
เรื่องมีว่า สมัยหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าประทับที่ป่าไผ่ ในกชังคลนิคม อุตตรมาณพ ศิษย์ของปาราสิริยพราหมณ์ เข้าไปเฝ้า
พระองค์ตรัสถามเขาว่า ปาราสิริยพราหมณ์สอนการพัฒนาอินทรีย์ภาวนาแก้เหล่าสาวกใช่ไหม
เมื่อเขารับว่าใช่ พระองค์ก็ตรัสถามว่า ปาราสิริยพราหมณ์สอนการพัฒนาอินทรีย์อย่างไร
เขาทูลตอบว่า ปาราสิริยพราหมณ์
สอนการพัฒนาอินทรีย์โดย
ไม่ให้เอาตาดูรูป ไม่ให้เอาหูฟังเสียง พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ถ้าถือตามหลักที่พราหมณ์นี้สอน คนตาบอด คนหูหนวก ก็เป็น
ภาวิตินทรีย์ (ได้พัฒนาอินทรีย์แล้ว) ละสิ
จากนั้น พระองค์ตรัสว่า การพัฒนาอินทรีย์อย่างที่ปาราสิริยพราหมณ์สอนนั้น เป็นคนละอย่างต่างจากอินทรียภาวนาอย่างยอดเยี่ยมในแบบแผนของอารยชน
(อริยวินัย) พระอานนท์จึงทูลขอให้ทรงแสดงหลักอินทรียภาวนา อย่างยอดเยี่ยมในอริยวินัยนั้น และได้ตรัสดังรวมใจความมาดังนี้
(ความอุปมายาวๆได้ละเสีย) ๑.
อินทรียภาวนา: “ดูกรอานนท์ ก็อินทรียภาวนา อย่างยอดเยี่ยม ในวินัยของอริยชน เป็นอย่างไร

ดูกรอานนท์ เพราะเห็น
รูปด้วยจักษุ สภาพที่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพที่ไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพทั้งที่น่าชอบใจและไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้นแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอรู้ชัด
(รู้เท่าทัน) อย่างนี้ว่า สภาพที่น่าชอบใจ สภาพที่ไม่น่าชอบใจ สภาพทั้งที่น่าชอบใจ และไม่น่าชอบใจเกิดขึ้นแล้วแก่เราเช่นนี้ ก็แต่ว่าสภาพที่น่าชอบใจ สภาพที่ไม่น่าชอบใจ สภาพทั้งที่น่าชอบใจและไม่น่าชอบใจ เป็นภาวะปรุงแต่งเป็นของหยาบอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น สภาวะนี้จึงสงบ สภาวะนี้จึงประณีต กล่าวคืออุเบกขา
(ใจเฉยโดยตระหนักรู้อยู่ในดุล) สภาพที่น่าชอบใจ สภาพที่ไม่น่าชอบใจ สภาพทั้งที่น่าชอบใจและไม่น่าชอบใจ ที่เกิดขึ้นแก่เธอนั้นก็ดับหาย อุเบกขาตั้งได้ที่สนิท ดูกรอานนท์ ภิกษุรูปหนึ่งรูปใด ที่สภาพที่น่าชอบใจ สภาพที่ไม่น่าชอบใจ สภาพทั้งที่น่าชอบใจ และไม่น่าชอบใจเกิดขึ้นแล้วก็ดับหาย อุเบกขาตั้งได้ที่สนิทโดยเร็ว โดยพลันทันทีโดยไม่ยากลำบาก เหมือนดังบุรุษ มีตาดี ลืมตาแล้วหลับตา หรือหลับตา แล้วลืมตา ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่า อินทรียภาวนาในรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ อันยอดเยี่ยมในวินัยของอริยชน
“ดูกรอานนท์ ข้ออื่นยังมีอยู่อีก เพราะ
ได้ยินเสียงด้วยหู...เพราะ
ดมกลิ่นด้วยจมูก...เพราะ
ลิ้มรสด้วยลิ้น...เพราะ
ต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...เพราะ
รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ (ทำนองเดียวกับข้อก่อน) ดูกรอานนท์ ภิกษุรูปหนึ่งรูปใด ที่สภาพที่น่าชอบใจ สภาพที่ไม่น่าชอบใจ สภาพทั้งที่น่าชอบใจและไม่น่าชอบใจเกิดขึ้นแล้ว ก็ดับหาย อุเบกขาตั้งได้ที่สนิท โดยเร็ว โดยพลันทันที โดยไม่ยากลำบาก เหมือนดัง บุรุษมีกำลังเอาหยาดน้ำสองหรือสามหยาด หยดลงในกระทะเหล็กที่ร้อนจัดตลอดทั้งวัน การหยดลงไปแห่งหยาดน้ำนั้น ยังช้า
(ไม่ทันที) หยาดน้ำนั้น ก็ถึงความเหือดหายหมดสิ้นไป ฉับพลัน ทันใด โดยแน่แท้ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอินทรียภาวนาในธรรมารมณ์ที่รู้ได้ด้วยใจ อันยอดเยี่ยมในวินัยของอริยชน
“ดูกรอานนท์ อย่างนี้แล เป็นอินทรียภาวนา อันยอดเยี่ยมในวินัยของอริยชน.
๒. ก)
เสขปาฏิบท (ผู้ยังฝึกศึกษา) “ดูกรอานนท์ ก็พระเสขะ ผู้ยังปฏิบัติอยู่เป็นอย่างไร

ดูกรอานนท์ เพราะ
เห็นรูปด้วยจักษุ สภาพที่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพที่ไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพทั้งที่น่าชอบใจและไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น แก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอ
อึดอัด เบื่อหน่ายรังเกียจ ด้วยสภาพน่าชอบใจ สภาพที่ไม่น่าชอบใจ สภาพทั้งน่าชอบใจและไม่น่าชอบใจที่เกิดขึ้นแล้วนั้นๆ เพราะได้ยินเสียงด้วยหู...เพราะ
ดมกลิ่นด้วยจมูก...เพราะลิ้มรสด้วยลิ้น...เพราะต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...เพราะ
รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ....เธออึดอัด เบื่อหน่ายรังเกียจด้วยสภาพน่าชอบใจ สภาพที่ไม่น่าชอบใจ สภาพทั้งน่าชอบใจและไม่น่าชอบใจที่เกิดขึ้นแล้วนั้นๆ ดูกรอานนท์ อย่างนี้แลชื่อว่าพระเสขะ
ผู้ยังปฏิบัติอยู่ ๒.ข)
ภาวิตินทรีย์ (ผู้ศึกษาพัฒนาจบแล้ว) “ดูกรอานนท์ ก็
พระอริยะผู้ภาวิตินทรีย์ (ได้พัฒนาอินทรีย์แล้ว) เป็นอย่างไร

ดูกรอานนท์ เพราะ
เห็นรูปด้วยจักษุ สภาพที่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพที่ไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพทั้งที่น่าชอบใจและไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น แก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอนั้น
หากจำนงว่า เราจะหมายรู้ในสิ่งปฏิกูล ว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ ก็เป็นผู้มีความหมายรู้ในสิ่งนั้นๆ ว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้
หากจำนงว่า เราจะหมายรู้ในสิ่งไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ ก็เป็นผู้มีความหมายรู้ในสิ่งนั้นๆ ว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้
หากจำนงว่า เราจะหมายรู้ในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูล ว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ ก็เป็นผู้มีความหมายรู้ในสิ่งนั้นๆ ว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้
หากจำนงว่า เราจะหมายรู้ในสิ่งทั้งไม่ปฏิกูลและปฏิกูล ว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ ก็เป็นผู้มีความหมายรู้ในสิ่งนั้นๆ ว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้
หากจำนงว่า เราจะเว้นคำนึงทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูล ทั้งสองอย่าง มีอุเบกขาอยู่โดยมีสติสัมปชัญญะ ก็มีอุเบกขาในสิ่งนั้นๆ อยู่โดยมีสติสัมปชัญญะได้
“ดูกรอานนท์ ข้ออื่นยังมีอยู่อีก เพราะ
ได้ยินเสียงด้วยหู...เพราะ ดมกลิ่นด้วยจมูก...เพราะลิ้มรสด้วยลิ้น...เพราะต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...เพราะ
รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ สภาพที่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพที่ไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพทั้งที่น่าชอบใจและไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น แก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอนั้น....หากจำนงว่า เราจะเว้นคำนึงทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูล ทั้งสองอย่าง มีอุเบกขาอยู่โดยมีสติสัมปชัญญะ ก็มีอุเบกขาในสิ่งนั้นๆอยู่โดยมี
สติสัมปชัญญะได้
“ดูกรอานนท์ อย่างนี้แล ชื่อว่าพระอริยะ ผู้ภาวิตินทรีย์
(ได้พัฒนาอินทรีย์แล้ว)"
(ม.อุ.14/853/541)ตัดมาจากหัวข้อใหญ่
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=samathijit&month=06-05-2021&group=13&gblog=9
ผู้ภาวิตินทรีย์ ได้แก่ ผู้บังคับสัญญาของตนได้ เรื่องธรรมดาๆ แต่ทำตามยากปฏิบัติยากส์