะ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ทวด หลวงปู่แหวน ดี”
“คุณไกรรู้ขนาดนั้นเชียว”
“ชั้นเคยบวชเป็นเณรน่ะ หลวงพ่อท่านบังคับให้อ่านหนังสือหนักทีเดียวทำให้รู้จักเกจิอาจารย์เต็มไปหมด ก็หนังสือในหอสมุดวัดน่ะนะ จะมีหนังสืออะไรนักเชียว”
“นั่นสินะ”
“แต่เคยอ่านหนังสือแปลกๆ อยู่เล่มนึง เป็นหนังสือโบราณของพระธุดงค์รูปหนึ่งยังจำมาได้ถึงทุกวันนี้”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“เกี่ยวกับไม้ตะพดวิเศษของฤๅษี”
ชาญที่อยู่แถวนั้นหูผึ่งวิ่งปรี่เข้ามาเลย
“ไม้ตะพด...หมายถึงไม้ตะพดวิเศษอาวุธของลูกผู้ชายน่ะเหรอ”
“ไม่รู้สิ ลูกผู้ชายคือใครล่ะ” ไกรถามอย่างแปลกใจ
“ตายๆๆๆ บ้านนอกเกิ๊น ไม่รู้จักลูกผู้ชาย ฮีโร่ประจำอำเภอเรา”
“เค้าใช้ไม้ตะพดเป็นอาวุธน่ะ”
“เท่ที่สุด เท่กว่าเอ็งร้อยพันเท่า”
“มีเรื่องแปลกๆ แบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย”
“แล้วตกลงไม้ตะพดที่เอ็งพูดถึงเมื่อกี้ของลูกผู้ชายใช่มั้ย”
“เป็นของฤาษีน่ะ”
“ตำนานไม้ตะพด...” เมฆบอก
“เล่ามาซิ เล่ามา” ชาญบอกอย่างสนใจ
ขณะนั้นไม้กับจันทร์เดินมาที่โรงน้ำแข็ง
“แกจะสืบเกี่ยวกับอาศรก่อนจริงๆ เหรอ” ไม้ถามจันทร์
“ก็แกสงสัยว่าเค้าเป็นลูกผู้ชายไม่ใช่เหรอ เราก็ต้องหาเหตุผลมาว่าจะตัดเค้าออกไปรึเปล่า”
“ถ้าเค้าเกิดสงสัยขึ้นมาล่ะ”
“แกเชื่อมือชั้นสิวะ”
ไม้พยักหน้า ไม้กับจันทร์พากันเดินเข้าไปในโรงน้ำแข็ง
ภายในโรงน้ำแข็งขณะนั้นอบเชยนั่งอยู่บนก้อนน้ำแข็ง สลักชื่อบนน้ำแข็งเป็นอบเชยและมีรูปหัวใจ ไม้อยู่หน้าเธออย่างเซ็งๆ ไม้กับจันทร์เดินเข้ามา อบเชยตกใจ
“มากันทำไม” อบเชยรีบลุกขึ้นยืนเอาเท้าเหยียบบังชื่อไม้ไว้
“ทำอะไรอยู่เหรอคนสวย” จันทร์ทัก
“เรื่องของชั้น”
“จะแวะมาหาอาศรน่ะ” ไม้บอก
“โธ่เอ้ย คิดว่าจะมาง้อซะอีก ไอ้ไม้บ้า” อบเชยคิดอยู่ในใจแล้วเอาเท้ากระทืบชื่อไม้ที่ตนเหยียบไว้
“ทำอะไรน่ะ”
ไม้ถาม จันทร์เดินไปดูก้อนน้ำแข็งเห็นชื่ออบเชยสลักอยู่ แต่ไม่เห็นชื่ออีกคน
“เฮ้ย ไม้มาดูนี่ดิ มีชื่ออบเชย แล้วก็รูปหัวใจด้วย”
อบเชยยืนนิ่งไม่ขยับเท้าออกจากชื่อไม้ ไม้เดินมาดูมองหน้าอบเชย ลึกๆ อยากรู้เหมือนกันว่าชื่อใครที่ซ่อนอยู่
“เธอเหยียบชื่อใครไว้น่ะ ชื่อไอ้ไม้แน่เลยใช่มั้ย” จันทร์ถาม
“ไม่ใช่ อย่ามาพูดอะไรมั่วๆ นะ” อบเชยมองหน้าไม้ “ชั้นไม่รักผู้ชายใจง่าย เจอใครแค่ครั้งเดียวก็ชอบหรอก”
“ก็ไม่ได้อยากให้รักนี่”
“ไม่ใช่ชื่อไม้แล้วชื่อใคร เธอชอบใครหรือว่าชอบชั้น”
“ก็คงจะไม่พ้นชื่อไกร ลูกชายเจ๊กีละมั้ง เธอน่ะก็เจอเค้าครั้งเดียวแล้วก็ชอบเหมือนกัน” ไม้บอกอย่างไม่พอใจ
“ชั้นจะรักจะชอบใครมันก็เรื่องของชั้น”
“ถอยไปหน่อยสิ จะดู”
“ไม่ อย่ามายุ่ง”
“ชั้นไม่เห็นจะอยากรู้เลย ไปกันเถอะจันทร์”
“แกก็ไปสิ ชั้นอยากรู้นี่”
อบเชยเหยียบเท้าไว้บนน้ำแข็งแน่น จันทร์พยายามทั้งดัน ทั้งดึงอบเชยออก อบเชยไม่ออก จากแกล้งๆ ก็เริ่มเป็นท่าต่อสู้เพื่อให้อบเชยออก อบเชยสู้กลับด้วยเท้าที่ไม่เคลื่อนไหว ไม้ลุ้นคอยจ้องดูชื่อที่ฝ่าเท้าที่เผยอขึ้นลงเล็กน้อยตลอดเวลา
ทางด้านพันเทพขณะนั้นอยู่ที่ที่นาแปลงหนึ่ง พันเทพเดินอยู่กับหัวหน้าพรรค มีสมุนของทั้งคู่คอยเดินตาม
“ตกลงว่าผมสนใจที่นาแถวนี้ มันเป็นที่ของใครกัน” หัวหน้าพรรคถาม
“ก็ของพวกชาวบ้านนั่นละครับ ท่านจะเอาไปทำอะไรเหรอครับ”
“ผมมีโครงการร่วมหุ้นกับต่างชาติ ต่างชาติกำลังสนใจการลงทุนกับเกษตรกรรม โดยเฉพาะข้าว ราคาในตลาดโลกมันดี ผมอยากจะได้ที่นาแถบนี้ทั้งหมดเพื่อลงทุน ถ้าคุณจัดการเรื่องนี้ให้ผมได้ละก็ ผมสนับสนุนคุณเต็มที่กับการเลือกตั้งที่จะถึง”
“ได้สิครับ กับเรื่องที่นาแค่นี้ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
“ถ้างั้นผมฝากคุณด้วยนะ จัดการเลยก็แล้วกัน มีอีกหลายเรื่องที่ผมอาจต้องพึ่งคุณ”
“ครับ”
พันเทพเดินตามหัวหน้าพรรคออกจากที่นาไป
อีกด้านหนึ่งของที่นา เมฆกำลังช่วยชาวนาเกี่ยวข้าวอยู่
“ใจดีจริงๆ เลยนะพ่อเมฆ มาช่วยเกี่ยวข้าวทุกปี”
“ก็ช่วยๆ กันครับ ลุงกับป้าก็เป็นผู้โดยสารขาประจำของผมเหมือนกัน”
“แล้วนี่วันนี้นี้ไม่วิ่งรถเหรอ”
“ให้คนอื่นวิ่งบ้าง ขืนชั้นวิ่งคนเดียวเดี๋ยวจะรวยไม่แบ่งใคร”
ชาวนาชายหญิงหัวเราะร่วน ชอบใจ
“เดี๋ยวชั้นไปเอาน้ำมาให้กินนะพ่อ”
“ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมเข้าไปกินเองดีกว่า สะดวกกว่าเยอะครับ”
“เอ้าๆ ตามใจ”
เมฆยิ้มให้ชาวนา แล้วเดินปาดเหงื่อออกไป เมฆเดินเข้ามากินน้ำตรงที่พักกลางนา เขาเหลือบตามองไปเห็นพันเทพกับสมุนพอดี
“พันเทพนี่ มาทำอะไรที่แบบนี้”
เมฆมองอย่างสงสัย
พันเทพมองท้องนาแล้วบอกสมุน
“ที่นาส่วนใหญ่มันของใคร พวกแกรู้มั้ย”
“ของชาวบ้านแก่ๆ สองคนครับ ทำเองด้วย แล้วก็ปล่อยให้คนอื่นเช่า”
“พาชั้นไปเจอมันหน่อยซิ
เมฆแอบฟังทั้งพันเทพและสมุนคุยกัน พันเทพเดินออกไปพร้อมสมุน เมฆมองตามนึกเป็นห่วงชาวนา
พันเทพเดินมาที่ท้องนาที่ชาวนากำลังเกี่ยวข้าวกัน
“ไหน ใครเป็นเจ้าของที่นา”
ทุกคนหันมองพันเทพงงๆ ชาวนาลุงกับป้าเดินมาหาพันเทพ
“ชั้นเองล่ะจ้ะ มีอะไรรึเปล่า”
“ก็ดี เกี่ยวเสร็จก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วนะ ชั้นจะเหมาซื้อที่ทั้งหมดนี่”
“โอ๊ย ไม่ขายหรอกจ้ะ นี่ที่นาทำมาตั้งแต่สมัยปู่ย่า”
ชาวนาบอก พันเทพหัวเราะ
“เดี๋ยวนะ มีซักประโยคนึงมั้ยที่ชั้นพูดว่าขอซื้อน่ะ” ชาวบ้านมองหน้ากันเลิ่กลั่ก “ตั้งแต่พรุ่งนี้พวกแกย้ายออกจากแถวนี้ให้หมดนะ”
“นี่ ทำแบบนี้ไม่ได้นะ เราบอกแล้วว่าเราไม่ขาย”
“แกนี่ฟังไม่รู้เรื่องรึไงห๊า ชั้นไม่ได้ขอซื้อต่อ ชั้นจะเอา”
“แบบนี้มันทุเรศนี่”
สมุนเข้ามาตบชาวบ้านที่ด่าทันที
“อย่ามาว่าคุณพันเทพแบบนี้นะ”
“แกจะขายหรือไม่ขาย สุดท้ายมันก็จะเป็นของฉันอยู่ดี”
“หมายความว่าไง”
“ก็บอกไปแล้วว่าไม่ได้มาขอซื้อต่อ”
“แบบนี้มันโกงกันนี่” ชาวนาต่อว่า
ชาวนาสองผัวเมียถูกพันเทพควบคุมตัวกลับมาบ้าน ชาวนาทั้งสองนั่งอยู่บนโต๊ะโดยมีพันเทพถือมีดเดินล้อมอยู่
“ชอบทำเรื่องง่ายให้เป็นรื่องยากนะพวกแกเนี่ย ก็แค่รับปากว่าจะขาย”
“รับปากไม่ได้ ของบรรพบุรุษ”
“งั้นแกอยากตามไปอยู่กับบรรพบุรุษแกรึเล่าล่ะ”
“นี่คิดจะขู่เราเหรอ”
“คิดว่าจะขู่หรือทำจริงล่ะ”
พันเทพขยับปลายมีดทีคมกริบสะท้อนแสง ปักลงบนโต๊ะข้างมือชาวนาคนหนึ่ง ชาวนาสะดุ้ง
“มันต้องทำรุนแรงกันขนาดนั้นเลยเหรอพันเทพ”
ลูกผู้ชายปรากฏตัวขึ้น ชาวนาทั้งสองยิ้มออก พันเทพหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“ทำไมแกต้องยุ่งไปซะทุกเรื่องด้วยวะ ไอ้ลูกผู้ชาย...จัดการมัน”
พันเทพหันไปสั่งสมุน สมุนเข้าลุยกับลูกผู้ชายทันที แต่ไม่นานสมุนก็ล้มพับไปทั้งสองคน ลูกผู้ชายหันหน้ามาหาพันเทพ พันเทพจ้องตากับลูกผู้ชายไม่วางตา
พันเทพกับลูกผู้ชายออกมาที่กลางทุ่งนา ทั้งคู่ยืนคนละฝั่ง ชาวบ้านออกมายืนดู
“ชั้นไม่อยากให้การต่อสู้ครั้งนี้เสียเปล่า”
“อะไรของแกอีก”
“ถ้าชั้นชนะ ชั้นไม่อยากให้แกเลิกยุ่งกับเรื่องที่นาของชาวบ้าน”
“ก็ได้ แต่ถ้าชั้นชนะ แกกล้าเอาที่นาของชาวบ้านนี่มาเสี่ยงด้วยรึเปล่าล่ะ ชั้นก็ไม่อยากเสียเวลาเปล่าเหมือนกัน” ลูกผู้ชายไม่กล้ารับปาก “ว่าไง ที่นานี่ ไอ้แก่สองคนนั่นต้องยอมขายให้ฉันในราคาที่ชั้นพอใจ โดยไม่มีเงื่อนไขอะไรมากวนใจชั้นอีก”
“ชั้นตกลง”
ชาวนามองลูกผู้ชายอย่างเชื่อมั่น
“ชั้นเชื่อใจลูกผู้ชาย”
ลูกผู้ชายกับพันเทพมองหน้ากันอีกครั้ง ต่างยกอาวุธของตนขึ้นมาแล้วการต่อสู้ก็เริ่มขึ้น แต่ด้วยท้องนามีลักษณะเป็นพื้นที่ที่ไม่ราบเรียบมีเพียงคันนาแคบๆ ทำให้การต่อสู้ยากกว่าปกติ ลูกผู้ชายกับพันเทพสู้กันสูสี ทั้งคู่ค่อยๆ ทยอยปล่อยท่าไม้ตาย ชาวนาต่างดูกันไปลุ้นกันไป ทั้งคู่ไล่สู้กันไปจนริมคลองส่งน้ำ เด็กชายคนหนึ่งเห็นลูกผู้ชายก็ดีใจ วิ่งรี่เข้ามาหาอย่างไม่รู้เรื่อง
“ลูกผู้ชาย”
ลูกผู้ชายเสียสมาธิ พันเทพถือโอกาสใช้เด็กเป็นเครื่องมือใช้ไม้ตะพดทำให้เด็กเกือบร่วงน้ำไป ลูกผู้ชายคว้าไว้ได้ก่อน แต่เป็นการเปิดช่องโหว่ให้พันเทพจู่โจมลูกผู้ชายจนเกือบเสียหลัก พันเทพเห็นลูกผู้ชายเสียท่าก็ชะล่าใจ ลูกผู้ชายรีบซัดท่าไม้ตายใส่พันเทพทำเอาพันเทพเสียหลักเกือบตกสะพานแต่เขาเอามือคว้าไว้ได้ทัน ตัวห้อยโตงเตง
“แกแพ้แล้วพันเทพ เลิกยุ่งกับที่นาชาวบ้านซะ”
“เออ” พันเทพตอบอย่างเจ็บใจ ลูกผู้ชายยื่นมือจะช่วยพันเทพขึ้นมาจากที่ห้อยอยู่ตรงสะพาน พันเทพไม่รับความช่วยเหลือจากลูกผู้ชาย “ชั้นยอมตกไปซะดีกว่ารับความช่วยเหลือจากแก”
“ตามใจ”
ชาวนาต่างมาขอบคุณชื่นชมลูกผู้ชาย แม่ของเด็กก็เข้ามาขอบอกขอบใจลูกผู้ชาย
“ขอบใจนะลูกผู้ชาย ไม่งั้นป่านนี้ไอ้หนูตกน้ำไปแล้ว”
“ไม่เป็นไร”
“ที่นาของเราจะไม่โดนพันเทพมันเอาไปแล้วใช่มั้ยลูกผู้ชาย” ลูกผู้ชายพยักหน้า
“พันเทพ ถึงมันจะเลวยังไง มันก็เป็นคนรักษาคำพูด”
ทางด้านพันเทพที่ห้อยอยู่บนสะพาน พันเทพใช้ร่มเกี่ยวกับต้นไม้แล้วใช้พลังของไม้ตะพดเหวี่ยงตัวเองขึ้นมาได้ พันเทพมองชาวบ้านที่ชื่นชมลูกผู้ชายอย่างแค้นๆ ไม่สบอารมณ์นัก
เมื่อกลับมาบ้านพันเทพก็เข้ามาคุยโทรศัพท์ที่ห้องทำงาน
“ครับท่าน เรื่องที่นามันมีปัญหานิดหน่อยน่ะครับ ผมว่าเราอาจต้องไปหาที่อื่น...ครับ ผมต้องขอโทษด้วยครับท่าน” พันเทพวางโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด “ลูกผู้ชาย แกขวางเส้นทางการเมืองชั้น แกจะขวางชั้นทุกเรื่องเลยรึไง” เสียงเคาะประตูดังขึ้น “เข้ามา”
สมุนพันเทพเดิน เอาเอกสารมาให้เซ็น
“รายชื่อแขกทั้งหมดที่จะมางานครับท่าน”
“งาน?”
“งานต้อนรับคุณแพรวาและคุณราตรีไงครับ”
พันเทพถอนหายใจ
“เกือบลืมไปเลย”
ส่วนที่ท่ารถบขส. เมฆเดินมาหน้าท่ารถแล้วหยุดเดินจัดแต่งผมเผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะเดินเป๋เข้าไป เมื่อกลับมาท่ารถ เมฆมานั่งคุยกับไกรและชาญเกี่ยวกับตำนานไม้ตะพด
“ไม้ตะพดมันมีตำนานนี่เอง มันถึงได้วิเศษขนาดนั้น”
“ผมก็แค่เล่าเรื่องที่อ่านมาให้ฟังก็แค่นั้น เรื่องจริงรึเปล่าไม่รู้ แต่ผมชอบนะ ที่ไม้จันทร์พันปีหักสองท่อนจนกลายเป็นไม้ตะพดสองอัน”
“มันอาจจะไม่เกี่ยวอะไรกันกับลูกผู้ชายก็ได้นะ เราก็แค่โยงๆ กันไปเอง”
“ร้อยใช่พันใช่ต่างหาก ตำนานศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ ไม่มีมั่วไม้ที่ลูกผู้ชายใช้ต้องเป็นของฤาษีแน่ๆ แต่ไม้ตะพดอีกอันนี่สิไปอยู่กับใคร”
ทางด้านพันเทพขณะนั้นเขากำลังสั่งงานลูกน้องทางโทรศัพท์
“งานวันนี้พวกแกดูแลให้ดีด้วย แขกสำคัญมาเยอะ อย่าให้ใครที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาในงานได้เด็ดขาด ชั้นไม่อยากให้ลูกๆ ชั้นเป็นอันตราย”
พันเทพวางหูโทรศัพท์ หยิบไม้ตะพดออกจากกล่องอย่างเบามือ เขาเอามันใส่เข้ากับอะไหล่ร่ม กลายเป็นร่มอีกครั้ง พันเทพยิ้มเจ้าเล่ห์
ที่โรงน้ำแข็งขณะนั้นจันทร์กับอบเชยยังสู้กันอยู่อบเชยไม่ขยับเท้าไปไหนแล้วจันทร์ก็นึกอะไรออก ดีดน็อตไปยังไม้ที่ยืนดูอยู่โดนหัวพอดี
“โอ๊ย”
“อุ๊ย โทษทีพลาดไปหน่อย”
อบเชยหันไปตามเสียงร้องของไม้
“ไม้” เลือดไหลออกมาจากหัวไม้ อบเชยตกใจรีบวิ่งไปดูเอาเท้าออกจากน้ำแข็ง “เลือดไหลด้วย เจ็บมากรึเปล่า”
จันทร์ยิ้มที่แผนตัวเองสำเร็จ
“โธ่เอ้ย ไม่ต้องเห็นที่เธอเขียนชั้นก็ดูออก แต่ชั้นอยากจะมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรก็แค่นั้น”
จันทร์เดินไปดูที่น้ำแข็งกะว่าจะได้เห็นชื่อไม้ แต่ปรากฏว่ากลายเป็นรอยเท้าของอบเชยสลักบนน้ำแข็งแทน จันทร์เจ็บใจ
“โธ่เอ๊ย ดันสู้นานไปหน่อย ลืมคิดเรื่องนี้ไปได้ยังไงนะ”
อบเชยทำแผลให้ไม้เสร็จจึงต่อว่าไม่ที่ไม่ยอมหลบ
“ไม้นะไม้ เห็นน็อตมันลอยมาทำไมไม่หลบชั้นสอนแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วมัวทำอะไรอยู่”
“ก็มัวดูคนกำลังพยายามปกปิดหัวใจตัวเอง”
“อย่ามาพูดแบบนี้นะ”
“นึกว่าปิดไว้แล้วจะไม่มีคนรู้รึไงว่าเธอน่ะชอบ...ไกร ลูกชายเจ๊กี”
“อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย ชั้นชอบใคร คนโง่ๆ อย่างเธอไม่มีทางรู้หรอก”
“เออ ชั้นมันโง่ ไม่มีอะไรดีซักอย่าง”
“ใช่ โง่มากด้วย แล้วคนโง่ๆ อย่างเธอก็ดันไปหลงรักแพรวา ดอกฟ้าที่ไม่มีวันเอื้อมถึง”
“แล้วไกรน่ะ เธอเอื้อมถึงนักนี่ อย่าว่าแต่ไกรเลย ชาวบ้านธรรมดาปกติใครเค้าจะมาชอบผู้หญิงแก่นกะโหลกอย่างเธอ”
“มีก็แล้วกัน”
“ไหน ใคร?”
ไม้จ้องอบเชยคาดคั้นเอาคำตอบ จู่ๆ เสียงแตรรถก็ดังขึ้น อบเชยลุกออกไปดู
อบเชยเดินออกมาหน้าบ้านเป็นรถทิวาที่มาจอดรอ ทิวาลงจากรถมา
“นึกแล้วว่าต้องไม่มีชุดสวยๆ นี่ไง ชั้นซื้อมาให้เธอเปลี่ยนด้วย”
“ใครบอกว่าจะไป งานบ้าบออะไรของบ้านนายกัน”
ทิวาไม่ฟัง หยิบชุดราตรีสวยมาทาบอบเชย
“ดูชุดสิ เธอน่าจะใส่ได้พอดีเลยนะ ชั้นนี้เดาเก่งจริงๆ”
“ชั้นไม่ใส่หรอก เก็บกลับไปเถอะ”
“อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธสิ อย่างน้อยก็น่าจะลองดูก่อน”
ไม้เดินออกมาหน้าบ้าน อบเชยเห็นแสดงละครทันที
“สวยดีเหมือนกันนะ ขอบคุณมากเลยนะที่ซื้อมาให้”
“อบเชยต้องใส่สวยแน่ๆ”
“งั้นเราไปงานเลยดีกว่า เดี๋ยวจะสาย”
“อ้าวไม่เปลี่ยนชุดก่อนเหรอ”
“เดี๋ยวค่อยเปลี่ยนก่อนเข้างานก็ได้นี่”
“เอางั้นก็ได้”
ทิวาพาอบเชยขึ้นรถ อบเชยมองไม้ยิ้มเยาะ ไม้งงที่เป็นอบเชยกับทิวา
“ไอ้ทิวา เป็นไปได้ไง”
ทิวายิ้มดีใจที่อบเชยนั่งรถมาด้วย แต่แล้วจู่ๆ อบเชยก็บอกให้จอดรถ
“เดี๋ยวจอดให้ชั้นลงข้างหน้านี่แหละ”
“อะไรเนี่ย”
“ชั้นไม่ไป ก็บอกไปแล้วว่าไม่ไปยังจะอะไรอีก”
“ก็เมื่อกี้...”
“ชั้นพูดเล่น จอดให้ลงด้วย”
“ไม่มีทางหรอก”
“เอ๊ะ นี่...”
“ชั้นไม่ใช่คนที่เธอจะมาทำโลเลด้วยได้นะ”
“ก็เรื่องของนาย ชั้นไม่กลัวหรอก”
“ก็ลองดู คืนนี้พ่อเธอไปที่งานด้วยถ้าเค้าไม่เจอกับลูกสาวตัวเอง ก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับออกมารึเปล่า”
“วิธีสกปรก”
ทิวายิ้มรับ
“ถ้ามันทำให้ชั้นเอาชนะเธอได้ ชั้นถือว่าเป็นวิธีที่ดี”
อบเชยเจ็บใจ
คืนนั้นที่บ้านพันเทพแขกเหรื่อมากมายมากันเต็มพื้นที่ไปหมด พันเทพถือร่มไว้ข้างตัวนั่งที่โต๊ะกับลูกทั้งสามคน คุยกับแขกในโต๊ะ
“งานวันนี้ก็จัดขึ้นเพื่อต้อนรับลูกสาวทั้งสองคนที่เพิ่งเรียนจบจากอังกฤษ จะมาช่วยผมบริหารสายรถตู้”
ลูกๆ ยิ้มกับแขกราตรีกระซิบกับพ่อ
“หนูขอไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะคะ”
“เอาเลยลูก”
ราตรีเดินแยกออกไป ศรนารายณ์เดินเข้ามามองพันเทพที่กำลังคุยที่โต๊ะเห็นร่มวางอยู่ข้างตัวพันเทพก็แปลกใจ

“ฝนก็ไม่เห็นตก ทำไมไอ้พันเทพต้องพกร่มไปไหนมาไหนด้วยนะ”
อบเชยอยู่ในชุดราตรีที่ทิวาเอามาให้ เธอมองตัวเองในกระจกที่อยู่ในห้องน้ำบ้านพันเทพ

“ชั้นมาทำอะไรที่นี่เนี่ย”
ราตรีเดินเข้ามาในห้องน้ำชนอบเชยจนเซไป แล้วมองเฉยๆ อย่างไม่สนใจและไม่ขอโทษจะเดินต่อไป
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ ชนคนอื่นก็น่าจะขอโทษซักคำ” ราตรีหันมามองอบเชยอย่างไม่แคร์ “นี่เธอมัน...คนที่อยู่กับไม้เมื่อวานนี่”
“พูดอะไรของเธอ ชั้นไม่มีเวลามาคุยด้วยหรอกนะ ชั้นต้องไปต้อนรับแขกอีกเยอะ”
“หน้าตาดีซะเปล่า แต่ไม่มีมารยาท ไม้สนใจคน อย่างเธอไปได้ยังไง”
“ชั้นไม่รู้หรอกนะว่าเธอพูดเรื่องอะไร แต่เราสองคนไม่รู้จักกันมาก่อน เธอจะด่าอะไรก็เรื่องของเธอ คำจากคนที่ท่าทางบ้านนอกๆ อย่างเธอ ชั้นไม่ใส่ใจฟังหรอกเสียเวลา”
ราตรีไม่สนใจเดินเข้าห้องน้ำไป อบเชยโกรธจัดเดินออกไป
อบเชยออกมาสงบสติอารมณ์ด้านนอกแต่ก็ทำไม่ได้ ใจเธอเดือดพล่าน
“ใจเย็นไม่ได้ มีเรื่องก็ต้องมีละว่ะ ชั้นไม่กลัวหรอก ทำมาทำท่าทางผู้ดีเดี๋ยวจะตบให้กลายเป็นแม่ค้าเลยคอยดู”
อบเชยเดินอาดๆ จะกลับไปเอาเรื่อง แพรวาเดินมาทางนั้นพอดี แพรวาเจออบเชยก็ยิ้มให้อย่างมีมิตรไมตรี
“เจอพอดีเลย ขอโทษชั้นเดี๋ยวนี้”
อบเชยบอกแพรววาถึงกับงง
“อะไรนะ”
“ที่เธอด่าชั้นเมื่อกี้ขอโทษเดี๋ยวนี้”
“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”
“ตกลงจะไม่ขอโทษใช่มั้ย ได้...ชั้นไม่ยอมให้เธอด่าชั้นฟรีๆ หรอก”
อบเชยตบฉาดจนแพรวาล้มลงไป เสียงฟ้าร้องครืนๆ ทิวาเดินมาเห็นพอดีวิ่งเข้ามาดูน้องตน
“นี่เธอทำอะไรของเธอน่ะอบเชย”
“ก็ถามเขาสิ ว่าเขาทำอะไรชั้นก่อน”
“เรื่องอะไรกันแพรวา”
แพรวาส่ายหน้า...พันเทพวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาพร้อมกับศรนารายณ์ ศรนารายณ์วิ่งไปหาอบเชย
“อะไรกัน เธอมาทำร้ายลูกสาวชั้นทำไมอยากโดนดีใช่มั้ย”
พันเทพบอกอย่างไม่พอใจ
“ทีแกเที่ยวจ้างคนไปรังแกคนอื่นๆ ในอำเภอล่ะ”
พันเทพเงื้อมมือจะตบอบเชย ศรนารายณ์เข้ามาห้าม
“อย่ามีเรื่องกันเลยนะพี่นะ ลูกผมก็เป็นแบบนี้แหละ ผมขอโทษแทนมันด้วยละกัน”
“ไปขอโทษทำไมพ่อ เราไม่ได้ทำอะไรผิด”
ทิวาพยุงแพรวาลุกขึ้น
“เป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อย่ามีเรื่องกันเพราะแพรวาเลยนะคะ ทั้งหมดนี่น่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดมากกว่า”
“ชิ พอคนอยู่เยอะๆ ทำแอ๊บเป็นนางเอกเชียว” อบเชยบ่นกับตัวเอง
“หยุดพล่ามได้แล้ว นี่ชั้นเห็นแก่ลูกชั้นหรอกนะชั้นจะไม่เอาเรื่องเธอ นี่ศรนารายณ์ช่วยดูแลลูกตัวเองให้ดีกว่านี้”
พันเทพบอก ศรนารายณ์นิ่งมองลูกตัวเอง อบเชยเจ็บใจ
ศรนารายณ์ลากอบเชยออกมายืนคุยที่โต๊ะที่พันเทพนั่งตอนแรก อบเชยไม่พอใจพ่อตนนัก
“พ่อทำเหมือนหนูเป็นคนผิดงั้นแหละ”
“ลูกอยู่ในงานมัน ลูกน้องและพวกของมันทั้งนั้นอยู่ในงานนี้ พ่อไม่ยอมให้ลูกมาเสี่ยงหรอก”
“แต่มันด่าหนูก่อนจริงๆ นะ”
“เออ เอาเถอะ ออกไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า” เสียงฟ้าร้องครืนๆ “นี่ท่าทางฝนจะตกนะเนี่ย”ศรนารายณ์หันไปเห็นร่มของพันเทพที่วางอยู่ที่โต๊ะ “ไอ้พันเทพ ต่อให้มันเลวยังไงแต่มันรอบคอบจริงๆ คงดู
พยากรณ์อากาศมาสิท่า” ศรนารายณ์เดินไปหยิบร่มที่วางอยู่ “ยืมก่อนแล้วกันนะ บ้านแกอยู่แค่นี้ไม่ต้องกลัวเปียกหรอก ไปลูก”
อบเชยเดินตามพ่อไปอย่างไม่เต็มใจนัก
ฝนตกลงมาอย่างหนักศรนารายณ์เดินกางร่มเข้ามาในบ้านกับอบเชย วางร่มตากไว้
“นี่ไม่ได้ร่มนี่แย่เลยนะเนี่ย พ่อนี่เก่งนะว่ามั้ย”
“แค่กางร่ม ไม่เห็นจะเก่งตรงไหน ถ้าหนูกางแล้วพ่อไม่เปียกสิ ถึงจะเก่ง”
อบเชยเซ็งๆ แยกตัวไป ศรนารายณ์ระอากับลูกตน
“พูดอะไรของมัน เข้าใจยากจริง”
ขณะนั้นพันเทพและลูกทั้งสามนั่งอยู่ด้วยกันในห้องรับแขก
“ฝนไล่แขกกลับไปหมดเลย”
“ฝนหรือใครกันแน่ พ่อเลี้ยงให้ชั้นทั้งที” ราตรีมองแพรวา “กลับทำให้หมดสนุกได้”
“เอาน่า แพรวาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยหรอก”
“ชิ ตัวดีล่ะไม่ว่า”
“เสียดายนะครับพ่อ ไม่รู้ก่อนว่าฝนจะตก จะได้ให้คนเตรียมร่มสนามไว้ด้วย”
พอได้ยินคำว่าร่มพันเทพก็นึกถึงร่มตัวเองที่วางไว้ที่โต๊ะ
“ร่ม”
พันเทพจะลุกออกไป ทิวาห้ามไว้
“พ่อจะไปไหนน่ะ”
“พ่อลืมของทิ้งไว้ที่สนาม”
“ของ ของอะไร สำคัญรึเปล่า”
“ร่ม”
ราตรีหัวเราะ
“แค่ร่มอันเดียว พ่อจะต้องไปสนใจทำไม”
“ไม่ได้” พันเทพจะไปดู
“ให้ไอ้พวกนี้ไปหาให้ก็ได้พ่อ...ไปเอาร่มของพ่อมาซิ” ทิวาหันไปบอกสมุน สมุนพยักหน้ารับ
“ครับ”
สมุนวิ่งออกไป...พันเทพยืนมองสมุนตากฝนหาร่ม อย่างลุ้นๆ จนกระทั่งสมุนเดินตากฝนกลับเข้ามา
“หาไม่เจอเลยครับ”
“มันจะหายไปได้ยังไง กลับไปหาต่อสิ ไม่ต้องพักจนกว่าจะหาเจอ”
“ครับ”
สมุนจำต้องตากฝนออกไปอีก ทิวาเดินมาหาพ่อ
“มันเป็นร่มอะไร สำคัญขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
พันเทพไม่ตอบ
ที่บ้านศรนารายณ์ กลางดึกคืนนั้นขณะที่ศรนารายณ์นอนหลับอยู่ก็รู้สึกเหมือนมีเงาตัวอะไรบินไปมาบนห้อง ศรนารายณ์ลืมตาดูก็ไม่เห็นอะไร ศรนารายณ์เดินมาตรงจุดที่กางตากร่มไว้เห็นร่มหุบวางอยู่บนพื้น
“ก็กางตากไว้นี่หว่า ทำไมถึงหุบได้นะ”
เช้าวันรุ่งขึ้นอบเชยเดินงัวเงียเข้ามาในครัว เห็นศรนารายณ์กำลังง่วนอยู่กับการทำอะไรบางอย่าง
“วันนี้พ่อลงมือทำกับข้าวเองเลยเหรอ”
ศรนารายณ์ค่อยๆ หันมา มือนึงถือมีด ข้อมืออีกข้างเต็มไปด้วยเลือด แล้วพูดออกมาเป็นเสียงคล้ายค้างคาว อบเชยกรี๊ดลั่น
อบเชยกรี๊ดลั่นแล้วสะดุ้งตื่นบนที่นอน ศรนารายณ์วิ่งเข้ามาถือมีดในมือด้วย
“มีอะไรลูก ร้องเสียงดังเลย”
อบเชยพยายามตั้งสติ เห็นมีดในมือศรนารายณ์ก็ร้องกรี๊ดออกมาอีก
“กรี๊ดดดดดดด”
“หยุด นี่มันอะไรเนี่ย”
“พ่อถือมีดมาทำไม”
“พ่อทำกับข้าวอยู่ เห็นลูกร้องพ่อก็รีบวิ่งมาฝันร้ายเหรอ”
“น่าจะ”
“แยกความฝันกับความจริงไม่ออกแล้วรึไง”
“มันเหมือนเรื่องจริงมาก”
“โธ่เอ๊ย เด็กน้อย...” ศรนารายณ์เอามือข้างที่ถือมีดขยี้หัวอบเชย
“พ่อช่วยวางมีดก่อนได้มั้ยเนี่ย”
ศรนารายณ์ยิ้มมองอบเชยอย่างเอ็นดู อบเชยเครียดกับความฝันตัวเอง
ที่บ้านพันเทพขณะนั้นพันเทพยืนสั่งสมุนทุกคน
“แกเอาสมุดรายชื่อแขกทุกคนเมื่อคืนมาดู แล้วไปค้นทุกบ้าน หาร่มของชั้นให้เจอให้ได้ ใครไม่ยอมให้ค้นจัดการมันได้เลย”
สมุนทุกคนพยักหน้า พันเทพและสมุนต่างไม่มีใครเห็นว่าทิวาแอบดูพฤติกรรมพันเทพอยู่
“แค่ร่มอันเดียว มันต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ มันคือร่มอะไรกันแน่”
ทิวาไม่คลายความสงสัย

ศรนารายณ์หาของที่เก็บอยู่ในปี๊บที่มีขอบภายในคม ท่ามกลางของที่รกไปหมด ศรนารายณ์ล้วงหาของแล้วต้องตกใจเมื่อหมาตัวหนึ่งมายืนมองเค้าแล้วเห่าเสียงดัง แยกเขี้ยวขู่ ศรนารายณ์ตกใจข้อมือบาดกับขอบปี๊บ

“เฮ้ย...เห่าอะไรไอ้หวัง จำชั้นไม่ได้รึไง”
ศรนารายณ์เลือดหยดติ่งๆ จากแผลที่ข้อมือ หมาเห่าขู่ไม่หยุด อบเชยออกมาเห็นพอดี
“พ่อ...มีอะไร”
“ก็ไอ้หวังน่ะสิ อยู่ๆ มันก็มาเห่าพ่อเอาเป็นเอาตาย ทำยังกับพ่อเป็นคนแปลกหน้างั้นแหละ”
“ไอ้หวัง ไป ไป” อบเชยไล่หมา หมาวิ่งหวาดผวาออกไปนอกบ้าน อบเชยวิ่งมาหาพ่อ “นี่ไอ้หวังกัดเหรอ”
“เปล่า พ่อซุ่มซ่ามเองแหละ”
อบเชยนึกถึงความฝันตัวเองที่ฝันเห็นศรนารายณ์เลือดท่วมข้อมือในข้างเดียวกัน เธอใจไม่ค่อยดีนัก
อบเชยพาศรนารายณ์เดินเข้ามาในบ้าน เลือดหยดเป็นทางไปโดนร่มที่วางอยู่เลือดซึมหายเข้าไปในร่ม อบเชยได้ยินเสียงประหลาดคล้ายค้างคาวเหมือนในฝัน เธอยิ่งใจไม่ดีเข้าไปใหญ่
“มีอะไรเหรอลูก”
“พ่อได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ มั้ย เสียงคล้ายๆ กับ ค้างคาวเลย”
“ไม่นิ เสียงนกรึเปล่า”
“ช่างเหอะ ไปทำแผลก่อนดีกว่า”
อบเชยทำแผลให้พ่อ
ส่วนที่บ้านพันเทพขณะนั้นราตรีนั่งดูอัลบั้มรูปอยู่ในห้องทิวา ทิวาเดินเข้ามา
“เป็นไง ปรับเวลานอนให้เข้ากับบ้านเราได้รึยัง”
“ก็ยังนอนไม่ค่อยหลับหรอก”
“เดี๋ยวก็ชิน”
“อืม... รูปพวกเราตอนเด็กๆ นี่ตลกดีเนอะ ไม่ได้เห็นตั้งนาน” ทิวายิ้ม ราตรีชี้รูป “พี่ทิวาดูพี่รูปนี้สิ ตลกชะมัดเลย” ทิวาเดินมาดูรูป ยิ้มไปกับราตรี แล้วราตรีก็สังเกตเห็นว่าเวลาถ่ายรูปรวมครอบครัว ทิวาจะต้องแยกยืนอยู่คนเดียว โดยที่พันเทพเองก็ไม่จับตัวทิวาเลย “แต่น่าแปลกนะ ดูสิ รูปที่ถ่ายรวมกันทุกรูป พี่ทิวาเหมือนมาคนละงานน่ะ ไม่เกี่ยวข้องกับใครซักคน” ทิวาหน้าเจื่อนราตรีเปิดไล่ดูทั้งอัลบั้ม “ทำไมไม่มีรูปพี่คู่กับพ่อเลยซักรูปล่ะ”
“เด็กๆ พี่ไม่ชอบถ่ายรูป” ทิวาบอกเสียงแข็งปกปิดบางอย่างไว้
“เหรอ”
ทิวามองไปที่รูป แล้วก็สังเกตเห็นพันเทพที่อยู่ในรูปถือร่มไว้ในมือด้วย ทิวาแย่งอัลบั้มรูปมาจากราตรี
“เอามานี่ซิ” ทิวาเปิดรูปในอัลบั้มตั้งแต่ยังเด็ก พันเทพถือร่มไว้ในมือตลอด ทิวาเห็นก็ตกใจพลิกไปดูรูปอื่นๆ ก็เห็นทิวาถือร่มอยู่ตลอดเวลา “ร่ม”
“อะไรเหรอพี่ทิวา”
“ไม่มีอะไรหรอก”
ราตรีชี้รูปที่มีพันเทพถือร่มในหลายๆ รูป
“พี่ทิวาดูนี่สิ ในรูปเหมือนจะมีเงาดำๆ แปลกๆ อยู่ด้วย”
ทิวาสังเกตดูในรูปที่มีพันเทพถือร่ม จะมีเงาดำๆ ที่ไม่รู้เป็นอะไรปรากฏอยู่ด้วยจางๆ ดูไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร เงาดำอยู่รอบๆ ตัวพันเทพ ทิวาเปิดดูทุกรูปจะเป็นคล้ายๆ กันหมด
“มันเงาอะไรเหรอพี่ทิวา”
“คงเป็นที่กล้องมากกว่า ไม่มีอะไรหรอก”
ทิวาบอกราตรีไม่ให้สนใจ แต่ตัวเขาไม่เลิกสงสัยเกี่ยวกับร่มเลย
ที่ท่ารถบขส.รถของเมฆเข้าจอดที่ท่ารถ ผู้โดยสารทยอยลงจากรถตามลงมาด้วยไม้ ชาญและเมฆ
เจ๊กียืนดูธุรกิจตัวเองอย่างพอใจ ไม้ ชาญ เมฆ ลงมาเจอเจ๊กี ไม้กับเมฆยกมือไหว้เจ๊กีอย่างเคารพ
“หวัดดีเจ๊ มายืนคุมกลัวโดนโกงเหรอ” ชาญถาม
“ไอ้นี่นะ…ปากลื๊อนะน่า” เจ๊กียกเท้าขึ้นมาแทนคำพูด
“แน่ะ ทำอะไรน่ะ ไม่สุภาพเลย”
“ไอ้ชาญ ลื๊อนี่จะตายเพราะปากเข้าซักวัน” เจ๊กีมองมาที่ไม้ “อ้าว แล้วนี่ไม้ ลื้อไม่ไปเรียนหนังสือหนังหาแล้วรึไง”
“เรียนจบแล้วครับ”
“ไม้มันทำงานที่โรงน้ำแข็ง แล้วก็ไปรับจ้างที่อู่บ้างในวันที่ขาดคนน่ะเจ๊ งานมันหายาก มีอะไรทำก็ให้มันทำไปก่อน” เมฆบอก
“มาเป็นผู้ช่วยอาไกรมั้ย อีกำลังหาผู้ช่วยอยู่พอดี”
“ไอ้ไม้เป็นผู้ช่วยชั้นก็ดีอยู่แล้ว ใช่มั้ยไม้”
ไม่มีใครเอาด้วยกับชาญ เมฆมองชาญดุๆ ชาญจ๋อย
“ผู้ช่วย ทำอะไรเหรอครับ” เมฆถามเจ๊กี
“ก็ทุกอย่าง อาไกรอยากให้ทำอะไรก็ทำให้อี”
“ลูกผมไม่ไหวหรอกมั้ง มันไม่ได้เรียนสูงอะไร”
“แต่ทางนี้ไหวนะ” ชาญชี้ตัวเอง “รู้หมดล่ะเรื่องธุรกิจน่ะเห็นหน้าแบบนี้ เรียนจบมาสูงนะ”
“จบอะไรมาพี่” ไม้ถาม
“AMB”
ทุกคนงง ว่าคืออะไร
“เรียนอะไรน่ะพี่ AMB”
“ก็บริหารธุรกิจไง เอ็งนี่มันโง่จริง”
“MBA เค้าเรียก MBA พี่”
“อ้าวเหรอ ไม่รู้ ก็เรียนหลักสูตรเร่งรัด”
“ท่าทางครูจะสอนสลับไปสลับมานะ เป็น AMB ซะเลย”
“ซี้ซั๊วจริง” เจ๊กีหันหาไม้กับเมฆ “ที่อั๊วชวนไม่ได้อยากหาคนเก่งอะไรหรอก อยากหาคนไว้ใจได้มากกว่า ไม้นี่อั๊วก็เห็นมาตั้งแต่เด็ก ท่าทางเป็นเด็กดี เลยอยากให้มาช่วยกัน”
“ขอบคุณครับ... ขอบคุณเจ๊กีเค้าสิลูก”
“ขอบคุณครับ แต่…”
“งั้นเริ่มงานเลยละกันนะ ตามไปหาอาไกรเลย”
“เอ่อ…”
“ขอบคุณครับ”
เมฆยิ้มแย้มดีใจ ผิดกับไม้ที่ไม่ค่อยเต็มใจนัก
เมฆเอาผ้ามาเช็ดทำความสะอาดเบาะรถ ไม้เดินมาหา
“พ่อ ชั้นไม่อยากทำหรอกนะ งานผู้ช่วยนั่นน่ะ”
“ทำไมไม่อยาก”
“ชั้นไม่ชอบงานแบบนั้น”
“เคยทำแล้วเหรอ ถึงรู้ว่าไม่ชอบ”
“ก็ไม่เคยหรอก แต่มันไม่ได้ใช้สิ่งที่ชั้นเรียนมาซักนิด”
“แต่มันเป็นโอกาสที่ลูกจะได้พัฒนาตัวเอง ไม่ต้องมาทำงานใช้แรงงานเหมือนพ่อ”
“ยังไงชั้นก็ไม่อยากทำอยู่ดี”
“ให้โอกาสตัวเองบ้างเถอะ มันอาจจะดีกว่าไปเรียนมวยเพื่อแก้ปัญหาที่ปลายเหตุก็ได้”
“หมายความว่าไง”
“ถ้าแกมีชีวิตที่ดีกว่านี้ แกก็ไม่ต้องลำบากมาเป็นที่รองมือรองตีนของใครไง”
ไม้เถียงพ่อไม่ออก
ขณะนั้นศรนารายณ์เตรียมตัวจะออกไปข้างนอก อบเชยทำความสะอาดบ้านมาเห็นพอดี
“นั่นพ่อจะไปไหนน่ะ แขนหายดีแล้วเหรอ”
“โอ๊ย แผลแค่นี้ ไกลหัวใจ”
“พ่อ ชั้นรู้สึกใจไม่ค่อยดียังไงไม่รู้”
“ยังกังวลเรื่องฝันร้ายเมื่อคืนอยู่อีกละสิ”
อบเชยพยักหน้ารับ
“ชั้นว่ามันเริ่มจะเป็นจริงยังไงก็ไม่รู้”
“คิดมากน่า” ศรนารายณ์ลูบหัวอบเชย “เค้าว่าฝันร้ายจะกลายเป็นดีนะ เดี๋ยวพ่อจะเอาร่มไปคืนพันเทพหน่อย”
“แค่ร่มอันเดียว มันไม่สนใจหรอกมั้ง”
“การหยิบของคนอื่นมาโดยพลการมันแปลว่าขโมยนะ “
“ทำเป็นคนดี ลองถ้าเป็นคนอื่นลืมเงินแสนร่วงไว้หน้าบ้านล่ะ”
“อันนี้ก็ช่วยไม่ได้ เค้าโชคร้ายเอง”
“โธ่ นึกว่าจะดีจริง” ศรนารายณ์คว้าร่มมาถือ จะเอาไปคืนพันเทพ แต่เขาก็หยุดกึก ยืนนิ่ง อบเชยมอง “พ่อเป็นอะไรไปน่ะ เจ็บแผลเหรอ” ศรนารายณ์ไม่ตอบ อบเชยเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นพ่อตนกำลังยืนตาลอย อบเชยสะกิด “พ่อ พ่อ พ่อเป็นไร”
“ไม่คืน ร่มต้องอยู่ที่นี่”
“อ้าว จะเอาไงกันแน่” อบเชยคว้าร่มจากมือพ่อ “ไหนดูซิ ร่มอะไรกัน แพงมั้ยเนี่ย”
อบเชยเอามาถือแค่แป๊บเดียวแต่ก็รู้สึกถึงเสียงประหลาดวนรอบตัว ศรนารายณ์ก็คว้าขวับออกไปจากมืออบเชยทันที
“อย่ามายุ่งนะ”
อบเชยตกใจกับท่าทีแปลกๆ ของพ่อ
“พ่อเป็นอะไรไปน่ะ”
ศรนารายณ์พยายามทำร้ายอบเชยเพราะเข้าใจว่าจะแย่งร่มไป แต่อบเชยก็ปัดป้องไปตามเรื่อง ศรนารายณ์กวัดแกว่งร่มอย่างคล่องแคล่ว แล้วผลักอบเชยกระเด็น อบเชยมองพ่อตนที่มองร่มยิ้มๆ เหมือนคนบ้าอำนาจ
“มันเป็นของข้า ใครก็เอาไปไม่ได้”
อบเชยมองอย่างไม่เข้าใจ ศรนารายณ์พุ่งตรงจะเข้ามาทำร้ายอบเชยอีก อบเชยสู้กับพ่อตัวเองอย่างไม่เข้าใจนัก จนเธอปัดโดนมือศรนารายณ์ ร่มกระเด็นร่วงไป
“นี่ลูกทำอะไรพ่อเนี่ย” ศรนารายณ์ได้สติกลับมาเป็นคนเดิม
“ก็พ่อเป็นบ้าอะไรล่ะ”
“ก็ไม่มีอะไรนี่ พ่อกำลังจะเอาร่มไปคืน...อ้าวร่ม ไปไหน”
“ชั้นว่ามันมีอะไรแปลกๆ แล้วล่ะ”
“แปลกสิ อยู่ๆ ลูกมาตีพ่อทำไม เราพ่อลูกกันนะ”
“นี่พ่อจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ เหรอ”
“จำไม่ได้อะไร จำได้ว่าจะเอาร่มไปคืนแล้วลูกก็มาต่อยพ่อ ยังบอกว่าจำไม่ได้อีก”
“ชั้นว่าไม่ใครคนใดคนหนึ่งต้องผิดปกติแล้วล่ะ”
“ลูกไง”
“พ่ออยู่นี่นะ ยังไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น เดี๋ยวชั้นมา”
“อ้าว ชนแล้วหนี ย่ำยีแล้วไม่ยอมรับ”
อบเชยเดินออกไปอย่างไม่สบายใจนัก ศรนารายณ์มองตามงงๆ
อีกด้านหนึ่งขณะนั้นไม้เดินบ่นเข้ามาในบริเวณวัดคนเดียว
“ทำไมต้องให้มาทำงานเป็นลูกน้องไอ้หน้าหล่อนั่นด้วยนะ กลัวจะไม่มีปมด้อยใช่มั้ยเนี่ย” ไกรยืนกวาดลานวัดอยู่ ไม้มองเห็น “หืม เช้าตักบาตรเย็นกวาดโบสถ์ ผู้ชายน่ะเค้าต้องมีทักษะการต่อสู้ต่างหากถึงจะเท่”
ไม้พูดยังไม่ทันขาดคำ มะม่วงก็หล่นลงมาจากต้นจะลงหัวไกร แต่ไกรก็รับไว้ได้พอดี ไกรทำแล้วก็หันมาเห็นไม้ ไม้ยืนงงว่าทำได้ไง
“อ้าวไม้ มาถึงเร็วจัง”
“คุณไกรทำแบบเมื่อกี้ได้ยังไงน่ะ” ไกรยิ้มๆ ไม่ตอบ “คุณไกรเป็นมวยใช่มั้ย”
“ชั้นไม่สนใจพวกทักษะการต่อสู้พวกนั้นหรอก”
“อย่ามาโกหกหน่อยเลยน่า ดูการเคลื่อนไหวก็รู้”
“สติ สมาธิ ไง ใช้แค่นั้น ไม่ต้องเป็นหรอกมวยน่ะ”
“ผมไม่เชื่อหรอก” ไม้บุกเข้าไปใส่มวยชุดใหญ่กับไกร ไกรสามารถปัดป้องได้หมดทุกหมัด แต่เขาไม่สู้กลับเลยแม้แต่นิด เอาแต่ปัดป้องหมัดออกอย่างเดียว “ไหนบอกไม่เป็นมวย”
“สังเกตดีๆสิ ผมไม่สู้กลับแม้แต่ครั้งเดียว ผมแค่ป้องกันตัวแล้วอะไรบอกว่าผมเป็นมวยกัน เกิดมาผมยังไม่เคยต่อยใครเลยซักครั้ง เชื่อเถอะ”
ไกรเดินไปอย่างเท่ ไม้ยืนตะลึง งงกับการต่อสู้ที่เขาไม่เคยรู้จัก
ที่บ้านศรนารายณ์ ศรนารายณ์เดินผ่านร่มที่วางอยู่บนพื้น เขาเดินผ่านไปแล้วก็ถอยกลับมามอง เหมือนมีเสียงกระซิบบางอย่างให้เขาหยิบมันขึ้นมา ศรนารายณ์มองร่มอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้วก็เอื้อมมือหยิบร่มมาแววตาเปลี่ยนเป็นอีกคน ดูบ้าอำนาจ เสียงเคาะประตูดังขึ้น เสียงโวยวายลอดเข้ามา
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะศรนารายณ์ เปิดประตู”
ศรนารายณ์หันซ้ายหันขวาหาที่ซ่อนร่ม
สมุนพันเทพเคาะประตูตะโกนเรียกศรนารายณ์ให้เปิด
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะศรนารายณ์ ถ้าไม่เปิดจะพังเข้าไปแล้วนะ เปิดประตู”
สมุนพันเทพทำท่าจะพัง ศรนารายณ์เปิดประตูออกมาพอดี
“วันนี้ไม่ใช่วันสอนมวยซะหน่อยนี่ บุกมาทำไมถึงบ้าน”
“ของคุณพันเทพหายไปจากบ้านเมื่อคืน พวกเราจะมาหา”
“ของอะไรกัน”
“ร่ม”
“แค่ร่มอันเดียวต้องส่งสมุนมาตามหาขนาดนี้เลยเหรอ”
“มันสำคัญกับคุณพันเทพมาก”
“แล้วมีใครบอกรึไงว่าชั้นเอาไป”
“อย่าพูดมากเลยน่า... พวกเราค้นให้ทั่วบ้าน” สมุนหันไปบอกพวก
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน ใจเย็นๆ สิ”
สมุนพันเทพไม่ฟัง เข้าบ้านศรนารายณ์รื้อค้นทันที
สมุนพันเทพเดินเข้ามารื้อค้นบ้านศรนารายณ์ทุกซอกทุกมุม ข้าวของกระจุยกระจายไปหมด แต่ก็ไม่เจอร่ม
“ก็บอกแล้วว่าไม่มีก็ไม่เชื่อ”
สมุนพันเทพเจ็บใจที่หาร่มไม่เจอ
“พวกเรา กลับ”
ศรนารายณ์ยิ้มส่ง
“วันหลังมาอุดหนุนใหม่นะ”
พอสมุนพันเทพออกไป ศรนารายณ์ก็หยิบร่มมาจากที่ซ่อนไว้ข้างวงกบหลังประตู ศรนารายณ์มองแล้วยิ้มมีความสุข
อบเชยมาหาหลวงพ่อที่กุฏิ เธอเปิดประตูพรวดเข้ามาแล้วต้องตกใจเมื่อเห็นไม้กับไกรนั่งอยู่กับหลวงพ่อ
“อุ๊ย”
ไกรยิ้มหวานให้อบเชย
“เจอกันอีกแล้ว”
อบเชยเขิน ไม้ทำหน้าหมั่นไส้
“อะไรๆ กัน แม่อบเชย วิ่งควบมาเป็นม้าเลย กุฏิอาตมาไม่ใช่ที่วิ่งเล่นนะ”
“ชั้นไม่รู้ว่าหลวงพ่อมีแขกอยู่”
“นั่นสิ ทำไมไม่ถามก่อนล่ะ”
“ชั้นอยากนิมนต์หลวงพ่อไปที่บ้านชั้นหน่อยน่ะ”
“แน่ะ โยมไม่คิดจะถามก่อนเลยเหรอว่าหลวงพ่อติดกิจอะไรอยู่มั้ย”
“ติดหรือไม่ติด ชั้นก็อยากให้หลวงพ่อไป”
“เอากับมันสิ”
“มีเรื่องอะไรเหรออบเชย” ไม้ถาม อบเชยมองไม้ค้อนๆ
“ไม่ต้องมาสนใจหรอก ชั้นไม่ใช่คุณหนูผู้แสนดีนี่”
“มีเรื่องอะไรก็บอกมาเถอะ เผื่อจะช่วยกันได้”
“เมื่อคืนชั้นฝันร้าย พอตื่นมาพ่อชั้นมีอาการแปลกๆ เหมือนผีเข้า เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แล้วมันก็คล้ายกับที่ชั้นฝันมาก ชั้นว่าพ่อต้องโดนของหรือโดนมนต์ดำอะไรแน่ๆ เลย” ไม้หัวเราะ
“เรื่องแบบนั้นเธอเชื่อด้วยเหรอ สมัยนี้มันไม่มีหรอก”
“ถ้าไม่ช่วยก็หุบปากไปเลยไป” ไม้เจ็บใจ
“แล้วตอนนี้ปล่อยให้เค้าอยู่คนเดียวเหรอ” ไกรถาม อบเชยพยักหน้า “ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ไม่ควรให้เขาอยู่คนเดียวนะ รีบไปกันเถอะ”
อบเชยยิ้มกับคำพูดของไกร ไม้มองอย่างหมั่นไส้
“อ้าว...มัดมือชกกันเสร็จสรรพ” หลวงพ่อบอก
ทั้งหมดมาที่บ้านอบเชย พอเปิดประตูเข้ามาทั้งหมดมองหาศรนารายณ์ อบเชยหันไปเห็นร่มกางอยู่ที่มุมห้อง แล้วค่อยๆ หุบแล้วก็คางใหม่ โดยมีศรนารายณ์เป็นคนนั่งทำให้เป็นแบบนั้น แผลที่ข้อมือถูกแกะ เลือดไหล อบเชยตกใจ
“พ่อแกะแผลทำไม”
“เดี๋ยวพ่อจะเล่านิทานให้ฟังเอามั้ย พ่อฟังนิทานมาหลายเรื่องเลย”
“พ่อพูดอะไรน่ะ”
“ห้ามเลือดก่อนเถอะ” ไม้จะเดินเข้าไปหา ศรนารายณ์ตกใจหุบร่มเป็นอาวุธป้องกันตัว “อาศรนี่ชั้นเอง ไม้ไง ไม้ลูกพ่อเมฆ”
“ถ้าเข้ามาแกตายแน่ ของของชั้นใครก็เอาไปไม่ได้”
“โยมศร นี่อาตมาเอง จำได้มั้ย”
ศรนารายณ์มองหลวงพ่อนิ่ง
“ข้าไม่กลัวหรอก พระน่ะ”
“ลุงศรหมายถึงของอะไรเหรอครับที่ใครก็เอาไปไม่ได้”
“ชีวิตไง”
ไกรหันมากระซิบบอกทุกคน
“ผมว่าท่าทางเค้าเหมือนจะหวงร่มในมืออันนั้นนะครับ”
“นั่นร่มของพันเทพ ใช่ ตั้งแต่เอาร่มอันนี้มาก็เกิดเรื่องแปลกๆ”
“ถ้างั้นเราลองเอาร่มออกมาจะดีมั้ย”
“จะเอาออกมาได้ยังไง พ่อเป็นนักมวยแชมป์นะ”
“เราก็มีคนเป็นมวยอยู่นี่” ไกรหันมองไม้ หลวงพ่อ อบเชยก็หันมองตาม
“ทีเรื่องแบบนี้น่ะโยนมานะ ไม่เอาหรอก อาศรเก่งจะตาย”
“อยากเก่งมวยนักไม่ใช่เหรอ ก็ต้องฝึกเยอะๆ สิ นี่ไงโอกาสฝึก”
อบเชยบอก ไม้หน้าเสียไม่ค่อยกล้านัก แต่ก็แข็งใจเดินเข้าไปหาศรนารายณ์
“ออกไป”
ศรนารายณ์เข้าสู้กับไม้ ไม้พอรับมือได้บ้างแต่สุดท้ายก็พลาด อบเชยเข้าไปช่วยต่อสู้กับพ่อตัวเอง จนในที่สุดไม้ก็เข้ามาช่วย เตะร่มออกจากมือได้ศรนารายณ์ทรุดไกรเข้ามาประคองอบเชย
“เป็นอะไรมากรึเปล่า”
ไกรถามอบเชยอย่างเป็นห่วง ไม้มองอย่างหมั่นไส้
“นี่เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
ศรนารายณ์ถามอย่างงงๆ ไม้ลุกขึ้นจัดแจงปัดเนื้อตัวด้วยตัวเอง
“โยมจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เลยจริงๆ เหรอ” หลวงพ่อถามศรนารายณ์ ศรนารายณ์ทำหน้างงมาก อบเชยนั่งข้างศรนารายณ์มองทุกคน “จิตอ่อนจริงๆ โยมศร ... โยมไปหยิบร่มมาให้อาตมาที”
หลวงพ่อหันไปบอกไม้ ไม้มองร่มที่พื้น

“จะดีเหรอครับ”









Create Date : 13 มีนาคม 2555
Last Update : 13 มีนาคม 2555 14:07:11 น.
Counter : 282 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]