All Blog
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 8 (ต่อ)




หัวหน้าพยาบาลพาเมฆมาที่ห้องเก็บของ ภายในห้องนั้นมีเอกสารกองเป็นพะเนิน เมฆมองเข้าไปภายในห้องสำรวจด้วยสายตาคร่าวๆ

“ถ้ามันจะอยู่ ก็อยู่ในห้องนี้แหละค่ะ แต่ชั้นก็ไม่รับประกันว่าคุณจะเจอรึเปล่านะคะ เพราะตอนปี 2538 มีน้ำท่วมใหญ่ เอกสารมากมายเสียหายค่ะ” เมฆพยักหน้ารับ “ใช้ห้องเสร็จแล้วก็ล็อคกุญแจด้วยละกันค่ะ”
“ครับ” หัวหน้าพยาบาลจะเดินไป “ผมขอถามเพิ่มเติมนิดนึงครับ ว่า...พวกประวัติของเด็กแรกเกิดเนี่ย ปกติจะบันทึกไว้ตอนไหนครับ”
“พอเด็กคลอดออกมา เราก็จะบันทึกสีผม สีตาและกรุ๊ปเลือดทันที ในห้องคลอดเลยค่ะ พร้อมๆ กับที่ทำป้ายติดข้อมือเด็กนั่นแหละ”
“ถ้างั้นก็แปลว่า ไม่มีทางผิดตัวแน่ๆ”
“ใช่ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
หัวหน้าพยาบาลเดินจากไป เมฆมองกองเอกสารในห้องเก็บของไม่รู้จะเริ่มตรงไหน
ส่วนที่บ้านเจ๊กี ขณะนั้นเจ๊กีเดินไปเดินมาอย่างร้อนใจ มือถือโทรศัพท์แนบหู
“อาไกรนะอาไกร เถลไถลใหญ่แล้ว หายไปทั้งคืนไม่กลับบ้าน โทรไปยังไม่รับโทรศัพท์อีก ไม่ไหวเลยนะเนี่ย…รับโทรศัพท์สิอาไกร”
เจ๊กีไม่สบายใจ เดินไปเดินมา
อีกด้านหนึ่งที่วัดเมื่ออบเชยกับไม้คุยกับหลวงพ่อเสร็จ ทั้งคู่พากันมาเดินเล่นที่ท่าน้ำ ไม้มีสีหน้าครุ่นคิด
“ถ้ามันเป็นทางเดียวที่ทำให้พ่อหาย ชั้นจะไปป่าอาถรรพ์”
“ไม้ไปไหน ชั้นก็ไปด้วยหมดล่ะ”
“ไม่เอา...เธอไม่ต้องไปหรอก ถ้าหากว่าชั้นไม่รอดกลับมา เธอจะได้ช่วยดูแลพ่อไง”
อบเชยหน้างอ
“ก็ชั้นอยากไปกับไม้ด้วยนี่”
“ชั้นไม่อยากพาใครไปเสี่ยงด้วย”
“เห็นแก่ตัว”
“ห๊ะ ชั้นเนี่ยนะเห็นแก่ตัว ชั้นออกจะเสียสละนะ”
“เสียสละอะไรล่ะ ถ้าไม้ไม่กลับมาชั้นจะอยู่โดยไม่มีไม้ได้ยังไง” ไม้มองสบตาอบเชยอย่างซึ้งๆ “...ไหนจะลุงเมฆอีก จะปล่อยให้พ่อตัวเองเห็นลูกจากไป แล้วก็ต้องเจ็บปวดตลอดชีวิตที่เหลืองั้นเหรอ แบบนี้
ไม่เรียกว่าเห็นแก่ตัวแล้วจะเรียกว่าอะไร”
“เธอนี่มันดื้อจริง”
“ตกลงให้ไปด้วยแล้วใช่มั้ย”
อบเชยยิ้ม ไม้ทำเฉยๆ ไม่ตอบแต่ก็แอบยิ้ม
อบเชยกับไม้กำลังจะเดินผ่านท่าน้ำวัดไป เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“ได้ยินเสียงโทรศัพท์รึเปล่า”
“โทรศัพท์คนแถวนี้ละมั้ง”
“แถวนี้ไม่น่ามีโทรศัพท์นะ”
ไม้กวาดสายตามองหาก็เห็นรถสองคันจอดอยู่ซึ่งเป็นรถของไกรกับแพรวา ไม้เดินไปใกล้ๆ
อบเชยเดินตามไป
“เสียงโทรศัพท์ดังมาจากในนี้”
“นี่มันรถคุณไกรนี่”
“ทำเป็นรู้ดีนะ” ไม้เดินไปอีกนิดเห็นรถแพรวา “นี่มันรถคุณแพรวานี่”
“ตัวเองก็เหมือนกันนั่นแหละ ชิ”
ทั้งคู่มองหน้ากันค้อนๆ ไม้กับอบเชยลองมองหาไกรกับแพรวาไปทั่วๆ แต่ก็ไม่เห็น
“ไม่เห็นอยู่แถวนี้เลย”
ไม้ลองเปิดประตูรถไกร ปรากฏว่าเปิดได้
“ไม่ได้ล็อค”
เสียงโทรศัพท์ยังดังไม่หยุด ไม้หยิบโทรศัพท์มาเห็นเขียนหน้าจอว่าแม่ อบเชยมองหน้าไม้
“ถ้ารับเค้าจะไม่หาว่าเราขโมยของลูกเค้าใช่มั้ย”
“ไม่หรอก เราบริสุทธิ์ใจนี่” ไม้กดรับโทรศัพท์ “ฮัล...”
เจ๊กีดีใจที่ได้ยินเสียงคนรับโทรศัพท์คิดว่าไกรแน่ๆ เลยรัวเป็นชุด
“อาไกร ลื้อไปทำอะไรอยู่ที่ไหนทำไมไม่กลับบ้าน อั๊วโทรหาลื้อเป็นร้อยๆ ครั้งแล้วเนี่ย ทำไมเป็นคนแบบนี้ รู้มั้ยเนี่ยว่าอาม้าเป็นห่วง พระเค้ายิ่งทักอยู่ว่าก่อนวันเกิดให้ระวังอันตรายดีๆ อั๊วก็นึกว่าลื้อเป็นอะไรไปแล้ว รีบกลับมาบ้านเลยนะ”
“เอ่อ...เจ๊กีใจเย็นๆ ครับ ชั้นไม่ใช่คุณไกร”
“ไม่ใช่อาไกร แล้วลื้อเป็นใคร มารับโทรศัพท์ลูกอั๊วได้ยังไง ลูกอั๊วอยู่ไหน”
“ชั้น...ไม้เองครับ”
“อาไม้ ลูกอาเมฆน่ะเหรอ แล้วอาไกรอยู่ไหน”
“ใจเย็นๆ นะครับ คือชั้นยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคุณไกรอยู่ไหน พอดีชั้นมาที่วัดแล้วเห็นรถคุณไกรจอดอยู่ ไม่ได้ล็อค แล้วโทรศัพท์มันดัง ชั้นเลยมารับ”
“รถไม่ได้ล็อคด้วย อาไกรไม่ใช่คนแบบนั้นนะ ซี้แล้ว ซี้แล้ว ต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ เลย”
ไม้กับอบเชยมองหน้ากัน
ระหว่างนั้นที่โกดังบ้านเต็กกง เต็กกงกำลังสั่งให้ลูกน้องเก็บหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับแพรวาให้เรียบ เพราะกลัวพันเทพรู้
“เก็บให้หมดนะ อย่าให้ไอ้พันเทพรู้เด็ดขาดว่าเราจับตัวลูกมันมา”
ลูกน้องเต็กกงเคลียร์ของยังไม่ทันเสร็จ พันเทพก็เดินเข้ามา ทุกคนรีบทำท่าทีปกติ
“เป็นไง ของที่ให้ไปเอามาจากลูกเจ๊กี ได้มารึยัง”
“ตอนนี้ติดปัญหานิดหน่อย”
“ปัญหาอะไร”
“คือ...มันหนีไป”
“หนี...พูดง่ายๆ แบบนี้น่ะเหรอ ชั้นให้ไปจับมา แต่แกปล่อยให้มันหนี”
“ตอนนี้ก็ให้คนตามหามันทั้งคู่อยู่”
“ทั้งคู่? หมายความว่าไง ชั้นให้แกจับไอ้ไกรมาคนเดียว แกจับใครมาอีก”
“เปล่า ไม่มี แค่ใช้คำผิดน่ะ”
“ถ้าภายในวันนี้หามันไม่เจอ ชั้นจัดการแกก่อนมันแน่ๆ”
“นี่ก็ยังไม่ได้หยุดหาเลย อย่ามาสั่งอะไรที่ชั้นรู้ว่าต้องทำยังไงหน่อยเลยน่า”
“ให้มันได้อย่างที่พูดเถอะ ตอนเย็นชั้นมา หนังเสือต้องมากองอยู่ตรงหน้าชั้น เข้าใจมั้ย”
“รู้แล้ว”
พันเทพจะเดินออกไป เต็กกงเกือบจะโล่งใจแต่มือถือพันเทพก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล...เออ...อะไรนะ พูดอีกทีซิ ใครหายไปจากบ้านนะ” เต็กกงหน้าเสีย “แพรวาเหรอ...หาดีรึยัง...อืม หายไปตั้งแต่เมื่อวาน...”
พันเทพหน้าเครียดเมื่อรู้ว่าแพรวาหายไป
เจ๊กีกับไม้มาเจอกันทีท่ารถบขส. เจ๊กีมีท่าทางร้อนรนเพราะเป็นห่วงลูกชาย
“อาไกรจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ อั๊วละเป็นห่วงอีนัก ไม่เคยลำบากด้วย พวกลื้อต้องช่วยอาไกรนะ ต้องหาทางช่วยอีนะ”
“ครับ เดี๋ยวผมจะลองตามหาดูนะครับ เจ๊ใจเย็นๆ ก่อนนะ”
“มันต้องเกี่ยวอะไรกับยายแพรวาแน่ๆ”
“แพรวาไหน อีเป็นใคร อั๊วรู้จักรึเปล่า”
“ก็ลูกสาวนายพันเทพไง”
“อา...อั๊วจำได้แล้ว แล้วอีเกี่ยวอะไรกับอาไกร อีชอบกันเหรอ”
อบเชยมองหน้าไม้
“ไม่รู้”
“ไม่ได้นะ อีชอบกันไม่ได้ อั๊วไม่ให้ลูกอั๊วไปยุ่งกับครอบครัวไอ้พันเทพหรอก ลื้อสองคนต้องช่วยอั๊วนะ นะอาไม้นะ”
ไม้พยักหน้ารับ อบเชยมองหน้าไม้แอบเคือง เข้าใจว่าที่ไม้รับช่วยเพราะแพรวา
ทางด้านพันเทพหลังจากโทรศัพท์วางหูไปแล้ว พันเทพเดินวนไปวนมาอย่างหงุดหงิดอยู่ในโกดัง เต็กกงนึกหวาดหวั่น
“ใคร มันกล้าทำขนาดนี้”
พันเทพยกโทรศัพท์ขึ้นกดหาแพรวาแล้วจะเดินออกจากโกดังไป เต็กกงโล่งอก แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นในโกดัง พันเทพชะงักการเดินออกนึกสงสัย เต็กกงรีบกลบเกลื่อนด้วยการสั่งลูกน้อง
“พวกเอ็งรับโทรศัพท์ซะสิ มีงานเข้ารึเปล่าก็ไม่รู้”
สมุนเต็กกงพยายามหาแหล่งเสียง แต่กระเป๋าไปตกในหลืบ พันเทพสงสัยก็หาแหล่งของเสียงเหมือนกันและพันเทพก็เจอก่อนจนได้ เขาหยิบขึ้นมา เต็กกงพยายามจะกลบเกลื่อน
“นี่กระเป๋าเมียชั้นเอง หาตั้งนานว่าไปอยู่ไหน”
เต็กกงจะแย่งกระเป๋าจากพันเทพ พันเทพปัดมือเต็กกงทิ้ง
“เดี๋ยวก่อนสิ จะรีบเอาไปไหน” พันเทพเปิดกระเป๋าดู เห็นกระเป๋าสตางค์แพรวา เมื่อเปิดดูด้านในเห็นรูปแพรวาอีก พันเทพหันมองเต็กกงตาขวาง เต็กกงกลัวไม่กล้าสบตา “กระเป๋าลูกชั้นมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“สงสัยเมียจะเอาไปสับกับใครมาแน่ๆ เลย”
“งั้นเหรอ”
พันเทพจ้องเต็กกงด้วยสายตาเอาเรื่อง
ไม้เดินออกจากท่ารถบขส.ด้วยสีหน้าครุ่นคิดโดยมีอบเชยเดินตามมา
“เต็มใจช่วยเลยละสิ ยิ่งพอเจ๊กีให้แยกคุณไกรออกจากยายแพรวานั่น กลัวเค้าแอบหนีไปด้วยกันแล้วตัวเองจะอกหักใช่มั้ยล่ะ” อบเชยถามอย่างไม่พอใจ
“นี่...คนหายไปทั้งคนนะ เธอมัวคิดอะไรของเธออยู่เนี่ย คุณไกรก็มีบุญคุณกับชั้น คุณแพรวาก็ดีกับชั้น”
“ชิ แล้วจะไปตามหายังไง มีตาทิพย์รึไงล่ะ”
“ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านเต๊กกง มือเต็กกงถูกวางบนโต๊ะโดยมีมีดจ่อ แทบจะหั่นนิ้วทิ้ง เต็กกงร้องเสียงดังโวยวาย
“อย่า อย่า อย่าอย่าทำอะไรชั้นเลย ชั้นยอมแล้ว”
“ลูกสาวชั้นอยู่ไหน”
“หนีไปพร้อมไอ้ไกรนั่น”
“หมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่าชั้นจับลูกสาวแกมาพร้อมกับไอ้ไกร”
พันเทพตบหัวเต็กกง
“แกนี่มันร้ายนัก หนีไปไหน”
“ถ้ารู้จะมายอมให้แกทำร้ายอยู่แบบนี้เหรอ”
“ปากดีนัก ถ้าชั้นไม่เจอลูกสาวชั้นนะ ชั้นจะกลับมาตัดนิ้วแกให้ด้วนเลย คอยดู แล้วอย่าคิดหนีล่ะ ไม่งั้นจะโดนหนักกว่าแค่นิ้วแน่ๆ”
ขณะที่เจ๊กีกับพันเทพกำลังร้อนใจกับการหายตัวไปของไกรและแพรวา คนขับรถที่ไกรกับแพรวาอาศัยมาได้จอดที่ริมถนนสายเปลี่ยวแห่งหนึ่งเพื่อให้ไกรกับแพรวาลงจากรถ
“ต้องลงตรงนี้แหละ รถนี่จะแยกไปอีกทาง”
“ขอบคุณครับ แล้วนี่มันแถวไหนกันล่ะ”
“ไม่รู้ ไม่ได้ทำงานกรมทาง หาโบกคันอื่นไปแล้วกัน”
“ขอเราไปลงแถวที่มันมีคนหน่อยไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้เข้าตัวอำเภอ แยกไปจังหวัดอื่น...”ไกรกับแพรวามองรอบด้าน มีแต่ต้นไม้เปลี่ยว “อย่าเดินออกนอกถนนล่ะ เดี๋ยวหลงไปป่าอาถรรพ์ไม่รู้นะ” คนขับยิ้มๆ พูดขู่เล่นๆ
“ป่าอาถรรพ์ ?”
“ไม่ต้องกลัว ไม่มีจริงหรอก เขาเอาไว้หลอกเด็กกัน ไปล่ะ รีบเหมือนกัน”
รถกระบะขับออกไป ไกรกับแพรวามองหน้ากันสองคน
“ไม่ต้องห่วง น่าจะมีรถผ่านเข้าตัวตำบล ตัวอำเภอมั่งล่ะ”
ไกรปลอบใจตัวเองกับแพรวา รอบด้าน เงียบเชียบ ข้างทางเป็นป่าครึ้ม
ไม้เดินมาหาจันทร์ กับชาญที่กำลังทำความสะอาดรถของเมฆอยู่ อบเชยวิ่งตามมา
“ชั้นขอรถพ่อหน่อย”
“จะเอาไปทำอะไร”
ไม้มองรถที่จอดอยู่
“คันนี้ใช่มั้ย” ไม้เอากุญแจรถมาจากมือจันทร์ “ ขอบใจ”
จันทร์ดึงแขนไม้ไว้
“เฮ้ย มีเรื่องอะไร ทำไมไม่บอกกันวะ”
“เราจะไปป่าอาถรรพ์”
อบเชยบอก ชาญที่กินน้ำอยู่ถึงกับสำลัก
“เอ็งนึกว่าป่าอาถรรพ์เป็นแดนเนรมิตเหรอ นึกจะไปเมื่อไหร่ก็ได้ โบกสองแถวสองต่อถึง เดินเข้าป่าผจญภัย กลับบ้านนอน เข้าป่าอาถรรพ์เหมือนเอาชีวิตไปแขวนบนเส้นด้ายนะเว้ย”
“งั้นก็ไปด้วยกันหมดนี่แหละ ชั้นเอาหนังเสือมาแล้ว”
“ชั้นเอาด้วย”
“ข้าไม่เอา ข้าอยากแก่ตาย มากกว่าไปหลงป่าหนาวตายว่ะ”
“พูดงี้ได้ไง พี่เป็นคนเดียวที่อ่านลายแทงได้ พี่ต้องไปอยู่แล้ว ไม่มีทางเลือก”
“แน่ะ กล้าบังคับข้าเหรอ”
“ชั้นอยากได้ยารักษาพ่อ”
จันทร์กับชาญมองหน้ากัน เห็นไม้หน้าเศร้าเพราะห่วงพ่อ
“หลวงพ่อท่านก็ว่า ที่นั่น น่าจะมีสมุนไพรอยู่จริง”
จันทร์กับชาญเห็นใจไม้ ไม้รีบขึ้นไปสตาร์ทรถ ทั้งหมดออกเดินทาง
อีกด้านหนึ่งไกรกับแพรวานั่งอยู่ริมถนนที่ไม่ค่อยมีรถผ่าน แพรวาใช้มีดเล็กๆ แกะเปลือกต้นไม้เป็นชื่อเธอกับไกร ไกรพยายามจะโบกรถที่นานๆ ผ่านมาทีแต่ก็ไม่มีใครจอดซักคัน แพรวาเป็นห่วงไกรที่ระบมจากการถูกซ้อม
“คุณไกรยังเดินไหวมั้ย”
“พอได้อยู่ครับ...ชาวบ้านคงกลัวอาถรรพ์ ไม่มีใครจอดรับ”
“แถวนี้ไม่มีรถบขส.ผ่านเลย น่าแปลกมาก”
“อาจเพราะไม่ใช่เส้นทางหลวงละมั้ง”
“แบบนี้เราต้องเดินอีกไกลเท่าไหร่กันเนี่ย เราเดินกันมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วด้วย”
“ผมยังไหวนะ”
“ไม่ใช่เส้นทางหลวง ยังไงก็ควรมีเพิงให้นั่งพักบ้าง ร้านขายน้ำอะไรก็ไม่มีเลย ไม่มีใครอยู่แถวนี้บ้างเลยรึไง”
“ค่อยๆ เดินต่อไปก็แล้วกัน เดี๋ยวคงเจอคนบ้าง”
“ชั้นว่าแถวนี้มันประหลาดๆ ยังไงก็ไม่รู้ ไม่เห็นมีชาวบ้านซักคน”
ไกรกับแพรวาเดินมาเจอเพิงเล็กๆ จนได้ แพรวารีบพาไกรนั่ง
“นี่คงเป็นที่พักตอนหาของป่ากันสินะ”
“ผมว่าป่าแถวนี้ไม่ค่อยมีใครมายุ่งวุ่นวายนะ เราอาจต้องพักที่นี่กันก่อน”
“ไม่มีเงิน ไม่มีโทรศัพท์ เราจะกลับบ้านยังไง อย่าบอกนะว่าต้องเดินไป”
“ผมก็ยังไม่รู้”
“แล้วจะกินอะไรอีกล่ะ”
“มันมีทางนึงที่จะช่วยให้เรารอดได้ คือเข้าป่า...หันไปมองป่า ป่าก็ใหญ่ ดูอุดมสมบูรณ์ด้วย ในนั้นน่าจะพอมีน้ำกับอาหาร”
ระหว่างนั้นไม้ขับรถมาตามถนนด้วยความเร็ว
“ไม้ ระวัง มันอันตรายนะ” อบเชยเตือน
“ข้าว่าจะตายเพราะเอ็งขับรถมากกว่าตายเพราะไปป่าอาถรรพ์อีกว่ะ” จันทร์บอก
“ระวังอยู่ ไม่ต้องห่วง”
ไม้บอก อบเชยมองไม้ที่ขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่
“คิดเรื่องแพรวาอยู่เหรอ”
“ไม่ใช่เวลาจะมางอนอะไรอยู่นะ ตอนเนี๊ยะ”
“ถ้าชั้นเป็นคนหายไป ไม้จะห่วงขนาดนี้รึเปล่า”
“ไม่รู้สิ ก็ไม่เห็นเธอเคยหายไปไหนซักที”
“ตอบให้ดีใจหน่อยก็ไม่ได้”
อบเชยมองไม้อย่างเคืองๆ
“นี่เราไม่ได้เตรียมอุปกรณ์สำหรับเดินป่ามาเลยนะ เสบียง เสื้อฝน เสื้อหนาว ปูนขาว เต็นท์ หรืออาหาร” จันทร์บอก
“นั่นเอ็งกะจะไปอยู่ไปกิน รอลูกโตในนั้นเลยรึไง”
“เพื่อความปลอดภัย ความอยู่รอดไงพี่ ไม่เคยดูหนังฝรั่งเหรอ ไปพิชิตยอดเขา ไปพิชิตถ้ำใต้น้ำ อุปกรณ์เพียบ”
“แล้วเป็นไง...ตายกันหมด เหลือพระเอกนางเอกรอด”
“แล้วเราจะรู้ได้ไง...ว่าเราไม่ใช่พระเอกนางเอก”
“ก็เอ็งมีความรักรึเปล่าล่ะ ถ้าไม่มีเอ็งรอเรียงคิวตายได้เลย”
“ก็ถ้ามีความรักแล้ว...” จันทร์มองอบเชยกับไม้ที่บึ้งตึงใส่กัน “เป็นแบบนี้ ขอตายดีกว่า”
ระหว่างนั่งพักแพรวานอนหลับอยู่โคนไม้ ไกรมองเห็นพระธุดงค์รูปหนึ่งเดินมาทางเขา
“มาบิณฑบาตรตอนนี้ จะเอาอะไรใส่ล่ะ”
ไกรบ่นกับตัวเอง
“โยม…” พระพม่าทักไกร
“อ้าว หลวงพ่อ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ หลวงพ่อยังจำเณรน้อยได้รึเปล่า”
“ถ้าจำไม่ได้อาตมาคงไม่มาเตือน”
“เตือน? เรื่องอะไรครับ”
“อย่าเข้าไปในป่า”
แพรวาสะดุ้งตื่น
“มีอะไรน่ะคุณไกร”
“ก็หลวงพ่อน่ะสิ”
“หลวงพ่อ หลวงพ่อไหน” แพรวาหันไปดูรอบตัว แต่ไม่เห็นใคร “ไม่เห็นมีเลย”
“ก็นี่…” ไกรหันไป แต่ไม่เจอหลวงพ่อซะแล้ว “อ้าว…หลวงพ่อหายไปไหนแล้ว”
ทางด้านพันเทพพอกลับมาจากบ้านเต็กกง พันเทพก็เดินเข้ามาในห้องทำงานอย่างร้อนใจ พอเข้ามาในห้องพันเทพปิดม่าน ล็อคประตูแล้วตะโกนเรียกเวตาลออกมา
“เวตาล เวตาล ออกมา”
ประตูตู้ค่อยๆ เปิดแง้ม เวตาลออกมา
“เจ้าปลุกข้าในเวลาหลับ”
“แกต้องช่วยชั้น พลังของแกต้องช่วยได้”
“เรื่องอะไรรึ”
“ลูกชั้นหายไป แกหาลูกชั้นได้มั้ยว่าอยู่ที่ไหน”
“ข้าช่วย แล้วข้าได้อะไร”
“ชั้นจะเอาอาหารอย่างดีมาบำเรอแก แกจะไม่ต้องหิวโหยอีกต่อไป”
“ถ้าข้าอยากกินเลือดมนุษย์...เจ้าก็ให้ข้าได้รึ”
“ได้”
เวตาลมองพันเทพอย่างไม่ค่อยเชื่อใจนัก
“ตกลง ข้าจะช่วยเจ้า...ส่งมือมาให้ข้าสิ” พันเทพก็ไม่ค่อยไว้ใจเวตาลนัก แต่ก็ยื่นมือให้เวตาลจับ เวตาลหลับตา “คนที่เจ้ากำลังมีจิตกังวล...มีสองคนด้วยกัน คนหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว เพื่อไปยัง... ที่ที่อีกคนอยู่” ภาพนิมิตของเวตาลเห็นไม้กำลังขับรถ “ส่วนอีกคนอยู่ที่ ทางเข้า...”
“ทางเข้าอะไร ที่ไหน”
“ป่าอาถรรพ์”
พันเทพสะบัดมือออกจากเวตาล
“ป่าอาถรรพ์เหรอ ไม้จะเข้าไปในป่าอาถรรพ์แล้วเหรอเนี่ย”
พันเทพเจ็บใจ
ส่วนที่โรงพยาบาล เมฆนั่งหาเอกสารในห้องเก็บของจนเริ่มท้อ เพราะหาเอกสารทั้งกองแต่ก็ไม่เจอ เมฆลุกขึ้นอย่างท้อแท้ ร่างกายก็อ่อนแอดูสภาพย่ำแย่นัก เมฆเจ็บใจที่พยายามมาทั้งวันแต่ก็ไม่เจอ เขาทุบตู้ระบายอารมณ์กำลังจะเดินออกจากห้อง แฟ้มเอกสาร 3 แฟ้มที่อยู่บนหลังตู้ก็ร่วงลงมา เมฆหันไปดู แล้วเดินเข้าไปหยิบ เมฆเปิดแฟ้มแรกออกก็ยังไม่ใช่เขาลองหยิบอีกอันมาดูก็ไม่ใช่อีก เมฆท้อใจ
“คงจะไม่มีแล้วจริงๆ”
เมฆกำลังจะเดินออกไป แต่เท้าเดินไปเตะแฟ้มอีกแฟ้มที่ยังไม่ได้เปิดบนพื้น จนรูปเด็กแล่บออกมานิดหน่อย เมฆมองอย่างไม่สนใจจะเดินออกไป แต่แล้วเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ เมฆหยิบมาเปิดดูจึงเห็นข้อความที่เขียนว่า
“มารดา นางทิพย์ ศักดินันท์ บิดา นายพันเทพ ศักดินันท์ เด็กชาย กรุ๊ปเลือด เอบี นี่มันของทิวานี่ ไม่มีของไม้...มีของทิวาก็ยังดี”
เมฆถือแฟ้มเดินออกจากห้องไป
อีกด้านหนึ่งที่ห้องทำงานของพันเทพ เวตาลกำลังบอกบางสิ่งบางอย่างกับพันเทพ
“เจ้ามีคนที่ผูกพันทางสายเลือดที่อยู่ห่างไปถึงสองคน เจ้าคนเพศชายนั่น...มีจิตใจปรปักษ์ต่อเจ้าเสียด้วย”
“ชั้นยอมสับเปลี่ยนลูกของชั้นกับไอ้เมฆ คนที่มันถือไม้ตะพดวิญญาณไว้ เพื่อว่ามันจะได้ยกมรดกไม้ตะพดให้กับลูกของชั้นในวันหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ก็ถึงวันนั้นแล้ว”
“เจ้ายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตนได้ครอบครองไม้ตะพดทั้งสองสินะ แม้กระทั่งสายเลือดเจ้าแท้ๆ ยังโป้ปดให้เจ็บปวด”
“ไม่ต้องมาทำถือตำราไตรปิฏก พูดเรื่องดีชั่วกับชั้นหรอกน่า แกก็ไม่ได้ต่างจากชั้นเท่าไหร่หรอก”
“ข้าถามเจ้าคำนึง ถ้าต้องเลือกระหว่างไม้ตะพดกับลูกเจ้า เจ้าจะเลือกอะไร”
“ชั้นทิ้งลูกไปยี่สิบปี เพื่อไม้ตะพด ...เจ้าว่าข้าจะเลือกอะไรล่ะ”
พันเทพย้อนถาม เวตาลมองพันเทพด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
ส่วนที่ปากทางเข้าป่าอาถรรพ์ แพรวายังนั่งอยู่กับไกร
“ชั้นว่าชั้นลองเข้าไปข้างใน เผื่อจะมีผลไม้อะไรที่สามารถกินได้อยู่บ้าง” แพรวาบอกไกรนึกถึงคำหลวงพ่อที่ปรากฏตัวมาบอกว่าอย่าเข้าไป เสียงหลวงพ่อลอยมาในความคิด “เดี๋ยวมานะ”
แพรวาจะลุกไป ไกรคว้ามือแพรวาไว้
“อย่า...อย่าเข้าไปเลย”
แพรวามองมือที่จับกัน แล้วอมยิ้มเขินๆ ไกรเองก็เขิน รีบปล่อยมือจากแพรวา
“ไม่ต้องห่วงหรอก ชั้นแค่ไปดูรอบๆ นี่เอง ไม่เดินเข้าไปในป่าหรอก”
“ถ้าไปก็ไปด้วยกันเถอะ ถ้าจะเกิดอะไรขึ้น อยู่กันสองคนก็ดีกว่า”
“ถ้าคิดว่าไปไหวก็ตามใจ”

พันเทพเดินไปเดินมาในห้องอย่างกลุ้มใจ
“มันจะเข้าป่าอาถรรพ์กันแล้ว แล้วแพรวาไปร่วมมืออะไรกับพวกมันด้วย”
“แล้วทีนี้จะทำอย่างไรเล่า ไร้ซึ่งตำราหนังเสือก็ยากนักจะได้สิ่งที่ต้องการ”
“มันมีอีกทางนึงก็คือ...ก็ให้ไม้พาชั้นเข้าไป”
“เจ้าบอกเหตุผลมาซักข้อที่มันจะพาเจ้าเข้าไปด้วยสิ ข้านึกไม่ออกเลย”
“แกไม่จำเป็นต้องรู้หรอกเวตาล”
พันเทพยิ้มที่คิดแผนออก
ส่วนเมฆเมื่อกลับมาบ้าน เมฆดูแฟ้มประวัติทิวาเห็นรูปวัยเด็กของทิวาในแฟ้มตอนแรกเกิด
เขาหยิบอัลบั้มรูปของไม้ตอนเด็กมาดู
“ตอนแรกเกิดเหมือนไม้ตอนเด็กๆ ไม่มีผิด เหมือนมากอย่างกับคนเดียวกัน นี่คงไม่ใช่สาเหตุที่พันเทพเป็นห่วงไม้หรอกนะ ไม่...อย่าเป็นแบบนั้นเลย”
ประตูบ้านเปิดออก เมฆหันไปมองเป็นพันเทพนั่นเอง
“สวัสดีเพื่อนเก่า เรามีเรื่องต้องทำร่วมกันอีกแล้วล่ะ”
“แกคิดจะทำอะไรอีก”
“เดี๋ยวแกก็รู้... จับมันไปขึ้นรถ”
พันเทพสั่งสมุน สมุนกรูเข้าหาเมฆ เมฆพยายามดิ้นแต่เรี่ยวแรงก็มีน้อยเหลือเกิน
ไม้ขับรถมาจอดที่ริมถนนเล็กๆ ทั้งหมดเดินลงมาจากรถ แต่ละคนมีท่าทางเก้ๆ กังๆ ชาญเดินไปเดินมา
“ทิศเหนืออยู่ตรงนั้น ตรงนี้ก็น่าจะเป็นทิศตะวันตก ก็ถูกแล้วนี่นา”
“ยังไง ยังไง ไหนบอกแต่ก่อนเป็นพราน แม่นเรื่องเส้นทางนักหนา”
“ตกลงเรามาถูกทางมั้ยเนี่ย”
“ดูจากทิศแล้ว เรามาไม่ผิดแน่”
“แต่ตลอดทางเราก็ดูสองข้างทางมาตลอด”
“มั่วป่าว” จันทร์ถามชาญ
“ก็ข้าไม่เคยเข้าจากฝั่งถนนนี่นี่หว่า ข้าลงมาจากเขาโน่น”
“อ้างไปเรื่อย”
“ถ้าตามสัญชาตญาณของการเป็นพรานละก็ เราจะไปต่ออีกนิด”
“ถ้าไปอีกนิดก็ต้องใช้พาสปอร์ตแล้วมั้งเนี่ย”
จันทร์เดินหายเข้าไปด้านใน แล้วส่งเสียงเอะอะตะโกนเรียก
“พวกเราเข้ามาดูนี่”
ทุกคนเดินตามเสียงจันทร์เข้าไป แล้วทุกคนก็เห็น ชื่อไกรกับแพรวาที่สลักไม้เอาไว้
“คุณแพรวากับไกร ผ่านมาแถวนี้”
อบเชยมองไม้อย่างน้อยใจ
“มาทำไมกัน ไม่ใช่หลงเข้าไปในป่าอาถรรพ์กันแล้วล่ะ”
“ไม่หรอก คงมานั่งพลอดรักกันนานแล้วมั้ง”
“รอยไม้ยังใหม่อยู่เลย”
ไม้มีสีหน้ากังวล
“เที่ยวนี้ คงถอยไม่ได้แล้วล่ะมั้ง เพื่อน”
อบเชยนิ่งมองไม้อย่างน้อยใจ
หน้าทางเข้าป่าอาถรรพ์ที่แพรวากับไกรเดินเข้ามา เห็นศาลเพียงตาขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีพวงมาลัย ของไหว้สารพัด
“นั่นศาลนี่ ศาลอะไรน่ะ”
ไกรกับแพรวาเข้าไปดูใกล้ๆ
“เหมือนจะเป็นศาลฤๅษีอะไรซักอย่าง”
“น่าขนลุกจังเลยนะคะ”
“น่าแปลก...”
“แปลกอะไรคะ”
“เราเดินมาตั้งไกล ไม่เห็นชาวบ้านซักคน แต่ที่ตรงนี้กลับมีศาลขนาดใหญ่ มันต้องมีใครเป็นคนสร้างสิ”
“นั่นสินะ”
รถบขส.จอดที่เพิงไม้ ทั้งหมดลงมาจากรถ แต่ก็ไม่เห็นใคร
“น่าจะเป็นบริเวณนี้ล่ะ ทางเข้าป่าถรรพ์” ชาญบอก
“แน่ใจนะ”
“ไม่น่าพลาด” ทั้งหมดยืนอยู่หน้าศาลตรงปากทางเข้า เรามาถูกที่แล้ว ไม้ขอหนังเสือหน่อย” ไม้ส่งหนังเสือให้ ชาญชี้ตำแหน่งในแผนที่ “ตรงนี้ไง ทางเข้าพอดี ข้าส่งพวกเอ็งแค่นี้ล่ะ”
“เฮ้ย ไม่ได้ ในหนังเสือยังมีตัวอักษรเยอะแยะที่เราอ่านไม่ออก เข้าไปแล้ว เราจะออกมาได้ไง มีแผนที่ ยังไงก็ไม่ต้องกลัวหรอกน่า”
“แต่นี่ก็จะค่ำแล้วนะ แถมคืนนี้เป็นคืนเดือนมืดซะด้วย ชั้นว่าเข้าไปตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก”
“ก็จริง เราคงต้องนอนแถวนี้กันไปก่อน ไงพี่ก็มีเวลาตัดสินใจอีกคืน” ชาญสีหน้าลำบากใจ “นี่...ดูที่พื้นสิ มีรอยเท้าคนด้วย 2 คน ผู้หญิงกับผู้ชาย”
“จริงด้วย”
“อาจเป็นคุณไกรกับแพรวาก็ได้ รอยเท้าเดินไปทางนั้น” ทั้งหมดเดินตามรอยเท้าไป “คุณไกร คุณแพรวา” ไม้ตะโกนเรียก
“คุณไกร คุณแพรวา พวกเรามาช่วยแล้ว” จันทร์ตะโกน แต่แล้วชาญก็พูดขึ้น
“เงียบๆ ใครเค้าให้ตะโกนในป่าเล่า อยากให้สัตว์ร้ายมันรู้รึไงว่าพวกเราอยู่ตรงไหน”
“อ้าว ทีทาร์ซานยังโหนเถาวัลย์แล้วตะโกนได้เลยนี่”
“อยากตายก็เชิญทำไปเลย”
“หาเงียบๆ จะเจอเหรอ”
“เวลาเอ็งไปแทงกบเงียบๆ เป็นไง ได้ตั้งเยอะ”
“นี่คนนะพี่ ไม่ใช่กบ” ไม้แย้ง
“เชื่อข้าเถอะน่า” ไม้เดินจะตามรอยเท้าไปอีก “ไม้หยุด” ชาญเดินไปยืนข้างไม้ยื่นมือไปข้างหน้า “อุณหภูมิเปลี่ยน นั่นคือเขตป่าอาถรรพ์ อย่าเพิ่งก้าวเข้าไป”
“แต่คุณไกรกับคุณแพรวาล่ะ”
“ถ้าเค้าฉลาดพอ เค้าจะไม่เดินเข้าไปลึกกว่านั้น ...เรารอพรุ่งนี้เถอะ”

ไม้พยักหน้ารับ อบเชยมองไม้อย่างเป็นห่วง
ในป่าอาถรรพ์ขณะนั้น ไกรกับแพรวากำลังกินขนุนป่าลูกใหญ่

“อย่างน้อยก็ช่วยประทังหิวได้ละเนอะ”
“ผมว่าเราออกไปกันเถอะ ใกล้ค่ำแล้ว อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะ”
“ค่ะ”
ไกรกับแพรวาพากันเดินออกจากป่า
อีกด้านหนึ่งขณะนั้นไม้ อบเชย จันทร์ ชาญเดินมาขึ้นรถ
“วันนี้คงต้องนอนกันบนนี้”
“เลือกนอนในที่ที่ถูกใจกันเลย” ไม้แยกย้ายมานอนที่เบาะคนขับ “นอนตรงนั้นจะสบายเหรอเอ็ง ไม่ได้จะขับรถไปไหนนะ”
“ไม่เป็นไร ตรงนี้ล่ะ”
ไม้เอาหนังเสือพันไว้กับคันเกียร์ของรถ แค่ไม้เอาหนังเสือพันไว้กับคันเกียร์ซึ่งคือไม้ตะพด
ลมก็กรรโชกแรก เสียงต้นไม้ในป่าเหมือนร้องโหยหวน
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” อบเชยถามอย่างแปลกใจ
“พายุเข้าละมั้ง”
“อยู่ๆ ก็เป็นแบบนี้เลยน่ะเหรอ แปลกๆ นะ”
“ช่างเหอะ แค่ปิดกระจกเราก็น่าจะโอเคกันแล้วล่ะ”
“สงสารก็แต่คนติดอยู่ข้างในนั่นแหละ”
ไม้บอก ขณะนั้นภายในป่าลมก็โหมหนักไม่แพ้กัน แล้วฝนก็ตกซ่าลงมาซ้ำอีก ไกรกับแพรวาพากันมาหลบฝนในชะง่อนหิน
“ท่าทางจะไม่หยุดง่ายๆ นะ คืนนี้เราคงต้องติดอยู่ในนี้แล้วล่ะ” ไกรกับแพรวอยู่ใกล้ชิดกันมากในชะง่อนหินแคบๆ “ขอบคุณนะที่คอยช่วยผมมาตลอด”
แพรวาส่งยิ้มให้ไกร
คืนนั้นทุกคนที่อยู่บนรถหลับสนิทยกเว้นอบเชยที่กระสับกระส่ายไปมา นั่งมองพายุฝนข้างนอก
อบเชยแอบไปนั่งมองไม้หลับใกล้ๆ ด้วยความรัก แต่จู่ๆ ไม้ก็ดึงคันเกียร์พร้อมหนังเสือขึ้น แล้วเดินลอยๆ คล้ายละเมอ คล้ายมีแรงบางอย่างจากป่าดูดเขาไป ไม้เปิดประตูรถออกไปด้านนอกที่ฝนกระหน่ำ อบเชยงงรีบตามไป
“ไม้จะไปไหน ฝนมันตกนะ” ไม้ไม่ตอบแต่เดินทื่อไป ราวกับจะเข้าไปในป่าอาถรรพ์ อบเชยลุยฝนวิ่งไปคว้าแขนไม้ไว้ “ไม้ เข้าไปไม่ได้นะ ไม้ ไม้” ไม้ต้านแรงอบเชยจะเข้าไปให้ได้ “ไม้เป็นอะไร ตื่นสิ ตื่น ไม้ ไม้”
อบเชยเรียกเท่าไหร่ไม้ก็ไม่ตื่น อบเชยเลยคว้าข้อมือไม้มากัดเต็มแรง ไม้ร้อง
“โอ๊ย เป็นหมารึไง มากัดชั้นทำไมเนี่ย”
“ก็ดูสิว่าตัวเองทำอะไรลงไป”
ไม้เพิ่งสังเกตว่าตัวเองยืนอยู่กลางฝน
“นี่ชั้นมายืนตรงนี้ได้ยังไงเนี่ย”
“อยู่ๆ ไม้ก็ละเมอเดินมานี่”
ไม้ยืนงง
อบเชยกับไม้กลับมานั่งคุยกันบนรถ ขณะที่จันทร์กับชาญยังนอนหลับไม่รู้เรื่อง
“ฝันว่าอะไร ทำไมถึงละเมอไปแบบนั้น”
“ฝันว่ามีคนเรียกให้กลับบ้าน แต่ชั้นไม่รู้ตัวเลยนะ”
“ก็แน่ล่ะ คนรู้ตัวอยู่ๆ กลางดึกจะไปเดินให้ตัวเปียกทั้งที่ไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนเล่นๆ มั้ยล่ะ”
“เลยทำเธอเปียกไปด้วยเลย” ไม้ถอดเสื้อตัวเอง แล้วบิดน้ำออก เอามาเช็ดหัวให้อบเชย “เธอนี่ก็บ้าวิ่งตามออกไป เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี”
อบเชยรู้สึกดีที่ไม้ทำแบบนั้นให้ เธอยิ้ม
“แต่ได้แบบนี้ก็คุ้มนะ”
“ทะลึ่ง เอาไปเช็ดเองเลยไป เสร็จแล้วก็นอนซะล่ะ”
อบเชยยิ้ม ไม้เขินๆ
ในป่าอาถรรพ์ขณะนั้นไกรกับแพรวานอนหลับอยู่ในชะง่อนหินด้วยกัน หน้าแพรวาที่หลับอยู่ใกล้ไกรมาก จนไกรเกือบจะห้ามใจไม่ไหวเผลอจูบเธอแต่เขาก็มีสติพอที่จะไม่ทำ ไกรส่ายหัวให้กับพฤติกรรมตัวเอง
บนรถ...เสียงกรนของจันทร์กับชาญราวกับว่าจะแข่งกัน จนไม้นอนไม่หลับ ไม้หันไปเห็นอบเชยที่นอนตะแคงตัวสั่นเพราะความหนาว ไม้มองอย่างเวทนาแล้วก็ลุกไปนอนกอดอบเชยจากด้านหลัง อบเชยตาโตตกใจ
“นี่กลัวว่าจะไม่สบายแล้วก็จะเป็นภาระคนอื่นหรอกนะ” พอรู้ว่าเป็นไม้อบเชยจึงยิ้มออกมา “อุ่นขึ้นมั้ย”
อบเชยยิ้มแก้มปริ
“ตากฝนทุกวันเลยดีกว่า”
ไม้เอามือเคาะหัวอบเชย
“เป็นผู้หญิงนะเราน่ะ”
อบเชยยิ้ม ไม้ก็เช่นกัน
วันรุ่งขึ้นฝนหยุดตกแล้วไกรกับแพรวาออกมาจากชะง่อนหิน แพรวาเสียหลักไกรประคองไว้
ทั้งคู่มองหน้ากัน
“เรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะค่ะ เผื่อจะมีรถผ่านมา”
“ใช่ ไปเถอะ”
ไกรกับแพรวาเดินกลับออกมาทางเก่า แต่กลับกลายเป็นว่าทางเก่า ไม่ใช่ทางออก กลายเป็นการเดินวนกลับไปกลับมาที่ไม่มีทางออก
“ตรงนี้มันเคยเป็นทางออกนี่”
“ใช่ ชั้นจำได้ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ”
“เราไม่ได้เข้ามาลึกเลยนะ”
“ทำยังไงดีละทีนี้”
ไกรหน้าเครียด
บนรถขณะนั้นอบเชยกับไม้ยังนอนกอดกัน จันทร์ตื่นขึ้นมากำลังจะลงไปข้างล่างเห็นถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย...”
ชาญงัวเงียตามจันทร์มา
“มีอะไร ทำท่าประหลาด เฮ้ย...”
ชาญร้องอีกคนเมื่อหันไปเห็น ไม้สลึมสลือตื่นมาเห็นจันทร์กับชาญกำลังจ้องอยู่ ไม้สะดุ้งสุดตัวลุกขึ้น อบเชยก็ตื่นขึ้นงงๆ เช่นกัน
“ก็ไม่ได้อยากจะขัดความสุขนะเว้ย แต่แบบ...มันเห็นเอง”
“ไม่เกรงใจข้าสองคนเลยนะเอ็ง”
“ไม่มีอะไรจริงๆ” ไม้รีบปฏิเสธ ชาญกับจันทร์มองไม้ที่ถอดเสื้อด้วย ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม้ก้มมองตัวเอง “เมื่อคืนเปียกฝนก็เลยถอด แล้วนี่อบเชยก็เปียกฝนตัวสั่นเลยก็ไม่รู้จะทำยังไง”
“เหรอ”
“ทำไมต้องทำท่าทางไม่เชื่อด้วยเล่า”
“ไม่มีอะไร ก็ไม่มีอะไรไง”
“อบเชย เธอช่วยพูดอะไรหน่อยสิ”
ไม้ให้อบเชยช่วยพูด แต่อบเชยกลับอมยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ รู้สึกดีจัง”
อบเชยทิ้งคำพูดแล้วก็เดินลงจากรถไป ไม้ตะโกนไล่หลัง
“เฮ้ย พูดแบบนี้ได้ไง คนอื่นเค้าเข้าใจผิดหมด”
“ชั้นไม่มีแบบนี้บ้างก็ให้มันรู้ไป” จันทร์บอกขณะที่ชาญค้อนใส่ไม้
“ชิ”
ไม้ยืนอายหน้าแดงอยู่คนเดียว
เวลาผ่านไป...ไม้ อบเชย จันทร์ ชาญ ยืนอยู่หน้าป่าอาถรรพ์
“ตกลงเราจะเข้าไปจริงๆ ใช่มะ”
“โกหก เราแค่มายืนโพสท่าถ่ายรูปเดี๋ยวก็ขับรถกลับแล้วเนี่ย ...โธ่พี่ มาถึงขั้นนี่ยังจะถามอีก”
“หวังว่าเราคงเจอคุณไกร กับคุณแพรวานะ”
“เจอคุณไกรคนเดียวก็ได้ ยายแพรวาให้หายสาบสุญไปก็ดี” อบเชยบอก ไม้หันมามองอบเชยดุๆ แต่อบเชยไม่สนใจ ชาญดูแผนที่บนหนังเสือ
“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน”
จังหวะนั้นเสียงพันเทพดังมาจากด้านหลัง
“จะไปผจญภัยกันเหรอเด็กๆ”
ทุกคนหันตามเสียง พอเห็นพันเทพก็ตกใจ
“แกมาได้ยังไง”
“ก็ขับรถตามมาสิ ไม่เห็นจะยาก เรื่องอะไรจะปล่อยให้เด็ก สนุกกันเองล่ะ จริงมั้ย”
“แกต้องการอะไรกันแน่”
“ก็แค่ขอเข้าไปด้วยคน ก็แค่นั้น”
“เรามีหนังเสือ แต่แกไม่มีจะมาขอไปด้วย มันไม่ตลกไปหน่อยเหรอ”
“พวกเราไม่มีทางให้แกเข้าไปด้วยหรอก”
“จริงเหรอไม้...แล้วถ้าชั้นไม่มีตำราหนังเสือ แต่มีนี่ล่ะ”
พันเทพเดินไปลากเมฆออกมาจากที่ซ่อน ไม้ตกใจที่เห็นพ่อตนถูกพันเทพจับตัวมา
“พ่อ”
“ทีนี้เธอจะว่ายังไง...จะพาชั้นเข้าไปในป่าพร้อมกับพวกแกได้รึยัง”
ไม้อึกอักลำบากใจ อบเชย จันทร์ ชาญ ก็เช่นกัน
“ไม่ต้องห่วงพ่อ อย่าทำตามมัน”
“พ่อเป็นพ่อของผม” พันเทพหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ “หัวเราะอะไร”
“พ่อเหรอ! ชั้นคิดอยู่แล้ว...” พันเทพหรี่ตาอย่างเจ้าเล่ห์ “ชั้นถึงยังไม่ได้บอกความจริงไง”
“ความจริง ความจริงอะไร”
ไม้มองเมฆแล้วมองพันเทพ ต้องการคำตอบจากทั้งคู่ เมฆอึกอัก พันเทพยิ้มเจ้าเล่ห์
“ก็ความจริงที่...” พันเทพมองเมฆ “นายเมฆอยากรู้นักหนาไง ใช่มั้ยเมฆ”
“มันเป็นเรื่องระหว่างเรา แกอย่าดึงเด็กมันมาเกี่ยว”
พันเทพยิ้มกวนประสาทเมฆ
“พูดเรื่องอะไรกัน”
“ไม้...ไม้ไม่ต้องทำอะไรเพื่อพ่อ...”
พันเทพกำหมัดต่อยบริเวณแผลของเมฆ เมฆเจ็บปวดพูดต่อไม่ได้
“อ๊ากกกก!”
“พ่อ”
พันเทพคุกเข่าลงไปกระซิบเมฆที่ลงไปนอนกอง
“ใจเย็นๆ ความจริงมันไม่หนีไปไหนหรอก แต่ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลา”
“เลวจริงๆ ทำกระทั่งคนที่อ่อนแอกว่า” อบเชยต่อว่า
“ว่ายังไงไม้…ถ้าเธอไม่อยากให้พ่อเธอเจ็บตัวอีก ก็นำทางชั้นไปซะดีๆ”
ไม้คิดหนัก หันมองหน้าทุกคน อบเชย ชาญ จันทร์มองไม้อย่างเห็นใจ
“ตกลง”
พันเทพหัวเราะเสียงดัง
ขณะนั้นไกรกับแพรวา นั่งท้อแท้กันอยู่ใต้ร่มไม้ในป่าแล้วเสียงหัวเราะพันเทพก็ดังเข้ามาแต่เสียงแผ่วเบาและกังวาน แพรวาได้ยิน
“เสียงหัวเราะ คุณไกรได้ยินมั้ย”
“เสียงมันเหมือนจะใกล้ก็ไม่ใกล้ จะไกลก็ไม่ไกล”
“อาจจะเป็นเสียงจากข้างนอกก็ได้ อาจมีคนมาแถวนี้”
“เป็นไปได้ ถ้างั้น...ถ้าเราตะโกนออกไป เค้าอาจได้ยิน” แพรวาพยักหน้าเห็นด้วย “ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย ข้างนอกมีใครได้ยินมั้ย”
“ช่วยด้วยค่ะ พวกเราติดอยู่ในนี้ ได้ยินมั้ยคะ”
ไกรกับแพรวา ช่วยกันตะโกน
ที่หน้าป่าอาถรรพ์ไม้ อบเชย จันทร์ ชาญ ยังยืนจ้องพันเทพเขม็ง
“จะมัวยืนทำอะไรกันอยู่ พาชั้นเข้าไปได้แล้ว”
“เราจะไว้ใจได้ยังไงว่าถ้าแกได้ของที่ต้องการ แกจะปล่อยพ่อ”
“ไว้ใจไม่ได้...เธอต้องเสี่ยงเอาเอง” ไม้ยิ่งเจ็บใจ “อย่าพยายามจะต่อรอง ทั้งที่เธอเป็นฝ่ายเสียเปรียบเลยไม้ มันเป็นวิธีที่ไม่ฉลาด”
“แต่วิธีโกงๆ อย่างแก พวกเราไม่มีวันทำหรอก”
จันทร์จุ๊ปากให้ทุกคนเงียบ
“เงียบก่อน มีใครได้ยินเสียงอะไรมั้ย”
ทุกคนเงียบพร้อมกัน
“เสียงอะไร”
“ฟังสิ”
เสียงไกรกับแพรวาร้องขอความช่วยเหลือ ดังจางๆ มา
“เสียงคนร้องขอความช่วยเหลือ”
พันเทพได้ยินก็จำเสียงแพรวาได้คลับคล้ายคลับคลา
“แพรวา...นั่นเสียงแพรวานี่ แพรวาอยู่ไหน”
“ไม่มีใครรู้หรอก ก็ยืนอยู่ด้วยกันนี่”
“รู้แต่เสียงดังมาจากข้างในป่า ก็ได้แต่หวังว่าคงจะไม่ตายก่อนจะได้เจอกัน”
“หมายความว่าแพรวาเข้าไปในป่าก่อนแล้วเหรอ” พันเทพตกใจ
“ก็คิดกันว่างั้น”
“แล้วจะยืนรออะไร เข้าไปกันได้แล้วจะปล่อยให้ลูกชั้นโดนเสือกินก่อนรึไง ไป๊”
พันเทพไล่ตะเพิดทั้งหมดให้เข้าไป
อีกด้านหนึ่งที่บ้านพันเทพขณะนั้นทิวาเดินเข้ามาหาพันเทพในห้องทำงาน แต่ไม่เจอพันเทพ
“ไม่อยู่เหรอ ...ทีตัวเองไปไหนไม่เคยรายงานใคร แต่ลูกจะไปไหนต้องรายงานทุกฝีก้าว พ่อนะพ่อ”
เสียงกุกกักดังจากในตู้ ทิวาได้ยินพอดีจังหวะที่เดินบ่นจะออกไป ทิวานึกสงสัยจึงเดินไปดูในห้องอีกทีเขาเดินไปดูใกล้ๆ แต่เสียงก็เงียบไป พอทิวาหันหลังจะจากไปเสียงก็ดังขึ้นอีก ทิวาหันขวับไปจ้องที่ตู้ จะเปิดตู้ก็มีเสียงพูดมาจากด้านใน
“ถ้าเจ้าอยากเจอข้า ปิดหน้าต่างให้หมดก่อน”
ทิวาตกใจที่ได้ยินเสียงจากด้านในตู้
“แก...แกเป็นใคร ทำไมไปอยู่ในตู้”
“ถ้าเจ้าอยากรู้...จงปิดหน้าต่างซะ”
ทิวาเดินไปปิดหน้าต่างทุกบานในห้องจนไม่มีแสงเล็ดลอดเข้ามา
“ปิดแล้ว”
ทิวาจ้องที่ตู้ย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วประตูตู้ก็ค่อยๆ เปิดออกมาช้าๆ ทิวาใจระทึก
ตู้เปิดออกมาทีละนิด เท้าเหี่ยวแห้งของเวตาลก้าวพ้นตู้ออกมาก่อนที่จะเห็นตัว ทิวากลัวจนหายใจแทบไม่ทัน จนเวตาลปรากฏออกมาเต็มตัว
“แก...เป็นตัวอะไรเนี่ย”
“เจ้าอยากเจอข้าไม่ใช่เหรอ”
“ผีหรือคน”
“เจ้าเด็กน้อย...โลกมนุษย์ หาใช่มีแต่พวกเจ้า และเหล่าอสูรกายเท่านั้น อย่าถามเจาะจงเช่นนั้นเลย”
“แกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ข้ามากับไม้ตะพด”
“ไม้ตะพดวิเศษน่ะเหรอ...ถ้างั้นแกก็มีอำนาจพิเศษน่ะสิ”
“จะว่าจะยังงั้นก็ไม่ผิด”
“แกคือ...ตัวที่เข้าฝันชั้นแทบทุกวัน ใช่มั้ย” เวตาลยิ้มเจ้าเล่ห์ “แกต้องการอะไรจากชั้น”
“อย่าเรียกว่าต้องการเลยเจ้า เรียกว่าการแลกเปลี่ยนดีกว่า”
“ชั้นจะต้องแลกเปลี่ยนอะไรกับแก ชั้นมีพร้อมทุกอย่างแล้ว”
“แน่ใจรึ” ทิวาลังเล “คนที่เจ้าเรียกว่าพ่อ รักเจ้าดีรึ? หญิงสาวที่เจ้าหมายปอง สนใจเจ้ารึ?”
“แกรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง”
“นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ข้ายังรู้อะไรที่เจ้าเอง...ไม่เคยรู้อีกด้วย”
“มีเรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้อีก”
“ความจริงไง”
เวตาลหน้าเจ้าเล่ห์ ทิวายังสับสนเกี่ยวกับเวตาล

บริเวณหน้าป่าอาถรรพ์ขณะนั้นชาญยืนอยู่หน้าทุกคน แต่กล้าๆกลัวๆ ชาญจะก้าวเท้าเข้าก็หดขากลับ ไปๆ มาๆ อยู่อย่างนี้ จนพันเทพหงุดหงิด
“เฮ้ย...ลีลาอยู่ได้ อยากเจ็บตัวอีกคนรึไง”
“แกไม่รู้เรื่องป่าอาถรรพ์ อย่าพูดมากดีกว่าน่า”
พันเทพจะเอาร่มฟาดชาญ
“ไอ้นี่”
ไม้เอามือจับร่มพันเทพไว้
“พี่ชาญเป็นคนเดียวที่สามารถพาเราไปได้ ถ้าพี่ชาญเป็นอะไร ก็ไม่มีใครได้กลับออกมาแน่”
ลมพัดวูบใหญ่ออกมาจากป่า จากการเคลื่อนไหวของไม้ตะพดของพันเทพ
“ชั้นว่าอย่ามัวเสียเวลาเลย เดี๋ยวจะค่ำซะเปล่าๆ”
พันเทพผลักชาญก้าวเข้าเขตป่าอาถรรพ์ ชาญเซถลาเข้าไป คนอื่นเข้าตาม พันเทพให้สมุนคนนึงคุมเมฆไม่ห่าง
ทั้งหมดเดินเข้ามาในป่าอาถรรพ์ เสียงสัตว์ร้องโหยหวนไปหมด ทั้งมดทั้งแมลงรุมกัดคนทั้งหมดที่เดินเข้ามายกเว้นพันเทพ
“โอ๊ย จะกัดอะไรกันนักกันหนาเนี่ย”
“มันคงอดอยากละมั้ง ไม่ได้เจอคนนาน”
“แต่ดูไอ้พันเทพสิ ไม่มีแม้แต่แมลงตัวไหนบินเข้าใกล้เลย”
“จริงด้วย น่าแปลกมาก”
“ก็เพราะพลังจากไม้ตะพดในมือมันนั่นไงล่ะ”
“ไหนล่ะลูกสาวชั้น”
“ก็เข้ามาพร้อมกัน ใครจะไปรู้ล่ะ”
“แกเป็นพรานเก่า ชำนาญเส้นทางไม่ใช่เหรอ ห๊ะ ไหนล่ะลูกสาวชั้น”
“เป็นพราน ไม่ใช่ไก๊ด์ทัวร์นะครับ จะได้ตรัสรู้ได้ว่าใครทำอะไรอยู่ที่ไหน แล้วถึงแม้ข้าจะชำนาญป่าแถบนี้ทั้งหมด แต่ป่าอาถรรพ์ก็เข้ามาครั้งแรกพร้อมๆ กันนี่แหละ”
“แต่ไม่เห็นมีวี่แววคุณไกรกับแพรวาเลยนะ ทั้งที่เมื่อกี้ยังได้ยินเสียงอยู่เลยแท้ๆ”
“ป่าตั้งกว้าง จะมาเดินเจอกันง่ายๆ ได้ยังไง”
“นี่ ก่อนที่จะเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ข้าต้องขอทำความเข้าใจกันให้ชัดเจนก่อนเลยนะ การเข้าป่าหาคนกับหาของ มันมีวิธีการเดินที่ไม่เหมือนกัน พวกเอ็งต้องบอกข้ามาให้ชัดว่าจะหาสมุนไพร สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่น หรือจะตามหาคุณไกรกับคุณแพรวา” ชาญมองหน้าไม้ “ห๊ะ” แล้วหันไปมองหน้าพันเทพ “ห๊ะ...เอาไง”
อีกมุมหนี่งของป่าอาถรรพ์แพรวานึกท้อที่ดูเหมือนไม่มีวี่แววว่าใครจะมาช่วย ขณะที่ไกรยังตะโกนอยู่
“มีใครอยู่มั้ย ช่วยด้วย ใครได้ยินบ้าง”
“ชั้นว่าตะโกนไปก็เสียแรงเปล่า ถ้ามีใครได้ยินจริง เค้าคงตอบกลับมาแล้ว”
“แต่มันต้องมีใครซักคนสิที่รู้ว่าเราติดอยู่ที่นี่”
“ใครจะรู้ อย่างมากก็รู้ว่าหายไปแต่จะรู้ได้ไงว่าอยู่ที่ไหน”
“ก็ชาวบ้านแถวนี้ไง อาจจะมีคนเห็นก็ได้ว่าเราเดินเข้ามา”
“คุณไกร…ตลอดทางที่เราเดินมาตั้งไกล เราไม่เจอชาวบ้านซักคน”
“ก็จริง…”
“เราอาจต้องติดอยู่ในนี้ไปจนตายแล้วล่ะ”
ไกรเห็นแพรวามีสีหน้าท้อแท้มาก
“ไม่หรอก พ่อคุณน่ะ มีสมุนตั้งมากมาย สืบตามหาคนแค่นี้ พ่อคุณทำได้อยู่แล้ว”
แพรวายังไม่คลายกังวลนัก
อีกด้านหนึ่งขณะนั้นชาญจ้องหน้าไม้กับพันเทพ
“อ้าวเงียบทั้งคู่ ตกลงเอาไง จะตามหาของหรือจะตามหาคน”
“ไม้...มาถึงป่าอาถรรพ์แล้วนะ อาจเป็นทางเดียวที่จะช่วยลุงเมฆได้” อบเชยบอกแต่ไม้ลังเล
“แต่นั่นเท่ากับเราจะทิ้งคนให้ติดอยู่ในนี้”
“อย่าให้พ่อเป็นคนทำให้ไม้ลำบากใจเลย”
“ว่าไง จะเลือกคนหรือของ”
“ชีวิตคนสำคัญกว่า ของถ้าไม่ตายยังหาใหม่ได้” ไม้บอกทำให้อบเชยเกิดอการหึง
“เลือกผู้หญิง มีความคิดรึเปล่าเนี่ย พ่อตัวเองไม่สำคัญรึไง” ไม้หนักใจ
“พ่อยังไม่ตายหรอกลูก ไม่ต้องห่วง” เมฆบอก พันเทพหัวเราะหยามหยัน อบเชยจึงหันไปพาลพันเทพ
“หัวเราะอะไร เป็นตัวเองจะเลือกคนหรือของ”
“เอาของสิ คนถ้าไม่ตายก็ทำใหม่ได้”
“เลือกของ มีความคิดรึเปล่าเนี่ย” อบเชยต่อว่าพันเทพ ชาญจึงพึมพัมออกมา
“เลือกอะไร ก็ไม่เห็นถูกใจซักอย่าง”
“อะไร พูดอะไร” อบเชยหันมาพาลกับชาญ
“เปล๊า”
“ชั้นตัดสินใจเอง พาชั้นไปให้ถึงปลายทางที่แผนที่บอก”
ไม้หันขวับไปมองพันเทพ
“แพรวาเป็นลูกแกนะ แกจะปล่อยลูกให้ตายอยู่ในป่าเพื่อการได้มีอำนาจของแกงั้นเหรอ”
“เลวที่สุด”
“ไม่ต้องมาสั่งสอนชั้น ถ้าอยากเป็นคนดีนัก ก็แยกออกไปสิ” ทุกคนนิ่งมองหน้ากัน ไม้ลำบากใจ “หึหึ สุดท้ายก็รักตัวกลัวตายกันหมดแหละวะ”
“ถ้างั้นข้าก็จะเดินตามทางที่หนังเสือนี่บอก”
“จะได้กลับก่อนค่ำมั้ย”
“ชั้นก็อยากให้เป็นแบบนั้น ไม่งั้นลำบากแน่”
ชาญมองหน้าทุกคน แต่ละคนถอนหายใจ
ส่วนที่บ้านพันเทพ ทิวายังยืนอยู่หน้าห้องทำงานของพ่อ เขาแทบไม่เชื่อสายตากับสิ่งที่ตนเห็น ทิวา
ยืนรวบรวมสติแล้วตบหน้าตัวเอง
“เราก็ไม่ฝันไปนี่ ตัวประหลาดนั่น พูดภาษาคนได้ ทำไมพ่อต้องเลี้ยงตัวแบบนี้ไว้ด้วยน่าขยะแขยงที่สุด”
เสียงเวตาลดังจากในห้อง
“หากเจ้าสงสัยในตัวข้าก็ไม่เป็นไร แต่จำไว้ว่า...ข้าให้เจ้าได้ทุกอย่าง”
ทิวาครุ่นคิดอย่างหนัก
ส่วนที่ป่าอาถรรพ์ ภายในป่าแวดล้อมไปด้วยต้นไม้นานาชนิดสมุนไพรมากมาย
“พี่ชาญ สมุนไพรมากมายแบบนี้ พี่พอจะรู้บ้างมั้ย อันไหนพอจะช่วยพ่อได้” ไม้ถามชาญ
“ข้าก็พอจะรู้คุณสมบัติไม่กี่ชนิดหรอกนะ แต่เท่าที่ข้ากวาดตามองคร่าวๆ เนี่ย มัน...แปลกตาไปหมด เหมือนว่าเป็นสมุนไพรที่มีแต่ที่นี่ที่เดียว”
“แล้วชั้นควรจะทำยังไงดีล่ะพี่”
“ไม้ ชั้นว่าพันเทพน่ะ น่าจะรู้เรื่องสมุนไพรนะ”
ไม้เหลือบตามองพันเทพ ที่คุมเมฆอยู่ไม่ห่าง
“ทำไมเธอคิดยังงั้นล่ะ”
“ชั้นเคยโดนพันเทพน่ะมันฝังเข็มสกัดจุด แทบจะเคลื่อนไหวไม่ได้”
“อืม มีเหตุผล”
“มีเหตุผลอะไร ชั้นไม่เห็นจะเข้าใจว่ามันจะเกี่ยวกันตรงไหน”
“นั่นสิ”
“ก็คนที่รู้วิธีการฝังเข็มแบบจีน จนถึงขนาดรู้จุดสำคัญของการเคลื่อนไหวได้น่ะ มักจะเชี่ยวชาญด้านการรักษาแบบหมอจีนด้วย”
“ซึ่งการรักษาแบบหมอจีนน่ะ เต็มไปความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร”
“งั้นเหรอ”
ทุกคนหันไปมองพันเทพอย่างสนใจ พันเทพกวาดสายตามองต้นไม้ใบหญ้าอย่างระแวดระวังตลอดทาง เขาหันมาเห็นทั้ง 4 คนกำลังจ้องมา
“มีปัญหาอะไรกับชั้นรึไง”

ไม้ จันทร์ ชาญ และอบเชยไม่ตอบ แต่พากันเดินต่อ










Create Date : 24 มีนาคม 2555
Last Update : 24 มีนาคม 2555 2:02:39 น.
Counter : 379 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]