bloggang.com mainmenu search



:: คายความทุกข์ - รู้ทันจิต...จิตรู้ทัน ::



เรื่องและภาพ : กะว่าก๋า













หลวงปู่รับนิมนต์ที่บ้านหลังหนึ่ง
หลังจากเสร็จพิธี
หลวงปู่ฉันเพล แล้วท่านเอนตัวนอนพักผ่อนชั่วครู่
เนื่องจากชราภาพมากแล้ว

ปรากฏว่าบ้านหลังนั้นเป็นตึกแถว
ห้องข้างๆที่ติดกันมีคนจีนเดินขึ้นลงบันไดตลอดเวลา
การสวมรองเท้าเกี๊ยะซึ่งทำจากไม้
ทำให้เกิดเสียงดังมากเป็นพิเศษเวลาเดิน

หลวงตาท่านหลับตานิ่งไม่เดือดร้อนอะไร
แต่ลูกศิษย์กลับเป็นเดือดเป็นแค้นแทน

"ไม่รู้รึไงว่าหลวงตากำลังพักผ่อน
เดี๋ยวต้องเดินไปต่อว่าสักหน่อยแล้ว"

หลวงตาเขยับพูดทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ว่า

"เขาเดินของเขาอยู่ดีดี เอาหูของเราไปรองเกี๊ยะเขาทำไม"




..............................





ผมส่งหลวงพ่อฯ ไปไหว้พระที่วัดแห่งหนึ่ง
หลวงพ่อไหว้พระและนั่งสมาธิโดยสงบนิ่ง
ทั้งๆที่รอบวัดในขณะนั้นมีแต่เสียงดังจากลำโพง
เพราะอยู่ในช่วงเทศกาลสำคัญทางศาสนา
เสียงเพลงและเสียงโหวกเหวกของพิธีกร
ทำให้ผมรู้สึกหนวกหูและรำคาญใจเป็นอย่างมาก


หลวงพ่อไหว้พระและนั่งสมาธิเสร็จ
ท่านเดินยิ้มมาที่ผม

ผมถามท่านว่า "ไม่หนวกหูหรือครับหลวงพ่อ"


ท่านตอบมาว่า


"ได้ยิน แต่ไม่หนวกหู"





............................





ในคืนที่นอนไม่หลับ
แค่คนข้างกายขยับตัวเบาๆยังรับรู้
ฝืนนอนอยู่บนเตียงในห้องที่มืดมิด
เสียงนาฬิกาที่ข้างฝาเดินติ๊กๆๆๆๆ
ยังได้ยินชัดเต็มสองหู

เสียงที่เคยไม่ได้ยิน
เมื่อเงียบและจดจ่อ
กลับได้ยินเสียงทุกเสียง รับรู้ทุกสัมผัส

ปัญหา คือ.... “การรับรู้” นั้น
ทำให้รำคาญ หงุดหงิด
หรือ รับรู้อย่างปล่อยวาง

ว่าทุกสิ่งที่เรารับรู้นั้น
มันมาแล้วก็ไป....





..........................................






เราห้ามเสียงไม่ให้ดังไม่ได้ ห้ามตาไม่ให้มองไม่ได้
ห้ามจมูกรับกลิ่นไม่ได้ ห้ามผิวหนังรับสัมผัสร้อนหนาวไม่ได้

เวลากินกลืนอะไรลงคอ ใจคอยคิดแล้วว่าอร่อยหรือไม่อร่อย

ทุกสิ่งนำไปสู่การ "คิด"

และเราไม่จำเป็นต้องหยุดคิด
เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของสมอง

แต่เราสามารถฝึกตนจน "ความคิด" ที่เกิดขึ้น
ไม่สามารถทำร้ายเราได้

ด้วยการเตือนตนให้ "รู้สึก" ตน

เมื่อ “รู้สึกตน” แล้ว...

ไม่ว่าอะไรจะมากระทบช่องทางการรับรู้
ไม่ว่าจิตในตอนนั้นจะปรุงแต่งความรู้สึกเช่นไร

สิ่งนั้นก็ไม่อาจทำร้าย "ชีวิต" ของเราได้เลย




...................................





ในทุกวันที่ตื่นลืมตาขึ้นมาใช้ชีวิต
ได้ถามตัวเองบ้างหรือเปล่า
ว่าปล่อยให้ “จิต” หรือ “ความคิด” ของตัวเอง
รับ กักเก็บ ไปจนถึงกักขัง
ความรู้สึกด้านลบต่างๆเอาไว้ในใจมากน้อยเพียงใด

ทุกความคิด ทุกความรู้สึกที่ผ่านเข้ามา
ผ่านมา....แล้วผ่านไป
เหลือแต่ “จิต” ของเราเอง
ที่ยังวนเวียนอยู่กับความคิดนั้นโดยไม่อาจปล่อยวาง

ยิ่งคิด ยิ่งเลอะเทอะ ยิ่งหลงไปไกล
ในท้ายที่สุดความคิด ความรู้สึกเหล่านั้น
ก็ย้อนย้ำกลับมาทำร้ายตนเอง



………………………………





ความคิดใดที่เกิดขึ้น ให้มันเกิด
ขอแค่รู้ทันสิ่งที่คิด
และไม่ยึดติดให้ความคิดนั้นอยู่กับตัวเราตลอดเวลา

เตือนตนบ่อยๆ
รับรู้และปล่อยไป รับรู้และปล่อยไป
ทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในการรับรู้
ไม่เที่ยง ไม่ทน ไม่คงทนถาวรตลอดไป

เมื่อไหร่ที่อยู่กับ “ความไม่เที่ยงทน” นี้ได้อย่างเข้าใจ
ใจจะเป็นสุขมากขึ้น
เพราะจิตไม่ถูกครอบงำด้วยความชอบไม่ชอบ
ไม่ต้องคอยตัดสินสิ่งนั้นสิ่งนี้ว่าดีหรือเลว
ถูกใจหรือไม่ถูกใจ พอใจหรือไม่พอใจ


แค่รับรู้อย่างเข้าใจ
รับรู้แล้วปล่อยวาง
ปล่อยวางอย่างเข้าใจ



เท่านั้นเอง





Create Date :02 มีนาคม 2557 Last Update :2 มีนาคม 2557 6:35:36 น. Counter : 2062 Pageviews. Comments :38