ตราบนั้นจะมีผู้ใช้เงินเป็นเครื่องมือแสวงหาบารมีและบริวารได้
ตราบนั้นจะมีผู้ใช้เงินเป็นเครื่องมือแสวงหาบารมีและบริวารได้
ตราบใดที่ยังมีความยากจนให้เห็นตำตากันอยู่ตลอดไปทุกเมื่อเชื่อวัน
ตราบใดที่ยังไม่มีสิ่งบ่งชี้ว่าความยากแค้นของมนุษย์โดยทั่วไปจะบรรเทาเบาบางลง
ตราบใดที่ห้วงเหวแห่งความยากจนยังเปิดอ้ากว้างรอพร้อมที่จะรับเหยื่อ
คือผู้พลาดท่าเสียทีในการประกอบธุรกิจการงานในโลกนี้
ตราบนั้นมนุษย์จะยังมีความกลัวต่อความยากจน
แม้ผู้ที่รวยแล้วก็ยังกลัวจะต้องพลาดพลั้งยากจนลง
ตราบนั้นมนุษย์จะตั้งหน้ากอบโกยหาเงินไว้เป็นสมบัติของตนเอง
และเผื่อสำหรับลูกหลานเหลนต่อไปด้วย ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี
ซึ่งเราเรียกกันว่าความโลภ
ความโลภพอกพูนเพราะความกลัวจน
ตราบนั้นมนุษย์จะยังบูชาเงินเป็นพระเจ้า
ตราบนั้นเกียรติยศจะมีความหมายน้อยกว่าเงินตรา
ตราบนั้นจะมีผู้ใช้เงินเป็นเครื่องมือแสวงหาอำนาจบารมีและพวกพ้องบริวารได้
ตราบนั้นจะยังมีการทุจริตคดโกง
และตราบนั้นมนุษย์จะยังหาทางกดขี่ขูดรีดกันเอง
หากมนุษย์ไม่กลัวความยากจนเสียแล้ว เกียรติยศก็ย่อมจะสำคัญกว่าเงินตรา
และจะไม่มีใครยอมไปเป็นลูกน้องเพื่อประดับบารมียังความยิ่งใหญ่ให้แก่ผู้อื่น
หรือยอมเป็นเครื่องมือเพื่อประกอบกรรมอันชั่วช้าเดือดร้อนแก่ผู้อื่น
เพื่อประโยชน์ของผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ
หากมนุษย์ไม่กลัวความยากจนเสียแล้ว
มนุษย์จะหยุดกอบโกยเงินทองชนิดที่ใช้ 10 ชาติก็ไม่หมด
เพราะใครเล่าจะหาบน้ำไปด้วยทั้งหาบ?
หากรู้ว่าเพียงกระติกเดียวก็เพียงพอสำหรับการเดินทางไปถึงแหล่งน้ำแหล่งต่อไป
ความร่ำรวยล้นฟ้าจะไม่เป็นสิ่งน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนในปัจจุบัน
แต่ความพยายามตะเกียกตะกายที่จะให้ร่ำรวยเช่นนี้อาจจะกลายเป็นสิ่งน่าขำขันมากกว่า
โดยนัยนี้ ระดับศีลธรรมของมนุษย์ก็จะยกขึ้นสูง และโลกเราจะน่าอยู่กว่าปัจจุบันมาก
มนุษย์จะหมดห่วงกังวลบรรดาที่เคยมี
แล้วก็จะเกิดน้ำใจเสียสละตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อประโยชน์ของสังคมส่วนรวมได้เอง
การที่มนุษย์จะเลิกกลัวความยากจนได้
ก็คือเราจะต้องหาทางขจัดความยากจน
ทำให้มนุษย์แน่ใจได้ว่าเมื่อเขาต้องการทำงานหาเงินเพื่อเลี้ยงชีวิต
เขาก็จะสามารถหางานทำได้โดยมีรายได้ดีพอควร
(ปรับปรุงจากหนังสือ ความยากจนที่ไม่เป็นธรรม เศรษฐศาสตร์ที่ลงถึงราก
//utopiathai.webs.com/UnjustPoverty.html หน้า 77-78)