ภาษีที่ดินสหรัฐฯ จะได้มากเกินพอสำหรับองค์การบริหารทุกระดับ
ภาษีที่ดินสหรัฐฯ จะได้มากเกินพอสำหรับองค์การบริหารทุกระดับ
นี่เป็นผลการวิจัยของ Prof. Mason Gaffney (The Hidden Taxable Capacity of Land: Enough and to Spare, July 3, 2008 - //economics.ucr.edu/papers/papers08/08-12old.pdf)
ก่อนหน้านั้นนักเศรษฐศาสตร์สหรัฐฯ ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าภาษีที่ดินจะให้รายได้น้อยเกินไป
ในบทคัดย่อของเอกสารวิจัยนี้ที่ //www.emeraldinsight.com/journals.htm?articleid=1782614&show=abstract มีกล่าวไว้ว่า
ภาษีที่ใช้มูลค่าที่ดินเป็นฐานนั้นถือว่าเป็นภาษีที่ดีในหลายๆ ทาง แต่นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากไม่ยอมรับ โดยคิดว่าจะให้รายได้น้อยเกินไป บรรดาแหล่งข้อมูลขั้นมาตรฐานได้ละเว้นสิ่งที่อาจเป็นฐานภาษีจำนวนมาก และส่วนที่วัดก็คิดรายได้ให้ต่ำเกินไป ความมุ่งหมายของเอกสารนี้คือเพื่อเสนอการวัดค่าเช่าและมูลค่าที่ดินที่กว้างขวางและถูกต้องแม่นยำกว่าและเสนอวิธีหารายได้ที่นอกเหนือไปจากภาษีทรัพย์สินตามแบบเดิม
แต่อย่างไรก็ตาม ผมผู้เอาเรื่องราวมาบอกเป็นภาษาไทย ขอเรียนเตือนว่า แม้หากจะได้ภาษีที่ดินน้อย เราก็ยังควรเก็บภาษีที่ดินอยู่ดี ค่อยๆ เพิ่ม จนในที่สุดให้ภาษีที่ดินสูงเท่ากับค่าเช่าตามอัตราตลาด เพราะถ้าภาษีที่ดินต่ำจะเกิดการเก็งกำไรกักตุนที่ดิน นี่ต่างหากที่เป็นจุดมุ่งหลัก เพราะการกักตุนที่ดินทำให้ที่ดินของประเทศไทยส่วนที่บุคคลธรรมดาถือครองได้นั้นไม่ได้ทำประโยชน์ตามที่ควรถึง 70% แปลว่าทำประโยชน์ตามควรไม่ถึง 1 ใน 3 นั่นคือ มีการผลิตน้อย ผลผลิตของชาติต่ำ การกักตุนที่ดินทำให้ที่ดินแพง คนจนไม่สามารถหาที่ดินอยู่อาศัยหรือทำกินเองได้ ต้องแย่งกันง้อของานทำจากนายทุนผู้ประกอบการ ค่าแรงจึงย่อมต่ำตามกันไปตามกฎธรรมชาติของสังคม เราจึงต้องมีคณะกรรมการขึ้นมากำหนดค่าแรงขั้นต่ำซึ่งฝืนธรรมชาติ
อีกข้อหนึ่งที่ร้ายแรงมากคือ การเก็งกำไรซื้อขายกักตุนที่ดินกันเป็นการกว้างขวางทั่วไปทำให้เกิดวิกฤตวัฏจักรเศรษฐกิจฟองสบู่อสังหาฯ ซึ่งรอบหลังสุดนี้ซึ่งเกิดเมื่อปลายปี ค.ศ.2008 จากสหรัฐฯ แผ่ลามไปค่อนโลก ถึงบัดนี้ 4 ปีแล้วยังดูว่าอาจลามออกไปอีกด้วยซ้ำ.