มุสลิมถาม

พระพุทธเจ้าก็มิได้ห้ามแต่
ทำไมพระสงฆ์ถึงไม่ไถนาปลุกข้าว สอนให้ผู้คนอย่าเอาเปรียบซึ้งกันและกัน
ตอนเช้าๆที่พระสงฆ์เดินเป็นแถวขอบิณฑบาตจากชาวบ้านตาดำๆแบบนี้เป็นการ "เอาเปรียบ" ม้าย #อิสลามถามhttps://www.facebook.com/hashtag/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%A1 ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้า เสด็จไป
บิณฑบาต ทรงเข้าไปหยุดประทับยืนในเขตไร่นาของพราหมณ์ผู้หนึ่ง พราหมณ์กราบทูลว่า "
ข้าพเจ้าไถหว่านแล้วจึงได้กิน แม้ท่านก็จงไถหว่านแล้วบริโภคเถิด" พระพุทธเจ้าก็ตรัสตอบเป็นคำร้อยกรอง ชี้แจงการไถหว่านของพระองค์ ที่มีผลเป็นอมตะ พราหมณ์เห็นชอบด้วย เกิดความเลื่อมใส จึงนำเอาอาหารเข้ามาถวาย
พระพุทธเจ้าไม่รับ โดยตรัสว่า ไม่ควรบริโภคโภชนะที่ขับกล่อมได้มา (ขุ.สุ.25/297/340)https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=samathijit&month=25-05-2021&group=18&gblog=14 ผู้ตั้งคำถาม น่าจะคิดว่า ที่ภิกษุออกบิณฑบาตกันตอนเช้าๆ มาบัญญัติจัดตั้งขึ้นทีหลัง ชายไทยพุทธที่เคยบวช ต้องรู้ทุกคน คือ หลังจากบวชเสร็จปุ๊บพระอุปัชฌาย์จะต้องบอกอนุศาสน์ ๘ อย่าง (นิสสัย ๔ อกรณียกิจ ๔) แก่ผู้บวชใหม่ทันที แบบว่า ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิตเรียกนิสสัยมี ๔ อย่าง คือ
เที่ยวบิณฑบาต ๑ นุ่งห่มผ้าบังสุกุล ๑ อยู่โคนไม้ ๑ (กิน) ฉันยาที่ดองด้วยน้ำมูตรเน่า ๑
ปัจจุบัน (อนาคต ปลายพุทธกาลไม่แน่) พระวัดไหน ไปทำไร่ไถนาปลูกข้าวกินเองหุงข้าวหาปลากินเอง มันจะต่างอะไรกับชาวบ้าน อาจทำลายอริยวงศ์ทำลายพุทธวงศ์ด้วยซ้ำ
"ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า" มีกลุ่มคนตีความผิด
กินเยี่ยวกันคิดว่าเป็นยาตามที่ว่านั้น กันความเข้าใจผิดเช่นนั้น เลยว่าให้ชัด (กิน)
ฉันยาที่ดองด้วยน้ำมูตรเน่า ๑ น้ำมูตรเน่าคืออะไร ? น้ำมูตรคือเยี่ยวนี่แหละ แต่ผ่านการ
หมักให้สุกด้วยแดดจนมันแปรสภาพจากเยี่ยวสดๆไปแล้ว (เทียบการ
หมักปลา (ทำน้ำปลา) ที่ทุกครัวเรือนกิน) แล้วก็เอาลูกสมอ, มะขามป้อม มาบุๆ ตากแดดพอหมาดๆ เทใส่ดองอยู่ในนั้น แล้วก็กิน (ฉัน)
ลูกสมอ หรือ
มะขามป้อม ซึ่งเป็นยาระบาย เรื่องของเรื่องก็แค่นี้ ตามแบบว่าสั้นๆ
ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ๑ ไม่ใช่ไปกินฉี่กินเยี่ยว ไม่ใช่ แต่ปัจจุบันระบบสาธารณสุขทันสมัยขึ้น มียาสารพัดชนิด ข้อนั้นก็หมดความจำเป็นลง อาจมีสำนักปฏิบัติบางแห่งทำกันอยู่แต่น้อย